“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาลูกทั้งหลายให้รู้จักรักษา ทำความดีเอาไว้ พระองค์ได้ทรงสอนลูกในเรื่องนี้แล้ว พระองค์จะทรงมีคำสอนอื่น ที่จะสอนให้ลูกได้นำไปประพฤติ ปฏิบัติธรรม ในการดำรงชีวิต
ในสิ่งที่ลูกควรทำต่อไป ให้ลูกได้เจอสิ่งที่ดีอื่นๆ อีกหรือเปล่าเจ้าคะ ? ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งอื่นที่จะแนะนำเพิ่มเติม ก็คือ การรู้จักหน้าที่แห่งตน
จงตั้งใจฟังเอาไว้ให้ดี ก็แล้วกันนะ.. จะได้ถ่ายทอดธรรมนี้ถูก
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลูกนั้นรู้หรือเปล่าว่า.. หน้าที่ของคนที่อยู่ในวัฏสงสารนี้ มีอะไร
ลูกพอจะเข้าใจในหน้าที่นั้นหรือเปล่า ? จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่า คนเราทุกคนมีหน้าที่มากมาย เป็นของตนเอง แต่หน้าที่หลักๆของเรา
มีอยู่เพียงแค่หน้าที่เดียว คือ “การทำความดี เพื่อพบกับความหลุดพ้น” น่ะเจ้าค่ะ
เพราะหน้าที่อื่นๆนั้น.. ต่อให้จะทำไปเท่าไร - ก็ไม่มีทางที่จะจบลงเลยเจ้าค่ะ
... เข้าใจอย่างนี้เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่จริงแล้ว หน้าที่ของคนเรานั้น อาจจะดูว่ามีมากมาย
ต้องทำสิ่งนั้น ต้องทำสิ่งนี้ .. มากมาย จนเรานั้น มึนหัวกับสิ่งที่เราต้องทำ
มีหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ
มีสิ่งที่เข้ามาให้เราต้องสูญเสียมันไป แล้ววิ่งทุกข์กับมัน เสียดายกับมัน
มีสิ่งที่มันเกิดขึ้น อยู่ตรงข้างหน้า - ให้เราต้องวิ่งตามมันไป
มีสิ่งมากมายหลายอย่าง - ที่หลอกล่อเรา..
- ให้วิ่งวุ่นไปในอดีตบ้าง
- ยึดติดอยู่กับสิ่งที่มีที่เป็น ในปัจจุบันบ้าง
- วิ่งวุ่นไปกับสิ่งล่อตาล่อใจ ที่รอเราอยู่ในอนาคต ให้เราวิ่งไปหาบ้าง
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราคิดว่า “มันเป็นหน้าที่ของเรา”
รวมถึง แม้กระทั่งกายของเรานี้เอง.. ก็ด้วย
เราหลงตามมันไป ต้องดิ้นรนให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้มัน
ต้องทำ.. เพราะจะต้องกินต้องใช้
ต้องดูแล ต้องรักษามันไว้
...สารพัดหน้าที่ ความยุ่งเหยิงมากมาย.. ที่มีอยู่ในดวงจิตทั้งหลาย - ผู้ที่ยังไม่หลุดพ้น
แต่ พระยาธรรมเอย.. แท้ที่จริงแล้วลูก หน้าที่ทั้งหลายเหล่านั้น..
มันเป็นหน้าที่อันจอมปลอม
เป็นหน้าที่อันจอมปลอม เพราะว่า.. มันเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา
ตามเหตุ ตามปัจจัย ตามที่ที่เราไปก่อเกิด
เพื่อหลอกเราให้ทำหน้าที่สิ่งนั้นสิ่งนี้..
ให้วิ่งตามสิ่งนั้นสิ่งนี้
ให้วิ่งกลับหลังบ้าง
ให้วิ่งไปในอนาคตบ้าง
... แล้วก็มากลุ้ม มาทุกข์อยู่กับปัจจุบัน
มันเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา เพื่อหลอกเรา..
