… ตอนที่ ๗๑ ธรรมดาเป็นเช่นนั้นเอง
การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
ชีวิตสิ้นสุดลง แล้วกลับมา เป็นเช่นนี้อีก
ส่วนที่เป็นบุคคล ข้าวของ ทรัพย์สิน เงินทอง สมบัติ ที่เป็นของเรา
ที่ทำให้ยึดติด และลุ่มหลงอยู่ ก็ต้องจบลง ที่การตาย เช่นเดียวกัน
จงหาทางออกมา ออกมาแสวงหา หนทางความพ้นทุกข์เถิด
จะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนตาย เวียนเกิดอีก
ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลี: Paticcasamuppāda; สันสกฤต: Pratītyasamutpāda) เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
ที่มา : https://th.wikipedia.org
ตอนที่ ๑๓ ปัจจยการ
พระยาธรรมิกราช พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล
เผยแพร่เมื่อ 23 มี.ค. 2016
พระยาธรรมรับคำสอนจากพุทธองค์ ตอนที่ ๑๓ ปัจจยการ
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙
‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’
ขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกๆรูป รวมถึงเจริญธรรมญาติบุญทั้งหลาย ผู้ที่มีความ
ตั้งใจดี จะฟังธรรมทุกๆ ท่าน ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อ องค์พระพุทธบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านนั้นๆ
ข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลถามพระองค์ท่านไปดังนี้ว่า ข้าแต่องค์พระพุทธบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา วันนี้พระองค์จะทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง
ใดให้ลูกได้นำไปเผยแผ่หรือเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย เธอจงฟังธรรมนี้ให้ดี ให้เข้าใจ แล้วเธอจงตอบปัญหาธรรมเหล่านี้เถิดว่าเธอนั้นจะสามารถเข้าใจในหลักธรรม
แนวทาง การปฏิบัติให้พ้นทุกข์ อย่างแท้จริงได้หรือเปล่า
ใครคือคนให้กำเนิดธรรมชาติมา
พระยาธรรม : ธรรมชาติก็คือสิ่งที่มันเป็นไป เกิดขึ้นเอง จึงไม่มีใครให้มันกำเนิดมาเจ้าค่ะ และมันก็เป็นไปตามรอบ ตามเหตุ ของมัน โดยที่ไม่มีใคร
ที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลง อะไรมันได้เลย เจ้าค่ะ นอกจากเราต้องทำตัวของเราให้อยู่เหนือมัน คือ ไม่ถูกมันลิขิตให้เราเป็นไปตามธรรมชาติอีกต่อไป
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ธรรมชาตินั้นคือสิ่งที่เขาก่อเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเหตุ ตามปัจจัย เขาจะเปลี่ยนแปลงไปตามรอบของเขา ลูกเอ๋ย เรา
ก็เหมือนกัน เราก็คือธรรมชาติ เราจึงต้องเกิดมาและตายไป แต่ถ้าหากว่าจิตของผู้ใด ปรารถนาที่จะไม่เกิดไม่ตาย ไม่ต้องวิ่งตามมัน ก็สามารถปฏิบัติให้อยู่
เหนือ ให้หลุดพ้นจากกฎของธรรมชาติได้ ลูกเอ๋ย
ใครคือคนคลอดดวงจิตมา
พระยาธรรม : ดวงจิตของคนเรานั้น ก่อเกิดมาจากธรรมชาติ คือ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่อยู่ในธรรมชาติ อากาศต่างๆ เหล่านั้น เป็นผู้ให้ก่อเกิดมา
เหมือนตัวหนอนที่มันเกิดขึ้นเองในที่ๆเร่าร้อน ในที่ๆ สกปรก ตามรอบของมัน เช่นนั้นเจ้าข้า
