การที่ดวงจิตใด ได้สร้างความดี จนถึงที่สุดของความดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เข้าใจในโลก เข้าใจในวัฏสงสาร แต่เขารู้แบบไหน เขาเห็นแบบไหน อันนี้ มีรายละเอียดเป็นยังไง พระพุทธองค์จะไขปัญหา ให้ได้ฟังกัน
ตอนที่ ๑๕๓ ยกจิตอยู่เหนือปัญหา *****
ถ้าเจอบุคคลที่เป็นทุกข์มาก จะแสดงธรรมยังไง เพื่อจะให้เขาได้คลายทุกข์ เป็นสิ่งที่พระยาธรรมิกราช ทูลขอให้พระพุทธองค์ แสดงธรรมให้ได้ฟัง ใครมีหรือไม่มีทุกข์ ขอเชิญรับฟังได้ทุกคน
จิตอยู่ตรงไหน มีสภาวธรรมเป็นอย่างไร จะทำความเข้าใจเรื่องของจิตได้อย่างไร ขอพระพุทธองค์ช่วยไขปัญหาคาใจ ให้ได้รับฟังกัน
ตอนที่ ๔๙ สงสัยในเรื่องจิตใจกาย
จิตคือจิต กายคือกาย มีกายนอก กายภายใน มีขันธ์ห้าซ้อนขันธ์ห้าซ้อนกันไป จึงซับซ้อนเกินบรรยาย ให้ลองไปฟังธรรม แล้วทำความเข้าใจกันเอาเอง
หลักการทำสมาธิ เริ่มแรกให้ผู้ที่จะทำสมาธินั่งขัดสมาธิ แบมือทั้ง 2 ข้าง เอาไว้ที่หัวเข่า เพื่อรับพลังพุทธบารมี ให้ตัดความยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตัดอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้อยู่กับปัจจุบัน และคิดว่าตอนนี้เรากำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกของความสงบสุข เมื่อได้ตัดความวุ่นวายทั้งหลายออกไปแล้ว ให้หายใจลึกๆ ค่อยๆหลับตาลง ให้ตั้งสมมุติขึ้นมาว่าเหนือศีรษะของเราขึ้นไป สูงขึ้นไป มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ขนาดใหญ่ เป็นกายแก้วใสๆ นั่งอยู่บนดอกบัวแก้ว แล้วพระองค์ท่านมีฉัพพรรณรังสี.. สว่างเจิดจ้าด้วยพุทธบารมี บริกรรมว่า *สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ *
ตอนที่ ๓๓ เหตุใดจึงฟุ้งซ่าน***
บุคคลที่ชอบฟุ้งซ่าน ฟุ้งไปในอดีต คิดไปในอนาคต ห่วงหน้าพะวงหลัง เป็นเพราะขาดสมาธิ เลยขาดสติ ไม่อยู่ในปัจจุบัน จิต่ตกเป็นทาสจากกรรมวิบาก และกิเลสตัณหา ชักพาให้เป็นไป
ตอนที่ ๙ จะทำจิตให้มีสมาธิขั้นสูงได้อย่างไร
การที่จะทำให้จิตมีสมาธิอย่างง่าย ต้องแยกจิตออกจากกาย ออกจากความคิดปรุงแต่ง ออกจากความยึดติด ให้ส่งจิตไปสงบนิ่งอยู่ในที่สงบสุข เพื่อตัดกระแสคลื่นความทุกข์ ความร้อน ความฟุ้งซ่านทั้งหลายที่มาจากกาย จิตจะได้มีพลังความสุขสงบ สามารถเข้าถึงสมาธิได้อย่างง่ายดาย
จิตนั้นเมื่อไปอยู่ในกายใด จะเป็นกายทิพย์ที่เทพเทวา นาค มนุษย์ หรือสัตว์ทั้งหลาย ก็จะมีกิเลส ตัณหา ทั้งหลายเข้ามาล่อหลอกให้ทำความชั่ว ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะมีพลังทางกาย ส่งผลกระทบมาด้วยฉะนั้นเราทั้งหลายควรเติมเต็มพลังทางจิตให้สามารถชนะพลังทางกายและกิเลส ตัณหาเหล่านั้นอยู่เสมอ
แสดงธรรมเช้าวันที่ 7 กรกฏาคม 2557
