หลังปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้ายังมีอยู่หรือไม่
มีคำถามว่า หลังปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้ายังมีอยู่หรือไม่ ?
ลองมาวิเคราะห์พิจารณาจากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกกันดู ว่าหลังปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้ายังมีอยู่หรือไม่
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไม่นาน พระองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ดูกรอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่ จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้”
แต่พระอานนท์ไม่ได้ทูลถามว่า “สิกขาบทเล็กน้อย” ที่พระพุทธองค์ทรงบอกนั้นคือข้อใดบ้าง
เพราะเหตุนี้ ในการประชุมสังคายนาครั้งที่ 1 เมื่อพระอานนท์ได้แจ้งสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนที่จะปรินิพพานต่อพระเถระทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด 500 รูป ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันกันอย่างกว้างขวางในที่ประชุม
พระอรหันต์เถระบางพวกบอกว่า
“เว้นปาราชิก 4 นอกนั้นให้ถือเป็นสิกขาบทเล็กน้อย”
พระอรหันต์เถระบางพวกบอกว่า
“เว้นปาราชิก 4 เว้นสังฆาทิเสส 13 นอกนั้นให้ถือเป็นสิกขาบทเล็กน้อย”
พระอรหันต์เถระบางพวกบอกว่า
“เว้นปาราชิก 4 เว้นสังฆาทิเสส 13 เว้นอนิยต 2 นอกนั้นให้ถือเป็นสิกขาบทเล็กน้อย”
พระอรหันต์เถระบางพวกบอกว่า
“เว้นปาราชิก 4 เว้นสังฆาทิเสส 13 เว้นอนิยต 2 เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 นอกนั้นให้ถือเป็นสิกขาบทเล็กน้อย”
พระอรหันต์เถระบางพวกบอกว่า
“เว้นปาราชิก 4 เว้นสังฆาทิเสส 13 เว้นอนิยต 2 เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 เว้นปาจิตตีย์ 92 นอกนั้นให้ถือเป็นสิกขาบทเล็กน้อย”
พระอรหันต์เถระบางพวกบอกว่า
“เว้นปาราชิก 4 เว้นสังฆาทิเสส 13 เว้นอนิยต 2 เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 เว้นปาจิตตีย์ 92 เว้นปาฏิเทสนียะ 4 นอกนั้นให้ถือเป็นสิกขาบทเล็กน้อย”
อ้างอิง : เรื่องสิกขาบทเล็กน้อย (คลิ๊กอ่าน)
ปรากฏว่าในที่ประชุมของพระอรหันต์ทั้ง 500 รูป ซึ่งมีพระมหากัสสปะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์และเป็นองค์ปุจฉา (ถาม) มีพระอุบาลีเถระเป็นองค์วิสัชนา (ตอบ) พระวินัย และมีพระอานนท์เถระเป็นองค์วิสัชนาพระสูตร ไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับ “สิกขาบทเล็กน้อย” ได้ พระมหากัสสปะซึ่งเป็นประธานจึงกล่าวต่อพระเถระทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ปรากฏแก่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเป็นกาลชั่วคราว พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ ตราบใดสาวกเหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบนั้น เพราะเหตุที่พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายในบัดนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติ ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้วนี้เป็นญัตติ”
อ้างอิง : ญัตติทุติยกรรมวาจา (คลิ๊กอ่าน)
คือสรุปว่าให้รักษาสิกขาบททั้งหมดที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ โดยไม่ตัดข้อใดออกเลย ซึ่งเป็นสิกขาบทที่พุทธศาสนานิกายเถรวาทรักษาให้คงไว้ดังเดิมทั้งหมดจนถึงทุกวันนี้
เพราะเหตุเกี่ยวกับ “สิกขาบทเล็กน้อย” ที่พระอานนท์ไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนนี้เอง ทำให้ในครั้งนั้นพระเถระ
ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้ง 499 รูปมีมติให้ปรับอาบัติทุกกฎกับพระอานนท์ ที่ไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ศาสนาพุทธแบ่งแยกออกเป็น 2 นิกายใหญ่ๆคือ นิกายเถรวาท และ นิกายมหายาน และแตกออกเป็นนิกายย่อยๆอีก 200 กว่านิกายมาจนถึงทุกวันนี้
มีคำถามว่า
“ถ้าหลังจากปรินิพพานไปแล้ว พระพุทธเจ้ายังมีอยู่ ยังปรากฏอยู่ ยังเห็นได้อยู่ ยังพูดคุยได้อยู่ ยังเข้าทรงได้อยู่ ยังขึ้นไปถวายข้าวทิพย์ได้อยู่ ทำไมพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง และเป็นเอตทัคคะ(เป็นเลิศ)ในทางผู้ทรงธุดงค์ พระอุบาลี ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง และเป็นเอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย พระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์และเป็นเอตทัคคะในทางผู้เป็นพหูสูต และพระอรหันต์อีก 497 รูป จึงไม่มีท่านใดไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า “สิกขาบทเล็กน้อย” ที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์นั้นหมายถึงสิกขาบทข้อใดบ้าง ?”