/ หลอกให้เรา เสียเวลา
/ หลอกให้เรา วิ่งตามมัน
/ หลอกให้เราหลงสุข หลงทุกข์ เพลิดเพลินไปกับมัน
... แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันไม่ได้มีอยู่จริง !
-- มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป --
ไม่ว่าเราจะขวนขวายมันมาเท่าไร เราจะทำได้ดีเพียงใด
ท้ายที่สุดแล้ว..ทุกอย่างก็สลาย หายไปกับกาลเวลา
ดับไป ไม่เหลืออะไร
ชาติก่อนได้ทำอะไรไว้แล้ว มากมาย
... ท้ายที่สุดก็ดับ ก็หายไป
ชาตินี้ เกิดมาใหม่ ก็มาดิ้นรน ขวนขวายทำใหม่
ทำให้กาย ทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกาย ทั้งตัวบุคคล และข้าวของ
ทำไปจนจบชาติ.. แล้วก็กลับมาเริ่มต้นใหม่
... ทำอยู่อย่างนี้
เราหลงนึกว่า..
- สิ่งที่เราวิ่งวุ่นกันอยู่
- ปรุงแต่งกันอยู่
- พยายามแสวงหาอยู่
-- นั่นคือสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว..
ดวงจิตทั้งหลาย ก็เลยวิ่งวุ่น พัวพัน มัวเมา ลุ่มหลง จมอยู่กับหน้าที่
จนทำให้ตนลืมหน้าที่หลัก ลืมหน้าที่ที่ถูกต้อง ที่ควรจะทำ
ลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้ว.. ตัวของเรา- ผู้ซึ่งเป็นดวงจิตนี้
หลงทางเข้ามา อยู่กับกองทุกข์ในโลก / ในวัฏสงสารนี้.. นานเพียงใดแล้ว !
ลืมไปว่า สิ่งที่เราต้องทำ ที่มันเป็นหน้าที่อันประกอบด้วยโลกสมมุตินั้น
มันพาให้เราวนเวียน จนไม่รู้จบ
หน้าที่มีมากมาย ดิ้นรนกันไป
... แต่มันจบไม่เป็น !
ลืมไปว่า ตนนั้นต้องทำสิ่งนี้ต่างหากเล่า
สิ่งที่ทุกคนต้องทำอย่างแท้จริง ที่เป็นหน้าที่แห่งตนจริงๆก็คือ
** มีหน้าที่ทำความดี - เพื่อดับความชั่ว **
ตัวของเรานี่นะ พระยาธรรม..
ในทุกวินาทีของชีวิต
ทุกลมหายใจเข้า-ออก ของเรา
ทุกดวงจิต ทุกที่ ทุกแห่งหน ทุกภพ ทุกภูมิ
จริงๆแล้ว.. เราควรที่จะรู้ตื่นว่า หน้าที่ที่แท้จริงของเรา คือ
การทำความดี เพื่อที่จะลบล้างความชั่ว ให้หายไปจากตัวของเรา
และความดีเหล่านั้น.. ก็จะนำพาให้เรารู้แจ้ง
เมื่อเรารู้แจ้งแล้ว เราก็จะได้หลุดไปจาก หน้าที่มากมาย ที่ต้องทำ
ที่สมมุติว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
... แล้วก็ทุกข์ที่ไม่สิ้นสุดเหล่านั้น
เรามีหน้าที่เดียว ลูกเอ๋ย.. คือ หน้าที่ของการทำดี
หน้าที่ที่ปกป้องความดีของเราเอาไว้ ไม่ให้ความชั่ว
- เข้ามาคุกคามเรา
- เข้ามามีอำนาจในตัวของเรา
- เข้ามาควบคุม ครอบงำเรา ให้จม ให้ตกเป็นทาสของมันต่างหากเล่า
และความชั่วเหล่านั้น ก็คือ
ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ - คือ เชื้อแห่งกิเลส
ความอยาก และความไม่อยาก - คือ เชื้อแห่งตัณหา
สิ่งเหล่านี้...
มันกำลังคุกคามเราอยู่หรือเปล่า
กำลังทำให้เราเป็นทุกข์ เร่าร้อน ดิ้นรนขวนขวาย อยากได้ อยากมีอยากเป็น
หรือว่า เรามีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา ปกป้องตัวของเราเอาไว้ ..
