ประกาศ วาษเณ

กรณีของ ประกาศ วาษเณ

( Prakash Varshnay )

แผนที่ประกอบ : Chhata,Kosi Kalan ; Mathura,Uttarpradesh;India

เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็กชายคนหนึ่ง ชื่อว่า นิรมล เชน เป็นบุตรของ นายศรีโภลนาถ เชน ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคฝีดาษ ที่บ้านในเมืองโกสีกาลัน(Kosi Kalan) จังหวัดมธุระ(Mathura) อุตตรประเทศ(Uttarpradesh) เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๙๓

ในวันที่เด็กจะตาย เด็กมีอาการกระสับกระส่าย พูดกับมารดาถึงสองครั้งว่า เธอไม่ใช่มารดาของเขา เขาจะไปหาแม่ของเขา แล้วเด็กก็ชี้มือไปทางเมืองเล็กๆที่ชื่อ ชะหัตตา(Chhata) ซึ่งอยู่ในจังหวัดมธุระนั่นเอง ครู่หนึ่งต่อมาเด็กก็สิ้นใจตาย

เมืองชะหัตตา อยู่ห่างจาก เมืองโกสีกาลัน ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร

ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๔ ที่เมืองชะหัตตานั้น ได้มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมา เด็กชายคนนั้นเป็นบุตรของ นายศรีปริชลาล วาษเณ บิดาตั้งชื่อให้ว่า เด็กชายประกาศ วาษเณ

บิดาของเด็กชายประกาศเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เด็กชายประกาศเป็นเด็กที่ขี้อ้อนมากกว่าเด็กคนอื่น พออายุได้สี่ขวบกับหกเดือน เด็กชายประกาศมีอาการประหลาด คือมักจะตื่นขึ้นมาเวลาประมาณสองยามแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน พอไปคว้าตัวมาได้ เด็กชายประกาศก็บอกว่าเขาจะกลับไปบ้านของเขา เขาอยู่ที่โกสีกาลัน เขาชื่อนิรมล เขาบอกด้วยว่าบิดาเขาชื่อโภลนาถ

เด็กชายประกาศตื่นขึ้นตอนกลางดึกแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน เช่นนี้ติดต่อกันถึงสี่ห้าคืน แล้วต่อๆไปก็ห่างๆออกไป สามวันบ้าง สี่วันบ้าง เป็นอย่างนี้ประมาณหนึ่งเดือน ต่อจากนั้นเด็กชายประกาศก็รบเร้า ขอให้บิดามารดาพาไปที่เมืองโกสีกาลันอยู่เสมอ

จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๙๙ บิดามารดาของเขาทนรำคาญไม่ไหว ก็ให้ผู้เป็นลุงพาไปเพื่อแก้รำคาญ ลุงของเด็กชายประกาศแกล้งจะพาขึ้นรถไปทางเมืองอื่น ไม่ไปทางเมืองโกสีกาลัน เด็กชายประกาศก็ร้องบอกว่าไม่ใช่ทางนั้น บอกให้ไปทางเมืองโกสีกาลัน ลุงจึงต้องพามาขึ้นรถที่จะไปเมืองโกสีกาลันตามที่เขาต้องการ

เมื่อไปถึงเมืองโกสีกาลัน เด็กชายประกาศก็ได้พาลุงไปยังร้านขายของของ นายโภลนาถ เชน ตอนนั้นเด็กชายประกาศจำร้านของนายโภลนาถไม่ได้ เพราะที่ร้านนั้นได้เปลี่ยนแปลไปมากหลังจาก นิรมล ตาย และตอนนั้นร้านก็ปิด นายโภลนาถ เชน ก็ไม่อยู่ที่ร้าน มีธุระไปที่อื่น เด็กจึงไม่ได้พบกับสกุลเชนในคราวนั้น

จากการไปสอบถามหาบ้านของ นายโภลนาถ ในครั้งนั้น ทำให้สกุลเชนทราบข่าวว่ามีเด็กระลึกชาติได้มาหาพวกเขาเหมือนกัน

