คำสอนในคัมภีร์ มีเยอะแยะมากมาย คำสอนครูอาจารย์ มีแพร่หลาย
มีความรู้ ความเห็น ที่เหมือน ที่ต่างกันออกไป เลยทำให้สับสน ในกลุ่มคนที่ปฏิบัติตาม
จะให้ยึดหลักอะไร อย่างไหนถึงจะดี
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้ว
จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูก จะขอเฝ้าทูลถามถึง ผู้มีปัญญาธรรม ที่จะสามารถบรรลุธรรมในกึ่งศาสนานี้
เขาจะมีปัญญาธรรม นำพาตัวของเขา ให้ออกจากกองทุกข์ เห็นทางพ้นทุกข์ และสามารถที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ได้ ยังไงหรือเจ้าคะ..
เพราะว่าในยุคของกึ่งศาสนานี้ มันห่างจากช่วงระยะเวลาที่เกิดพระธรรมคำสอน หรือพระพุทธองค์มาตรัสรู้นั้น ยาวนานถึง 2 พันกว่าปี..
พระคัมภีร์ที่บัญญัติเอาไว้ ก็เหลือให้ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามอยู่ แต่ก็เกิดการแปล การสืบทอดกันมานาน
จนบางครั้ง การที่ประพฤติ ปฏิบัติ ที่ละเอียดจริงๆ หรือที่ปฏิบัติจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอยู่ในคัมภีร์ทั้งหมด
หรือก็ไม่สามารถที่จะยึดเอามาให้ตนนั้น บำเพ็ญให้บรรลุธรรมโดยทั้งหมด
แล้วจะทำยังไง จะคิดยังไง จะทำแบบไหน จะสามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมในกึ่งศาสนานี้ หล่ะเจ้าคะ
ในขณะที่มันมีหลายทางมากเลย น่ะเจ้าค่ะ ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอย.. จงตั้งใจฟังให้ดี จะได้ทำความเข้าใจได้ถูกต้อง และจะได้ชี้ทางบอกทาง กับดวงจิตทั้งหลาย
ผู้ที่เขานั้นมีความตั้งใจ ที่จะประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อที่จะนำพาตนเข้าสู่พระนิพพาน ข้ามพ้นความทุกข์
เขาเหล่านั้นได้นำไปฝึก ไปฝน ไปใช้เป็นหนทาง ที่จะนำพาเขา ให้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์
พระยาธรรมเอย.. เหตุที่ให้ลูกนั้นมาเผยแผ่ธรรม ในกึ่งศาสนานี้
ก็เพราะว่าทุกสิ่งและทุกอย่าง ที่เป็นหนทาง ที่มีทางเอาไว้ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มันผ่านมานานแล้ว สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย
จนบัดนี้ ก็ยังมีคัมภีร์อยู่จริง แต่จะเหลือสิ่งที่ให้ยึดหลักปฏิบัติ ที่แท้จริง ที่สามารถทำความเข้าใจ น้อมไปประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เป็นหลักๆอยู่..