ไม่ให้เรา ถูกสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย คุกคาม
ช่วยให้เรานั้น เห็นแจ้งในความจริงขึ้นทุกวัน
เราห่างจากความทุกข์ ออกไปทุกวันๆ
เราต้องดูอย่างนี้.. พระยาธรรม
ดูหน้าที่ของตนให้ดี นั่นละลูก มันคือ หน้าที่
หน้าที่หลักเลยทีเดียวละ ที่เราควรทำ
เป็นหน้าที่ที่แท้จริง.. ลูกเอ๋ย
ดูที่จิตของเรา นี่ละ
ดูที่ตัวของเรา นี่ละ
ตัวของบุคคลภายนอก หรือข้าวของ ลาภยศ สรรเสริญต่างๆ
สิ่งเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของหลอกล่อ
เป็นสิ่งที่ชักจูงนำพาให้เราเวียนวน คือ ความหลงทั้งนั้น
.. รวมถึงร่างกายของเราด้วย
ฉะนั้น.. เราแค่ดูที่จิตของเรา นี่ละลูก
วันนี้ มีกิเลสตัณหา มากมั้ย ?
วันนี้มีความดี มากมั้ย
ความดีมากกว่า หรือความชั่วมากกว่า
ความดีของเรา ใกล้จะชนะหรือยัง
หรือความชั่วนั้น.. ชนะครอบงำเรา เต็มอัตตา
ความดีจะนำมาซึ่งความสุข ความสงบในตัวของเรา
สิ่งที่ดี เกิดรอบข้างเรา
ความชั่วจะนำความทุกข์ ความเร่าร้อน มาหาเรา
ตอนนี้เราทุกข์ เราเร่าร้อน เพราะหลง เพราะรัก เพราะโกรธ
หรือว่าตอนนี้เราเป็นสุข เพราะเรามีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา
เราต้องดูตัวเรา..อย่างนี้ลูก
ทำอะไร ทำไปด้วยความลุ่มหลง หรือเปล่า ?
ทำอะไรไป ทำไปด้วยไปด้วยความรัก มีเชื้อราคะ คลุมจิตเราหรือเปล่า ?
ทำไป มีเชื้อความโลภ เชื้อความโกรธหรือเปล่า ?
... เราต้องดูให้ดี..
หรือว่าเราทำ สักแต่ว่าทำ - ทำความดี กับพ่อแม่พี่น้อง คนรอบข้าง
เราก็..
- ทำอย่างถูกต้อง
- ทำอย่างปล่อยวาง
- ทำอย่างไม่ลุ่มหลง
- ทำอย่างไม่เบียดเบียนเขา / ไม่เบียดเบียนเรา
เราทำความดี ในการทำอาชีพ ทำมาหากิน - เป็นอาชีพที่สุจริตหรือเปล่า ?
หรือทำไปด้วยความโลภ ความหลง
เจือปนกับเชื้อกิเลส เชื้อตัณหา
เราดูสิ่งที่เราทำ.. ว่ามันอยู่ในกรอบของความดีหรือเปล่า ?
เรากำลังถูกความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ครอบงำ ทำไม่ถูกหรือเปล่า
หรือว่า เรามีสติปัญญามากพอแล้ว มากพอที่ไม่หลงไปกับมัน
อย่างนี้ละพระยาธรรม.. จึงเป็นหน้าที่ที่แท้จริงของเรา
เราทุกดวงจิตที่ต้อง..
ต่อสู้มากมาย
ดิ้นรนขวนขวายมากมาย
แสวงหามากมาย
- เพื่อกาย
- เพื่อคนที่เกี่ยวข้องกับกาย
- เพื่อชีวิต ก็คือ กายอีก
ต้องดิ้นรน ต้องทุกข์ต้องทน - เพราะเราไปทำหน้าที่แห่งกิเลส ++
... ก็เลยต้องทุกข์อยู่อย่างนั้น !
