พระศรีอาริยเมตไตรย์

พระศรีอาริยเมตไตรย์

ที่มาของชื่อและเรื่องราวของ “พระศรีอาริยเมตไตรย์”

แหล่งอ้างอิง : คลิ๊กที่ตัวอักษรสีน้ำเงินขีดเส้นใต้

สำหรับชื่อ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” นั้นไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าใครเป็นผู้บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมา และบัญญัติขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ส่วนเรื่องราวของ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” ที่มีผู้นำมาเผยแพร่กันอย่างกว้างขวางกันอยู่ในขณะนี้นั้น พบว่ามีที่มาจาก “คัมภีร์ปฐมโพธิ” ที่มีการประพันธ์แต่งเติมกันขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย ฉบับที่เก่าแก่ที่สุดเป็นฉบับล้านนา เดิมมี ๙ ปริจเฉท ต่อมาสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ ได้แต่งเพิ่มเติมอีกหลายสำนวน ฉบับล่าสุดเป็นสำนวนการประพันธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่รวบรวมสำนวนเก่าเข้าด้วยกัน และได้ประพันธ์เพิ่มเติมเข้าไป โดยอาศัยปะติดปะต่อเค้าโครงจากเรื่องราวของ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า พระเถระ และบุคคลอื่นๆ ที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆในพระไตรปิฎก อรรถกถา และปกรณ์อื่นๆมาเปรียบเทียบกัน ได้เป็น ปฐมสมโพธิ ๒๙ ปริจเฉท ที่รู้จักแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน มีเรื่องราวโดยย่อดังนี้

...ในสมัยพระพุทธศาสนาของพวกเรานี้ พระโพธิสัตว์เมตไตรยเกิดเป็นพระโอรสของพระนางกาญจนาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงติดตามพระราชบิดาไปฟังธรรมที่เวฬุวนาราม ทรงเลื่อมใสแล้วออกบวช และทรงศึกษาพระพุทธวจนะจนเชี่ยวชาญ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งที่ ๒ และประทับอยู่ที่นิโครธาราม ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตรมีต้องการถวายผ้าผืน ๒ ผืนที่ทรงกระทำขึ้นอย่างประณีตแด่พระพุทธเจ้า แต่ทรงปฏิเสธ ตรัสให้ถวายแก่สงฆ์ พระนางทรงเสียพระทัย ตรัสเล่าให้พระอานนท์ทราบ เพื่อขอให้กราบทูลถามสาเหตุที่ไม่ทรงรับ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสปาฏิบุคลิกทาน (ทานถวายเจาะจง) ๑๔ ประเภท และสังฆทาน (ทานถวายสงฆ์) ๗ ประเภท จบแล้วพระนางทรงโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงทรงถือผ้าคู่นั้นเข้าไปน้อมถวายพระอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูป แต่ไม่มีใครรับไว้เมื่อถึงลำดับ พระอชิตะผู้บวชใหม่นั่งลำดับสุดท้าย ทรงน้อมเข้าไปถวายพระอชิตะก็รับผ้าคู่นั้นไว้ ทำให้พระนางทรงโสมนัสน้อยพระทัยจนน้ำพระเนตรไหล คิดว่าตนเองมีบุญน้อยพระพุทธเจ้าทรงเห็นพระนางเสียพระทัย ดำริที่จะให้พระนางเกิดความโสมนัสในทาน จึงตรัสให้ท่านพระอานนท์ไปนำบาตรของพระองค์

มา ทรงรับแล้วอธิษฐานว่า “ขออย่าให้สาวกทั้งหลายได้บาตรนี้เลย แต่ให้อชิตภิกษุเท่านั้นได้บาตร” แล้วทรงโยนบาตรขึ้นไปในอากาศหายไป

พระเถระทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น กราบทูลขอไปนำบาตรกลับมา แล้วเหาะไปหาบาตร แต่ไม่มีใครพบบาตรเลย ตรัสให้พระอชิตะไปนำบาตรมา ท่านไปยืนนอกที่ประชุมแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “เราออกบวชเพราะใคร่จะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง และศีลของเราบริสุทธิ์ดี ขอให้บาตรของพระองค์จงลงมาประดิษฐานในมือของเราเถิด” เมื่อเหยียดมือออกบาตรก็ตกลงมาจากอากาศอยู่บนมือท่านแล้ว

พระนางทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย์นั้นแล้ว ทรงปีติโสมนัสว่า พระสงฆ์สาวกนี้มีพระคุณยิ่งเป็นอัศจรรย์ แม้แต่ผู้ใหม่ยังมีคุณวิเศษถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้น ผ้าคู่นี้ของเราก็ได้ชื่อว่าบูชาพระบรมศาสดาเหมือนกัน ทรงประนมหัตถ์ นมัสการลากลับไป

พระอชิตะรับผ้านั้นแล้ว ผืนหนึ่งได้นำมาทำเป็นเพดานบนพระคันธกุฎี อีกผืนหนึ่ง ฉีกออกเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่านห้อยลงใน ๔ มุมของเพดานผ้านั้น ท่านเห็นผ้าที่ห้อยลงมานั้นงามยิ่งนัก จึงเปล่งวาจาว่า

“การบูชาด้วยผ้านี้เป็นที่เจริญจิตยิ่งนัก ด้วยอานิสงส์แห่งวัตถุบูชานี้ เรามิได้ปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากพระโพธิญาณ เพื่อนำสัตว์ที่ยังยินดีอยู่ในราคะ โทสะ และโมหะ ให้พ้นสังสารวัฏ ตัดจากกิเลสทั้งปวงเข้าสู่พระอมตนิพพานในอนาคตกาลเท่านั้น”

พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เห็นแล้วจึงทูลถามเหตุ ที่ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า “ดูก่อนอานนท์ อันว่าอชิตภิกษุนี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย ในอนาคตแห่งภัทรกัปนี้”...

(นี่คือพุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ ที่แต่งขึ้นโดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

ซึ่งก็ไม่ได้ปรากฏชื่อของพระศรีอาริยเมตไตรย์แต่อย่างใด)

........................................................................................


ในพระไตรปิฎกไม่มีกล่าวถึงเรื่องของ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” ไว้เลย


ความจริงแล้ว ในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม ของเถรวาทเราไม่มีเรื่องของ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” อยู่เลย มีแต่พระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัส ถึงผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต ต่อจากพระองค์ คือ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ หรือ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า เท่านั้น

ดังปรากฏความในพระไตรปิฎกอยู่ ๒ แห่ง คือ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร ข้อที่ ๓๓-๕๐ ประมวลความโดยสังเขปได้ว่า

...เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว บุตรของมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ต่อมาเมื่อ อทินนาทาน ปาณาติบาต มุสาวาท ได้ถึงความแพร่หลายบุตรของมนุษย์ที่เคยมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุลดลงเรื่อยๆจาก ๘๐,๐๐๐ ปี ลดลงเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ ปี ๒๐,๐๐๐ ปี ๑๐,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๒๕๐-๒๐๐ ปี และ ๑๐๐ ปี ตามลำดับ

จะมีสมัยหนึ่งที่มนุษย์มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จะสมควรมีสามีได้ ในขณะที่มนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี มนุษย์จะไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด ต่างก็จะเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน จะมีการฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ กินเวลา ๗ วัน ครั้งนั้น มนุษย์บางพวกมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา จึงเข้าไปหลบซ่อนตามป่าหญ้า สุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ ตลอด ๗ วัน

เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกมาและมีความคิดอย่างนี้ว่า เราถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระนั้นเลยเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาจะงดเว้นจากปาณาติบาต จะสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม เขาจะเจริญด้วยอายุบ้างจะเจริญด้วยวรรณะบ้าง

เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปีจักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมี

อายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ป

...เมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้...”

และอีกแห่งหนึ่ง ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎกข้อที่ ๒๗ ความตอนหนึ่งว่า

“...ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระสิขีและพระเวสสภู ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกุกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ บัดนี้เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าและจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี้ ก็เป็นนักปราชญ์ อนุเคราะห์โลก บรรดาพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชาเหล่านี้ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าจักตรัสบอกมรรคานั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ แล้วจักเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก ฉะนี้แล”

