** เมื่อมีผู้มาทดสอบพระยาธรรม **
ถือว่าเป็นโอกาสดีมากวันหนึ่ง ที่ข้าพระพุทธเจ้าและท่านทุกๆคน ที่พวกเราก็ได้ฟังธรรม เรียนรู้ธรรมะมาเป็นเวลาประมาณราวๆ 10 กว่าวันแล้ว แล้วก็วันนี้เกิดข้อสงสัยอยู่ในจิตของข้าพระพุทธเจ้าเอง ซึ่งในขณะที่ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยก็คงจะมีหลายๆคนในที่นี้ ที่ก็แอบสงสัยเหมือนที่ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยเช่นเดียวกัน
วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะขอขึ้นเข้าเฝ้าต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนอบน้อมทูลถามถึงคำถาม สิ่งที่ติดขัดอยู่ในใจของข้าพระพุทธเจ้า และคงจะติดอยู่ในใจของบางคน ที่มีข้อสงสัยเหมือนกันกับข้าพระพุทธเจ้าที่สงสัยอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ
“ ข้าแต่องค์พระบิดาพระเจ้าค่ะ บัดนี้ลูกได้เกิดความสงสัยขึ้นมาในจิตนี้ว่า ในกายที่พระองค์ให้ลูกมาอยู่นี้ ไม่ได้มีการเตรียมการเล่าเรียนศึกษาทางธรรมะมาเลย แม้กระทั่งพระคัมภีร์ หรือศีลข้อต่างๆ สิ่งใดที่ควรทำ ไม่ควรทำของนักบวช พระคัมภีร์ก่อเกิดมาแต่ใด และมีอะไรบ้างที่ทรงได้บัญญัติเอาไว้ทั้งหมด และข้าพระพุทธเจ้าเองในกายของสตรีนี้ ยังขาดการอ่านหนังสือ ที่จะเล่าเรียนเพื่อให้ก่อเกิดความจำ หรือรู้ในพระธรรมคำสอนที่ได้ทรงบันทึกเอาไว้แล้วนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงเกิดข้อสงสัยในใจขึ้นมาว่า หากแต่ข้าพระพุทธเจ้าประกาศคำสอนของพระองค์ออกไปแล้วนั้น เมื่อได้ประกาศออกไป แน่ใจว่า จะต้องคนที่คิดหรือจะต้องมาทดสอบข้าพระพุทธเจ้า ในทุกรูปแบบ
แต่ในรูปแบบที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ข้องใจ และติดอยู่ในใจของข้าพระพุทธเจ้าจะทรงแก้ไข หรือว่าจะตอบแก่เขาเหล่านั้นว่าอย่างไร เมื่อหากคนใดคนหนึ่งมาถามแก่ข้าพระพุทธเจ้า ถึงเรื่องพระคัมภีร์ หรือคำศัพท์ที่แปลมาจากภาษาบาลีทั้งหลาย ซึ่งข้าพระพุทธเจ้านั้น ปัจจุบันนี้ไม่มีความจำอะไรที่จะไปจำอะไรได้เลย แม้แต่กาลเวลาที่ผ่านไปแล้ว หรือเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว ส่วนต่างๆที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป ข้าพระพุทธเจ้าจะจำอะไรไม่ได้เลย หรืออาจจะจำได้บ้างก็น้อยมาก และหากจะไปเล่าเรียนศึกษาใหม่ ก็คงจะไม่มีความจำอะไรที่จะมาเก็บข้อมูลทั้งหลายนั้นเอาไว้ เพื่อตอบกับผู้คนเหล่านั้น ที่จะผ่านเข้ามาเพื่อทดสอบข้าพระพุทธเจ้าก็ดี ในการที่จะมาสอบภาษาบาลี พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้วนั้น เมื่อข้าพระพุทธเจ้าพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าควรที่จะกล่าว หรือแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร ? หากเขาผู้นั้นถามข้าพระพุทธเจ้า เช่นว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าต่อพระองค์ได้จริง ข้าพระพุทธเจ้าย่อมต้องรู้ว่ามันคืออะไร นั่นคือสิ่งใด แล้วข้าพระพุทธเจ้าจะมีคำตอบเช่นไร ในเมื่อส่วนหนึ่งของกายมนุษย์ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้รับมานั้น ได้รับสัญญาณหรือเข้าเฝ้าต่อพระองค์ได้เฉพาะบางเรื่องที่พระองค์ทรงเมตตาแก่ข้าพระพุทธเจ้า แล้วข้าพระพุทธเจ้าจะทำเช่นไรล่ะพระเจ้าค่ะ “
“ พระยาธรรมเอ๋ย เมื่อคำถามของเจ้านั้นได้ทูลถามขึ้นมาแล้ว คำตอบในส่วนหนึ่งก็อยู่ในคำถามนั้น เพราะเราจะให้พระธรรมคำสอนแก่เจ้าเพียงเท่าที่เราปรารถนาจะให้เจ้าเป็นผู้เผยแผ่ และการที่เจ้าไม่ได้มีความรู้ เล่าเรียนมาในตำรา ศึกษามามากมายนั้น เจ้าอย่าเป็นห่วงเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการวางแบบ และจัดเอาไว้ให้เจ้าทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า หรือเจ้าจะพบเจอกับสิ่งใด ขอเพียงให้เจ้าตั้งใจภาวนา และทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด ตามแบบอย่างของเจ้าที่ควรจะกระทำ ทุกอย่างนั้น เบื้องบนได้ลิขิตเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ผู้ที่จะเข้ามาสอบเจ้า ก็คือ ผู้ที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
ฉะนั้น เจ้าจงอย่าพะวงและนึกถึงสิ่งใดเลย นอกจากทำหน้าที่ของเจ้าในวันนี้ให้ดีที่สุด ตนมีหน้าที่อะไรก็จงตั้งใจทำไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการจัดเอาไว้ทั้งหมด เจ้าจงเชื่อเถิดว่า คนที่ทำความดี บริสุทธิ์ ย่อมที่จะมีทางออกได้ ในที่สุด คนที่ไม่ปรารถนาดี มีจิตอิจฉาริษยา มีความอยากรู้อยากลอง จิตนั้นย่อมพ่ายแพ้ต่อความบริสุทธิ์ของเจ้า เจ้าจงแสดงให้มนุษย์ได้เห็นเถิด ความบริสุทธิ์ย่อมที่จะชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นจริง
หากเช่นนั้นวันนี้เราจะแสดงธรรมะหนึ่งแก่เจ้า หากมีคนผ่านเข้ามา และถามถึงพระธรรมคำสอน หรือพระคัมภีร์ที่ถูกบัญญัติเอาไว้แล้วแก่เจ้า และยังตอบหรือบอกกับเจ้าอีกว่า ถ้าท่านเข้าเฝ้าองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริง ท่านย่อมรู้ว่านี่คือสิ่งใด เราก็จะจัดสรร และให้คำตอบแก่เขาเองดังนี้ว่า ท่านเรียนรู้ในพระคัมภีร์มา ศึกษาในพระธรรมคำสอนที่ถูกบันทึก บัญญัติเอาไว้ตั้ง 2 พันกว่าปีแล้ว มนุษย์ผู้ใดคือคนที่เขียนเอาไว้ บันทึกเอาไว้ ท่านรู้จักเขาหรือไม่ ท่านเคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ท่านเคยได้ฟังคำสอนจากพระองค์เองหรือไม่ แล้วเพราะเหตุใดท่านจึงเชื่อว่า คำสอนเหล่านี้มาจากพระพุทธเจ้าจริง และเพราะเหตุใดท่านจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ในส่วนที่ได้บัญญัติเอาไว้แล้ว