พระพุทธองค์ : ใช่แล้วลูกเอ๋ย ตัวหนอนนั้นก่อเกิดมาจากธรรมชาติ ก่อเกิดขึ้นมาเอง โดยไม่มีใครให้เกิดขึ้นมา ทำให้บังเกิด นอกจากธรรมชาติให้
เกิดมา ดวงจิตของเราก็เหมือนกัน ก่อเกิดมาจากธรรมชาติ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมตัวกันมาเป็นดวงจิต
ใครคือคนคลอดกิเลสและตัณหา ให้กำเนิดก่อเกิดมา พระยาธรรมเอ๋ย
พระยาธรรม : กิเลสและตัณหาก็คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจากธรรมชาติ เช่นเดียวกันเจ้าข้า ธรรมชาติพัฒนาขึ้น แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันก็งอกออกมา
และมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มันจึงอยู่ในวัฏสงสารนี้ อยู่ในที่นี่ คลุมอยู่ในดวงจิตทุกดวง ที่ยังอยู่ในวัฏสงสาร เจ้าข้า
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย กิเลสและตัณหานั้น ก่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับการพัฒนาของธรรมชาติ มันงอกขึ้นมา งอกขึ้นมาเอง ตั้งแต่ริเริ่มมี
ผู้คน ริเริ่มมีดวงจิต ที่ไปคลุกและเกิดขึ้นอยู่ในธรรมชาติ ก็มีเชื้อของกิเลส คือการยึดติด การรัก โลภ โกรธ หลง ความมีตัว มีตน ของฉัน สิ่งของฉัน ความ
ลุ่มหลงเหล่านั้น ก็บังเกิดขึ้น เป็นธรรมชาติ ทุกคนที่อยู่ในนี้ ก็เลยรู้จักแต่ว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เรานี้เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาปกติที่เป็นเช่นนี้ แต่
ถ้าหากว่าเรา รู้ตัว รู้ตนว่าถูกสิ่งเหล่านี้ปกปิด เราก็จะสามารถค่อยๆ ถอดถอน ดวงจิตของเราเอง ให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ถอดถอนให้อยู่เหนือธรรมชาติ และ
ถอดถอนจิตของตนให้อยู่ในจุดที่สลายไป ไม่มีตัว มีตน ไม่มีเราในดวงจิตของเรา จึงไม่มีที่ยึดเหนี่ยวแห่งสิ่งทั้งปวง
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย แล้วใครเป็นคนคลอดกรรม กำเนิดก่อเกิดกรรมขึ้นมา
พระยาธรรม : ดวงจิตและกิเลสตัณหา เจ้าข้า ดวงจิตและกิเลสตัณหา เมื่อมาเจอกันแล้ว ก็เลยรวมตัวคลุกกันจนทำให้ก่อเกิดกรรมขึ้นมา จึงกลาย
เป็นการกระทำต่างๆ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ดวงจิตก็เปรียบเสมือนเมล็ดพืช กิเลสและตัณหาก็เหมือนพื้นดิน เมื่อมันคลุกด้วยกัน มันก็เลยทำให้กรรมคือ
การกระทำนั้นก่อเกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นจากกรรมแล้ว โดยมีเรานี้เป็นสิ่งที่เป็นผล
ใครเป็นคนคลอดเรามา
พระยาธรรม : กรรมเจ้าข้า กรรมเป็นคนคลอดเรามา ดังที่พระองค์แสดงเมื่อกี้ กรรมคือตัวส่งผลให้เราก่อเกิดขึ้นมาเจ้าข้า
พระพุทธองค์ : ลูกเอ๋ย กรรมของเราคือการกระทำ การกระทำของเราจะดีหรือไม่ดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง เมื่อการกระทำของเราดี
หรือชั่ว สิ่งเหล่านั้นก็จะบังเกิดขึ้นกับตัวของเราเช่นเดียวกัน ใครทำดีก็มีผลดีส่งผล ใครทำชั่วก็มีกรรมชั่วส่งผลเช่นเดียวกัน ฉะนั้น กรรมจึงเป็นคนคลอด
เรา ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นอะไรก็ตาม เราก็จึงควร ควรที่จะทำแต่ความดี ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นอยู่ เพราะนั่นคือฝีมือของเราเอง คือการกระทำของเราเอง