แล้วคนที่อ้างว่าพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ ยังปรากฏอยู่ ยังเห็นได้อยู่ ยังพูดคุยได้อยู่ ยังเข้าทรงได้อยู่ ยังขึ้นไปถวายข้าวทิพย์ได้อยู่ เป็นใครกัน ทำไมจึงเหนือกว่าพระอรหันต์อย่างพระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอานนท์ และพระอรหันต์อีก 497 รูปไปได้
........................................................
ยังมีพระพุทธพจน์ที่น่าสนใจที่ปรากฏ ในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตร ความว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวงมะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งที่ติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ฉันใดดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพชาติแล้วก็เหมือนฉันนั้น ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าดังนี้ว่า
“น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้”
อ้างอิง : พรหมชาลสูตร / ข้อที่ 90 (คลิ๊กอ่าน)
เกี่ยวกับพระพุทธพจน์ในพระสูตรนี้ มีบางท่านแย้งว่า พระอรหันต์ ถือเป็นวิสุทธิเทพ ไม่ใช่เทวดา สามารถเห็นได้ คือพยายามจะบอกว่า ตัวเอง เจ้าสำนักของตัวเอง หรือคนที่อ้างว่า พระพุทธเจ้ายังมีอยู่ ยังปรากฏอยู่ ยังเห็นได้อยู่ ยังพูดคุยได้อยู่ ยังเข้าทรงได้อยู่ ยังขึ้นไปถวายข้าวทิพย์ได้อยู่ นั้นเป็น “พระอรหันต์” เป็น “วิสุทธิเทพ” เหนือกว่าเทวดาทั่วไปที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง จึงสามารถเห็น พูดคุย หรือไปถวายข้าวทิพย์พระพุทธเจ้าได้อยู่
เอาเถอะครับ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ก็ยังมีคนอุตส่าห์เห็นแย้งได้อีก สำหรับผู้เขียนเองขอถือเอาตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วว่า พระสูตรนี้ถือเป็น พิชัยสงครามอันยอดเยี่ยม ที่จะเอาชนะ “มิจฉาญาณ” คือ ความรู้ที่ผิด หรือ ความเข้าใจที่ผิดไปจากความจริง ของผู้ที่ได้อภิญญา 5 ญาณสมาบัติ 8 ซึ่งเป็นของปุถุชน แล้วเอามาสั่งสอนมาบัญญัติ ความเห็นความเชื่อผิดๆ ให้กับสาวกและผู้อื่นได้
.......................................................