เมื่อวิเคราะห์ความในพระพุทธพจน์ที่มีการตรัสถึง พระพุทธเจ้าพระนามว่าเมตตรัยแล้ว ในด้านของชื่อ ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดว่า ชื่อ “พระศรีอาริยเมตไตร” นั้นเริ่มต้นบัญญัติชื่อโดยใคร และมีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ในพระไตรปิฎกไม่มีปรากฏคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรย์ อย่างแน่นอน ส่วนในเรื่องของยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์นั้น ถ้าวิเคราะห์จากพุทธพยากรณ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว

มีคำถามว่า “เมื่อเราเปรียบเทียบยุคสมัยเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่แล้วกับเมื่อ ๕๐ ที่แล้ว และเมื่อ ๕๐ ปี ที่แล้วกับในยุคสมัยปัจจุบันนี้ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมของมนุษย์เรา นั้นเป็นไปในทางที่เป็นกุศลเจริญขึ้นหรือแย่ลง ?” คำตอบก็คือนับวันมันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงวิเคราะห์ได้ว่า ถ้าพุทธพยากรณ์นี้เป็นความจริง มนุษย์เราในยุคสมัยปัจจุบันนี้ก็คงจะกำลังอยู่ในช่วงขาลง กำลังอยู่ในช่วงที่เสื่อมศีลธรรม ไม่ได้อยู่ในยุคที่มนุษย์สมาทานกุศลธรรม และไม่ใช่ยุคที่มนุษย์เจริญไปด้วยศีลธรรมอย่างแน่นอน

ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในพุทธพยากรณ์และพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ว่า ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่า ศีลธรรมของมนุษย์เราในปัจจุบันนี้นั้นกำลังเจริญขึ้นหรือแย่ลงและอายุขัยของมนุษย์นั้นกำลังเพิ่มขึ้นหรือลดลงกันแน่ ถ้าความจริงคือศีลธรรมของมนุษย์เราในปัจจุบันนี้กำลังแย่ลง ยุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์นั้น ก็คงยังอีกยาวไกลนัก และสัญญาณที่จะบอกว่าใกล้ถึงยุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ ก็คือ เมื่อศีลธรรมของมนุษย์เจริญขึ้น ๆ อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้น ๆ เรื่อยๆ จากอายุขัยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ ๑๐๐ ปี เป็น ๑,๐๐๐ ปี เป็น ๑๐,๐๐๐ ปี เป็น ๒๐,๐๐๐ ปี เป็น ๔๐,๐๐๐ ปี และเป็น ๘๐,๐๐๐ ปี เมื่อมนุษย์เรามีอายุ ๒๐,๐๐๐ หรือ ๔๐,๐๐๐ ปีค่อยมาคิดที่จะคอยพบกับยุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ ก็ยังไม่สาย ที่สำคัญคือ อายุขัยที่เพิ่มขึ้นของมนุษย์ จะต้องมีเหตุมาจากความเจริญขึ้นของศีลธรรม ไม่ใช่มาจากเทคโนโลยีทางพันธุกรรม และมนุษย์ทุกคนจะต้องมีอายุปกติโดยเฉลี่ยเท่าๆกัน ไม่ใช่อายุยืนเฉพาะเศรษฐีบางคนที่มีเงิน มีทรัพย์ มีความสามารถที่จะไปใช้บริการ เทคโนโลยีทางพันธุกรรมได้เท่านั้น

เพราะฉะนั้นเงื่อนไขหลักๆของยุคพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าก็คือ

๑. ยุคนั้นอายุเฉลี่ยของมนุษย์โดยทั่วไป จะต้องมีประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี

๒. ยุคนั้นมนุษย์โดยทั่วไปจะต้อง งดเว้นปาณาติบาต สมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ

ถ้ายุคของพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้ามาถึง ก่อนที่อายุเฉลี่ยของมนุษย์โดยทั่วไปยังไม่ถึง ๘๐,๐๐๐ ปี พุทธพยากรณ์นี้ก็จะไม่เป็นความจริง

ถ้าอายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ศีลธรรมเสื่อมทรามลง พุทธพยากรณ์นี้ก็จะไม่เป็นความจริง หรือถ้าศีลธรรมเจริญขึ้น แต่อายุขัยของมนุษย์ลดลง พุทธพยากรณ์นี้ก็จะไม่เป็นความจริง เช่นกัน

ณ เวลานี้ ในเมื่อเรายังไม่รู้แน่ชัด ว่ายุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์นั้น จะยังอีกยาวนานสักกี่พันกี่หมื่นหรือกี่แสนปี แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ ลงมือทำเลยก็ได้ผลเลย เพราะใครก็ตามที่คิดดี พูดดี ทำดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ย่อมมีความสุขกายสุขใจในปัจจุบัน ถ้าชาติหน้ามีจริงสุคติก็เป็นอันหวังได้ ถ้าปฏิบัติตามมรรควิถี โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผล ก็เป็นอันหวังได้ ตลอดเวลา ไม่เห็นจะต้องรอให้ถึงยุคของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ ให้เมื่อยจิตเลย จริงไหมครับ


.........................................................................................

