( Ranjith Makalanda )
แผนที่ประกอบ : Kotte,Colombo;Sri Lanka
นายรัญจิต มะคะลันทะ เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ ณ เมืองค้อตเต(Kotte) ประเทศศรีลังกา(Sri Lanka) เป็นบุตรคนที่ ๗ ของครอบครัว บิดาชื่อ นายมะคะลา มาดาเก แซม เดอ ซิลวา เรื่องนี้มีผู้สอบถามสองท่านคือ นายฟรานซิส สตอรี่ ซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ และสนใจเกี่ยวกับเรื่องระลึกชาติตายแล้วเกิดใหม่ ได้สอบเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ ปลายปีเดียวกันนั้น ดร.เอียน สตีเวนสัน ก็ได้ไปสอบเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งตอนนั้น นายรัญจิตอายุได้ ๑๙ ปี มีเรื่องดังนี้
เรื่องราวของนายรัญจิตเริ่มต้นขึ้น เมื่อบิดาของ นายรัญจิต หรือ เด็กชายรัญจิตในขณะนั้นสังเกตเห็นว่า เมื่อเด็กชายรัญจิตอายุได้สองขวบ เขามีความจำดีมากแปลกกว่าเด็กทั่วไป และยังปรากฏว่าเด็กคนนี้มีลักษณะกิริยาอาการท่าทางไปทางคนอังกฤษมากกว่าที่จะเป็นชาวศรีลังกา ทั้งๆที่บิดามารดาของเด็กชายรัญจิตและบุรพชนสืบขึ้นไปก็เป็นชาวศรีลังกาแท้ๆ ไม่ได้มีเชื้อสายอื่น เช่นฝรั่งปะปนเลย ทำให้เด็กคนนี้ดูราวกับเป็นคนแปลกหน้ามาปะปนอยู่กับพี่น้องทั้งหลาย
ในบ้านของ นายมะคะลา มาดาเก แซม เดอ ซิลวา พูดกันด้วยภาษาสองภาษาคือ ภาษาลังกาหรือภาษาสิงหลและภาษาอังกฤษ เด็กๆในบ้านนี้เรียนหนังสือสองภาษาดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฏว่าเด็กชายรัญจิตเรียนภาษาอังกฤษได้ไว และรู้ดีกว่าลูกคนอื่นๆ จริงอยู่ในบ้านก็ล้วนแต่เรียนภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น แต่เด็กชายรัญจิตมีความรู้และเรียนได้เร็วกว่าพี่น้องทุกคน
บิดาของรัญจิตสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่เด็กชายรัญจิตอายุยังน้อยเพียงสองสามขวบ เวลาเด็กชายรัญจิตคลื่นไส้ เขามักจะงอนิ้วแล้วสอดเข้าไปในปากล้วงคอให้อาเจียนออกมาแบบเดียวกับที่ชาวอังกฤษชอบทำ ซึ่งการประพฤติเช่นนี้ ชาวศรีลังกาเขาไม่ทำกัน เด็กชายรัญจิตไม่ชอบกินข้าว จะกินแต่ขนมปังทาเนย และวิธีที่เด็กชายรัญจิตทาเนยขนมปัง วิธีป้อนขนมปังใส่ปากก็เป็นแบบฝรั่งแท้ๆ ส่วนการกินข้าว เด็กชายรัญจิตจะไม่ชอบและยังกินแบบฝรั่งอีกด้วย คือเงยหน้าแล้วโปรยข้าวเข้าปาก ไม่ป้อนใส่ปากแบบชาวศรีลังกา