มานานกว่า 2 พันกว่าปี ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีค่าแก่เรา หากว่าความเชื่อของเรานั้น เชื่อว่ามันเป็นจริง ดังเช่นท่านเองที่ศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์มา ไม่ว่าจะมีคำสอนเยอะเท่าไหร่ จะมีกี่บท กี่เนื้อหา ท่านก็จะจำเอาไว้ทั้งหมด เพราะท่านมีแค่พลังความศรัทธา ว่านั่นคือสิ่งที่ดี และนั่นคือ คำสอนของเรา นั่นคือ สิ่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้ดีอยู่แล้ว
ดังเช่นวันนี้ หากท่านหยิบก้อนหินขึ้นมาสักก้อนหนึ่ง หากท่านเห็นว่ามีค่า มันก็จะมีค่ากับท่าน และหากท่านเห็นว่ามันไม่มีค่า มันก็จะไม่มีค่ากับท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณค่าทางจิตใจ คนเราถ้าเห็นทรัพย์สินเงินทอง เป็นสิ่งมีค่า ก็จะยอมทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมัน แต่หากเป็นผู้มีสติปัญญาที่อยู่เหนือมันได้แล้วนั้น ย่อมเห็นมันเป็นเพียงแค่ก้อนหิน ยิ่งกว่านั้น ยิ่งเห็นมันก็ยิ่งที่จะมองข้ามไป ยิ่งเห็นความทุกข์ และไม่ปรารถนาที่จะมีมันด้วยซ้ำไป
หากท่านเป็นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนธรรมะมา และจำพระธรรมคำสอนได้ในทุกคำแปลทุกคำ ฉะนั้น ในคำสอนของเราไม่เคยสอนแก่ใคร เพื่อให้ไปทดสอบใคร หรือให้ไปลองกับใคร นอกจากให้ใช้สติปัญญาพิจารณาในส่วนที่ได้รับมานั้น ว่าถูกต้องหรือไม่ นี่คือคำสอนของเรา** ที่ได้สอนเอาไว้ให้ดูตัวเอง ไม่ให้ดูผู้อื่น ให้กระทำให้ดี ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น** แล้วคำสอนที่พระยาธรรมได้สอนสั่งไปนั้น มีคำสอนใดเล่าที่ผิดกับพระคัมภีร์ แล้วท่านเองปรารถนาสิ่งใดเล่า หากท่านมีศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของเราจริงหรือไม่ ท่านก็จะเป็นสุขและนำคำสอนนั้น ไปใช้ในชีวิตของท่าน เพราะเป็นคำสอนที่ไม่ได้ผิดสิ่งใด แต่หากท่านกระทำเช่นนั้นแล้ว ท่านยังมั่นใจหรือเปล่า ว่าท่านยังเป็นคนของเราอยู่หรือไม่ ท่านจงมองดูตัวเองเถิด และอย่าสร้างความทุกข์ การเบียดเบียน ด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าสร้างกรรมโดยตัวนั้นไม่ได้รู้ว่า สิ่งใดเป็นจริงแท้และแน่นอนหรือไม่ การที่คนจะพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่ที่เราบัญญัติเอาไว้ในพระคัมภีร์ ก็คือ ** ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง **
หากท่านปรารถนาจะทราบว่าจริงหรือไม่ ก็ให้ท่านลองปฏิบัติตามดู เพื่อรู้และพิสูจน์ว่านั่นจริงหรือไม่ นี่จะเป็นคำตอบแรกที่เราจะแสดงแก่เขานั้น และให้ปัญญาแก่เขานั้น