แต่ความละเอียดอ่อน สิ่งที่จะรู้ จะเข้าถึง เข้าใจ อย่างแท้จริงนั้น บางที บางคน บางกลุ่มก็ไม่สามารถตีโจทย์ให้แตก อย่างแท้จริง
ไม่สามารถ ที่จะเข้าใจ เข้าถึงธรรมนั้น อย่างละเอียด อย่างแท้จริง
ก็เลยพากันทำความดีได้ ในระดับของความดีพื้นฐาน แต่ไม่สามารถเข้าถึงความละเอียดอ่อน
พระยาธรรมเอย.. เหตุฉะนี้หละ จึงต้องมีลูก ผู้ซึ่งเป็นพระยาแห่งธรรม ก่อเกิดมาในยุคของกึ่งศาสนา
เพื่อที่จะได้ชี้บอก..ในสิ่งที่ละเอียดอ่อน...ในสิ่งที่มันซ่อนอยู่...ในสิ่งที่มันขาดหาย
ความเป็นจริงที่ทุกคนจะสามารถนำไปต่อยอด เพื่อที่จะได้เดินต่อไปได้ อย่างนั้นไงลูก
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้นลูก จงตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดี และตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่นไปเรื่อยๆ
และลูกก็จะสามารถฝึกฝนเรียนรู้ จากการช่วยเหลือดวงจิตอื่นๆนั้น จนทำให้ลูกรู้แจ้ง เข้าใจอย่างถ่องแท้
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ลูกก็จะสามารถเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งพอ ที่จะชี้ทาง บอกทางพ้นทุกข์ ให้กับจิตทั้งหลาย
ดวงจิต..ผู้ที่เขาสั่งสมบุญมารอรอบอยู่แล้ว ผู้ที่เขานั้น พอจะมีความรู้ ความเข้าใจอยู่บ้าง เหล่านั้น
เขาก็จะสามารถเอาธรรมเหล่านี้ ที่ลูกเผยแผ่ไป มาต่อยอด ให้เขาสามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ที่เขานั้น ทำความดีแล้วในระดับหนึ่ง ที่ถือว่า.. ก็พอเข้าใจธรรมได้อย่างสูง
แต่บางที เขาไม่มีหนทาง ที่ชัดเจนอย่างแท้จริง ที่เป็นราชาแห่งธรรม ที่ตอบโจทย์เขาได้ทุกอย่าง
มาชี้ทางเขาอีกหน่อย เขาก็เลยยังคงติดอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง เมื่อเขานั้น ยังติดอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือจุดใดจุดหนึ่ง ด้วยความที่ยังไม่รู้แจ้ง..
เขาก็จะโดนกระทบเบียดเบียน ทำให้เขาอ่อนล้าต่อการทำความดี เพราะไม่มีใคร ที่จะมาจูง มาหนุน มาชี้ทาง สนับสนุนความดีของเขา
บางกลุ่ม บางคน ที่เขานั้นก็ได้ฝึก ได้ฝนตน มาในระดับพื้นฐานขั้นต้น คือได้เรียนรู้ศีล รู้ธรรมบ้าง ได้เรียนบาลี ฝึกฝนตนบ้าง ในระดับหนึ่ง
เขายังไม่เข้าใจการทำดีอย่างแท้จริง. ก็เลยไปหยุดอยู่แค่ การรู้บ้าง ศึกษามาบ้าง แบบไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติ อย่างแท้จริง เขาก็เลยหยุดอยู่แค่นั้น
เพราะไม่มีใครที่จะตีโจทย์ให้แตกอย่างแท้จริง ชี้ทางบอกทางเขาอย่างแท้จริง เขาก็เลยยังคงสับสนวุ่นวาย หวาดระแวง และกลัวว่าจะถูกบ้าง จะผิดบ้าง
มันก็เลยมีกลุ่ม กลุ่มที่รู้แล้ว แต่ว่ายังไม่รู้ชัดเจน ติดอยู่ในบางอย่าง เขาก็ไม่สามารถอธิบายชัดเจนได้
ก็เลยถูกทำร้าย ทำลายความดีที่มี ด้วยการโจมตีต่างๆนานา