เวลาบิดาพาเด็กๆไปกินอาหารฝรั่ง เด็กชายรัญจิตจะใช้ช้อน ซ่อม มีดได้อย่างคล่องแคล่วแบบฝรั่ง ไม่เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ซึ่งเก้งก้างไม่ถนัดในการใช้มีด ช้อน และซ่อม แบบฝรั่ง
มีแปลกอยู่อีกคือ ตามธรรมดาบ้านชาวศรีลังกาที่สมัยใหม่หน่อย เด็กๆมักจะเรียกบิดามารดาว่า “มัมมี่ แด๊ดดี้” แบบฝรั่ง อันเป็นถ้อยคำที่แสดงความรักใคร่มาก แต่เด็กชายรัญจิตไม่ใคร่จะเรียกบิดามารดาแบบนี้ เขาชอบเรียกบิดามารดาแบบภาษาศรีลังกามากกว่า ซึ่งเป็นคำธรรมดาๆ และตามธรรมดาเวลาเรียกชื่อผู้ใหญ่เขามักนิยมนำหน้าชื่อว่า “มิสเตอร์” ตามแบบฝรั่ง แต่เด็กชายรัญจิตคนเดียวมักไม่เรียกชื่อผู้อื่นนำหน้าด้วย “มิสเตอร์” เขามักจะออกชื่อลอยๆเสมอ ผิดกว่าเด็กอื่นๆ ซึ่งเป็นลักษณะการพูดที่ไม่ค่อยเคารพนับถือเท่าใดนัก
พออายุได้ระหว่างสามขวบถึงสามขวบหกเดือน บิดาก็ได้ยินเด็กชายรัญจิตกล่าวกับมารดาและพี่น้องว่า พวกเขาไม่ใช่มารดาและพี่น้องของเขาหรอก เขาว่าบิดามารดาพี่น้องของเขาอยู่ที่เมืองอังกฤษ
เด็กชายรัญจิต ไม่ค่อยแสดงความผูกพันกับบิดามารดาและพี่น้องมากนัก และเขามักจะเรียกบิดามารดาด้วยถ้อยคำที่ไม่ใคร่ให้ความเคารพนัก จึงทำให้บิดาของเขามีความสนใจในความผิดปกติเหล่านี้
วันหนึ่งบิดาได้เข้าไปถามเด็กชายรัญจิตว่า “เมื่อก่อนนี้หนูอยู่ที่ไหน” เด็กชายรัญจิตตอบว่า “อยู่ที่อังกฤษ” บิดาถามว่า “พ่อแม่ที่อยู่อังกฤษ ชื่ออะไร” เขาตอบว่า “จำไม่ได้ แต่จำชื่อพี่ชายและน้องสาวได้ว่าชื่อ ทอม จิม และ มากาเร็ต” บิดาถามว่า “เดิมหนูชื่ออะไร” รัญจิตบอกว่า “จำไม่ได้”
บิดาถามว่า “พ่อหนูที่อังกฤษทำงานอะไร” เด็กชายรัญจิตบอกว่า “พ่อทำงานอยู่บนเรือกลไฟลำใหญ่ บางครั้งพ่อยังเอาสับปะรดมาฝากด้วย ตอนที่พ่อทำงานบนเรือกลไฟนั้น ผมยังเคยเอาอาหารกลางวันไปส่งให้พ่อบนเรือด้วย”
“บ้านเดิมของผมอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ อยู่บ้านเดียวโดๆ บ้านอื่นจะอยู่ที่เชิงเขา” รัญจิตเล่าต่อไปว่า “ตอนอยู่ที่บ้านนั้น ตอนเช้าผมต้องสวมเสื้อกันหนาวตัวใหญ่แล้วนั่งผิงไฟ เพราะที่นั่นหนาวมาก ในสวนและบนถนนมีน้ำแข็ง มีรถมาตักน้ำแข็งที่ถนนด้วย” บิดาถามว่า “รถตักน้ำแข็งเป็นรถยนต์ใช่หรือไม่” เขาตอบว่า “ไม่ใช่ เป็นรถม้า”
เด็กชายรัญจิตบอกกับบิดาว่าเดิมเขาไม่ได้เป็นชาวพุทธ เขาเป็นคริสเตียน เขาบอกว่าวันอาทิตย์เขาจะพาพี่น้องไปโบสถ์ด้วยจักรยานยนต์พ่วงข้างของเขา มารดาของเขาสวยมาก บิดาถามว่า “มารดาของหนูสวยอย่างไร” เขาตอบว่า “สวยกว่าผู้หญิงฮอลันดาซึ่งตกค้างอยู่ในลังกาเสียอีก”
