กองที่ ๓๐ อุปสมานุสติ แบบที่ ๑
การนึกถึงพระนิพพาน จนทำให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์นั้น แบบที่ ๑ ให้นั่งหลับตา แบฝ่ามือสองข้างบนหัวเข่า แล้วน้อมนึกถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแสงพุทธบารมี กำหนดหมายว่าพระองค์ท่านอยู่ที่พระนิพพาน น้อมรับพลังแสงพุทธบารมี กระแสเย็นๆ สว่างไสว จากพระองค์ท่าน มากระทบที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง แล้วเอาน้อมแสงพลังนั้น เข้าสู่ศูนย์กลางกาย ภาวนาดูไปเรื่อยๆ จิตจะเข้าสู่ความสงบตั้งมั่น เข้าสู่ฌานได้ในที่สุด
การรับคลื่นพลังจากพระนิพพาน เพื่อให้เข้าถึงความสงบ ให้หลับตาลง ปล่อยวางจิตใจ ให้น้อมพลังที่เย็นภายนอก เข้าสู่ภายใน แล้วพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของร่างกาย เพื่อสลายกิเลสตัณหาที่ครอบงำจิตใจ นึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระนิพพาน น้อมรับพลังมาเก็บไว้ที่ศูนย์กลางกาย จะมีพลังสงบชุ่มเย็น จนเป็นฌาน สามารถอธิษฐานไป ถอดกายภายในไปค้นหาตัวตน หาเหตุหาผลของการเกิดเวียนวน จะได้ดับการเกิดได้ ด้วยการนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
การนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ให้ระลึกถึงองค์พระสัมมา ผู้ได้นำพาให้ดวงจิตหลุดพ้น จากการเกิดการเวียนวน ด้วยการชำระกิเลส ตัณหา ปล่อยวางจิตใจ ไม่ได้เบียดเบียนผู้ใด ไม่ยึดถืออะไรแม้แต่ตัวตน จึงจะดับการเกิด ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป
กองที่ ๓๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา แบบที่ ๑
อาหารเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงร่างกาย ให้ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ หรือ มาจากกิเลสตัณหา ที่นำพาให้ลุ่มหลง ยึดติดในรสชาติของอาหาร พิจารณาให้เห็นความเป็นจริง ที่ซ่อนอยู่ในอาหารการกิน จะได้คลายออกจากความอยาก จะได้อยู่ง่ายกินง่าย ไม่ขวนขวายดิ้นรน เพื่อให้ได้อาหารมากิน จนเป็นเหตุของทุกข์
ให้นึกถึงพลังเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก ปรับจิตให้นิ่งสงบ ให้เบาสบาย ใจใสๆ นึกถึงอาหารที่กินไป จะเลิศรสขนาดไหน ถ้าอิ่มแล้ว ความต้องการที่จะกินต่อก็หายไป ความอร่อยก็หายไป จึงเห็นความเป็นจริง ในรสชาติอาหาร เพื่อจะได้ไม่หลงติดในรส ไม่ปรุงแต่งในการกิน จนเกินพอดี ความทุกข์ในการกิน ก็จะเบาบางลงไป
ดวงจิตที่อยู่ในวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดไปตามกรรม ตามการกระทำของตน บางครั้งก็เกิดเป็นคน ทำความดีมากก็เกิดเป็นเทวดา นางฟ้า บางทีก็เวียนเกิดเป็นสัตว์ หมู หมา ช้าง ม้า วัวควาย เกิดเป็นปลา เป็นไก่ เป็นได้ทั้งนั้น สัตว์ก็คือคนที่เคยทำไม่ดี อาจจะมีผู้ที่เคยเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้องกันมา เนื้อสัตว์ที่ทำเป็นอาหาร ก็จะได้รับประทานเนื้อของใครก็ไม่รู้ ที่เขาเคยเกิดมาเป็นคน