เราจงทำหน้าที่แห่งบุญ คือ ความสุข คือ รักษาศีล ฟังธรรม เติมปัญญา
แล้วหน้าที่แห่งความดี ที่เราทำนั้น..
.. ก็จะนำพาความสุข ความเจริญ
.. นำพาสิ่งที่ดีที่งาม เข้ามาในชีวิตของเราเอง นั่นละ
เราทำหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือ ทำความดี - เพื่อที่จะดับความชั่วในเรา
ชีวิตเรา ย่อมเป็นไปในทิศทางที่ดี
ชีวิตเรา ย่อมเป็นไปในทิศทางที่ดี
-- แล้วความดี จะนำพาให้เราหลุดพ้น **
ถ้าเราทำหน้าที่นี้ไม่ได้.. เราก็จะถูกความชั่วคุกคาม ++
ความชั่วนั้น คือ ความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
คือ ความอยาก ความไม่อยาก
การยึดติด ลุ่มหลง ดิ้นรนขวนขวาย
หลงใหล ไปกับสิ่งสมมุติทั้งหลาย..
-- สิ่งเหล่านี้.. เขาก็จะคุกคามเราได้ --
พาให้เราวุ่นตาม ทุกข์ตาม
จมอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จบ รู้สิ้น
เกิดแล้ว ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
เป็นทาสของกายมา ไม่รู้เท่าไร
เป็นมาเป็นล้านชาติ ล้านกาย
เกิดเป็นคน - ก็ดิ้นรนไป
เกิดเป็นเทวดา - ก็ต้องมีหน้าที่ทำอีก
เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน.. เหมือนนก เหมือนปลา เหมือนกา เหมือนไก่
เขาก็ต้องดิ้นรนกันไปอีก !
เพื่ออะไร.. ก็เพื่อสนองกายนี้
แล้วเป็นยังไงล่ะลูก ท้ายที่สุด.. กายทั้งหลายเหล่านั้นก็ดับไปเฉยๆนี่แหละ
ลูกทั้งหลาย เลือกที่จะทำหน้าที่แทนกิเลสและตัณหา
ทำจนเป็นล้านชาติแล้ว..
ป่านนี้ก็ยังต้องทำอีก.. ใช่มั้ยลูก !
ยังต้องทำ - จะได้กิน
ต้องทำ - จะได้สบายหน่อย
ต้องทำ - จะได้มีอย่างเขา
... แล้วก็ต้องทำ อยู่อย่างนี้ จนกว่าแก่ตาย !
ตายแล้วได้อะไรลูก.. ทุกอย่างจบลง
เริ่มต้นใหม่ - ตามภูมิ ตามสถานที่ตนเกิด
แล้วก็ไปสร้าง.. ไปทำใหม่อีก - ตามกิเลส ตามตัณหาไปอีก
แล้วมันก็เกิด.. เกิดจริง - แต่มันก็ดับอีก
อยู่อย่างนี้นะลูก.. ไม่เห็นจะจบจะสิ้นอะไรเลย !
จงเลิกกันเถิดนะ เลิกทำหน้าที่ แทนกิเลสตัณหา
ทำ - เพราะหลง เพราะรัก เพราะโลภ เพราะโกรธ..
ให้ทำหน้าที่ของตน คือ ดูแลความดี
อยู่ในกรอบของศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
รักษาความดีเหล่านี้ไว้กับตน
อย่าให้กิเลสมันมาคุกคามตน คุมคามเราได้
มาพาเราไปจมอยู่ในความทุกข์ได้.. ลูก
ความดี..
จะได้เลิกพาเราไปจมอยู่ในความทุกข์ เสียที
จะได้เลิกเหนื่อย เสียที
จะได้พ้นทุกข์ เสียที
อย่างนี้ละ ลูกเอ๋ย.. ทำความดีไปเถิด ความดีจะนำพาให้เรา ได้รับสิ่งที่ดี
สิ่งที่ดีจะค้ำหนุนตัวเรา และคนรอบข้าง
ค้ำหนุนทุกดวงจิต ให้ได้พบกับความสุขอย่างแท้จริง
ความดีของเรา.. จะหนุนให้เกิดสิ่งที่ดีงาม ที่สุข ที่สบายรอบข้าง
ให้เรานั้นพ้นทุกข์เองนั่นแหละ
เช่นเดียวกัน กับที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. เกิดมาบนโลก
เลือกที่จะทิ้ง..