พระอชิตะเถระ

พระอชิตะเถระ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล

ไม่ใช่ผู้ที่จะมาเกิดเป็น พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า

กรณีของ "พระอชิตะเถระ" พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ที่มักถูกกล่าวอ้างว่าท่านคือผู้ที่จะมาเกิดเป็น พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า ในอนาคต กรณีนี้เมื่อสืบค้นดูในพระไตรปิฎกแล้วพบว่า ในพระไตรปิฎก มีปรากฏชื่อของ “พระอชิตเถระ” ในพระไตรปิฎกเพียง ๒ แห่งเท่านั้น คือ

ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา ข้อที่ ๑๕๗ อชิตเถรคาถา สุภาษิตเกี่ยวกับความตาย ความว่า

“เราไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความอาลัยในชีวิต จักเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ละทิ้งกายนี้ไป”

ซึ่งพระอชิตเถระท่านนี้ ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาตทุติยวรรค อชิตเถรคาถา (คลิ๊กเข้าไปดู) ได้อธิบายไว้ว่า เป็นพระอชิตเถระที่เป็นศิษย์เก่าของพราหมณ์พาวรี ซึ่งท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเช่นเดียวกัน

และอีกแห่งหนึ่งในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ ขุททกนิกาย อปทาน ข้อที่ ๔๐๒ อชิตเถราปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยผลแห่งการถวายประทีป ประมวลความโดยสังเขปได้ว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ พระอชิตเถระ ในชาตินั้นท่านเคยมีจิตเลื่อมใสโสมนัส ได้ตามประทีปถวายแด่พระพุทธเจ้าด้วยมือทั้งสองของตน ตลอด ๗ คืน ๗ วัน ต่อมาพระสมณะนามว่าเทวละ ผู้เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ได้พยากรณ์อนาคตของท่านไว้ว่า “...ในแสนกัลปแต่กัลปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้(พระอชิตเถร ในชาตินั้น)จักเป็นทายาทในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นิพพาน ยังพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมศากยบุตรให้ทรงโปรดปรานแล้ว จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าอชิตะ..."

และพระอชิตเถรได้กล่าวในตอนท้ายปทานนี้ว่า “...กรรมของเรานั้นสำเร็จประโยชน์ เรายังพระมหามุนีให้ยินดี วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ในกัลปที่แสนแต่กัลปนี้ เราได้ถวายประทีปใด ในกาลนั้นด้วยการถวายประทีปนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว”

จากความในพระไตรปิฎกทั้งสองแห่งดังกล่าว จะเห็นได้ว่าไม่ปรากฏว่ามีการกล่าวถึง “พระอชิตเถระ” ว่าจะมาเป็น “พระศรีอาริยเมตไตรย์ หรือ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์” อยู่เลย พระอชิตะเถระ ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกทั้ง ๒ ท่านนี้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า และสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ชาติหน้าและการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีได้อีก ถ้าสำเร็จพระอรหันต์แล้วยังเวียนว่ายตายเกิดได้อีก คำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องความหลุดพ้น เรื่องการไม่เกิดอีก และเรื่องนิพพาน ก็จะกลายเป็นความเท็จไป และจะเข้ากันได้กับคติความเชื่อของพราหมณ์ ที่เชื่อเรื่องวิญญาณอมตะ และความเชื่อเรื่องโมกษะ คือ ความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด โดยกลับไปรวมกับกายพรหม หรือปรมาตมัน ไปโดยปริยาย


.........................................................................................