กลุ่มที่เขาศึกษามาบ้าง รู้บ้าง แต่ยังปฏิบัติ ให้เข้าถึงอย่างแท้จริง เขาก็เอาความหวาดระแวง ว่าทางนั้นจะผิด ทางโน้น จะดีมั้ย มาพิจารณา
แล้วก็เลยช่วยกันคุ้มครอง รักษาธรรมะในคัมภีร์เอาไว้ มันก็เลย ดูวุ่นๆไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก พระยาธรรม
หากวันหนึ่งที่ลูกนั้น สามารถชี้แจงเหตุและผล ให้กับเขาเหล่านั้น อย่างแท้จริงได้ จะทำให้เขานั้น เข้าใจ และปรับได้เอง
ฉะนั้น สถานการณ์ทุกอย่างในตอนนี้ มองดูภายนอกอาจจะวุ่นๆ หน่อย แต่ทุกคนก็กำลังทำความดี.. ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น ตัวของลูกเอง ก็ต้องทำความดีของลูก เช่นเดียวกัน คือ ถ้ามีใคร ที่เขาได้ลองผ่านไปผ่านมา เข้ามาฟังธรรม เพื่อปฏิบัติ
เราก็ชี้ทาง บอกทางเขาไป ฝึกเขา แล้วการฝึกเขา ก็กลับมาฝึกเราแล้วทุกอย่าง ก็จะค่อยๆดีขึ้น
เมื่อลูกนั้น สามารถฝึกตนให้ดีแล้ว ฝึกคนที่เข้ามาก่อนให้ดีแล้ว ความดีแล้วนั้นละ จะประกาศให้ผู้อื่นรู้ถึงความสำเร็จได้ อย่างแท้จริง
นี่หละพระยาธรรม คือ แบบแผนของการเผยแผ่ธรรม ในกึ่งศาสนา
เพื่อที่จะฉุดช่วย ให้ดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้ที่รอรอบที่จะมาบรรลุธรรม ในกึ่งศาสนานี้ได้เข้าถึงพระนิพพาน
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย จงมองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาเถิดลูก เพราะว่าเขาต่างเตรียมตัวเอาไว้
เราก็จงสร้างสายธรรม ให้เข้มแข็งขึ้นมา ด้วยความจริงคือ ธรรมที่ถูกต้อง อย่างแท้จริง..ลูก
ทุกสิ่งและทุกอย่าง มีเหตุและผลของแต่ละอย่างที่ต่างกัน
กลุ่มที่เขานั้น คอยศึกษา และรักษาศีลที่อยู่ในคัมภีร์เอาไว้ ก็เพราะว่า เขามีเหตุที่จะต้องรักษา
บุคคลที่ศึกษาธรรม จนเข้าใจแล้วในระดับหนึ่ง.. แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้รู้ ก็เลยมีเหตุที่บกพร่องบ้าง ในบางประการ บางสิ่งเล็กน้อย
เพราะความยังไม่รู้แจ้ง อย่างแท้จริง จึงโดนโจมตีบ้าง ก็เป็นธรรมดาหละนะ เดี๋ยวทุกอย่าง ก็จะขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีเอง..
ลูกเอ๋ย.. ทีนี้ มาเข้าสู่คำถามที่ถามว่า..
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมอย่างแท้จริง เขาจะบรรลุธรรมในกึ่งศาสนาได้อย่างไร ?
บุคคลผู้ที่มีปัญญา อย่างแท้จริงนั้น เขาต้องทำอย่างนี้ลูก..
ในตำราที่เป็นพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้นั้น เป็นหลัก เป็นหลักที่ประคองศาสนามาแล้ว 2 พันกว่าปี
แล้วหลักที่อยู่ในนั้น เราก็ควรยึด ยึดเฉพาะหลักที่สำคัญที่สุด คือ
องค์พระพุทธเจ้าสั่งสอน สอนสั่ง ตรัสรู้ เรื่องชี้ทาง บอกทาง ให้ทุกคนดับการเกิด
แล้วการดับการเกิดนั้น ก็คือให้ทุกคนรู้เหตุแห่งการเกิด แล้วรู้เหตุแห่งการดับการเกิด