/ ทิ้งหน้าที่แห่งกษัตริย์
/ ทิ้งลาภยศ เงินทอง
/ ทิ้งคนรอบข้าง
-- ทิ้งไปเสียก่อน แล้วออกบวช --
.. แสวงหาหนทางที่ดี / หนทางที่ไม่ใช่ทางแห่งกิเลสตัณหา..
ไม่ลุ่มหลง จมอยู่ในหน้าที่อันจอมปลอม
ก็เลยไปหาหน้าที่ คือ ทำตนให้หลุดพ้นจากหน้าที่จอมปลอมทั้งหลาย
และเมื่อตนพบแล้ว จึงค่อยประกาศ ให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตน หลุดพ้นตาม
แล้วค่อยประกาศให้ทุกดวงจิตที่มีบุญสัมพันธ์กันมา มีรอบการเวียนว่ายตายเกิด ร่วมกันมา
รู้แจ้ง พ้นทุกข์ตาม
พระยาธรรมเอย.. องค์พระพุทธเจ้า ทิ้งเงินทองไปแล้ว
แต่บัดนี้ เงินทอง ขององค์พระพุทธเจ้าที่สมมุติว่า เป็นของพระพุทธเจ้า
.. ยังมีอยู่มากมายบนโลกนี้
ที่ไหนที่เป็นวัดวาอาราม ที่ไหนที่เป็นขอบเขตของพุทธศาสนา
เงินไหน ที่เป็นเงินของศาสนา ก็ยังเป็นของพุทธเจ้าอยู่..
แต่พุทธเจ้า ไม่ได้ยึดเอาไว้เท่านั้นเอง
ยังมีเงินทองหล่านั้น มาเลี้ยงดูชาวพุทธทั้งหลาย ผู้เป็นนักบวช.. ยุคแล้ว ยุคเล่า
บัดนี้ผ่านไปแล้ว หลายร้อยปี
เงินทองของพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ทุกวัด
ดูแลนักบวชให้ได้ปฏิบัติ
ให้ไม่หิว ให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย
เห็นมั้ยเล่า หน้าที่อันนี้แหละที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ อย่างแท้จริง
ถ้าเราทำดี อย่างถูกต้อง
ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรน ขวนขวาย
ไปเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อได้มาหรอกลูก
เรามีเงิน แค่ตายเท่านั้นละลูก
ไม่มีกษัตริย์องค์ใดบนโลกเลย..
- ที่จะรักษาสมบัติไว้ได้ถึง 2 พันกว่า ปี
- ที่จะดูแลพวกพ้อง บริวารของตนได้ ให้พบความสุข ได้ถึง 2 พันกว่าปี
ไม่มีความดี ที่สมมุติดี ว่า
ดีแล้ว ทำดีแล้ว
รับผิดชอบแล้ว
หน้าที่ดีใดบนโลกนี้เลย.. ที่จะช่วยเหลือ รับผิดชอบคนรอบข้างตนได้อย่างแท้จริง
ที่จะช่วยเหลือดูแลได้ อย่างมากก็แค่สิ้นสุดที่ลมหายใจของเรา
และของคนรอบข้างของเราในชาตินั้น
แล้วชาติหน้าก็มาใหม่.. แค่นั้นเอง
เวลาไม่เกิน 2-300 ปีหรอก สิ่งที่ทำทิ้งไว้ให้กับทุกคน
-- ก็จะหมด จะดับไป ตามกาลเวลาของโลกแห่งความไม่เที่ยงแท้อย่างนั้นละ..
พระพุทธเจ้า เข้านิพพานนานแล้ว พวกเราก็ยังได้
อาศัยธรรมของพุทธเจ้าในการดับทุกข์
อาศัยหนทางในการดับทุกข์
ก็ยังมีสิ่งที่พวกเรานั้น บูชา เคารพนับถืออยู่..