การดูลมหายใจเข้าออก แบบที่ ๓ นั่งสมาธิ หลับตาลง แบมือสองข้างวางไว้บนหัวเข่า หายใจเข้าลึกๆ เข้าสู่ศูนย์กลางกาย หายใจออก ปล่อยวาง ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป ให้ว่าง ให้โล่ง แล้วให้หายใจเบาๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติ โดยกำหนดจิตตามลมไปเรื่อยๆ จะเห็นพลังงานของลม เห็นแสงสว่าง เกิดความสุข สงบ จะเข้าสู่ฌานได้ในที่สุด
การดูลมหายใจออก หายใจเข้า ในแบบที่ ๒ ต้องควบคุมอารมณ์ ให้อยู่ในลมหายใจเข้า หายใจออก หลับตาลงให้สบาย ปล่อยวางความคิด เอาความรู้สึกมาไว้ที่จมูก สูดลมลึกๆ เข้าสู่ศูนย์กลางกาย หายใจเข้า หายใจออกก็ดูลมนั้นไป ทำไปเรื่อยๆ จนลมละเอียด จะเกิดอารมณ์ปิติ สุข เอกัคคตา สู่อุเบกขาอารมณ์ เป็นเช่นนั้น ให้ลองทำดู จะเกิดความรู้ได้ด้วยตนเอง
อานาปานสติ อานะ หายใจออก ปานะ หายใจเข้า สติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ เป็นกรรมฐานกองใหญ่ ที่ใช้ลมหายใจในการภาวนา ทำให้จิตเข้าไปพักผ่อน เข้าถึงอารมณ์ฌาน
ร่างกายเปรียบได้ดั่งเรือแจวเรือพาย ใช้เดินทางเพื่อข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามวัฏสงสาร อาศัยกันไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อเรือรั่วก็ยาแนวรักษาดูแลไว้ จนพุพังซ่อมไม่ไหว จึงหาลำใหม่เดินทางต่อไป กายาก็เป็นเช่นนั้นเปรียบได้เช่นลำเรือ
ร่างกายมนุษย์เป็นที่สุดของความยึดถือ ผู้ใดพิจารณาให้เข้าใจ เห็นได้ตามความเป็นจริง สิ่งที่ยึดถือจะคลายออก แล้วปล่อยวาง ความว่าง ความสบาย ความสงบ จะเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้นั้น
กองมี่ ๒๘ กายาคตานุสติ แบบที่ ๑
การพิจารณาร่างกาย ในแบบที่ ๑ เพื่อให้จิตเข้าถึงความสงบเป็นสมาธิ ให้เห็นความเป็นจริงของร่างกาย ยกเอาอวัยวะแต่ละส่วนมาพิจารณาให้เห็นถึง ความไม่สะอาด ไม่สวย ไม่งาม ไม่เที่ยงแท้ เห็นตามความเป็นจริง ให้จิตคลายออกจากความยึดถือ ยึดติด ลุ่มหลงในตัวในตน จะได้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา เข้าถึงความสงบได้ ด้วยการพิจารณากาย
ชีวิตที่เกิดมาได้ร่างกาย เหมือนได้บ้านเรือนมาอยู่อาศัย ผ่านกาลเวลาล่วงไป มีแก่ เจ็บตาย ผุผัง เสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นโลกใดในวัฏสงสาร ย่อมเป็นเช่นนั้น จึงไม่ควรลุ่มหลงยึดติดกับโลก หาทางดับการเกิดกันดีกว่า จะได้ไม่ต้องตายอีกต่อไป
ความตาย คือการดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิด แล้วก็ต้องดับ ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้แน่นอน โลกใบนี้เป็นโลกที่สมมุติขึ้นมา ให้ยกจิตของเรา อยู่เหนือสิ่งสมมุติทั้งหลายเหล่านั้น มีการเกิด ต้องมีการตายเหมือน ทำจิตของเราให้สงบ ให้ว่าง ให้นั่งสมาธิอยู่กับแสงสว่าง มีปัญญารู้แจ้งอยู่เหนือการเกิดและการตาย
เราจะได้ปล่อยวาง ไม่ยึดติดลุ่มหลง จิตจึงจะสงบเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้
เทวตานุสติ แบบที่ ๓ ให้นึกถึงพระศรีอริยเมตตรัย ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ด้วยการน้อมพลังพุทธบารมีมาเติมไว้ในศูนย์กลางกาย พลังเต็มเมื่อไหร่ ก็จะมีแสงสว่างไสว อารมณ์โปร่งเบาเข้าสู่ความสงบเย็น
การระลึกถึงเทวดาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ในแบบที่ ๒ ให้นึกถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม ผู้มีเมตตา ช่วยดูแลวัฏสงสาร ให้ดวงจิตทั้งหลายได้ทำความดี ให้ถึงความพ้นทุกข์ ทำจิตรับกระแสเมตตาบารมี ความสุข จนเข้าถึงความสงบเย็น
จาคานุสติ เป็นการระลึกถึงทาน การให้เป็นอารมณ์ นึกถึงสิ่งที่ได้สละ ทำทานไปแล้ว และสิ่งปรารถนาที่จะให้เป็นทาน ด้วยความเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข จึงยังผลให้สลายความโลภ และความหลงในจิต ให้เบาบางลงไป จนเกิดความสุข ตั้งมั่นเป็นหนึ่งในผลของทาน
การระลึกถึงทาน การให้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ในแบบที่ ๒ นั่งหลับตาปล่อยจิตใจให้ว่าง ให้พิจารณาประโยชน์ ที่เกิดจากผลของทาน มองเห็นกายที่สว่างไสว ด้วยผลของทานทำให้ความโลภ ความหลงอออกจากจิตใจ ความสว่างจึงเกิดขึ้น ภาวนาดูแสงสว่างไป จนเป็นสมาธิเข้าสู่อารมณ์ฌาน
จาคานุสติ แบบที่ ๓ ให้น้อมพลังพุทธบารมี ให้เต็มในศูนย์กลางกาย เพื่อถอดกายภายใน ออกไปดูสภาวธรรมของโลกทิพย์ ดูทิพย์สมบัติที่ได้ทำทานเอาไว้ จะคลายความลุ่มหลงในกายหยาบ และสิ่งของทั้งหลายในโลก แล้วพิจารณาถอดถอนกายภายใน และทิพย์สมบัติเหล่านั้น ด้วยการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ปล่อยวางให้จิตใจว่างๆ เพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
เทวาตานุสติ ให้ระลึกถึงเทวาดาเป็นอารมณ์พระกรรมฐาน ในแบบที่ ๑ ให้นึกถึงพระอินทร์ ผู้เป็นองค์จักรพรรดิ์ ปกครองดูแลวัฏสงสาร การจะเป็นพระอินทร์ได้ย่อมมีคุณความดี พลังบารมีที่ได้สั่งสมมามาก จึงเป็นการน้อมรับพลังเพื่อทำให้จิตสงบเย็น จิตเข้าถึงฌานได้ง่าย
การระลึกถึงศีล ให้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ในแบบที่ ๓ ให้กำหนดดวงศีลเป็นดวงแก้ว นึกถึงแล้วให้น้อมมาคลุมจิต ใจและกาย และภาวนาดูไป จนจิตเข้าสู่ความสงบ เข้าสู่อารมณ์ของฌาน
เกิดมาแล้ว มาอยู่ในเกมส์ มีศีลเป็นกติกา มีกิเลสตัณหาเป็นตัวหลอกตัวล่อ ให้ลุ่มหลงทำผิดทำพลาดละเมิดในศีล เพื่อตัดแต้มคะแนน ผู้ที่รักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์ จึงจะมีโอกาสสามารถชนะได้ในเกมส์
สีลานุสติ เป็นวิธีทำสมาธิ โดยการนึกถึงคุณของศีล ที่เป็นเกราะป้องกันภัยจากกิเลสมารทั้งหลาย ที่จะมาทำให้เร่าร้อนเป็นทุกข์ จนเข้าถึงความอิ่มใจ เป็นสุข จนจิตตั้งมั่น อารมณ์เป็นหนึ่งเดียว
สังฆานุสติ วิธีที่ ๓ สำหรับผู้ที่มีจิตเป็นทิพย์ สามารถยกจิตออกจากกาย ให้ไปเข้าเฝ้าพระอริยสงฆ์เจ้า ที่พระนิพพาน เพื่อให้ดวงจิตห่างไกลจากกิเลสตัณหา ตัดความยึดติด สลายความยึดมั่นในตน จะได้พ้นจากความทุกข์
สังฆานุสติ วิธีที่ ๒ เป็นการน้อมระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ ที่เป็นองค์ที่สามแห่งพระรัตนตรัย พระสงฆ์เปรียบได้เสมือนเสื้อเกราะ ให้ดวงจิตทั้งหลายที่มาสวมใส่ ให้ปลอดภัย ด้วยศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ป้องกันภัยจากหมู่มารทั้งหลาย ให้เดินทางจนถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน
สังฆานุสติ คือการระลึกนึกถึงพระสงฆ์ ขึ้นเป็นองค์กรรมฐาน เพื่อเข้าสู่ฌานสมาธิ วิธีที่หนึ่ง ให้ระลึกถึงหลวงปู่ หลวงตา ผู้เป็นองค์อริยะ ที่ละสังขารไปแล้ว น้อมพลังพุทธจิตบารมี ความดีที่ท่านได้สร้างกระทำมา จนเกิดฌานสมาธิ เข้าสู่ความสงบเย็น จนเป็นเอกัคคตา
แก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เข้าใจ รู้แจ้งตามความเป็นจริง ของการเวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสารอย่างไม่จบไม่สิ้น และสอนให้รู้ถึงวิธีดับการเกิด ด้วยการดับเชื้อกิเลสตัณหา สลายอัตตาตัวตน เพื่อจะได้พ้นจากความทุกข์
ดวงธรรมนำมาเป็นดวงแก้ว ให้เกิดแสงสว่างไสวไปเป็นแก้ว แล้วน้อมพลังสู่ศูนย์กลางกาย ให้ความเย็นสบายและแสงสว่างกระจายออก ทุกส่วนของร่างกาย จะทำให้เกิดจิตกายใจสงบ เข้าสู่ฌานในธัมมานุสติในที่สุด
การเดินทางที่ไม่มีจุดหมาย การเดินทางที่ไม่รู้หนทางไป ย่อมเดินเวียนวน หรือหลงทางไปเป็นธรรมดา ผู้ที่ปรารถนาหลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตาย เข้าถึงพระนิพพานได้ จะขาดธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นแผนที่การบอกทางไปไม่ได้ เช่นเดียวกัน (ความตั้งใจ)
พุทธานุสติ แบบที่ ๓ *****
การฝึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า อีกแบบหนึ่ง ให้นึกว่ามีพระพุทธเจ้านั่งอยู่บัลลังก์บัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่สูงขึ้นไป ให้คิดว่าที่ตรงนั้นคือพระนิพพาน แล้วน้อมจิตใจกายภายในของเรา เข้าไปถวายดอกบัวแก้วแทนคุณความดี ที่เราเคยสร้างเคยทำมา แล้วขอน้อมพลังพุทธบารมี มากระทบฝ่ามือสองข้าง แล้วน้อมเข้ามาเก็บไว้ที่ศูนย์กลางกาย ต่อไปจะเกิดอะไรบ้าง ลองไปทำดู จะรู้ได้ด้วยตนเอง
การทำสมาธิเอาจิตไว้อยู่ที่กาย แล้วทำจิตให้สงบย่อมทำได้ แต่ถ้าจะให้สงบเย็นได้อย่างง่าย ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าที่อยู่พระนิพพาน จิตจะได้รับพลังงานที่สงบเย็น เป็นพลังพุทธบารมี น้อมมาสู่จิตกายใจ ทำให้เกิดความสงบได้โดยไว เป็นเช่นนั้น
การระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นการระลึกถึงผู้รู้แจ้งตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ผู้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ข้ามพ้นความทุกข์ ผู้ถากถางทาง ผู้ชี้ทางให้เราได้เดินตาม จะได้ถึงซึ่งพระนิพพานเช่นเดียวกัน
กองที่ ๓๒ จตุธาตุววัฏฐาน แบบที่ ๑
จตุธาตุววัฏฐาน คือการพิจารณาร่างกายว่า ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ อย่าง คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ถ้าธาตุทั้งสี่ผุพังไป ร่างกายของเราก็ต้องสลายไปสู่ความไม่มี รู้ความเป็นจริงของกายนี้ จะได้ถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลงในตน จะได้พ้นจากความทุกข์
ธาตุทั้งสี่ที่นำมาเป็นองค์ภาวนา จะนำมาทีละธาตุก็ได้ โดยน้อมพลังงานพุทธบารมีสู่ร่างกาย ยกเอากิเลสตัณหาที่คลุมกาย ที่คลุมใจเป็นธาตุไฟ หายใจเข้า เอาธาตุลมที่เย็นๆ เข้าสู่กาย ไปสลายความร้อนที่มีสีแดง เพ่งเป็นอารมณ์ เติมธาตุลมที่เย็นเข้าไป หายใจเอาลมออกไป ดูไปเรื่อยๆ จนจิตว่างเบา เห็นสีเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีขาว สู่ความเป็นแก้วเป็นรประกาย ได้เข้าสู่ฌานสี่ เช่นนี้แล