บิดาถามว่า “มารดาของหนูแต่งตัวอย่างไร” เขาตอบว่า “นุ่งสะเกิ๊ตและสวมเสื้อ”ซึ่งแตกต่างกับชาวลังกาที่นุ่งห่มส่าหรี บิดาถามว่า “ที่เมืองอังกฤษมีผลไม้อะไรให้กินบ้าง” เขาตอบว่า “มีองุ่นมีแอปเปิล” บิดาของเด็กชายรัญจิตยืนยันว่า เรื่องที่เด็กชายรัญจิตเล่าเป็นเรื่องใหม่ ในบ้านไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย ส่วนเรื่องเมืองอังกฤษที่เขาเล่าให้ฟังนั้น แม้แต่ครูที่โรงเรียนในศรีลังกาก็ไม่เคยสอนแบบนี้ และตอนนั้นเขาอายุยังน้อย ไม่ถึงสี่ขวบ ยังไม่ได้ไปโรงเรียน และในศรีลังกาก็มีรถม้าน้อยมาก เขาไม่น่าจะเคยเห็นรถม้ามากก่อน
เมื่อเด็กชายรัญจิตอายุครบ ๔ ขวบ ถึงวันเกิด บิดาของรัญจิตได้ไปเสียค่าโฆษณาให้สถานีวิทยุประจำเมืองนั้น ประกาศอวยพรวันเกิดให้เด็กชายรัญจิตในเวลาบ่ายห้าโมงเย็น พอใกล้เวลานั้น พี่สาวของรัญจิตก็หลอกว่า มารดาของรัญจิตที่เมืองอังกฤษ จะพูดกับรัญจิตตอนห้าโมงเย็น
พอถึงเวลา พวกพี่น้องก็พากันคอยฟังวิทยุ เด็กชายรัญจิต ขยับเข้าไปใกล้เครื่องวิทยุมากกว่าใคร พอได้เวลาก็มีเสียงสุภาพสตรีพูดอวยพรวันเกิดให้รัญจิตด้วยสำเนียงของคนอังกฤษอย่างชัดเจน
เด็กชายรัญจิตดีใจมาก เอามือป้องปากพูดไปที่เครื่องวิทยุว่า “แม่ เวลานี้ฉันอยู่กับชาวลังกา มาพาผมกลับไปบ้านด้วย” วิทยุเปิดเพลง “Happy Birth Day” ซึ่งในเพลงนั้นมีคำว่า “ดาลิ่ง” และ “สวีตฮาร์ท” อยู่หลายตอน เด็กชายรัญจิตดีใจบอกว่า นั่นเสียงของแม่เขา แม่เรียกว่า ดาลิ่ง และ สวีตฮาร์ท ด้วย
ลุงของเด็กชายรัญจิตที่นั่งอยู่ด้วยถามว่า “ทำไมหนูจำเสียงแม่ได้” เด็กชายรัญจิตตอบว่า “ก็แม่ผมพูดเสียงนุ่มๆแบบนี้” พอเพลงจบเด็กชายรัญจิตก็เดินไปหลังบ้าน ไปนั่งเหงาหงอยอยู่คนเดียว
บิดาของเด็กชายรัญจิตไม่อยากให้รัญจิตรู้สึกไม่ดี จึงเตือนคนในครอบครัวว่าอย่าให้ใครพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้กับรัญจิตอีก เพื่อที่จะให้รัญจิตลืมเรื่องเหล่านี้เสีย
หลายปีต่อมา บิดาของรัญจิตเข้าใจว่ารัญจิตคงจะลืมอดีตชาติไปแล้ว แต่พอรัญจิตอายุย่างเข้ารุ่นหนุ่ม เขาก็บอกกับบิดาว่า อยากลาออกจากโรงเรียน จะทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง รัญจิตบอกบิดาว่า จะทำงานที่ร้านขายรถ ซ่อมรถยนต์ เขาบอกว่าถึงเป็นงานล้างรถเขาก็อยากทำ