มีชื่อของพระพุทธองค์ ก้องโลก
ไว้ให้พวกเรานั้น ได้อาศัยพึ่งบารมีตรงนี้
- เพื่อทำความดี
- เพื่ออาศัยร่มโพธิ์ ร่มบารมีนี้.. ในการออกจากทุกข์
เห็นมั้ยละลูก หนทางแห่งการรักษาศีล ทำความดี มีเมตตา
ไม่ทำหน้าที่ ให้กิเลสตัณหา
-- มันกลับทำให้ความดีที่เราทำ หน้าที่ที่ดี สมบูรณ์
.. และสมบูรณ์ ได้ยาวนานกว่า ด้วยซ้ำไป
.. และจะยังคงอยู่ จนถึง 5 พันปี
และจะยังคงอยู่ ต่อให้ดับศาสนานี้ไปแล้ว..
ความดีเหล่านี้.. ก็ยังเชื่อมต่อสู่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า
และองค์พระพุทธเจ้า..องค์ต่อไปอีก
แล้วก็ยังคงเชื่อมต่อไป เรื่อยๆ
เห็นมั้ยล่ะลูก ความดีของพุทธเจ้าเท่านั้น.. ที่จะยังคงอยู่ตลอดไป บนโลกสมมุตินี้
ตั้งแต่องค์ปฐม - จนมาถึงองค์ปัจจุบัน
... และยังจะอีกยาวไกลจนถึงอนาคต ..
ความดีในพุทธศาสนา.. จะคุ้มครองดวงจิตทั้งหลาย - ให้มีปัจจัยสี่ค้ำหนุน
ให้ทุกดวงจิตได้อาศัย ได้พึ่งบารมีความดีตรงนี้
นี่ละ พระยาธรรม.. จึงจะเป็นการช่วยเหลือคนที่รัก อย่างแท้จริง
นี่ละ พระยาธรรม.. จึงจะเป็นคนที่รวย - รวยอย่างแท้จริง / รวยอย่างไม่มีวันดับจากความรวย
นี่แหละ พระยาธรรม.. คือการทำหน้าที่ที่แท้จริง
เพราะเมื่อเราจบจากโลกนี้ไปแล้ว - เราเองก็พ้นทุกข์อย่างถาวร
จิตทั้งหลาย.. ที่เขาอยู่ในโลกแห่งความทุกข์ - เขาก็ยังคงได้พึ่งความดีที่ทำไว้ให้ อย่างถาวร
เชื่อมต่อพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งสู่พระองค์หนึ่ง
ให้โลก ให้ดวงจิตทั้งหลาย.. ได้พึ่ง ได้อาศัย
เห็นมั้ยละลูก.. หน้าที่แห่งการทำความดี ไม่ลุ่มหลงตามหน้าที่ของกิเลสตัณหา
มันดีอย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ถ้าเรามัวแต่ลุ่มหลง ทำหน้าที่ของกิเลสตัณหาต่างๆ
อยากอย่างโน้น ยึดติดอย่างนี้
วิ่งตามความอยาก วิ่งตามความลุ่มหลง..
ดิ้นรนขวนขวาย ไป..
ก็ตายแล้วตายอีก - ทำแล้วทำอีก
ไม่เห็นจะมีอะไรจีรังยั่งยืนเลย - บนโลกนี้
พ่อแม่ ทำแทบตาย.แล้วก็หมดยุคไป.. ทิ้งสมบัติให้ลูก
ลูกเกิดมา โตมา ก็ต้องทำแทบตาย.. แล้วก็ทิ้งสมบัติไว้ให้ลูกอีก
แล้วพ่อแม่นั้นกลับมาเกิดใหม่ - ก็มาทำใหม่อีก
ไม่เห็นว่สมันจะเที่ยงแท้ เลยลูก
... ดิ้นรนกันไป ทำกันไป - ก็มีแค่ความว่างเปล่าเท่านั้นแหละ..
** พระพุทธเจ้าทิ้งหน้าที่ เพื่อแสวงหาหน้าที่ที่แท้จริง **
ฉะนั้น.. พวกเราทั้งหลาย จงรู้ตื่น.. ตื่นเถิดว่า
อย่าทำหน้าที่อันจอมปลอม !