ลูกเอ๋ย เราจึงควรที่จะยอมรับตามความเป็นจริงว่า เราได้กระทำมาไม่ดีเช่นนี้ หรือว่าดีได้แค่นี้ เราก็เลยเกิดมา เป็นได้แค่นี้ เราควร ควรที่จะทำความดีอีก
มาก ๆ อีกต่อไป เยอะๆ เราจึงจะสามารถที่จะได้รับความดีมากเพิ่มขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ในธรรมชาติ เราอยู่ในตัวของธรรมชาติ และเป็นไปตาม
ธรรมชาติ ใช่หรือเปล่าลูก
พระยาธรรม : เจ้าค่ะ เราเกิดมาอยู่ในธรรมชาติ และต้องเป็นไปตามธรรมชาติ แต่พระพุทธองค์เจ้าขา เราจะสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้หรือไม่
เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย เราจะสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้ เมื่อเราเข้าใจ ยอมรับ ไม่ให้ธรรมชาติมาทำร้ายเราอีก เราก็จะอยู่เหนือมัน
พระยาธรรมเอ๋ย ใครคลอดความหลุดพ้น ความอยู่เหนือธรรมชาติบ้าง
พระยาธรรม : ลูกเข้าใจว่าน่าจะเป็นศีล ศีลจะเป็นสิ่งที่คลอดความหลุดพ้น เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วใครคือคนคลอดศีลลูก ตัวของเราเองเจ้าค่ะ เราสามารถกำหนดได้ ให้มีศีล ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งข้อ สองข้อ สามข้อ หรือจะเป็นกี่
ข้อก็ตาม เราสามารถกำหนดเองได้เจ้าค่ะ
ลูกเอ๋ย แล้วศีลจะคลอดอะไร
พระยาธรรม : คลอดธรรมะ สมาธิ และปัญญา เจ้าค่ะ ถ้าเกิดว่าเรามีศีลแล้ว ธรรมะก็จะบังเกิดขึ้นในจิตใจของเรา รวมถึงสมาธิก็จะสงบ เราก็จะ
ไม่ว้าวุ่น ไม่มีสิ่งที่มาวุ่นวายกับเรา เมื่อสมาธิบังเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาก็ย่อมบังเกิดขึ้นตามมา เจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ธรรม สมาธิ ปัญญา คลอดอะไร
พระยาธรรม : คลอดความรู้แจ้ง เจ้าค่ะ เพราะความรู้แจ้งจะบังเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เรามีธรรมคำสั่งสอน มีสมาธิ มีปัญญาบังเกิดในเราแล้ว สิ่งทั้ง
หลายเหล่านี้ ก็จะคลอดความรู้แจ้ง ออกมาเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ลูกเอ๋ย แล้วความรู้แจ้งคลอดอะไร
พระยาธรรม : ความรู้แจ้ง ถ้าเกิดว่าเรารู้แจ้งแล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่พ้นทุกข์ หลุดจากวัฏสงสาร ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตายเกิดอีก อยู่เหนือธรรมชาติและ
กฎของมัน ไม่ต้องเป็นไปตามมันอีก ความรู้แจ้งจึงคลอดความหลุดพ้นเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ลูกเอ๋ย ความรู้แจ้งนั้นคลอดความหลุดพ้น ความรู้แจ้งนั้น บังเกิดขึ้นมา เมื่อเรานี้มีศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา ลูกเอ๋ย เราก็จึงจะพบ
กับความสำเร็จนั่นแหละ ถูกแล้วลูก ในสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เราทำไป ๆเรานั้นก็จะได้รับสิ่งเหล่านั้นกลับคืนมา คือความพ้นทุกข์ เราจงอยู่เหนือสิ่ง
ทั้งหลายทั้งปวงเถิดลูก แล้วเรานี้ก็จะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้
พระยาธรรมเอ๋ย สิ่งใดคือกิเลส
พระยาธรรม : หนูเข้าใจว่า กิเลสคือเชื้อของความลุ่มหลง เชื้อของความรัก ความโลภ และความโกรธ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วเชื้อไหนเป็นพี่ของมันคือเกิดก่อน