อีกพระพุทธพจน์หนึ่ง เกี่ยวกับผู้ที่ได้ “อภิญญา 5” “ญาณสมาบัติ 8” สามารถแสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ หายตัวได้ ทำคนเดียวให้เป็นหลายคนได้ ไปสวรรค์ ไปนรกได้ ทายใจคนได้ รู้อดีต ทำนายอนาคตได้ ฯลฯ ว่า ไม่พึงกำหนดแม้ทิฏฐิในโลก เพราะอภิญญา 5 และ ญาณสมาบัติ 8 ซึ่งเป็นของปุถุชนไม่ใช่ของพระอริยบุคคลนั้น ยังกอปรด้วย “มิจฉาญาณ” คือ ความรู้ที่ผิด หรือ ความเข้าใจที่ผิดไปจากความจริงได้ ดังปรากฏในพระพุทธพจน์ ความว่า
“ภิกษุไม่พึงกำหนดแม้ทิฏฐิในโลก ด้วยญาณหรือแม้ด้วยศีลและวัตร ไม่พึงนำเข้าไปซึ่งตนว่า เสมอเขา ไม่พึงสำคัญตนว่าเลวกว่าเขาหรือแม้ว่าวิเศษกว่าเขา"
“คำว่า ภิกษุไม่พึงกำหนดแม้ทิฏฐิในโลกด้วยญาณ หรือแม้ด้วยศีลและวัตรมีความว่า ภิกษุไม่พึงกำหนดซึ่งทิฏฐิ คือ ไม่พึงให้เกิด ไม่พึงให้เกิดพร้อม ไม่พึงให้บังเกิดไม่พึงให้บังเกิดเฉพาะ ด้วยญาณในสมาบัติ ๘ ด้วยญาณในอภิญญา ๕ ด้วยมิจฉาญาณ ด้วยศีล ด้วยวัตร หรือด้วยศีลและวัตร คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุไม่พึงกำหนดแม้ในทิฏฐิในโลก ด้วยญาณ หรือแม้ด้วยศีลและวัตร”
อ้างอิง : ปรมัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๕ (คลิ๊กอ่าน)
ตัวอย่างของผู้ที่ได้ อภิญญา 5 ญาณสมาบัติ 8 สามารถแสดงฤทธิ์ได้แต่ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ยังตกนรกได้อยู่ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “พระเทวทัตต์” ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์ให้พระเจ้าอชาตศัตรูได้ประจักษ์ จนพระเจ้าอชาตศัตรูเชื่อคำสอนของพระเทวทัตต์มากกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงขนาดฆ่าพระบิดาของตัวเองได้ หรือแม้แต่พระสารีบุตรก็เคยกล่าวชมพระเทวทัตต์ว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอนุภาพมาก ถึงแม้ว่าพระเทวทัตต์จะสามารถแสดงฤทธิ์ได้ แต่พระเทวทัตต์ก็ไม่ได้เป็นแม้แต่พระอริยบุคคลขั้นต่ำสุดอย่างพระโสดาบัน เพราะเทวทัตต์ยังตกต่ำได้อยู่ ยังถูกธรณีสูบได้อยู่ และยังตกนรกได้อยู่
เพราะฉะนั้น การที่พระสงฆ์หรือบุคคลที่ได้ อภิญญา 5 ญาณสมาบัติ 8 สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า พระสงฆ์หรือบุคคลนั้น จะสำเร็จเป็นอริยบุคคลทั้ง 4 คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ แต่อย่างใด
..........................................................
บางท่านยกพระพุทธพจน์ความว่า “ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม” ขึ้นมา
อ้างสำหรับเรื่องนี้ลองพิจารณาความในพระสูตรเหล่านี้ดูนะครับ
"ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท"
อ้างอิง : มหาหัตถิปโทปมสูตรที่ ๘ (คลิ๊กอ่าน)
"ผู้ใดเห็นธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ ผู้นั้นย่อมเห็นทุกข์ด้วย ย่อมเห็นเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ด้วย ย่อมเห็นปฏิปทาอันให้
ถึงธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ "
อ้างอิง : อนุปุพพาภิสมยกถา (คลิ๊กอ่าน)
ความใน วักกลิสูตร
วักกลิ : พระเจ้าข้า จำเดิมแต่กาลนานมาแล้วข้าพระองค์ประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แต่ว่าใน
ร่างกายของข้าพระองค์ไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้.
พระพุทธเจ้า : อย่าเลย วักกลิร่างกาย(ของพระพุทธเจ้า)อันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร ?
ดูกรวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม...
อ้างอิง : วักกลิสูตร (คลิ๊กอ่าน)
มีคำถามว่า
เห็นธรรมคือเห็นอย่างไร ? ธรรมหน้าตาเป็นอย่างไร ?
เห็นปฏิจจสมุปบาทเห็นได้อย่างไร ? ปฏิจจสมุปบาทหน้าตาเป็นอย่างไร?
เห็นทุกข์เห็นได้อย่างไร ? ทุกข์หน้าตาเป็นอย่างไร ?
พระอรหันต์อย่างพระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอานนท์และพระอรหันต์อีก 497 รูป ที่ร่วมประชุมสังคายนา
ครั้งที่ 1 ถือว่าเป็นผู้เห็นธรรมหรือไม่ แล้วทำไมท่านเหล่านี้จึงไม่เห็นพระพุทธเจ้าทำไมไม่ไปถามพระพุทธเจ้า
ว่า "สิกขาบทเล็กน้อย" นั้นมีข้อใดบ้าง ?