คือ ทำหน้าที่ดิ้นรนขวนขวายตามกิเลสตัณหา / ลุ่มหลง จมอยู่กับมันเลย
จงทำหน้าที่ที่รักษาความดี ที่แท้จริงเอาไว้
แล้วหน้าที่ที่ดีอย่างแท้จริง - จึงจะช่วยเหลือทุกคนได้ ++
ช่วยเหลือให้หลุดจากความทุกข์ได้ อย่างแท้จริง
ลองทบทวนดู ธรรมนี้.. เป็นธรรมที่ละเอียดอ่อน
ต้องใช้สติปัญญาให้มาก ตรึกตรองให้ลึก
ต้องมีภูมิธรรม มีจิตที่บริสุทธิ์
-- จึงจะเข้าใจโดยทั้งหมด ++
หากคนที่ไม่มีปัญญาธรรม - หากนำไปพิจารณา..
ก็คงจะไปคิดไปทำในทิศทางที่ไม่ถูกอีก
ฉะนั้น.. ให้พิจารณาธรรมให้ดี ให้ถี่ถ้วน
ให้ลึก ให้เข้าใจ ให้แตกฉาน -ในสิ่งที่ชี้ทางให้นี้
... แล้วจึงค่อยนำไปเผยแผ่..
เมื่อเผยแผ่ไปแล้ว ทุกคนก็จะได้ประโยชน์จากธรรมะนี้
นี่แหละลูกคือ หน้าที่ที่แท้จริงที่เราต้องทำ ในแต่ละวัน
เรามีหน้าที่ต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาในตน
อั้นนั้นคือ หน้าที่หลักที่สุด **
ส่วนหน้าที่ภายนอกนั้น เราไม่ใช่ว่าทิ้งมันไป นะลูก
เราทำ
ทำ โดยปราศจากความหลงไงลูก
ทำ ทำโดยไม่เจือปนกับกิเลสตัณหา ไงลูก
ทำไป หน้าที่อะไรก็..
ทำไป แต่อย่าหลงทาง หลงโลก
ทำไป อย่า..
- หลงเงิน
- หลงลาภยศสรรเสริญ
- หลงความโกรธ
- หลงในเชื้อราคะ
ต้องไปขวนขวายตรงนั้นมา ดิ้นรนตรงนี้ เติมตรงโน้น เติมตรงนี้
จนตนนั้นวุ่นวายไปหมด อย่าไปทำอย่างนั้นก็พอ
ทำไปตามหน้าที่ ตามเหตุ ตามปัจจัย
-- รักษาความดีเข้าไว้ **
ไม่ใช่ว่าอยากจะรวย ก็เลยไปคดไปโกงผู้อื่น
ไปเบียดไปเบียนผู้อื่น
ทำให้มันอยู่ในกรอบของความดี
อย่าผิดศีล ผิดธรรม
อย่าโลภ อย่าโกรธ อย่าหลง
-- เท่านั้นละ จะเป็นความดีที่สมบูรณ์ **
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา
วันนี้.. ลูกรู้ ทะลุแจ่มแจ้งในหน้าที่ แล้วละเจ้าค่ะ
เรามีหน้าที่ ว่ากิเลสมันจะคุกคามเราเมื่อไหร่
เรามีหน้าที่แค่รักษาความดีเอาไว้
แล้วทุกอย่าง ก็จะเป็นไปตามความดีที่เราทำเอง
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูกทั้งหลาย..
ลูกจะน้อมไปปฏิบัติ ตรึกตรอง
จะน้อมไปเผยแผ่ เพื่อประโยชน์ของลูกทุกคน
จะตั้งใจทำความดี.. เจ้าค่ะ
สาธุ
ในเช้าของวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ สวนธรรมิกราช
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้มีโอกาสน้อมเข้าเฝ้าต่อ องค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้ว
จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
พุทธธรรมที่สวนธรรมิกราช วันที่ 21 มกราคม 2561
**หน้าที่อันแท้จริง**
+ +