ดวงจิตเกิดจากธรรมชาติ เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องเรียนรู้และเข้าใจในธรรมชาติ ถึงจะกลับคืนสู่ธรรมชาตินั้นได้ ธรรมชาตินั้นจะมีความสมดุลอยู่ จะไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จะไม่ยึดถือสิ่งใด เห็นทุกสิ่งมีขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา ไม่สุขไม่ทุกข์ ปล่อยวาง ทำให้จิตเป็นกลางๆ ว่างๆ จากทุกสรรพสิ่ง ไม่มีตัวตน การเดินทางแสวงหาความพ้นทุกข์ถึงจะสิ้นสุด
ลง
ดวงจิตเปรียบเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ เย็นตาเย็นใจ แต่ที่เศร้าหมองลงไป เพราะความคิดปรุงแต่ง ให้เกิดความทุกข์ เปรียบเสมือนเมฆหมอกมาบดบง ความสว่างและงดงามของพระจันทร์วันเพ็ญ
… ตอนที่ ๑๑ พลังจิต ***
คนเราประกอบด้วยกายกับจิต พลังของกาย ได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไปและการฝึกฝนออกกำลังกายจิตจะให้มีพลัง ต้องฝึกหยุดนิ่งตั้งมั่นอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง และไม่นำจิตไปปนเปื้อนกับเชื้อความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง จนทำให้จิตเจ็บไข้ได้ป่วย จนจิตหมดพลัง ต้องจมอยู่กับความทุกข์
… ตอนที่ ๑๕๖ จิตนี้เป็นใคร ***
จิตนี้เป็นใครหนอ จิตนั้นละเป็นใครหนอ จิตของแม่เป็นใครหนอ จิตของพ่อเป็นใครหนอ จิตของญาติเป็นใครหนอ กายดับแต่ทำไมจิตถึงไม่ดับ จิตนี้วุ่นวายหนอ มีแต่ความวุ่นวายหนอ เมื่อมีจิตนี้จึงมีแต่ความวุ่นวาย ไม่มีจิตแล้วความวุ่นวายจึงจะไม่มี จงปล่อยวางจากจิตนี้เถิด ว่างจากจิตจึงจะไม่ทุกข์อีกต่อไป
… ตอนที่ ๔๓ จะวางจิตอย่างไรก่อนสิ้นลมหายใจ**
ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า นกกากำลังจะบินกลับรัง การดิ้นรนแสวงหา กำลังจะจบลงด้วยการจากลา สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้เลยหนา เกิดมาแล้วก็ต้องตาย สิ่งที่ยึดถือทั้งหลาย จำต้องปล่อยวาง ทำใจสงบ ไม่ต้องห่วงหาอาลัยกับสิ่งใดอีก ทำจิตให้ว่างๆ ก่อนที่จะเดินทาง จะได้จากโลกไปอย่างสง่างาม
ผลจากการกระทำ กรรมที่ได้สร้างก่อ ทำให้จิตได้กายมาครอง มีใจเป็นผู้ประสานเชื่อมต่อ ให้รับรู้สภาวธรรมระหว่างจิตและกาย ถ้ากายดับไป ใจก็ดับไปด้วย แต่จิตต้องไปหากายใหม่ จนกว่าจิตจะเข้าใจความเป็นจริง ตัดความยึดถือกายทั้งหมดนั้นได้ จิตจะเป็นอิสระ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
… ตอนที่ ๕๒ จะดับความกังวลใจได้อย่างไร
… ตอนที่ ๕๘ ใจร้อนจะทำให้ใจเย็นลงได้อย่างไร**
คนใจร้อนจะทำให้ใจเย็นได้อย่างไร
ถ้าร่างกายร้อน ให้หาน้ำดื่ม และอาบชโลมกาย จิตใจที่รุ่มร้อนให้ทำสมาธิ จะทำให้จิตชุ่มเย็น เกิดสติ มีปัญญา เข้าใจในเหตุ เข้าใจในปัญหา ถอนถอนอวิชา ความไม่รู้ ความหลงทั้งหลาย ที่เป็นไฟสุมทรวงอยู่ภายใน ให้ดับมอดไป จิตใจจะชุ่มเย็น ไม่รุ่มร้อนอีกต่อไป