พระยาธรรม : เชื้อความหลงเจ้าค่ะ ความหลงจะคลอดความรัก ถ้าไม่มีความหลง ก็จะไม่มีความรัก
เมื่อความรักกับความหลงบวกกัน จึงก่อเกิดเป็นความโลภ โลภให้มีสิ่งนั้น สิ่งนี้ เพื่อมาปรุงแต่ง บำรุงในความรัก
ความต้องการต่างๆ ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆ จะทำให้ตนสมหวังในความรัก คือเชื้อของราคะ ที่ตนต้องการ ความโลภจึงก่อเกิดขึ้นเจ้าค่ะ
เมื่อความโลภก่อเกิดขึ้นแล้ว มีความหลง ความรัก ความโลภบวกกัน จึงมีความยึดมั่นถือมั่น ในตัวในตน ว่าเป็นฉัน เป็นของๆฉัน เป็นตน เป็นของๆตน
จึงเกิดความโกรธขึ้นมา เมื่อมีเหตุใดที่ผ่านเข้ามาทำร้ายหรือว่าไม่ถูกใจตน ของๆตน เหล่านั้น จึงทำให้มีความโกรธ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ความหลงจะคลอดความรัก ความรักจะคลอดความโลภ ความโลภก็จะคลอดความโกรธ และเมื่อ 4 อย่างนี้ รวมตัว
มาอยู่ด้วยกันแล้วก็จะมีพลัง มีพลังมากพอ ที่จะคลุมจิตของเราให้อยู่ใต้อำนาจของมัน ลูกเอ๋ย
ต่อไป ตัณหาคืออะไร
พระยาธรรม : ตัณหาก็คือความอยาก และความไม่อยากทั้งหลายเจ้าค่ะ เช่นว่าถ้าเกิดว่าเราไม่มี เราก็อยากให้มี ถ้ามีแล้วก็ไม่อยากให้ดับไป มี
แล้วก็อยากให้ดับไป เช่นนั้น เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ลูกเอ๋ย แล้วใครคือคนคลอดตัณหาเหล่านี้มา
พระยาธรรม : ความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ เจ้าค่ะ ถ้า 4 อย่างนี้ รวมตัวกันมาแล้ว ก็จะทำให้ความอยาก ความไม่อยาก เกิดขึ้นมา
เจ้าค่ะ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่คลอดความอยากคือตัณหา ออกมาเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วใครคลอดความรู้สึกลูก
พระยาธรรม : เมื่อมีกิเลสและตัณหา มารวมตัวกัน ทำให้ก่อเกิดเชื้อต่างๆ จึงทำให้รู้สึกว่า อยากได้สิ่งนั้น ปรารถนาสิ่งนี้ ด้วยความลุ่มหลง ด้วย
ความยึดในตัวในตน ด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธ ความอยาก สิ่งเหล่านี้เกาะกันมาเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกต่างๆ อยากได้ อยากมี อยากเป็น
ตั้งความหวัง ผิดหวัง สมหวัง ความสุข และความทุกข์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึก เชื้อของกิเลส ตัณหา คือผู้คลอดความรู้สึกออกมาเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วใครคลอดกรรมออกมา
พระยาธรรม : ความรู้สึกเจ้าค่ะ ความรู้สึกบวกกับกิเลสตัณหา จึงคลอดให้กรรมออกมาเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : เชื้อของกิเลสตัณหา ความรู้สึกนั้นคลอดอะไร ออกมา ลูกเอ๋ย
พระยาธรรม : กรรมเจ้าค่ะ กรรมถูกคลอดออกมาจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
พระพุทธองค์ : แล้วกรรมนั้นเขาส่งผลคลอดอะไร
พระยาธรรม : กรรมเหล่านั้น เขาก็จะคลอดเราออกมาอีกทีหนึ่ง เราจะเป็นไปเช่นไร ก็เป็นไปตามกรรมเจ้าค่ะ เหมือนตอนเมื่อกี้ ที่ได้ตอบไปแล้ว