อชิตมาณพ

อชิตมาณพ ไม่ใช่ผู้ที่จะมาเกิดเป็น พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า

"อชิตมาณวก" ที่ปรากฏใน อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ปารายนวรรค อชิตมาณวกปัญหานิทเทส ท่านนี้ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเช่นกัน แต่ในบาลีไม่มีชื่อของอชิตมาณวกปรากฏครับ อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่ยกมานี้ ไม่มีปรากฏการกล่าวถึงว่าทั้ง ๓ ท่านนี้ จะมาเกิดเป็นพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แต่อย่างใด จะมีก็แต่ "พระอชิตะ" ใน พระปฐมสมโพธิกถา ๒๙ ปริจเฉท ซึ่งเป็นวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส เท่านั้น ที่มีการกล่าวถึงว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แต่นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้น ประพันธ์ขึ้นมา เป็นวรรณคดี ไม่ใช่เรื่องที่มีมาในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกบาลี ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา หรือคัมภีร์ชั้นฎีกา แต่อย่างใด


.........................................................................................


พระเจ้าสังขะ

พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ แห่งเมืองเกตุมดีราชธานี

ไม่ใช่พระอชิตะเถระ และไม่ใช่ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า

กรณีของพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่ทรงพระนามว่า “พระเจ้าสังขะ” นั้น มักจะถูกนำมากล่าวอ้างว่าท่านคือผู้ที่จะมาเกิดเป็น พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า ในอนาคต กรณีนี้เมื่อสืบค้นดูในพระไตรปิฎกแล้วพบว่า ในพระไตรปิฎก มีปรากฏชื่อของ “พระเจ้าสังขะ” ในพระไตรปิฎกเพียง ๑ แห่งเท่านั้น คือ

ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร ข้อที่ ๔๘ ในพระสูตรเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ หรือพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า ปรากฏความดังนี้

[๔๘] “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน...พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ”

จากความที่ปรากฏดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่า พระเจ้าจักรพรรดิ์ที่ทรงพระนามว่า “พระเจ้าสังขะ”ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์นั้น จะเกิดในสมัยเดียวกันกับพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าในอนาคต และจะสละราชสมบัติ แล้วออกผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

ดังนั้นผู้ที่นำเอาเรื่องราวของ “พระอชิตะเถระ” พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เรื่องราวของพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่ทรงพระนามว่า “พระเจ้าสังขะ” มาปะติดปะต่อแต่งแต้มกันจนวิจิตรพิสดาร โดยบอกว่า พระอชิตะเถระในอดีต กับพระเจ้าสังขะในอนาคต จะได้เป็น พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า หรือที่ตั้งชื่อท่านเสียใหม่ว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย์” นั้น ล้วนแต่เป็นมุสาวาท ทั้งสิ้น จะด้วยหวังประโยชน์ประการใดก็ตาม


.........................................................................................


เรื่องราวของเด็กชายปลาบู่

สำหรับเรื่องราวของ เด็กชายปลาบู่ ที่ นายทองใบ คำสี ออกมาบอกเล่าให้ฟังจนผู้คนแตกตื่นกันทั้งบ้านทั้งเมืองนั้น ก็พิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ ที่ว่าเขื่อนภูมิพล จังหวัดตากจะแตก ตอนเวลายาม ๒ ของวันปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๕ นั้น ไม่เป็นความจริง จึงมีคำถามว่า

เด็กชายปลาบู่เคยมีชีวิตเคยมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ?

เด็กชายปลาบู่ระลึกชาติได้จริงหรือไม่ ?

คำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะเป็นจริงหรือไม่ ?

และ นายทองใบ คำสี พูดจริงหรือพูดเท็จ ?

และต่อมานายทองใบ พ่อของเด็กชายปลาบู่ออกมาบอกกับนักข่าวว่า เด็กชายปลาบู่บอกแค่เพียงว่าเป็นเวลายามสองของวันปีใหม่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นวันปีใหม่ของชาติใดนั้น สุดท้ายเมื่อวันปีใหม่ของทุกชาติในโลกผ่านไป ก็พิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ไม่เป็นความจริง