นั่นคือ คำสอนหลักขององค์พระพุทธเจ้า หรือเป็นเป้าหมาย จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา คือ
ให้ทุกคน ดับการเกิดของตน
โดยการรู้เหตุที่เกิดตน แล้วรู้เหตุที่ดับตน
ทำเหตุที่จะดับตนนั้นให้สำเร็จ เพื่อดับตนให้ได้ จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก นี่หละ คือ เป้าหมายชัดเจนแล้ว
และพระพุทธองค์ก็ได้ชี้ทางเอาไว้ว่า การที่มีเรา ก็เพราะว่า มีเชื้อกิเลสตัณหา คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอยาก และความไม่อยาก
เหตุที่จะทำให้เราดับเชื้อเหล่านี้ได้ ก็คือ ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จะช่วยดับ รัก โลภ โกรธ หลง 4 ตัวนี้
ทีนี้ ศีล ก็ยังมีอยู่ในพระคัมภีร์อยู่ ศีล 5. ศีล 8. ศีล 10. ศีล 227 ก็ยังมีอยู่
ฉะนั้น เราก็เลือกเอาสิลูก เลือกว่าเรา จะรักษาศีลในระดับใด เราพอจะทำในระดับของศีลข้อใดได้บ้าง เราก็เลือกเอาเลย แล้วก็รู้ว่า
ในศาสนานี้ สอนศีลแล้ว สอนธรรมด้วย
เราก็พยายามฟังธรรม พิจารณาธรรม ตรึกตรองให้เข้าใจ
แล้วก็ดูสมาธิ มีกรรมฐาน ตั้ง 40 กอง ก็ยังมีอยู่ในคัมภีร์อยู่ เราก็แค่หยิบขึ้นมาตามที่เรานั้นทำได้ ในแต่ละกอง หยิบกองไหนก็ได้ ขึ้นมา
จะเป็น 1 กอง จะเป็น 2 กอง 10 กอง 20 กอง หรือ 40 กอง แล้วแต่เราพอจะทำได้ ตามความรู้ ความสามารถ ที่เราจะทำได้
ก็มาฝึกสิลูก ฝึกทำไป ฝึกฝนสมาธิไป ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่ผิดในสมาธิ หรือว่ากรรมฐาน 40 กอง ก็พอแล้ว
ฝึกไปๆ แล้วก็รู้ด้วยว่า เขาฝึกสมาธิแล้ว เพื่อที่เอาสมาธินั้นมาฝึกปัญญา แล้ว ปัญญา คืออะไรเล่า ?
ปัญญาธรรม ก็คือ การรู้แจ้ง เข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย เหตุที่เกิด และเหตุที่ดับ
และองค์พระพุทธเจ้า ก็สอนให้เราทุกคน ดูที่ตัวของเรา
ทีนี้ เมื่อเรายังไม่รู้แจ้งในเรา เราก็ย่อมไม่รู้แจ้งในผู้อื่น
เราก็เอาเราเป็นที่ตั้ง
นั่นหละ คือ คำสอนหลักของพระพุทธเจ้า
แล้วเรา ก็ดูที่เรานี่หละ ปฏิบัติที่เรานี่หละ
ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ครบมั้ย
ครบแล้ว ดีมั้ย
ดีแล้ว ฝึกฝนขึ้นเรื่อยๆ ให้มันดียิ่งๆขึ้นไป
ตราบใดที่ยังดับเชื้อกิเลสตัณหาไม่หมด แปลว่า ยังดีไม่สุด
ทำอย่างนี้แหละลูก ไปเรื่อยๆ
โดยไม่สนใจผู้อื่น ไม่สนใจเรื่องของสิ่งอื่นๆภายนอก
แค่นั้นหละ.. พระยาธรรม
เราก็จะเข้าถึงฝั่งของทะเล ที่ทำให้เรานั้น สามารถพ้นจากทะเลทุกข์ได้
ไม่ยากอะไรหรอก พระยาธรรม
เพราะหลักของศาสนานั้น มันไม่มีอะไรที่มันซับซ้อนมากมายเลย
สิ่งที่ซับซ้อนมากมายเหล่านั้น เพราะว่ามันเป็นความละเอียดอ่อน ของแต่ละรูปแบบ แต่ละดวงจิต
ที่เขาปฏิบัติมาในมุมมองของแต่ละบุคคล แต่ละดวงจิต
แต่พระพุทธองค์ ไม่ได้สอนให้เราไปมองให้เห็นทุกรูปแบบ