… ตอนที่ ๑๓๘ กำลังใจอยู่ที่ไหน
กำลังใจอยู่ที่ไหน
คนเรามีกำลังใจอยู่ภายในจิตใจของเราเอง แต่คนส่วนมากไปฝากกำลังใจเอาไว้ภายนอก ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นกำลังใจ เมื่อสิ่งทั้งหลายมีความไม่เที่ยงแท้ กำลังใจเลยขาดหายไม่มาตามที่ต้องการ ทำให้พบกับความทุกข์ ฉะนั้น ไม่ต้องฝากกำลังใจไว้ที่ไหน ให้เอาไว้กับตัวเราเอง แล้วสร้างกำลังใจขึ้นมาด้วยการทำจิตใจให้สงบ จะมีพลังต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาที่จะเข้ามาในชีวิต ให้พ้นจากความทุก
ดวงใจเรานั้นให้เก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าให้หมองหม่น ให้ใสแวววาวไม่ให้เศร้าหมอง อย่าฝากดวงใจไว้กับใคร ให้ดูแลรักษาไว้ด้วยตนเอง
จิตมาอาศัยอยู่ในร่างกาย ยึดถือไว้ว่าเป็นของตน ทำให้หลงยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน กับร่างกายเป็นของตนด้วยเช่นกัน แต่ภายใต้กฏของธรรมชาติที่ไม่เที่ยง ทำให้เกิดทุกข์ ฉะนั้น ต้องคลายความยึดมั่น ถือมั่นในร่างกายเสีย เพื่อจะได้คลายความยึดถือในทุกสรรพสิ่ง เพื่อจะได้ไม่เกิดความทุกข์
จิตที่มีคุณค่า จะต้องเป็นจิตที่อยู่เหนือสมมติ ไม่ถูกครอบงำจาก ลาภยศ สรรเสริญ ไม่ลุ่มหลงในสิ่งใด ไม่ให้ราคาในสิ่งใดให้มีอำนาจเหนือจิต ทำให้ตกเป็นทาสเป็นทุกข์ จิตจะอิสระจากทุกสิ่ง เป็นจิตที่สะอาดสงบเย็น เป็นจิตอิสระ
ตอนที่ ๗๔ จิตกับความคิดปรุงแต่ง
จิตเป็นคนละส่วนกับร่างกาย ซึ่งร่างกายแบ่งออกได้ ๕ กอง มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โครงสร้างร่างกายทั้งหลายเรียกว่ารูป
วิญญาณทั้งหลายนั้น มีอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนังที่ห่อหุ้มกาย
สังขารนั้นคือสมองส่วนหน้า ที่นำมาคิดพิจารณา ปรุงแต่ง โดยดึงเอาสัญญา เป็นสมองส่วนเก็บความจำ ปรุงแต่งได้อะไร เวทนาสุขทุกข์หรือไม่ หัวใจจะรับรู้ เป็นที่อยู่ของเวทนา
พระอาทิตย์ให้แสงสว่างในตอนกลางวัน พระจันทร์ให้แสงสว่างในตอนกลางคืน ชีวิตที่ดำเนินไป โดยปราศจากแสงแห่งธรรม ย่อมเป็นจิตใจที่มืดบอด ขาดแสงสว่างไม่รู้จะเดินไปทางใด ย่อมที่จะเดินหลงทาง
ตอนที่ ๑๐๙ จิตที่ถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา
ผู้ที่ยังล่องลอย อยู่ในทะเลทุกข์ เวิ้งว้างมองสุดลูกตา เจอคลื่นลมมรสุมพัดผ่าน จะหาความสุขสงบเที่ยงแท้ไม่ได้เลย จนกว่าจะแสวงหาทางขึ้นฝั่ง ออกจากทะเลแห่งความทุกข์
… ตอนที่ ๓๔ จะวางจิตอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์ *****
สิ่งใดที่เกิดขึ้นมา จะคิดอย่างไร จะวางจิตแบบไหน เพื่อไม่ให้เป็นทุกข์