สำหรับบิดาของเด็กชายประกาศแล้ว เขาไม่พอใจเลยที่บุตรของตนพูดถึงเรื่องในชาติก่อน แต่ที่ยอมให้เด็กชายประกาศไปที่บ้านเดิมก็เพื่อให้หายรำคาญเท่านั้น เข้าใจว่าเมื่อเด็กได้ไปตามต้องการแล้วก็คงจะเลิกพูดถึงให้รำคาญอีก แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะระหว่างนี้ เด็กชายประกาศ ยังจำเรื่องในชาติก่อนของตนได้ดี เขาพูดถึงชื่อญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และรบเร้าผู้เป็นบิดาให้พาเขาไปยังบ้านเดิมในชาติก่อนอยู่เสมอ

บิดาของเด็กชายประกาศจึงใช้วิธีการต่างๆ เพื่อที่จะทำให้เด็กชายประกาศเลิกคิดถึงชาติก่อน เช่น เฆี่ยนตีเมื่อเด็กพูด เอาเด็กวางบนแป้นสำหรับหมุนปั้นหม้อ แล้วหมุนให้เด็กเวียนศีรษะจะได้ลืมอดีตชาติเสีย

ด้วยกลัวจะถูกลงโทษ เด็กชายประกาศจึงเลิกพูดขอร้องบิดาให้พากลับบ้านในชาติก่อนต่อหน้าคนอื่น

ต่อมาตอนฤดูร้อนของปี พ.ศ.๒๕๐๔ นายศรีโภลนาถ เชน ได้เดินทางมายังเมืองชะหัตตาเพื่อทำธุระกับบุตรสาวที่ชื่อเมโม เขาได้ตามหาและไปเยี่ยมเด็กชายประกาศด้วย ครั้งแรกที่ได้พบกันเด็กชายประกาศเห็นเข้าก็ดีใจเรียกว่าพ่อ แล้วยังทักทายพี่สาวของ นิรมล ที่ชื่อ เมโม แต่เรียกชื่อผิดไปเป็น วิมาลา ซึ่งเป็นชื่อพี่สาวอีกคนหนึ่งของ นิรมล

ตอนนั้น เด็กชายประกาศ ร้องไห้ขอให้ พ่อศรีโภลนาถ พาเขาไปยังเมืองโกสีกาลันด้วย เขาร้องไห้และขอตามไปส่ง นายศรีโภลนาถ ที่สถานีขนส่ง และเมื่อไปถึงสถานียังขอให้ได้ติดตามไปยังเมืองโกสีกาลันอีก แต่ นายศรีปริชลาล วาษเณ บิดาของเขาไม่ยอมให้ไป

หลังจากนั้นอีกหลายวัน มารดาของเด็กชายนิรมล พี่สาวที่ชื่อ ธาระ และพี่ชายที่ชื่อ เทวันทรา ก็ได้พากันมาเยี่ยมหา เด็กชายประกาศที่ชะหัตตาอีก เมื่อเด็กชายประกาศเห็นเข้าก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ เขาอ้อนวอนขอร้อง นายศรีปริชลาล วาษเณ บิดาให้พาเขาไปยังบ้านเดิมที่โกสีกาลันอีกครั้ง คราวนี้มารดาและพี่น้องของเด็กชายประกาศเองก็ช่วยกันอ้อนวอนอีกด้วย คราวนี้บิดาเขาตกลงยอมให้ไปได้

พอไปถึงบ้านเดิม ลงจากรถโดยสาร เด็กชายประกาศก็เดินนำหน้าญาติพี่น้องตรงไปยังบ้านของ นิรมล ในชาติก่อนทันที แต่พอไปถึงหน้าบ้านเขากลับทำท่าแปลกใจเพราะบ้านเดิมมีการซ่อมแซม เปลี่ยนแปลงรูปร่างของบ้านไปจากเมื่อตอนที่ นิรมล ยังมีชีวิตอยู่มาก

ครั้งนั้นเด็กชายประกาศ จำลุง ป้า และเพื่อนบ้านของ นิรมล ได้มากมายหลายคน บรรดาญาติพี่น้องของเด็กชายนิรมลเอง ก็พากันยินดีและเชื่อแน่ว่า เด็กชายนิรมล ได้กลับชาติมาเกิดเป็น เด็กชายประกาศ แล้วจริงๆ

แต่เรื่องนี้กลับเป็นโชคไม่ดีของประกาศ เพราะเมื่อเขากลับมาจากเยี่ยมบ้านเดิม ในชาติก่อน เขาก็ยิ่งอยากกลับไปบ้านเดิมที่โกสีกาลันมากยิ่งขึ้น