พระยาธรรมเอ๋ย ลูกจงอย่าคิดมากเลย ลูกจงปล่อยวางเถิด สรรพสิ่งแล้วไม่มีเหนือเกินกว่าผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้น หากว่าเราไม่ใช่องค์แทน ไม่ใช่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง สรรพสิ่งที่ก่อเกิดมาจากสติปัญญา จะไม่บังเกิดแก่เจ้าเพื่อสั่งสอนธรรมแก่สัตว์โลกหรอก
พระยาธรรมเอ๋ย เจ้าจงจำธรรมนี้ไว้ให้ดี และสั่งสอนธรรมนี้แก่มนุษย์ทั้งหลายเถิด ผู้ใดที่เดินตามคำสอนของเรา ตั้งแต่การที่บัญญัติเอาไว้ในสมัยที่เราอุบัติขึ้นมาตรัสรู้ และได้ปฏิบัติตามการสอนสั่งของการเดินทางสายกลางนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่หลงทาง การเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน อาจมีเส้นทางหลายทาง บ้างก็สะดวกเดินอีกทางหนึ่ง บ้างก็ชอบไปอีกทางหนึ่ง สุดแล้วแต่ภูมิจิตของแต่ละคนจะเลือก แต่ท้ายที่สุด ก็คือ ทำให้ตนนั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง และทุกคนที่มีจิตตั้งมั่นในคุณงามความดี สร้างตนนั้นขึ้นมาจากความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดร้ายทำลายใคร ไม่ได้อิจฉาริษยาสร้างไปด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แข่งขันทั้งหลายนั้น
ท่านทั้งหลายจงมั่นใจเถิด ความดีของท่านจะคุ้มครองท่าน บารมีของเราจะคุ้มครองท่าน ไม่ว่าท่านจะพบหรือเจอกับเหตุการณ์แบบไหน ฉุกเฉินขนาดไหน ย่อมจะมีทางออกแก่ท่าน ไม่มีสิ่งใดจะชนะความบริสุทธิ์ได้ เพราะความบริสุทธิ์นั้น คือ ความว่างเปล่า และอยู่กับฟ้า ดิน ลม อากาศ อยู่ในทุกแห่งหน เมื่อท่านเป็นผู้บริสุทธิแล้ว ท่านย่อมจะชนะกับทุกสิ่งทุกอย่าง ดังเช่นวันนี้เราได้ให้ยาธรรม ถือหินขาวๆไว้ในมือเม็ดหนึ่ง ซึ่งถูกปลุกเสกขึ้นมาให้เป็นพระธาตุส่วนหนึ่งของกายเรา แต่จะมีคุณค่าได้อย่างไรเล่า ถ้าเราไม่เชื่อว่า นั่นคือพระธาตุที่ปลุกเสกเพื่อก่อเกิดเป็นพระธาตุของเรา
หากคนที่มีค่าทางจิตใจ ก็จะกราบไหว้บูชา และนอบน้อมเป็นอย่างดี แต่หากคนที่ไม่ได้ตั้งให้มีคุณค่าทางจิตใจ ก็จะมองเห็นเป็นเพียงแค่ก้อนหินขาวๆ ก้อนหนึ่ง ที่ได้หล่อแล้วก็นำมาวางไว้ แม้กระทั่งองค์พระพุทธรูปที่ถูกหล่อมาเป็นรูปปั้นของเรา วางไว้ตามจุดต่างๆ คนที่ไม่มีพลังความศรัทธา ยังไม่ยกมือไหว้แม้แต่สักครั้งหนึ่ง
.... สรรพสิ่ง ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา และทุกอย่างจะพิสูจน์ได้ ก็ต่อเมื่อเราพิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเอง นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่บอกแก่เราว่า จริง และควรประกาศแก่ผู้อื่น
พระยาธรรมเอ๋ย เจ้าจงสั่งสอนธรรมแก่เขาเหล่านั้น ดังนี้เถิด เพื่อเป็นแรงกำลังใจให้แก่ลูกๆของเราทุกคน เพื่อให้มีกำลังใจ พลังใจในการสร้าง บำเพ็ญภาวนา สร้างบุญบารมี กุศลทาน ต่อจากนี้ไป ให้ก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์ อยู่ในศาสนา และดึงดวงจิตทุกดวง ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยตัวของเจ้าเถิด “
" ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกราบนอบน้อม ต่อองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อทูลถามถึงข้อข้องใจอีกข้อหนึ่งพระเจ้าค่ะ เพราะเหตุใดล่ะพระเจ้าคะ พระองค์ถึงสร้างหนูมาเป็นเด็ก แล้วก็พูดไม่ชัด แล้วก็ชอบซน แล้วก็ชอบเล่นตามประสาเด็กๆ แทนที่จะเป็นการสร้างให้หนูเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อยๆ มีมารยาทดี เพราะเหตุใดล่ะเจ้าคะ หนูรู้สึกว่า มันเปลี่ยนแปลงยากเหลือเกิน หนูทำไม่ได้เลย และหนูจะทำยังไงล่ะเจ้าคะ เพื่อให้หนูเลิกนิสัยเล่นตามประสาเด็กของหนูได้เสียที และเพราะเหตุอันใดพระองค์จึงได้สร้างหนูมาเป็นแบบนี้ล่ะเจ้าคะ “
“ พระยาธรรมเอ๋ย เจ้าจงฟังไว้ให้ดีเถอะลูก เด็กก็คือเด็ก แต่เด็กนั้นไม่มีพิษมีภัยแก่ใคร เด็กคือผู้บริสุทธิ์ เด็กคือ สิ่งที่ใครเห็นก็รัก และชอบ เอ็นดูในส่วนที่เป็นเด็ก เจ้าจงตัดกิเลสของเจ้าให้หมดเสียเถิด สิ่งที่ไม่น่าเข้าใกล้นั้น คือ กิเลสตัณหา ที่ยังหนาแน่นอยู่ต่างหากล่ะลูก ไม่ใช่นิสัยเด็กที่เล่นซนตามประสาเด็กหรอกลูก ใครว่าการเป็นคนเรียบร้อยนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีไปทั้งหมด กลับทำให้อึดอัด และอยู่ใกล้รู้สึกไม่สบาย จะต้องวางตัวให้เป็นในแบบนั้นแบบนี้
ฉะนั้น เราจึงสร้างเจ้ามาให้เป็นคนง่ายๆ อยู่ง่าย กินง่าย ทำอะไรสบาย อยู่กับใครก็ได้ นิสัยร่าเริงแจ่มใส เล่นตามประสาเด็ก ไม่มีตัวตน ไม่มีมานะทิฐิ ไม่มีส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่จะต้องแบ่งแยก และตั้งเอาไว้อย่างสูงศักดิ์ นั่นก็คือ การที่ผูกมัด คนที่เข้ามาหาเจ้า คนที่อยู่กับเจ้า ทำให้เขาเหล่านั้นอึดอัด แล้วจะไม่สามารถมาเรียนรู้ธรรมจากเจ้าได้ ฉะนั้นเจ้าอย่ากังวลเลย ถึงในเรื่องต่างๆเหล่านี้ สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือ กิเลสตัวใดที่ยังหลงเหลืออยู่ จงสลัดออกไป ความโกรธ โลภ หลง กิเลสตัณหาต่างๆนั้น อย่าให้มันมีแก่เจ้า เจ้าเหลือเพียงความบริสุทธิ์อยู่ในจิต ไม่คิดร้าย มุ่งร้าย ทำลายใคร ทุกสิ่งที่ทำไปด้วยความปรารถนาดี แค่นั้นเจ้าก็สามารถประกาศธรรมได้อย่างผู้ที่มีความอิสระ ไม่เป็นผู้ที่จะต้องมาอยู่ใต้กฎของระเบียบที่เนี้ยบ หรือเคร่งครัดจนเกินไป ผู้ที่เข้ามาก็จะไม่ต้องไปอยู่ใต้อำนาจของมันด้วย
นี่คือ เหตุผลที่สร้างเจ้ามาให้เป็นอย่างนี้.. เจ้าจงจำไว้เถิด อย่าพะวง กังวลกับสิ่งใดเลย สิ่งที่แท้จริงอยู่ในใจของลูกๆทุกคน ไม่ได้อยู่ที่องค์ประกอบภายนอกมากนักหรอก เพียงแต่ทำให้พอดี อย่ามากเกินไป อยู่แค่ในกรอบ กลางๆ เท่านั้นก็พอ "...