สิ่งใดในโลกล้วนอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ สิ่งที่เห็นว่าดี ยังมีความไม่ดีซ่อนอยู่ สิ่งที่มองว่าสุข ยังมีความทุกข์ซ้อนอยู่ ขึ้นอยู่กับความคิด มุมมองของแต่ละบุคคล ฉะนั้น จงถอดถอนความยึดติดในทุกสิ่งหลาย มองทุกอย่างเป็นธรรมดา ทำใจให้เป็นกลาง เพื่อจะได้ต้องทุกข์กับสิ่งใดอีกต่อไป
… ตอนที่ ๑๐๘ ดวงจิตที่หลุดพ้นกับดวงจิตที่เกิดใหม่
ดวงจิตเกิดใหม่สะอาดบริสุทธิ์แตกต่างจากดวงจิตที่หลุดพ้นเข้าพระนิพพานอย่างไร
ดวงจิตที่เกิดใหม่บริสุทธิ์เพราะไม่ปนเปื้อนกับสิ่งใด แต่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันกับกิเลส ตัณหา จึงตกเป็นทาสของความรัก ความลุ่มหลง มีความทุกข์ตามมา จนกว่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งในสรรพสิ่ง ถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลง ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไป เป็นจิตที่สะอาด มีภูมิคุ้มกัน มีพลังพุทธะค้ำหนุน หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน
... ตอนที่ ๒๑๑ ยกจิตให้อยู่เหนือสมมุติ
ความจริงของชีวิต ถูกปกปิดความจริงเอาไว้ มีสิ่งที่มาล่อหลอก ลวงตาลวงใจ มีสิ่งสมมุติทั้งหลายให้ศึกษาและจดจำ มีสิ่งที่ทำให้เป็นสุขและรับทุกข์ จากกฎของกรรม ยกจิตขึ้นไป ด้วยการไม่สร้างความชั่วใหม่ อดทนเอาไว้ในสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่เข้ามา ทำความดียิ่งๆขึ้นไป จิตจะได้อยู่เหนือความทุกข์ อยู่เหนือสมมุติทั้งปวง
...ตอนที่๑ กายและจิตเป็นแก้วสารพัดนึก ***
จิตนึกคิดสิ่งใด อยากเป็นอะไร กายทำตาม กรรมนั้นจะเป็นตัวกำหนด ให้เป็นไป ในสิ่งที่คิด ในสิ่งที่ทำ ฉะนั้น กายและจิต จึงเป็นได้ทุกอย่าง เปรียบเป็นเช่นแก้วสารพัดนึก ตามการกระทำของตน
คนเรานั้น มีกายนอกและกายใน จิตจะเลื่อนไปสู่ภูมิใด ขึ้นอยู่กับการกระทำของตน บางคนเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นหมู หมา กา ไก่ เป็นคนซ้อนอยู่ในคน บางคนเป็นเทพเทวดา นาคี นาคา ซ้อนอยู่ในกายภายใน บางคนเป็นอริยบุคคล เป็นอรหันต์ก็มี ขึ้นอยู่กับการทำดี ชำระกิเลสตัณหา ได้มากน้อยเท่าใด นี่แหละ จึงเรียกว่าคน อยู่ปนกันไป
เราคือจิต ร่างกายคือสิ่งที่หยิบยืมมา เพื่อสั่งสมความดีให้กับเรา มีหลายคนทีเดียว ที่หลงในร่างกาย หลงในโลก หลงในของปลอม ขวนขวายในสิ่งที่นำไปไม่ได้ จึงเสียเวลาเปล่า ไม่ได้อะไรกลับไป จงรู้ตื่น สร้างความดีให้กับตนเถิด ก่อนที่จะหมดเวลา
… ตอนที่ ๙๘ การฝึกจิตให้เข้มแข็ง
บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรง สิ่งของที่ดูหนัก ก็ยังสามารถยกได้ อย่างง่ายดาย สำหรับผู้ที่มีจิตใจ ที่เข้มแข็ง มีสติ ปัญญา เมื่อมีอุปสรรคปัญหา ถึงจะมากมาย ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างสบาย ฉะนั้น จงหมั่นฝึกฝนตน ให้มีความอดทน มีพลังของจิตที่เข้มแข็ง เพื่อจะได้พ้นจากความทุกข์