รอบหนึ่ง ตั้งแต่ตอนต้นๆ เจ้าค่ะ กรรมคลอดเรามา เราจะเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นเปรต อสูรกาย เป็นใครก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมคลอดมาทั้งนั้น รวมถึง
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือองค์พระอรหันต์ก็ตาม ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่มาจากกรรม และเป็นกรรมดี เพียงแต่ว่าพระองค์
ทำกรรมดีไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่พระองค์รู้แจ้งแล้ว และท่านทั้งหลาย ก็ได้รับกรรมเหล่านั้นไป ไม่ยึดถือมันแล้วเท่านั้น เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วเราคลอดอะไรได้บ้างลูก คือหมายถึงตัวของเรา
พระยาธรรม : ตัวเราเหรอเจ้าค่ะ หนูคิดว่าน่าจะคลอดการกระทำ คือความดีและความชั่วเจ้าค่ะ ถ้าเราทำดี เราก็จะคลอดความดี บังเกิดมา ถ้าเรา
ทำชั่ว เราก็จะคลอดความชั่วให้บังเกิดมาเหมือนกัน เราจะสามารถคลอดการกระทำดีและชั่ว ออกมาด้วยตัวของเราเองเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ความดีและความชั่วคลอดใครมาอีกทีหนึ่ง ลูก
พระยาธรรม : ความดีและความชั่วก็คือกรรม กรรมที่เราเลือกที่จะทำดี หรือทำชั่ว เมื่อเราคลอดดีออกมา คลอดชั่วออกมา สิ่งทั้งสองเหล่านี้ก็จะ
รวมตัวมาคลอดเราในภายภาคหน้าอีกทีหนึ่งเจ้าค่ะ จะส่งผลให้เราไปเป็นอะไรก็ได้ตามสิ่งที่เราทำเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ชีวิตนี้ ใครลิขิตล่ะลูก เมื่อเป็นเช่นนั้น
พระยาธรรม : ชีวิตของเรา เราลิขิตเองเจ้าค่ะ เพราะว่าเราสามารถเลือกที่จะทำดี หรือทำชั่วได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ณ ตอนนี้คือสิ่งที่มันผ่านมาแล้ว
มันส่งผลมา ตอนนี้เราสามารถทำดีได้ ให้มาส่งผลต่อไปในภายภาคหน้า เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : เส้นทางที่จะเดินทางไปสู่ความหลุดพ้นนั้นคืออะไร พระยาธรรมเอ๋ย
พระยาธรรม : เส้นทางที่จะเดินไปสู่ทางพ้นทุกข์ก็คือ ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา เจ้าค่ะ ถ้าเรามี 4 ย่างก้าวนี้ 4 สหายนี้ ก็จะสามารถช่วยให้เรา
เดินทางไปถึงทางพ้นทุกข์ได้เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วอะไรเกิดขึ้นก่อน
พระยาธรรม : หนูคิดว่าน่าจะเป็นธรรม น่ะเจ้าค่ะ เพราะคนเราถ้าไม่รู้จักธรรมะ ก็จะไม่สามารถรักษาศีลได้ เจ้าค่ะ เพราะธรรมเป็นสิ่งที่จะทำให้เรา
เข้าใจในธรรมชาติ สิ่งเป็นไป รู้สุข รู้ทุกข์ ทุกข์ของตนเอง ทุกข์ของผู้อื่น จึงสามารถทำให้เรามีศีลได้เจ้าค่ะ ธรรมต้องเป็นสิ่งที่เกิดก่อนแน่เลย เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ธรรมนั้นเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้น บังเกิดก่อนคนอื่นๆ แต่ว่าธรรมนั้น จะดีขึ้น พัฒนาขึ้น จะดีกว่านั้น ก็ต้องมีศีลช่วยค้ำ
ปัญญาแห่งธรรมนั้น จึงจะบังเกิด แต่ธรรมก็ก่อเกิดก่อน เพียงแต่ต้องใช้พลังของศีลหนุนไปเรื่อยๆ ธรรมจึงบังเกิดและก้าวหน้า กว้างไกลไปเรื่อยๆ
สาธุ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ใครคลอด ศีลคลอดอะไรลูก
พระยาธรรม : สมาธิเจ้าค่ะ สมาธิก่อเกิดปัญญา สมาธิจะให้ปัญญาก่อเกิดขึ้นมาเจ้าค่ะ ลูกเอ๋ยเมื่อเรามีสมาธิแล้ว สติและปัญญาย่อมบังเกิด