สาธุ
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงให้ความเมตตาประทานคำตอบ พระธรรมคำสอนแก่หนูพระเจ้าค่ะ พระองค์จะมีคำสอนและชี้ทางแก่พวกลูกๆ อีกมั้ยล่ะเจ้าคะ
พ่อ...พระองค์ท่านถามว่า จะถามอะไรหรือเปล่า
พระสงฆ์ :: ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทูลถามเกี่ยวกับร่างกายของพระยาธรรม ตอนนี้ร่างกายของพระยาธรรม มีสภาวะเช่นไรพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า :: ร่างกาย กายเนื้อของพระยาธรรมิกราช ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับธาตุฐานในกาย ก็เพื่อให้เรียนรู้ถึงความทุกข์ที่เจ็บป่วยทางกาย ให้เรียนรู้ตามกำลังสติปัญญาของพระยาธรรมเองที่จะข้ามผ่านมันไปได้
.... ฉะนั้นก็ให้มีสติ มีพลังอยู่เหนือมัน เมื่อจิตปล่อยวางได้เมื่อไหร่แล้ว ทุกอย่างก็จะปรับไปสู่การลงล็อคเอง
.... ฉะนั้นก็ให้ปัญญาก่อเกิดแก่พระยาธรรม ให้พิจารณากายของตน แล้วก็ปล่อยวางตามปัญญาที่มีของเขาเอง
พระสงฆ์ :: บัดนี้ สมควรการที่จะสร้างองค์พ่อใหญ่ขึ้นแล้ว ทั้งทางช่าง..แล้วก็สิ่งที่ลูกคิดพิจารณานั้น ถูกต้อง สมควรประการใดพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ ทรงตอบว่า :: เหตุปัจจัยจะถูกจัดสรรมา ทุกอย่างจะไปตามพลังบุญกุศลที่สร้างสมไป ทุกอย่างจะหมุนเวียนเข้ามา ตามกำลังการก่อเกิดพระยาธรรมิกราช และจะมีสายบุญต่างๆ ที่หนุนเข้ามานำทาง ทุกอย่างจะถูกลิขิตเอาไว้ทั้งหมดแล้ว และเมื่อถึงเหตุที่ควรจะจัดสรรสิ่งใด ทุกอย่างก็จะเป็นองค์ประกอบให้ได้จัดสรรขึ้นมา สายปฏิบัติธรรมนี้ จะให้ทำทุกอย่าง โดยการมีธรรมจัดสรร จะไม่ให้สิ่งใดมาจัดสรร ตั้งแต่วันนี้จนถึงตลอดกาลที่สายปฏิบัติธรรมนี้จะคงอยู่ในจิตของทุกๆดวง
.... ฉะนั้นจะไม่ให้บกพร่องไปในทางใดทางหนึ่ง ส่วนใดที่ทำได้ ก็จะเปิดให้ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเอง หรือพระยาธรรม ก็จะทำเกินกรอบไม่ได้ แต่หากสิ่งใดที่ทำแล้วจะได้ หรือกระทำไปได้ ก็จะอนุมัติ หรือสภาวธรรมก็จะเปิดให้จัดสรรและทำไป จงพิจารณาแค่เหตุปัจจัยที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ทำตามหน้าที่ที่ตนได้มีหน้าที่รับมอบหมายจะทำไป ในส่วนหนึ่งๆ เมื่อถึงแก่กาลเวลา ทุกอย่างก็ลงตัว ลงล็อคเอง ดังเช่นตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกอย่างก็จะใช้ธรรมจัดสรรมาตลอด เช่น การสร้างศาลาหญ้าที่ลูกเองก็ได้กล่าว หรือตั้งจิตอยู่ในใจว่า หากการสร้างคราวครั้งนี้สะดุด สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่จะประกอบองค์พ่อใหญ่ขึ้นได้ แต่ทุกอย่าง เมื่อมีการสร้างหรือทำไปแล้ว ปัจจัยก็จะถูกจัดสรรเข้ามา...ไม่เคยให้สะดุด หรือมีสิ่งใดที่จะทำไม่ได้
ฉะนั้น ทุกอย่างให้ทำไปเรื่อยๆ แล้วก็นำทางสายธรรมไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจะเป็นองค์ประกอบที่เกิดขึ้นมาเองทั้งหมด
... ญาติโยมก็ดี นักบวชทุกๆท่าน ลูกๆ ทุกๆคน ที่มาในสถานที่แห่งนี้ ก็ช่วยกันภาวนาจิต เพื่อให้ก่อเกิดเป็นพลังบุญ เพื่อการสร้างสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และเป็นสถานที่บุญกุศล เพื่อเผยแผ่ธรรมให้แก่ดวงจิตอีกหลายๆยุค หลายภพเลย อาจจะอยู่ถึง 600-700 ปี ข้างหน้า
.... ฉะนั้นก็ทุกคนเมื่อได้รับหน้าที่แล้ว ก็ให้ทำหน้าที่ของแต่ละคน ให้ดี ให้ช่วยกัน….**
- - -
สาธุ กราบนอบน้อมขอบพระคุณองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระเจ้าค่ะ ไว้วันหลังหนูจะขึ้นมาทูลถามใหม่นะเจ้าคะ สาธุ