ส่วนเรื่องที่พ่อของเด็กชายปลาบู่อ้างว่า เด็กชายปลาบู่บอกว่าเคยเกิดเป็น รัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๘ นั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ครับ ในทางวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของคนจำอดีตชาติได้ตายแล้วเกิด เขาจะให้ความน่าเชื่อถือต่ำมากๆ ถึงไม่น่าเชื่อถือเลย สำหรับกรณีที่มีผู้อ้างว่าเป็นบุคคลสำคัญ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมาเกิด แต่ก็ยังมีเรื่องที่พอจะสามารถพิสูจน์ได้ เพราะมีหลักฐานข้อมูลอยู่พอสมควร ก็คือเรื่องที่พ่อของเด็กชายปลาบู่อ้างว่า เด็กชายปลาบู่บอกว่าเคยเกิดเป็นพระอชิตะ ในสมัยพุทธกาล และต่อไปจะมาเกิดเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ ซึ่งผมได้อธิบายพร้อมทั้งอ้างอิงหลักฐานยืนยันไว้เป็นที่ชัดเจนแล้วในข้างต้น ว่าเป็นแค่การนำเอาเรื่องราวที่มีผู้ประพันธ์ขึ้น มาบอกเล่าต่อๆกันแบบปากต่อปาก จนหลายๆคนเชื่อถือศรัทธา คิดว่าเป็นเรื่องจริง สุดท้ายก็มีผู้นำเรื่องราวเหล่านี้ไปแสวงหาประโยชน์กันอย่างโจ๋งครึ่มอีกจนได้

.........................................................................................


สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอถือโอกาสนี้ย้ำเตือนเป็นอุทาหรณ์ สำหรับพุทธศาสนิกชนผู้ที่หลงเชื่อถืออะไรโดยที่ไม่รู้ว่า ให้ยึดหลักกาลามสูตร หรือหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ซึ่งเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล ใน เกสปุตตสูตร มีอยู่ ๑๐ ประการ ได้แก่

๑. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา

๒. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา

๓. อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินว่าอย่างนี้

๔. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา

๕. อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง

๖. อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน

๗. อย่าได้ยึดถือโดยตรึกตามอาการ

๘. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตน

๙. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรเชื่อได้

๑๐. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเห็นว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ หรือสุดยอดเกจิอาจารย์ที่ไหนก็ตาม ให้ศึกษา เรียนรู้ พิสูจน์ ทดลองให้รู้ชัดถ้วนถี่เสียก่อน ค่อยเชื่อจะดีกว่า ความจริงย่อมคงทนต่อการพิสูจน์ ถ้าคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านเป็นจริง ไม่ว่าใครจะพิสูจน์ในแง่มุมไหนก็จะพบว่าเป็นความจริง จึงไม่ใช่เรื่องผิดที่จะสอบสวนและพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ หรือสุดยอดเกจิอาจารย์ที่ไหน ก่อนที่จะปลงใจเชื่อ เพราะ ผู้ที่เชื่อสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ย่อมได้ชื่อว่า “งมงาย” ส่วนผู้ที่ปฏิเสธสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ ก็ย่อมได้ชื่อว่า “โง่เขลา” เช่นกัน


........................................................................................


ตัวอย่างการสนทนาเกี่ยวกับข้อสงสัยในเรื่องนี้ที่น่าสนใจ

ก่อนหน้านี้ผมเคยโพสต์ข้อความเพื่อตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย์ กับพระอชิตะ ไว้ในเว็บบอร์ด

พลังจิต.com ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นโต้แย้งขึ้นมา ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงยกมาไว้ในที่นี้ให้ได้อ่านกัน