บิดาของรัญจิต รู้สึกประหลาดใจ เพราะตามธรรมเนียมเด็กในอังกฤษและอเมริกา เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มพอทำงานได้ ก็จะต้องทำงานหาเงินช่วยตัวเอง แต่ธรรมเนียมของชาวศรีลังกาเด็กหนุ่มที่โตพอที่จะเรียนได้ ก็จะขวนขวายเล่าเรียนให้ได้ชั้นสูงจนสำเร็จ และงานล้างรถ ชาวศรีลังกาถือว่าเป็นงานชั้นต่ำ ไม่มีใครอยากทำ บิดาจึงตักเตือนให้เขาคิดให้ดีก่อน
แต่รัญจิตก็ขอไปทำงานที่ร้านขายรถและซ่อมรถจนได้ บิดาจึงจำใจต้องยอมเป็นที่น่าประหลาดใจ ที่รัญจิตทำงานได้ไม่นาน เขาก็รู้เรื่องเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว ขับรถยนต์และจักรยานยนต์ได้คล่อง พออายุได้ ๑๘ ปี บิดาของรัญจิตก็คิดจะส่งรัญจิตไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ และเห็นว่าเขาชอบเรื่องเครื่องยนต์อยู่แล้ว จึงบอกว่าจะส่งให้ไปเรียนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ที่ประเทศอังกฤษ แต่ยังไม่บอกว่าจะให้ไปเมื่อไหร่
รัญจิตรู้อย่างนั้นก็ดีใจมาก จัดการจองตั๋วเรือเพื่อเดินทางไปประเทศอังกฤษเองทันที เสร็จแล้วค่อยกลับมาบอกบิดา บิดาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำใจต้องให้ไปตามที่เขาต้องการ
ตอนที่มีงานเลี้ยงส่งกันตามประเพณี นายรัญจิตบอกกับเพื่อนๆว่า “เรายังจำได้ไม่ลืมว่า เมื่อก่อนเราเคยอยู่ที่อังกฤษ”
นายรัญจิตเล่าว่า เมื่ออยู่ในเรือระหว่างเดินทาง เขาเข้ากันกับคนอังกฤษได้เป็นอย่างดี เมื่อไปถึงกรุงลอนดอน เขาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย เหมือนกับเคยอยู่มาก่อนแล้ว
พี่สาวของรัญจิต ที่อยู่ในประเทศอังกฤษ ก็เล่าให้บิดาของเธอได้ทราบว่า รัญจิตอยู่ในประเทศอังกฤษอย่างคุ้นเคย เขาไปไหนมาไหนได้โดยไม่หลงทาง และไม่ตื่นเลยตอนที่ไปถึงลอนดอนครั้งแรก รัญจิตเกิดปวดฟันขึ้นมา เขาก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาล ให้หมอตรวจรักษาเหมือนชาวลอนดอนคนหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่ารัญจิตจะชอบเรื่องรถยนต์มาก ครั้งหนึ่งมีการแข่งรถยนต์ที่สก็อตแลนด์ เขาสมัครขับรถแข่ง ทั้งๆที่พี่สาวทัดทาน ปรากฏว่ารัญจิตเข้ามาที่หนึ่ง ในจำนวนนักแข่งยี่สิบสองคน และเขาเป็นคนเดียวที่เป็นชาวเอเซีย
รัญจิตหวังอยู่เสมอว่า เขาคงจะระลึกถึงและได้พบบ้านเดิมในประเทศอังกฤษของเขาสักวันหนึ่ง แต่จนบัดนี้ ก็ยังไม่พบ