ขึ้น เหมือนน้ำที่ใสแล้ว ย่อมมองเห็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ในใต้น้ำว่ามีอะไรบ้าง
พระพุทธองค์ : ปัญญาคลอดอะไร
พระยาธรรม : ความรู้แจ้งเจ้าค่ะ ถ้าเกิดเรามีปัญญามากแล้ว เราก็จะรู้แจ้ง เพราะปัญญาของพระพุทธเจ้าคือ ผู้รู้ ผู้เข้าใจ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เข้าใจใน
สรรพสิ่งที่มันเกิดขึ้น ดับไป เจ้าค่ะ ปัญญาจึงทำให้เรารู้แจ้ง เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วความรู้แจ้งคลอดอะไร
พระยาธรรม : ความรู้แจ้งก็จะคลอดความเข้าใจ ในธรรมคำสั่งสอน เข้าใจการเป็นไปของธรรมชาติ เข้าใจสรรพสิ่ง เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : อะไรต้องช่วยกัน จึงจะทำให้พ้นทุกข์ได้
พระยาธรรม : ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา เจ้าค่ะ 4 อย่างนี้ ต้องรวมตัวช่วยกันเดิน ฉันเดินก้าวหนึ่ง เธอเดินก้าวหนึ่ง ช่วยกันเดินไปเรื่อยๆ หมุน
ไปเรื่อยๆ
เมื่อมีศีล ให้มีธรรม เมื่อมีธรรมให้มีสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้ว ก็ต้องมีปัญญา
เมื่อปัญญารู้แจ้งในกฎของธรรมชาติแล้ว ก็กลับมาหนุนศีลอีกทีหนึ่ง
ศีลก็จะกลับไปคลอดธรรมอีกทีหนึ่ง วนกันไปเช่นนี้ เจ้าค่ะ จึงจะสามารถขับเคลื่อนให้เรานั้นไปถึงจุดมุ่งหมาย
เปรียบเสมือนรถคันหนึ่งที่ต้องมี 4 ล้อ จึงสามารถไปถึงจุดหมายปลายทาง เจ้าค่ะ
ถ้า 4 อย่างนี้รวมตัวกันมาแล้ว ก็จะคลอดความหลุดพ้น ความพ้นทุกข์ ให้เราได้ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ใครคือเรา เราคือใคร ลูก
พระยาธรรม : เท่าที่ตอบปัญหาธรรมมาทั้งหมด หนูเข้าใจอย่างนี้ว่า
ธรรมชาติ ดวงจิต ความลุ่มหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
ความอยาก ความไม่อยาก ความรู้สึก กรรมคือการกระทำ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ รวมตัวกันมาเป็นเรา ก็เลยมีสิ่งสมมุติที่เรียกว่าเรา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในก้อนเนื้อ ในก้อนที่เรียกว่าเรา ว่าตัวตนของเรา ณ ตอนนี้ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่มีเราเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ดีแล้วลูก ต่อไปอะไรซ่อนตัวอยู่ในความหลง
พระยาธรรม : ความไม่รู้ตามความเป็นจริงเจ้าค่ะ จึงทำให้เราก่อเกิดความลุ่มหลง เมื่อเราไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็จะทำให้เรายังลุ่มหลงอยู่ เมื่อเรา
มีศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา จะทำให้เรารู้ตามความเป็นจริง และมีพลังที่จะอยู่เหนือสิ่งที่มันหลอกตาหลอกใจเราเหล่านั้น เราก็จะถอดถอน คลายจาก
ความลุ่มหลงได้ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : อะไรซ่อนตัวอยู่ในความรัก
พระยาธรรม : ความหลงเจ้าค่ะ หลงในเรา หลงในบุคลผู้อื่น หลงในสิ่งของ ข้าวของต่างๆ เมื่อเราหลงในตัวตนของเราว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา เรา
จึงหาสิ่งที่ต้องการ สิ่งนั้น สิ่งนี้ มาปรุงแต่งในเรา จึงเกิดความลุ่มหลงในบุคคลผู้อื่น หลงในสิ่งอื่นๆ ตามมาด้วย จึงเกิดความรัก รักในตัวของเรา รักในตัว