คือเมื่อผมโพสต์อธิบายเรื่องนี้ไปในเว็บบอร์ดพลังจิต ผมใช้ชื่อว่า TKKH บอกว่า

"บางคนที่ผิดปกติทางจิต สามารถสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมา และเชื่อมันได้อย่างสนิทใจ ตัวตนของเขายอมเปิดทางให้กับจินตนาการที่เพ้อเจ้อ และที่มาของมัน บางคนเชื่อจริงๆว่าตัวเองเป็นเจ้าแม่กวนอิมมาเกิด เชื่ออย่างสนิทใจ ทั้งคำพูดและการแสดงออกของเขามีความมุ่งมั่น จริงจัง จนพลอยให้คนอื่นๆเชื่อตามเขาไปด้วย เพราะฉะนั้นคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครเป็นโรคจิต ที่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองจินตนาการขึ้นมา หรือใครเป็นคนปกติที่พูดความจริง จนกว่าคุณจะได้พิสูจน์ สิ่งที่เขาพูด ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาให้ดี อย่าเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะผู้ที่เชื่อสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ ย่อมได้ชื่อว่า "งมงาย" ส่วนผู้ที่ปฏิเสธสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ ก็ย่อมได้ชื่อว่า "โง่เขลา" เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของ "พระศรีอาริยเมตไตรย์" ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า ชื่อ พระศรีอาริยเมตไตรย์นั้น ไม่เคยมีปรากฏในพระไตรปิฎกเลย ไม่รู้ที่มาด้วยซ้ำ ว่าใครเป็นผู้บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า "พระอชิตเถระ" ในสมัยพุทธกาล ท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว และจะไม่มาเกิดเป็น ร.๑ ร.๕ ร.๘ เด็กชายปลาบู่ หรือพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าได้อีก ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า "พระเจ้าสังขะ" ไม่ใช่ผู้ที่จะเกิดมาเป็นพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า ในอนาคต ถ้าท่านยังไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ก็ลองมาพิสูจน์ความจริง ตามที่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกกันดูนะครับ"

ก็มีผู้ที่ใช้ชื่อว่า karan 20 ได้แสดงความเห็นในเรื่องของพระอชิตะ ตอบโต้ผมขึ้นมาว่า

"ตามที่ท่านอ้างอิงมานั้น ชื่อเหมือนกันหรือชื่อซ้ำกัน แต่เป็นคนละท่านกัน อยากให้ท่านทำการบ้านและศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนก่อนจะโพสต์แสดงความรู้ เพราะการกระทำของท่านอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิด รับข้อมูลผิด ๆ ไปด้วย" พร้อมกับยกข้อความขึ้นมาว่า "พระศรีอาริยเมตไตรยมีระบุไว้ชัดเจนในทักขิณาวิภังคสูตร พระสุตตันตปิฎก"

โดยอ้างอิงที่มาจาก : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1449

ผมจึงเข้าไปค้นในพระสูตรที่คุณ karan 20 อ้างอิงขึ้นมาดังกล่าว ปรากฏว่า ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ทักขิณาวิภังคสูตร

ทักขิณาวิภังคสูตร : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=14&A=9161&w=ทักขิณาวิภังคสูตร_

"ผมไม่พบข้อความที่คุณ karan 20 นำมาอ้างอิงอยู่เลย ไม่มีชื่อของ พระอชิตะ ท่านไหนๆ อยู่ในพระสูตรนี้เลยด้วยซ้ำ ผมจึงขอให้คุณ karan 20 ช่วยหาแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือกว่านี้ให้หน่อย แล้วผมจะรอคำตอบ"

ต่อมา คุณ karan 20 ก็ได้โพสต์ตอบผมในวันต่อมาว่า

"ผมเพิ่งจะเข้าใจเจตนาของท่านครับ แต่เมื่อคืนไม่สะดวกตอบเพราะดึกมากแล้ว ตอนแรกคิดว่าท่านไม่ได้ศึกษามาก่อน ท่านอาจไม่รู้หรือเข้าใจผิด จึงชี้แจงไปอย่างรวบลัด เพิ่งจะเข้าใจว่าท่านเป็นผู้ศึกษามามาก ที่ต้องการอธิบายว่ามันไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎกต่างหาก ผมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง เป็นความผิดของผมเอง..."

แล้วก็แนบลิ้งค์อธิบายเรื่องนี้ตามที่เขาเข้าใจต่อไป และผมได้ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น....


........................................................................................

สำหรับเรื่องราวของ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ซึ่งเป็นชื่อและเรื่องราวที่มีการแต่งเติมขึ้นมาในภายหลังเหล่านี้ ต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบันนี้ มีผู้เชื่อถือศรัทธาเป็นจริงเป็นจัง ทั้งนำมาอ้างอิง และนำมาแสวงหาผลประโยชน์กันแล้วมากมาย ผู้เขียนจึงเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเผยแพร่และทำความเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องนี้กันเสียที จึงถือโอกาสนี้เขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อผู้ที่สนใจ หรือผู้ที่ยังติดใจสงสัย ได้ติดตามศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ให้ถูกต้องกันต่อไป

ขอความเจริญในธรรม จงมีแด่ผู้ที่มี "โยนิโสมนสิการ" ครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก

ธวัชชัย ขำชะยันจะ

เว็บมาสเตอร์

๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