เด็กชายประกาศมีอาการวิ่งหนีออกไปจากบ้าน จะกลับไปยังโกสีกาลันอีก บิดาก็เฆี่ยนตีเพื่อให้เลิกคิดถึงบ้านเก่าเสีย และอยากให้เด็กลืมเรื่องเก่าเสียให้สิ้นเชิง

ดร.สตีเวนสัน ไปสอบเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ ในเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงที่เด็กชายประกาศเพิ่งจะกลับมาจากไปเยี่ยมบ้านเดิมครั้งที่สองได้สักสามอาทิตย์ ซึ่งตอนนั้นทางบิดาของประกาศไม่ใคร่พอใจ ที่จะให้เด็กชายประกาศเล่าเรื่องในชาติก่อนให้ใครฟัง ดร.สตีเวนสันเองก็เข้าใจว่าบิดาได้ห้ามปรามเด็กไว้ไม่ให้พูดอะไรมาก ต่อมาภายหลัง ดร.สตีเวนสันสอบถามดูบิดาของเด็กชายประกาศก็รับว่าจริง

ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ดร.สตีเวนสัน ได้ไปเยี่ยมเด็กชายประกาศอีกครั้ง ปรากฏว่าบิดาของเด็กชายประกาศได้ให้การต้อนรับดีขึ้น เพราะเหตุว่าระยะนี้เด็กชายประกาศมีอาการที่คิดจะหนีกลับไปยังบ้านเดิมน้อยลงไปมาก แม้กระนั้น ดร.สตีเวนสัน ก็เพียงได้แต่สอบถามเรื่องราวจากมารดาของเด็กชายประกาศเท่านั้น ส่วนการที่จะได้สอบถามเด็กชายประกาศโดยตรงนั้น ดร.สตีเวนสัน ไม่มีโอกาส

สำหรับทั้งสองตระกูล คือ ตระกูลเชน ซึ่งเป็นตระกูลในชาติก่อนของเด็กชายประกาศ และ ตระกูลวาษเณ ซึ่งเป็นตระกูลในชาติปัจจุบัน ก่อนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้มารู้จักกันตอนเรื่องที่ประกาศจำอดีตชาติได้ ก็ไม่ทำให้สนิทสนมคุ้นเคยกันได้ เพราะตระกูลทั้งสองนี้มีเกียรติและฐานะสูงต่ำกว่ากัน คือตระกูลเชนมีฐานะดีกว่าตระกูลวาษเณ เลยทำให้ฝ่ายตระกูลวาษเณระแวงว่าตระกูลเชนจะฉวยโอกาสเอาเด็กชายประกาศไปเสีย

เด็กชายประกาศ จดจำเรื่องราวชีวิตในชาติก่อนของเขาได้หลายประการ เช่น

จำได้ว่าบ้านเดิมของนิรมลเป็นตึกก่อด้วยอิฐ แต่บ้านใหม่เป็นบ้านฉาบด้วยดิน เขาจึงรู้สึกแปลกใจในครั้งแรกที่ไปที่บ้านเดิมในชาติก่อน

เขาจำได้ว่าบิดาในชาติก่อนของเขามีห้างขายของถึง ๔ แห่ง ขายข้าวสาร ขายเสื้อผ้า และขายสรรพสินค้า ตัวเขาเอง มีตู้เซฟส่วนตัว เขามีรถขี่เล่น และนอกจากจะจำเพื่อนบ้านของเด็กชายนิรมลได้แล้ว เด็กชายประกาศยังจดจำคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเด็กชายนิรมลลได้อีก คือ เมื่อคราวได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมนั้น มีคนมาดูเด็กชายประกาศมาก บิดาของเด็กชายนิรมลชี้ให้เด็กชายประกาศดูชายคนหนึ่งแล้วถามว่าเป็นใคร จำได้ไหม เด็กชายประกาศตอบว่า “จำได้ เขามาเก็บเงินที่บ้านเราเสมอ” ปรากฏว่าชายคนนั้นคือ นายศรี ฮาปันลาล เป็นเจ้าพนักงานเก็บภาษี และยังมีชายอีกคนหนึ่งมาดูอยู่ด้วย เด็กชายประกาศเห็นเข้าก็บอกว่า คนนี้เป็นหมอ ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะชายคนนั้นเป็นแพทย์ประจำครอบครัวของ เด็กชายนิรมล นั่นเอง