จิตเกิดมาจากธรรมชาติ เมื่อต้องการหยุดพักการเดินทางของจิต ต้องหวนกลับสู่ธรรมชาติ โดยรู้และเข้าใจเช่นนี้ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติ หากจะดับลงได้ ต้องเข้าใจในธรรมชาติ ยอมรับในสิ่งที่เป็นไปของธรรมชาติ เขาเกิดมาจากสิ่งไหน ให้ดับไปจากสิ่งนั้น ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา
ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีผิด ไม่มีถูก อยู่ในเรา อยู่ในเขา จะมีเพียงแค่รู้หรือยังไม่รู้ หากเป็นผู้รู้แล้ว ย่อมเข้าใจในทุกอย่าง เหลือแค่เพียง บอกทางให้คนอื่นรู้ตาม
...ตอนที่ ๖๙ วิธีทำให้จิตสงบ***
นั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกฟุ้งซ่าน ร้อนจิตร้อนใจ ภาวนาไปก็ไม่สงบ ลองใช้วิธีน้อมรับพลังพุทธบารมี ขอพลังมาชาร์จไว้ที่ศูนย์กลางกาย ภาวนาสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะไปเรื่อยๆ ถ้ายังมีความฟุ้งซ่านอยู่ ก็ให้ใช้อุบายวิธี หลายๆอย่างเข้าช่วย ถ้ายังไม่สงบยังไง ให้ไปหาครูบาอาจารย์แนะนำให้อีกที
...ตอนที่ ๑๓๗ การฝึกให้จิตเป็นทิพย์
วิธีฝึกให้จิตเป็นทิพย์ เพื่อจะได้เห็นเทพ เทวดา สามารถพูดคุยสื่อสาร ไปมาหาสู่กันได้ ให้รักษาศีล รักษาระเบียบวินัย สวดฟอกจิตไปและน้อมรับพลังพุทธบารมี ฝึกไปไม่นาน ก็จะถอดกายภายใน ท่องไปในโลกทิพย์ได้ ดั่งใจปรารถนา
...ตอนที่ ๑๓๘ ประโยชน์และโทษของจิตเป็นทิพย์
มีเงินกับไม่มีเงิน อย่างไหนจะดีกว่ากัน อันนี้ตอบง่าย เพราะอยู่ใกล้ตัว แล้วการมีจิตเป็นทิพย์ อันนี้บางคนก็ยังไม่รู้ เพราะยังไม่เคยมี แต่ไม่ว่ามีอะไร ถ้ามีแล้วยึดติด ลุ่มหลง นำไปใช้ในทางที่ไม่ดี ก็ไม่เกิดประโยชน์ เกิดโทษได้เช่นเดียวกัน
เมื่อจิตตื่นขึ้นด้วยพลังพุทธะ ก็จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกาย ในใจ ในจิต แยกส่วนออกจากกัน จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ ผู้เบิกบาน สิ่งใดที่กระทบ เคลื่อนไหวไปทางใด จะมีสติรู้รอบและรู้ทัน ส่วนรายละเอียดนั้น ขอเชิญฟังธรรม
...ตอนที่ ๖๐ จะสอนให้ดูจิตแบบไหนดี
การเป็นผู้บอกทางความพ้นทุกข์ จะบอกแบบไหนดี การดูจิตจะสอนแบบไหน สอนได้ทุกคนไหม พิจารณาดูได้จากอะไร เมื่อเกิดปัญหา พระยาธรรมจึงเข้าเฝ้า ขอให้พุทธองค์ไขปัญหาที่คาใจ
...ตอนที่ ๗๗ ใครสุขใครทุกข์(จิต หรือ)
เราคือใคร ใครคือเรา สุขทุกข์เกิดมาจากอะไร ใครเป็นคนทำ พิจารณาแยกแยะให้เข้าใจ ขจัดต้นเหตุที่เกิดให้ได้ จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น รู้แจ้งในโลกและจักรวาล