หรือไปหยิบเอาใครมายุ่งกับเรา เอาเราไปยุ่งกับใคร นี่ลูก
พระพุทธองค์สอน ให้เรารู้เหตุแห่งตน ดับเหตุแห่งตน.. แค่นั้นหละ
ฉะนั้น เมื่อบุคคลเข้าใจตามความเป็นจริงเช่นนี้ เขาย่อม ย่อมที่จะนำพาตนให้พ้นทุกข์ได้
ส่วนบุคคลที่ไม่ยึดหลัก คือ การ “ ดูตน อย่าดูผู้อื่น ”
ไม่ยึดหลัก “ รักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ เติมปัญญา ”
จะไม่มีทาง ที่จะดับการเกิดได้
จะไม่มีทาง ที่จะดับเชื้อกิเลสตัณหาในตนได้เลย
เช่นนี้หละ พระยาธรรม
องค์พระพุทธเจ้าสอนว่า การเกิดนั้น เป็นทุกข์ เกิดคราใด ก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
ฉะนั้น เราจงพากันดับการเกิดกันเถิด จะได้ไม่ทุกข์ เพราะ
สิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้น - มันเป็นทุกข์
สิ่งที่มันดับไป - มันก็เป็นทุกข์
เรานั้น ควรจะออกจากสิ่งที่เกิด - และสิ่งที่ดับนั้น ให้ได้เสีย
พระพุทธเจ้า จึงแสวงหนทาง จึงแสวงหาหนทางที่ดับตน ดับการเกิดแห่งตน
มันก็เลยดับ การดับแห่งตนด้วย
การเกิดขึ้น และดับไป ของทุกข์ที่มีอยู่ในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่มีแล้ว
เมื่อพระพุทธองค์ ได้ดับการเกิดแห่งตนแล้ว จึงได้สอนสั่งหนทาง ให้กับดวงจิตทั้งหลาย
ให้รู้ทุกข์ แล้วทำให้แจ้งในทุกข์นั้น
เมื่อแจ้งในทุกข์ รู้ทุกข์แล้ว ก็จะได้หาหนทางดับทุกข์
เมื่อเห็นทุกข์อย่างที่สุด ก็จะพยายามหาหนทางดับทุกข์ ให้ที่สุด
*** เมื่อหาทางดับทุกข์.. ก็จงหาทางที่เป็นทางของตนเอง ***
เพราะแต่ละคน มาต่างกัน
เราไม่เหมือนผู้อื่น - ผู้อื่นไม่เหมือนเรา
สิ่งที่เราควรทำ คือ ดับทุกข์ในตัวของเราให้ได้เสียก่อน
แม้แต่องค์พระพุทธเจ้า ก็ยังไม่ดับทุกข์ของผู้อื่นก่อน
ถ้าเราคิดที่จะดับทุกข์ของผู้อื่นก่อน โดยไม่ดับทุกข์ในตน
ทำเช่นนั้น แปลว่า เราผิดหลักธรรม
ฉะนั้น จงเอาตนเป็นที่ตั้ง
รู้เหตุแห่งทุกข์ของตน
รู้เหตุแห่งการดับทุกข์ของตน
แล้วก็ดับทุกข์ของตนให้ได้เสีย
แล้วก็จะเข้าใจในความเป็นจริงของทุกสิ่ง อย่างถ่องแท้
เอาตนเป็นที่ตั้ง บุคคลผู้ทำเช่นนั้น ย่อมเข้าใจคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าได้ชัดเจน
ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป
สิ่งทั้งหลาย..ไม่ใช่ตัว ใช่ตน ของตน
ความไม่เที่ยงแท้ - คลุมอยู่ในวัฏสงสารนี้
กฎแห่งกรรม - ก็คลุมอยู่ในวัฏสงสารนี้
ตัวของเรา จงเอาเราให้พ้นทุกข์
ด้วยการ เห็นเหตุของทุกข์ ที่เกิดและดับ เหล่านั้น
เห็นความเป็นจริง
จงรักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ เติมปัญญา ให้ตนนั้นเป็นผู้รู้แจ้ง
รักษาศีล เพื่อป้องกัน “กฎแห่งกรรม” ที่มันจะพาสิ่งไม่ได้ดีเข้ามาปกปิดตน
ทำความดี เพื่อกฎแห่งกรรม พาสิ่งที่ดีเข้ามาให้ตน..