ของบุคคลผู้อื่น เจ้าค่ะ ถ้าเกิดว่าเราถอดถอนตัวความหลงได้แล้ว ความรักก็จะดับไป เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : อะไรซ่อนตัวอยู่ในความโลภ
พระยาธรรม : ความหลงเจ้าค่ะ ความรักด้วยเจ้าค่ะ ความรักกับความหลง ก่อตัวขึ้นมาจึงบวกกัน ทำให้ความโลภก่อเกิดขึ้น เจ้าค่ะ เพราะว่าถ้าเรามี
ความหลง ก็เลยทำให้มีความรัก เมื่อมีความรัก เลยก่อเกิดความโลภขึ้นมาอีกเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ความลุ่มหลง ความรัก ความโลภ นั้น ทำให้สิ่งใดก่อเกิดขึ้นมา หรือว่ามีอะไรที่ซ่อนตัวอยู่ในความโกรธ
พระยาธรรม : ความหลง เจ้าค่ะ
ความหลง ความรัก ความโลภ สิ่งเหล่านี้คลอดความโกรธออกมาอีกทีหนึ่ง ถ้าดับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้
ความรัก โลภ โกรธ หลง – ความหลง รัก โลภ โกรธ สิ่งเหล่านี้ ถ้าดับลงไปก็จะทำให้เราดับการเกิดของตนเองได้
อยู่เหนือทุกสิ่ง อยู่เหนือทุกอย่าง ไม่ต้องกลับมา เวียนว่าย ตาย เกิด อีก เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วอะไรที่ทำให้ดับสิ่งเหล่านี้ได้
พระยาธรรม : ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : อะไร ซ่อนตัวอยู่ในศีล
พระยาธรรม : การชำระล้างกิเลส เจ้าค่ะ ที่ซ่อนตัวอยู่ในศีล
เมื่อเรามีศีล การชำระล้างกิเลสก็จะก่อเกิดขึ้นในตัวของเรา
การชำระล้างกิเลส การไม่สร้างกรรมไม่ดีเพิ่มขึ้น เพิ่มหนี้กรรมไม่ดีให้ตนเอง ไม่ทำให้เสียเวลา
การสร้างความอดทนให้ตนเอง เป็นประตูทางพ้นทุกข์ ที่จะทำให้เรา เดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน
สิ่งเหล่านี้ เจ้าค่ะ คือสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในศีล ถ้าเรารักษาศีล สิ่งเหล่านี้ก็จะบังเกิดในตัวของเราเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วอะไรล่ะลูก ที่ซ่อนตัวอยู่ในธรรมะ
พระยาธรรม : แผนที่การบอกทางไปนิพพาน เจ้าค่ะ
และมีศีล มีปัญญา มีสมาธิซ่อนอยู่ในนั้น สิ่งเหล่านี้มันจะขับเคลื่อนกันไปเจ้าค่ะ
แผนที่บอกทางไป ศีลเป็นกรอบ ตีกรอบให้เรานั้นไม่ออกไปนอกเส้นทาง
ปัญญานั้น เป็นสิ่งที่จะนำพาให้เราก้าวข้ามพ้นอุปสรรค์ เดินทางไปได้เรื่อยๆ สมาธิคือกำลัง เจ้าค่ะ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ซ่อนตัวอยู่ในธรรมะ เมื่อเรามีธรรมะแล้ว เราก็จะมีสิ่งเหล่านี้ ที่ซ่อนตัวอยู่ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วอะไรซ่อนตัวอยู่ในสมาธิ
พระยาธรรม : ความสงบเจ้าค่ะ ความสงบ ความสว่าง พลังของจิตที่จะทำให้ก่อเกิดชัยชนะ ที่จะชนะความชั่ว สิ่งหลอกลวงทั้งปวง ยังมีศีล ธรรม
ปัญญา ที่ซ่อนอยู่ในสมาธิด้วย เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : แล้วอะไรซ่อนตัวอยู่ในปัญญา
พระยาธรรม : ศีล ธรรม สมาธิ อีกทีหนึ่ง เจ้าค่ะ ที่ซ่อนตัวอยู่ในปัญญา
เมื่อ 4 อย่างนี้ ก่อเกิดรวมตัวกันมา ก็จะทำให้เกิดความหลุดพ้น ความหลุดพ้นจึงซ่อนตัวอยู่ในปัญญา
ด้วยการไม่ทำบาป ชัยชนะที่จะชนะกิเลสและตัณหา ชัยชนะที่จะชนะสิ่งหลอกลวงทั้งปวงเจ้าค่ะ