การพิจารณาธาตุทั้งสี่ สูดลมหายใจเข้าหายใจออก เอาจิตสัมผัสความเย็นสบายของธาตุลม น้อมพิจารณาร่างกายที่ประกอบขึ้นได้ด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ไม่มีความเที่ยงแท้แปรปรวนไป เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เช่นนั้นเอง เห็นแล้ว รู้แล้ว ปล่อยวาง ความว่าง ความสงบ จะบังเกิดแก่ผู้ปฏิบัติ เช่นนั้นแล
เมตตา คือ ความรัก ปรารถนาดีให้มีความสุข ไ่ม่มุ่งร้ายเบียดเบียนใคร เป็นการให้ความรัก ที่ไม่หวังผลตอบแทน ทรงอารมณ์นี้ได้ จะถอดถอนความโกรธพยาบาท ให้หมดไป จิตจะชุมเย็นสบาย มีความสุข มุ่งตรงสู่พระนิพพาน
หากปรารถนาที่จะทรงอารมณ์ไว้กับความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์แล้ว ให้เรียนรู้ศึกษา ทำเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต ฝึกจิตของตนให้อยู่เหนือกิเลส ตัณหา รู้แจ้งในธรรม จึงจะทรงอารมณ์ความรัก ปรารถนาให้ผู้อื่นพบความสุขได้ตลอดไป
บุคคลที่ปรารถนาจะไปนิพพาน จะขาดความเมตตาไปไม่ได้ มีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นทุกลมหายใจ ไม่แบ่งแยกว่าเป็นใคร เคยมีสิ่งที่กระทบ ไม่พอใจกันมา บุคคลผู้นั้น ย่อมมีจิตใจสว่างไสว กิเลสตัณหาไม่สามารถครอบงำได้อีก กรรมฐานกองนี้ จึงสำคัญยิ่งนัก
กรุณา คือความสงสาร ปราณี ปรารถนาสงเคราะห์ ให้ผู้อื่นได้รับความสุข จะฝึกจิตเช่นนี้ได้ ต้องทำจิตใจให้สงบ จึงจะเข้าถึงสภาวะความเป็นจริง ให้เห็นความต้องการของตน เห็นความต้องการของผู้อื่น เห็นทุกข์ของตน และเห็นทุกข์ของผู้อื่น จึงจะวางจิตให้สงเคราะห์ได้อย่างดี ไม่มีความทุกข์
ตามกฏของกรรม การกระทำของผู้ใด ย่อมตกเป็นของบุคคลผู้นั้น การมีความกรุณาช่วยสงเคราะหฺให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความดีนี้ จะกลับมาค้ำหนุนให้เราพบความพ้นทุกข์ เช่นเดียวกัน
กรรมฐานกองนี้ มีไว้ให้พิจารณา ไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตา การมีความสงสารในจิตใจ จะได้ไม่เบียดเบียนใคร ให้ผู้ใดต้องเป็นทุกข์ ทำให้ตนอยู่ไม่เป็นสุขในภายหลัง มีสิ่งใดที่ดีช่วยเหลือแบ่งปันให้ผู้อื่นได้เป็นสุข จิตจะหลุดจากความยึดติด ลุ่มหลง มุ่งตรงต่อพระนิพพาน เป็นฉะนี้ แล
มุทิตา พลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี อิจฉาผู้อื่นไม่มี กรรมฐานกองนี้ เจริญให้มาก จะเป็นการเปิดจิตเปิดใจ รับคลื่นพลังที่เป็นบวก เข้าสู่จิตใจ ทำให้จิตมีความสุขชุ่มเย็น
สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ มีอยู่สองด้าน มีด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี สิ่งที่ดีเกิดขึ้นในที่ใด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร บุคคลที่มีปัญญา จะเอาเมล็ดพันธ์ุที่ดี ไปปลูกหว่านต่อ บุคคลที่โง่เขลา จะเอาสิ่งที่แย่ๆ ไปแพร่เชื้อขยายพันธุ์