จากความใน "วักกลิสูตร" พระภิกษุที่ชื่อ "วักกลิ" อาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ท่านให้ภิกษุผู้อุปัฏฐากไปขอประทาน
วโรกาส ขอทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้เสด็จเข้าไปหาท่านถึงที่อยู่ พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงทรงเสด็จเข้าไปหาท่านพระวักกลิถึงที่อยู่ พระวักกลิบอกกับพระพุทธเจ้าว่า ทีแรกท่านเองอยากจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ร่างกายไม่มีกำลังพอที่จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"อย่าเลย วักกลิ ร่างกาย(ของพระพุทธเจ้า)อันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้จะมีประโยชน์อะไร ดูกรวักกลิผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม"
ความหมายก็คือ ถ้าพระวักกลิรักษาศีลไม่บกพร่องปฏิบัติตามคำสอน ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยดีแล้วจะมีความรำคาญและมีความเดือดร้อนอะไรจะอยากมาเข้าเฝ้าหรืออยากมาเห็นพระพุทธเจ้าทำไม เพราะผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน "ร่างกาย(ของพระพุทธเจ้า)อันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร" สู้ปฏิบัติตามคำสอน ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จะดีกว่า
นี่คือที่มาที่ไปและความหมายของพุทธพจน์ดังกล่าว ถ้าทุกท่านได้อ่านพระสูตรนี้ทั้งหมดแล้วลองพิจารณาดูจะเห็นความหมายที่แท้จริงของพระพุทธพจน์ดังกล่าวเองละครับ
....................................................
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนคงจะสงสัยว่า ถ้าหลังปรินิพพานพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่แล้ว
ตกลงนิพพานคืออะไร ? ความดับโดยรอบ หรือ ปรินิพพานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
นิพพานคืออะไร ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงนิพพาน ดังปรากฏใน ธาตุสูตร1 ความว่า
“ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น2 ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล ฯ"
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
"นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ พระตถาคต ผู้มีจักษุ ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่าอนุปาทิเสส
ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ”
.........................................
สรุปก็คือนิพานมี 2 อย่าง คือ
1. "สอุปาทิเสสนิพพาน" คือ นิพพาน ของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ ราคะ โทสะ โมหะ สิ้นไปแล้ว แต่ยังมีขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณอยู่ ยังมีอารมณ์ที่พึงพอใจ
และไม่พึงพอใจกระทบได้อยู่ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเสมือนบุรุษที่ถูกยิงด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แต่อีกดอกหนึ่งพลาดไป
คือยังสามารถมีทุกข์ทางกายได้ แต่ไม่มีทุกข์ทางใจ3 ยังมีกรรม(กายกรรมวจีกรรม และมโนกรรม)และกรรมยังให้ผลได้อยู่
(พระมหาโมคคัลลานะถูกโจรทุบตีจนต้องละสังขารเพราะกรรมที่ฆ่าพ่อแม่ในอดีตชาติ4 พระพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตต์กลิ้งหิน
ลงมา จนพระบาทห้อเลือด เพราะกรรมในอดีตชาติที่เคยฆ่าพระเทวทัตต์5)
2. “อนุปาทิเสสนิพพาน” คือ นิพพาน ของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานไปแล้ว (ตายไปแล้ว)เป็นความหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง6
............................................................
1 อ้างอิง ธาตุสูตร นิพพาน 2 :http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=25&A=5245&w=นิพพานธาตุ_๒_ประการ
2,6 คำว่า จัก(ดับ)เย็น บาลีว่า สีติภวิสฺสนฺติ อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายว่า “บทว่า สีติภวิสฺสนฺติ ได้แก่จักเย็นด้วยความสงบส่วนเดียว ได้แก่ความสงบระงับความกระวนกระวายในสังขาร คือจักดับด้วยการดับอันไม่มีปฏิสนธิ. มิใช่เพียงเวทนาอย่างเดียวเท่านั้นจักดับ แม้ขันธ์ ๕ ทั้งหมดในสันดานของพระขีณาสพก็จักดับ”
อ้างอิง อรรถกถา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=222
3 อ้างอิง พระไตรปิฎกเล่มที่ 18 ข้อ 371-372 เปรียบเสมือนบุรุษที่ถูกยิงด้วยลูกศร : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=18&A=5583&w=%C2%D4%A7%AB%E9%D3%BA%D8%C3%D8%C9%B9%D1%E9%B9%B4%E9%C7%C2%C5%D9%A1%C8%C3
4 กรรมที่พระมหาโมคคัลลานะ ถูกโจรทุบตี : http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=20&p=7
5 กรรมที่ ในอดีตชาติพระพุทธเจ้าเคยฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=32&A=7878&w=%C5%A7%E3%B9%AB%CD%A1%E0%A2%D2
..........................................................