เมื่อ 4 อย่างนี้ รวมตัวกันมาแล้วก็จะพบทางพ้นทุกข์ ความรู้แจ้งโลก และดับกิเลส ตัณหา ทั้งปวงได้ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย ดีแล้วลูกที่ลูกนั้น ได้เข้าใจในสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย จงตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ ด้วยศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา เหตุที่
ให้ศีลขึ้นก่อน ก็เพราะว่าปัญญาธรรมที่ไม่มีศีลนั้น ไม่เกิดประโยชน์ลูก ปัญญาธรรมเล็กน้อย ทำให้ถึงศีลเท่านั้นเอง แต่หากไม่มีศีล ปัญญาธรรมที่แท้จริง
จะไม่บังเกิด จึงให้ศีลนั้นเป็นที่ตั้งก่อน ส่วนธรรมนั้นค่อยตามมาทีหลัง เพราะธรรมก่อเกิดให้มีศีลก็จริง แต่มันเป็นธรรมเล็กน้อย ธรรมที่ยังไม่ชัดเจนลูก
ฉะนั้น ให้มี ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญาเถิดลูก สิ่งเหล่านี้ก็จะดับเชื้อกิเลสและตัณหา
ดับสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่หลอกลวงเรา ทำให้เรารู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาล นำพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง
ลูกเอ๋ย จงหมั่นฝึกฝนตน ตามนี้เถิด บุคคลผู้ที่ยังทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เรียนไว้ก่อน เรียนแล้วก็จะได้ทำตาม
เหมือนคนที่เข้าโรงเรียน ตอนที่เขาเรียนอยู่ เขาก็แค่เรียนอยู่ เขายังไม่ได้ออกไปทำงาน เผชิญโลกอย่างแท้จริง
การรู้ธรรมก่อน แล้วค่อยๆทำตาม ก็เหมือนกัน จงอย่าท้อใจเลย จงฝึกฝนอบรมตน เผยแผ่ธรรมให้บุคคลผู้อื่น เขาได้รู้ เช่นเดียวกันกับตน
แล้วทุกคนค่อยเอาธรรมไปพิจารณาให้บังเกิด สิ่งที่รู้แจ้งในตัวของเราทุกคนเถิดลูก
การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อเกิดขึ้นมานั้นล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น
เหมือนต้นไม้เมื่อมีเมล็ดหล่นลงไป ต้นของมันก็จะออกราก เมื่อมีรากดูดน้ำแล้ว ก็จะขึ้นเป็นลำต้น
เมื่อขึ้นเป็นลำต้นก็จะเป็นกิ่งก้าน ใบ ขึ้นมา เป็นหมากเป็นผลของมัน และมันก็จะเกิดไปเรื่อยๆ ตามผลของมัน อีกอย่างนั้นลูก
ตัวของเราก็เหมือนกัน เกิดมาจากธรรมชาติ เกิดมาแล้ว เมื่อมาเจอ มาคลุกกับกิเลสตัณหา จึงต้องบังเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ
สิ่งหนึ่งคลอดสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่งก็คลอดสิ่งหนึ่ง อีกต่อไปเรื่อยๆ จนมาสมมุติว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเราอยู่อย่างนี้
จึงทำให้เรานั้น เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น เราจงลิขิตความดีให้บังเกิดที่ตัวของเราเพราะสิ่งที่เราคลอดได้ คือความดี
เราจงคลอดความดี ด้วยศีล ธรรม สมาธิ ปัญญาเถิด และก็จะคลอดสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ใน ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ออกมาเรื่อยๆ
จนเรานั้นก็จะสามารถไปจนถึงจุดที่ดับความพ้นทุกข์ได้ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
เราก็จะพ้นจากวัฏสงสาร การเวียนว่าย พ้นจากกฎของธรรมชาติไปได้
พระยาธรรม : สาธุ เจ้าค่ะ แล้วลูกจะนำไปพิจารณาประพฤติ ปฏิบัติธรรม น่ะเจ้าค่ะ