การฝึกน้อมรับพลังพุทธบารมี มาไว้ที่ศูนย์กลางกาย จะมีพลังทำให้ปรับเปลี่ยนเลื่อนภูมิจิต ทำให้มีกายภายในเป็นทิพย์ จึงจะสามารถยกจิตออกจากกายหยาบ ไปเรียนรู้สภาวธรรมที่มีอยู่ในวัฏสงสาร จะได้เข้าใจความเป็นจริง ของการเกิดเวียนวน จะได้ถอดถอนเหตุของความทุกข์ และดับการเกิด
ดวงจิตที่หลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา ด้วยการกระทำตามศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา เมื่อรู้ตื่นแล้ว จิตจะไม่ใช่ตื่นด้วย อำนาจของศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา แต่จะรู้ตื่น เบิกบาน ด้วยสภาวธรรมของจิตเอง ธรรมนี้ ละเอียดอ่อนยิ่งนัก พึงพิจารณาให้จงดี จะได้ไม่งง และหลงทาง
ธรรมะจากพุทธประวัติ วันที่ 31 มกราคม 2558
ตอนที่ 81 ** การสร้างพลังจิต **
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ต่อไป ข้อธรรมที่ 195 ::
กาย เป็นสิ่งที่ทำให้จิตต้องเป็นทุกข์ เพราะเราหลงคิดว่ามันเป็นกายของเรา.. เป็นเรา
แท้ที่จริงแล้ว จิต ก็คือ จิต // กาย ก็คือ กาย แต่เราไม่ยอมแยกมันออกจากกัน จึงทำให้ต้องเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น
หากใครที่รู้ และแยกจิตออกจากกายแล้ว ย่อมเป็นสุข
เพราะสิ่งที่เป็นของเรา คือ จิต คือ ความบริสุทธิ์เท่านั้น
ไม่ใช่ร่างกาย หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย
.... แต่ที่ต้องเป็นทุกข์ เพราะมีสิ่งทั้งหลายนั้นมา ทำให้ต้องเป็นทุกข์
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ดวงจิตที่อยู่ในกาย ที่ครองครองกายอยู่นั้นก็จะเป็นทุกข์ เพราะกายนั้นนำพาให้ทุกข์...
ทุกข์เพราะต้องเจ็บปวด
ทุกข์เพราะหิว
ทุกข์เพราะต้องมีสิ่งต่างๆ สิ่งนั้น สิ่งนี้ มาเป็นส่วนประกอบต่างๆเยอะแยะมากมาย
.... นอกจาก ข้าวของ สิ่งของ ต่างๆแล้ว > ยังมีบุคคลที่รักที่พอใจต่างๆทั้งหลาย
แต่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หนัก / สิ่งที่มาพร้อมด้วยภาระ พันธะ.. ที่เราจะต้องรับ-แบก เอาไว้ การที่จิตอยู่ในกาย ทำให้เราเหนื่อย เพราะกายนั้นเยอะแยะมากมาย
ลูกทั้งหลาย.. ลองตั้งจิตสมาธิ ให้ตั้งมั่น จิตให้สงบนิ่ง ไม่ขยับไปทางใด
จิตดวงน้อยๆของลูกนั้น ให้ตั้งอยู่ศูนย์กลางกาย
ให้เป็นดวงแก้วใสๆ สว่างเจิดจ้า.. อยู่ในท้องก็ดี /อยู่กลางอกก็ดี /อยู่ในกายของลูกทั้งหลาย
จิตรับพลังพุทธบารมีมาหนุนนำให้สว่างเจิดจ้า
มองเห็นความเป็นจริง การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร ภพชาติต่างๆที่ผ่านมาแล้ว และกำลังจะผ่านไป
เห็นจิตที่อยู่ทางโลกทิพย์ ที่เรามองไม่เห็น
เห็นสิ่งลึกลับซ่อนเร้นต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น
เห็นความทุกข์ ความทรมาน ความเหนื่อย ความยาก ของวัฏสงสารนี้อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อความพ้นทุกข์แห่งดวงจิต...