นิพพานมีไวพจน์(มีชื่อเรียก)หลายชื่อ ดังคำที่พระอัสสชิเถระกล่าวไว้ว่า
"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุพระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น"
อ้างอิง : พระอัสสชิเถระแสดงธรรม (คลิ๊กอ่าน)
จากคำของพระอัสสชิเภระ แปลความได้ว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุปัจจัย นิพพานคือความดับแห่งเหตุปัจจัยนั้น เพราะเหตุนี้นิพพานจึงได้ชื่อว่า ความดับแห่งอวิชชา ความดับแห่งสังขาร ความดับแห่งวิญญาณ ความดับแห่งนามรูป ความดับแห่งสฬายตนะ ความดับแห่งผัสสะ ความดับแห่งเวทนา ความดับแห่งตัณหา ความดับแห่งอุปาทาน ความดับแห่งภพ ความดับแห่งชาติ ความดับแห่งชรา มรณะ โสกะ ปรเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส หรือไวพจน์อื่น ตามนัยนี้ เช่น
อเสสโต วิราโค (ความสำรอกโดยไม่เหลือ) , นิโรโธ (ความดับ) , จาโค (ความสละ) , ปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืน) , มุตฺติ (ความพ้น) , อนาลโย (ความไม่มีอาลัย) , ราคกฺขโย (ความสิ้นราคะ) , โทสกฺขโย (ความสิ้นโทสะ) , โมหกฺขโย (ความสิ้นโมหะ) , ตณฺหกฺขโย (ความสิ้นตัณหา) , อนุปฺปาโท (ความไม่เกิดขึ้น) , อปฺปวตฺตํ (ความไม่เป็นไป) , อนิมิตฺตํ ( ความไม่มีเครื่องหมาย) , อปฺปณิหิตํ (ความไม่มีที่ตั้ง) , อนายูหนํ (ความไม่พยายาม) , อปฺปฏิสนฺธิ (ความไม่มีปฏิสนธิ) , อปฺปฏิวตฺติ (ความไม่กลับเป็นไป) , อคติ (ความไม่มีคติ) , อชาตํ (ความไม่เกิด) , อชรํ (ความไม่แก่) , อพฺยาธิ (ความไม่เจ็บ) , อมตํ (ความไม่ตาย) , อโสกํ (ความไม่มีโศก) , อปริเทวํ (ความไม่มีปริเทวะ) , อนุปายาสํ (ความไม่มีอุปายาส) , อสํกิฏฺฐ ํ (ความไม่เศร้าหมอง)
อ้างอิง : ธรรมที่เป็นไวพจน์พระนิพพาน
หรือ อสังขตะ อันตะ อนาสวะ สัจจะ ปาระ นิปุณะ สุทุทฺทสะ อชัชชระ ธุวะ อปโลกินะ อนิทัสสนะ นิปปปัญจะ สันตะ อมตะ ปณีตะ สิวะ เขมะ ตัณหักขยะ อัจฉริยะ อัพภุตะ อนีติกะ อนีติกธรรม นิพพานะ อัพยาปัชฌะ วิราคะ สุทธิ มุตติ อนาลยะ ทีปะ เลณะ ตาณะ สรณะ ปรายนะ เป็นต้น
อ้างอิง : อสังขตสังยุตต์ วรรคที่ ๒
..............................................................
อะไรเป็นเหตุปัจจัยแก่ ปฏิสนธิจิต และ จุติจิต?
คำตอบก็คือ “กรรม” เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจุติจิตและปฏิสนธิจิต
กรรม คืออะไร ?