เห็นแจ้งเข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย...
เพราะความชั่ว หรือบาป คือ ความมืด
ความดี คือ แสงสว่าง
จงยกจิตของตน ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เอาตนเป็นที่ตั้งนั่นหละลูก จะเข้าถึงพระนิพพานได้
จะรู้แจ้งเองว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น คือ อะไร ลูกเอ๋ย
พระพุทธเจ้า ก็สอนความเป็นธรรมชาติ ที่อยู่ในดวงจิตเราทุกคน นั่นแหละลูก
เมื่อเรายกจิตของตนขึ้นมาพิจารณาตรึกตรอง แสวงหาสิ่งที่อยู่ในตนจนเจอ
เราก็จะเจอความเป็นธรรมชาติของทุกอย่าง ที่อยู่ในเรา
รู้แจ้งในเรา ก็จะรู้แจ้งในผู้อื่น
แค่นั้นหละ พระยาธรรม
บุคคลที่ผู้จะบรรลุธรรมได้
ต้องยึดหลัก คือ การเอาตนเป็นที่ตั้ง
เอาตนเข้าไปอยู่ในกรอบของ ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
เพื่อดับความรัก โลภ โกรธ หลง ความอยาก และไม่อยาก ที่อยู่ในตัวของตนให้ได้
เมื่อทำแค่นี้ได้ เท่านั้นแหละลูก ก็จะเข้าใจทุกสิ่งเลย
ก็วันนี้ ในพระคัมภีร์ ก็ยังมี ศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา ให้เราหยิบยกมาพิจารณาอยู่
เราก็ยึดหลักศีล หลักธรรม หลักสมาธิ ปัญญา มาปฏิบัติ แล้วน้อมเข้ามาประยุกต์ใช้
น้อมเข้ามาปรับใช้ในตัวของเรา ให้เหมาะกับเรา แล้วดูในเรา
แค่นั้นหละ พระยาธรรม.. คือ บุคคลผู้มีปัญญาธรรม ที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ ในกึ่งศาสนา
พระยาธรรมเอย เช่นนี้หละลูก คือ ทุกสิ่งที่เกิดอยู่ในขณะนี้
ลูก.. จงทำความเข้าใจ ในเหตุที่มันเกิดของทุกสิ่ง แล้วจงทำความเข้าใจ ในหน้าที่ที่ตนจะต้องทำ
เพื่อช่วยให้ตนรู้แจ้ง ช่วยให้ผู้อื่นรู้แจ้งตาม
ทำหน้าที่พระยาแห่งธรรม ในกึ่งศาสนาเถิด
เพราะการชี้ทาง บอกทางของลูก จะช่วยให้ดวงจิตทั้งหลายหลุดพ้นจากความทุกข์ได้มากมาย
ตอนนี้ ทุกคนแค่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ แค่กำลังรอเวลาอยู่ เท่านั้นหละ.. พระยาธรรม
พระยาธรรม สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้
ให้ลูกได้เข้าใจสภาวะความวุ่นวาย ที่มันเกิดขึ้น
ได้เข้าใจหน้าที่ของตน ได้เข้าใจหลักที่เราควรจะยึด ในการปฏิบัติ ให้เข้าถึงพระนิพพาน
ได้เข้าใจในการที่จะประพฤติ ปฏิบัติ โดยการหยิบเอาสิ่งที่เป็นหลักของศาสนา มาปฏิบัติ แล้วปรับใช้กับเรา
ให้เราดูเรา ให้ดับกิเลสในเรา แล้วเราก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ....เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
สาธุ