ลูกทั้งหลาย.. จงตั้งจิตให้มั่นในแสงธรรม แสงสว่างกลางท้อง กลางกายของลูกนั้นเถิด แสงสว่างนั้นจะส่องสว่างไปทั่วทุกแห่งหน ทำให้ลูกนั้นรู้ว่า *กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา*
-- เขาจะมีอยู่ เป็นธรรมดาของเขา/
-- เขาจะดับไป เป็นธรรมดาของเขา/
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ค่อยๆขยับดวงจิต ที่มีแสงสว่างเจิดจ้านั้น ออกจากกาย และให้พิจารณาตามนี้เถอะว่า...
หัว- คอ- โครงสร้างของไหล่- ลำตัว- ขา 2 ข้าง แขน 2 ข้าง ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หากว่าเขาถึงเวลาที่จะต้องดับแล้ว เขาก็จะนอนหลับลง ไม่มีวันฟื้นกลับคืนมาอีก...
.... มีแต่จะเน่า จะเหม็น มีแต่จะกลับคืนไปสู่ธรรมชาติเท่านั้น
เรา คือ *ดวงจิต*
เราอยู่อีกที่หนึ่ง เราไม่ได้เน่าไปกับเขา- หายไปกับเขา- เสียไปกับเขา
ทีนี้ดวงจิตแห่งตน สว่างเจิดจ้า หรือมืดบอดอยู่ ?
>> ถ้าดวงจิตของเราสว่างเจิดจ้า เราก็เหมือนมีแสงธรรมนำทาง พาเราไปอยู่ในภพต่อไป..
ไปเกิดใหม่อยู่ในกายของเทพเทวดา หรือไปเกิดอยู่ในกายของมนุษย์.. ตามบุญและกรรมที่เราได้ทำไว้
ลูกทั้งหลาย.. จิต ของเรา จะมืดบอดไปไม่ได้ หากว่าเรามีธรรมะ มีเสียงธรรม การประพฤติปฏิบัติตามธรรมคำสอนนั้น ค้ำหนุนจิตเอาไว้
ทีนี้เราแยกจิต ออกจากกายแล้ว
*จิต ก็คือ จิต*
*กาย ก็คือ กาย*
แล้วน้อมรับพลังพุทธบารมี มาไว้ที่จิต สมมุติว่า เป็นดวงกลมๆ ใสๆ อยู่ในท้องของเรา
>> ทีนี้เรารับไปเรื่อยๆ พลังเย็นๆ ตรงเข้าอยู่มาอยู่ในกลางท้อง.. ในดวงแก้วใสๆ ดวงนั้น
รับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสว่างเจิดจ้า แล้วอธิษฐานจิต ทวนไปดูภพชาติต่างๆ ให้เห็น-ให้รู้ ตามความเป็นจริง
-- แต่ก่อนเราเคยครอบครองกายนั้นอยู่ที่นั่น มีชีวิตเป็นแบบนั้น เรื่องราวเป็นแบบนี้ ลำบาก หรือสบาย
-- ภพชาตินั้น เป็นยังไงบ้าง ได้เคยฆ่าผู้อื่น สร้างกรรมไว้.. หรือได้เคยสร้างบุญบารมีเอาไว้
>> ทวนไปดู
แล้วทีนี้ก็ไปดูตอนตายของเรา.. ว่าเราตายแบบไหน มีใครร้องไห้บ้าง พลัดพรากจากใครบ้าง
เมื่อเราไปทวนเห็น ภพชาติต่างๆแห่งตนแล้ว ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า...
- แท้ที่จริง เราเคยมีร่างกายแบบนี้มาแล้ว ไม่รู้กี่ร่างกาย
- แท้ที่จริง เราเคยทุกข์อย่างนี้ มาไม่รู้แล้วกี่ครั้ง
- แท้ที่จริง ร่างกายนี้ เขาก็จะเสื่อมของเขาไป
เราเป็นผู้เดินทาง ไม่จบไม่สิ้น ครอบครองกายนั้นก็เป็นทุกข์ ครอบครองกายนี้ก็เป็นทุกข์
ภพชาติต่างๆ ไม่จบไม่สิ้น
บางคน เมื่อทวนหาภพชาติไปแล้ว อาจจะไปเจอะภพที่เคยเกิดเป็นเทพ เป็นเทวดา อยู่บนสวรรค์ ชีวิตสุขสบาย ไม่มีอะไรที่จะทำให้เป็นทุกข์ได้
หากว่าเรานั้นทวนไปเจอในภพชาตินั้น ก็จะทำให้เรารู้สึกว่า...
**ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเกิดอยู่ในโลกสวรรค์ จะมีความเก่ง ความสวยงาม มีความดีมากมายขนาดไหน
ในที่สุดเราก็ยังต้องมาเกิด เป็นเราในทุกวันนี้ **
กายนั้นที่สวยงาม ก็ดับหายไป...
เมื่อเราเกิดการแบ่งแยก ระหว่างจิตกับกายแยกไปแยกมา...ก็ทำให้เรารู้แจ้ง เห็นชัดขึ้นมาว่า..
แท้ที่จริง จิตก็คือจิต //กายก็คือกาย > ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย
>> จิตนั้นเป็นสิ่งที่จะอยู่ตลอดไป แต่กาย คือ สิ่งที่จะมีไว้ชั่วครั้ง ชั่วคราว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ทีนี้เราจะปล่อยให้กายนั้นหลอก ทำให้เราเป็นทุกข์อยู่หรือเปล่า ?
ลูกทั้งหลาย.. เหมือนคนๆหนึ่ง ที่รักเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่ง รักมาก ยึดติด ลุ่มหลง
ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เสื้อผ้าชุดนั้นมา
แต่ท้ายที่สุดเมื่อใส่ไป กาลเวลาผ่านไป
มันก็เก่า มันก็ตกรุ่น ตกยุค ตกสมัย
ก็มีรุ่นใหม่มา ก็ต้องซื้อรุ่นใหม่มาใส่
ของเก่า ก็ไม่สวยไป
…. ** จิตเราก็เป็นเช่นนั้น เมื่อกายนี้เก่าแล้ว เขาก็โยนทิ้งไป ไปหากายใหม่อยู่ **
> บุคคล ที่สร้างบุญกุศลเยอะ ก็มีกายที่สวยงาม เหมือนคนที่มีเงินเยอะๆ
….เมื่อครั้งเสื้อผ้าชุดนี้เสียไป เขาก็ไปซื้อชุดใหม่
> บุคคลใด ที่ไม่ได้สร้าง/สั่งสมบุญ
….พอเสื้อผ้าชุดนี้เสียไป ก็ไม่มีเงินไปซื้อชุดใหม่ ต้องใส่ชุดเก่าๆ ไปหาชุดที่ไม่แพง ไม่สวย มาใส่.. ใส่ไปอย่างนั้น จนกว่าจะมีเงินขึ้นมา.. คือ มีบุญขึ้นมา
ลูกทั้งหลาย.. จิต กับ กาย แตกต่างกันเช่นนี้แหละลูก
>> ฉะนั้นจงฝึกตนให้มีความสว่าง แจ้งในจิต นำพาจิตนั้น มองให้เห็นตามความเป็นจริง
รวมสติ รวมสมาธิ.. รวมไปอยู่ที่จิตนั้น แล้วอย่าลุ่มหลงอยู่ในกายเลย
จะได้ไม่เป็นทุกข์ ไม่ลุ่มหลง ไม่จมอยู่กับสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นสิ่งเกี่ยวข้องกับดวงจิตของเรา ..ทั้งสิ่งของ ข้าวของ บุคคลที่รักที่พอใจทั้งหลาย…
ลูกทั้งหลาย.. บุคคลที่หัดแยกจิตออกจากกายบ่อยๆ เขาย่อมรู้ และสว่าง เข้าใจตามความเป็นจริง เช่นนี้แหละลูก ชีวิตย่อมไม่เกิดความลุ่มหลง.. จมอยู่.. วนอยู่.. เวียนอยู่.. เป็นทุกข์อยู่
จงฝึกจิตของตนให้แจ้ง เพื่อเห็นตามความเป็นจริง เห็นการเวียนตาย เวียนเกิดในวัฏสงสารเถอะ.. ลูกเอ๋ย
แล้วลูกนั้นจะไม่ปรารถนาที่จะวนอีกต่อไป ....
สาธุ