"กรรม" คือ ความเคลื่อน ความไหวความเปลี่ยนแปร และความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก กมฺมุนา วตฺตตี ปชา แปลว่า โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม”
อ้างอิง : วาเสฏฐสูตรที่ ๙ (คลิ๊กอ่าน)
คำว่า "โลก" ในพระพุทธพจน์นี้ไม่ได้หมายความเฉพาะสัตว์โลกเท่านั้น แต่หมายรวมถึง โอกาสโลก(ช่องว่างอวกาศ)
และ สังขารโลก(อุปาทินกสังขาร คือ สังขารที่มีใจครอง และ อนุปาทินกสังขาร คือ สังขารที่ไม่มีใจครอง) ด้วย ซึ่งอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก ก็สงเคราะห์ลงใน 3 โลกดังกล่าวข้างต้นนั้นด้วย เพราะเหตุนี้ความหมายของคำว่า "กรรม" จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือ ความคิด คำพูด และการกระทำ หรือ ความเคลื่อน ความไหว ความเปลี่ยนแปร และความเป็นไปของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เริ่มต้นจาก "เจตนา" เท่านั้น แต่หมายรวมถึง ความเคลื่อน ความไหว ความเปลี่ยนแปร และความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งหลายด้วย
..............................................................
เกิดดับอย่างไร และ ปรินิพพานได้อย่างไร ?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อนว่าตัวตนเราเขานั้นมันไม่มีมาตั้งแต่แรก...มันเป็นการประกอบกันขึ้นประชุมกันเข้าของ ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
รูปก็มีการเกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจิตหรือวิญญาณก็มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน จิตหรือวิญญาณดวงก่อน
เช่น จักขุวิญญาณ กับ โสตวิญญาณ เป็นคนละอย่างเป็นคนละดวงกัน ไม่ใช่ดวงเดิม ไม่ใช่ดวงเดียวกัน
ดับอย่างไร เกิดอย่างไร ?
ตัวอย่างของการเกิดดับชั่วขณะจิต เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เจตนาและอารมณ์ตั้งอยู่ที่รูปที่มากระทบตา จักขุวิญญาณ(ความรู้
อารมณ์ในรูป)จึงเกิดขึ้น เมื่อเจตนาและอารมณ์เคลื่อนไป(กรรม)เสียจากรูปจักขุวิญญาณก็ดับ(จุติจิต) เมื่อเจตนาและอารมณ์
เคลื่อนไป(กรรม)ตั้งอยู่ที่เสียงที่มากระทบหู โสตวิญญาณจึงเกิดขึ้น(ปฏิสนธิจิต)
เพราะเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า “กรรม” คือความเคลื่อนความไหว ความเปลี่ยนแปร และความเป็นไปของเจตนาและอารมณ์ เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยให้เกิด “จุติจิต” และ “ปฏิสนธิจิต”
พระอรหันต์ปรินิพพานได้อย่างไร ?
เมื่อจิตสุดท้ายของพระอรหันต์(จริมจิต)ดับตายไปในขณะที่ไม่มีกรรม(หมายเอาภาวะจิตที่เป็นอาเนญชาภิสังขารหรือภาวะจิตที่มั่น
คงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน) ตายในขณะที่ความปรุงแต่งทางใจไม่เคลื่อนไม่ไหว ไม่มีเจตนา ไม่มีกรรม เมื่อไม่มีเจตนา ไม่มี
กรรมเป็นเหตุปัจจัย “ปฏิสนธิจิต” หรือ "ปฏิสนธิวิญญาณ" หรือจิตดวงใหม่ย่อมไม่สามารถเกิดมีขึ้นมาได้อีก จึงถึงซึ่งความดับโดย
รอบ หรือ “ปรินิพพาน”
พระพุทธองค์ก็ทรงปรินิพพานที่ฌาน 4 หรือจตุตถฌานนี่เอง...
เพราะฉะนั้นปรินิพพานมันไม่มีอะไรหรือใครไปไหน...กล่าวได้แค่เพียงว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ" เท่านั้นเองครับ
ฝากไว้ให้ทุกท่านได้ใช้โยนิโสมนสิการพิจารณา เพียงแค่นี้ก็คงจะพอมีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แล้ว
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ผู้ที่มีโยนิโสมนสิการครับ
ธวัชชัย ขำชะยันจะ
ผู้เขียน / เว็บมาสเตอร์
27 ตุลาคม 2557