การจะทรงอารมณ์ อยู่ในความดี มีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีนั้น ต้องหมั่นพิจารณาให้เข้าถึง ลึกซึ้งในกฎของกรรม ทำสิ่งใดไว้ ย่อมส่งผลให้ได้รับในสิ่งที่ทำ ปรารถนาได้รับความดี ต้องคิดดี พูดดี ทำดี ความดีถึงจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่กระทำ เช่นเดียวกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับใคร ล้วนมีปัจจัยจากที่เขาทำเอง การจะวางจิตให้ปล่อยวาง โดยไม่ทุกข์ใจ ไม่ให้เบียดเบียนใครและตัวเราเอง ต้องเป็นผู้รู้แจ้งในกฏของกรรม ด้วยการมีศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จะเห็นเป็นธรรมดา ในเหตุที่เกิด ในเหตุที่ดับไป
การฝึกจิตให้ทรงอยู่ในอารมณ์อุเบกขา ปล่อยวางทุกอย่างเห็นเป็นธรรมดา ย่อมต้องทำความดี มีเมตตาสงเคราะห์ผู้อื่น มีศีล ธรรม สมาธิ ปัญญาจนเต็ม จึงจะรู้จักการวางเฉย เห็นธรรมดาของถังน้ำที่มีรูรั่ว เติมน้ำเท่าไรก็ไม่เต็ม จะเมตตาอย่างพอประมาณ
ต้นไม้ใบหญ้า อากาศ แปรเปลี่ยนไป ตามยุคตามสมัย จะอุดมสมบูรณ์หรือแห้งแล้ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา ดวงจิตจะได้ร่างกายเช่นใดมา เกิดจากผลของกรรม ผู้ฝึกจิตของตน จนรู้แจ้งตามความเป็นจริง จะวางอุเบกขาเป็นอารมณ์
กองที่ ๓๗ อากาสานัญจายตนะ แบบที่ ๑
อากาสานัญจายตนะ เป็นการเอาอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป มีความว่างกว้างใหญ่ กว้างขวางไม่มีประมาณ มาเป็นอารมณ์ โดยต่อยอดจากฌานสี่ที่มีรูป เข้าสู่ความอุเบกขาอารมณ์ จะมีความละเอียดปราณีตของจิตยิ่งขึ้น
กายนี้ มีเหตุมาจากกรรม เมื่อหมดรอบของกรรม กายนี้ก็จะดับสลายไป กลับคืนสู่ความว่างเปล่า พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง จิตจะสงบนิ่ง ดำดิ่งสู่ความว่าง โปร่งเบา แล้วนำเอาความเวิ้งว้างว่างเปล่าของอากาศ มาพิจารณาจนเข้าสู่อุเบกขารมณ์
การจับเอาอากาศ มาเป็นอารมณ์นั้น มีความว่าง เบาสบาย ผู้ได้สมาธิถึงอรูปฌาน จะมีอารมณ์คล้ายกัน กับอารมณ์ของพระนิพพาน ที่ที่ไม่มี ที่ที่ว่างเปล่า ที่ที่มีก็แค่สักว่ามี มีกับไม่มี ก็เสมอเหมือนกัน
กองที่ ๓๘ วิญญาณัญจายตนะ แบบที่ ๑
กำหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ โดยจับอากาสานัญจายตนะ คือกำหนด อากาศจากอรูปเดิมเป็นปัจจัย ถือนิมิตอากาศนั้นเป็นฐานที่ตั้งของอารมณ์ แล้วกำหนด ว่า อากาศนี้ยังเป็นนิมิตที่อาศัยรูปอยู่ ถึงแม้จะเป็นอรูปก็ตามแต่ยังมีความหยาบอยู่มาก เราจะทิ้งอากาศเสีย ถือเฉพาะวิญญาณเป็นอารมณ์ แล้วกำหนดจิตว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมดเด็ดขาดกำหนดวิญญาณ คือถือวิญญาณ ตัวรู้เป็นเสมือน จิต โดยคิดว่าเราต้องการจิตเท่านั้นรูปกายอย่างอื่นไม่ต้องการจนจิตตั้งอยู่เป็นอุเบกขารมณ์
ผู้ที่ได้ฌาน ๔ เมื่อปรารถนาความดี ให้จิตมีพลัง มีความละเอียด ปราณีตยิ่งขึ้น ให้หายใจเข้า หายใจออกเป็นอารมณ์ จนจิตทรงตัว แล้วนึกถึงท้องฟ้า ที่มีความโล่งความว่าง แล้วน้อมมาคลุมมาที่กาย จนเห็นกายเป็นแก้วใสๆ สลายสิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็นนั้นไป จะเหลือแค่ความรู้สึกอยู่ ให้ปล่อยความรู้สึกนั้นเสีย จะดับการรับรู้ เข้าสู่อุเบกขาอารมณ์
เรานั้นมีอะไร มีกายนอก มีกายใน มีจิตซ้อนอยู่ภายใน มีใจเป็นตัวประสาน โดยมีวิญญาณเป็นประสาทรับรู้ ของกายนอกและกายใน กรรมฐานกองนี้ จะดับวิญญาณ ดับการรับรู้ให้หายไป จากสิ่งทั้งหลายที่มี
กองที่ ๓๙ อากิญจัญญายตนะ แบบที่ ๑
อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ โดยเข้าฌาน ๔ ผ่านความว่างของอากาศ ผ่านตัวรู้คือวิญญาณภายใน คิดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ อากาศก็ไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ายังมีอะไรสักอย่างหนึ่งแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เป็นเหตุของความทุกข์ ฉะนั้นการไม่มีอะไรเลยเป็นการปลอดภัยที่สุด แล้วก็กำหนดจิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด จนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์
การพิจารณาร่างกายให้ถึงความไม่มีอยู่จริง พิจารณาให้เห็นในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ถอดถอนสิ่งสมมุติที่เป็นเรา เป็นของเรา ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย จิตจะปล่อยความยึดถือทุกอย่าง จนถึงความว่างเปล่า เข้าสู่อุเบกขาอารมณ์
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เข้าไปในท้อง แล้วหายใจออก กำหนดจิตตามลมเข้า ลมออกไปเรื่อยๆ ทำจนเห็นลมเป็นแสงสว่าง เกิดความว่างทั้งนอก และความว่างภายใน ดูไปเรื่อยๆจนเกิดความว่างไป สว่างไปหมด จึงปล่อยตัวรู้ ที่ดูความว่างอยู่ อารมณ์ใจจะไปถึงความไม่มี เป็นการวางอุเบกขารมณ์
กองที่ ๔๐ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แบบที่ ๑
เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ กำหนดว่ามีความจำก็ไม่ใช่ ไม่มีความจำก็ไม่ใช่ คือ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า มีความจำอยู่นี้ ก็ทำความรู้สึกเหมือนไม่มีความจำ คือไม่ยอมรับรู้ จดจำอะไรหมด ทำตัวเสมือนหุ่นที่ไร้วิญญาณ ไม่รับรู้ ไม่รับอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น หนาวก็รู้ว่าหนาวแต่ไม่เอาเรื่อง ร้อนก็รู้ว่าร้อน แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย มีชีวิตทำเสมือนคนตาย คือไม่ปรารภสัญญาจดจำใด ๆ ปล่อยตามเรื่อง จนจิตเป็นเอกัคคตาและอุเบกขารมณ์
กรรมฐานสุดท้ายในอรูปฌาน สูงสุดคืนสู่สามัญ เมื่อจับอากาศ สู่ความว่างเปล่า ดับการรับรู้ เข้าสู่ความไม่มี แล้วกลับมาสู่การรับรู้ มีอยู่เหมือนไม่มี เป็นอารมณ์ปล่อยวาง จำเหมือนไม่จำ ปราศจากการปรุงแต่ง ไม่ยึดสิ่งใด มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ มีค่าไม่แตกต่างกัน เป็นผู้เข้าถึงความสำเร็จสูงสุดแห่งฌาน
มีหูตา จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถรับรู้ สิ่งทั้งหลายที่กระทบเข้ามา แต่ปล่อยวาง อยู่ในความว่าง ทำเหมือนทุกอย่างไม่มี ไม่ปรุงแต่งไปทางใด ความจำหมายรู้ได้ แต่ทำเหมือนไม่มีความจำ วางอุเบอกขาอารมณ์ เป็นลักษณะผู้ที่ได้เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้นแล้ว