ธรรมะเปิดโลก วันที่ 10 กรกฎาคม 2558
ตอนที่ 83
**พระยาธรรมิกราช มีหน้าที่มาทำอะไร**
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. คำว่า *พระยาธรรมิกราช* นี้ ก็เหมือนคำพูดหนึ่งซึ่งสามารถที่จะแปลไปในแนวทางใด
ในรูปแบบไหนก็ได้ ตามใจของบุคคลผู้นั้นจะแปล
-- แต่พระยาธรรมิกราชแห่งศาสนาพุทธ ก็ต้องเป็น ”ผู้ที่มีธรรม” --
ซึ่งพระยาธรรมฯนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโลก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งอื่นเลย
นอกจาก มีหน้าที่นำธรรมคำสั่งสอนมาเผยแผ่เท่านั้น
เพราะ*พระยาธรรมิกราช* คือ “ผู้ที่มีธรรมมาก”
และธรรมที่มีนั้น ต้องเป็นธรรมที่นำมาจากองค์พระพุทธเจ้า เพื่อสอนสั่งให้แก่สัตว์โลก รู้ / ตื่น ในยุคของกึ่งศาสนาเท่านั้น ลูกเอ๋ย.. แต่จะไม่มีหน้าที่อื่นใด
การมาของพระยาธรรม มาเพื่อเผยแผ่ธรรมในกึ่งศาสนา
** เพื่อนำธรรมคำสั่งสอน แผ่กระจายอีกรอบหนึ่ง
** เพื่อให้จิตทั้งหลายได้เข้ามา ศึกษา- เรียนรู้ กับหลักธรรม
ที่จะทำให้จิตดวงนั้น เข้าถึงความพ้นทุกข์ / ละเว้นต่อการทำชั่ว / สร้างความดีอย่างถูกต้อง
< นั่นคือ หน้าที่แห่งพระยาธรรม >
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. พระยาธรรมิกราช บังเกิดขึ้นแล้ว บ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุข
ไม่ใช่เพราะมีพระยาธรรมบังเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาแล้ว จะไปบันดาลให้คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้
หรือจะต้องทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา ...
แต่การที่พระยาธรรมบังเกิดขึ้น จะทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขนั้น หมายถึง
การที่นำธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเผยแผ่.. เผยแพร่
เพื่อให้คนได้เข้าใจถึงหลักธรรมมากเพิ่มขึ้น // ละเว้นต่อการทำชั่ว
เมื่อการเผยแผ่ธรรมของพระยาธรรม สามารถเผยแผ่คลุมออกไปในกลุ่มคนมากขึ้นเท่าไหร่
-- การทำความชั่วก็มีน้อยลงมากเท่านั้น และเข้าใจในหลักธรรม --
... เมื่อเป็นเช่นนั้น บ้านเมืองก็จะสงบไป ด้วยธรรมที่แพร่หลาย // ด้วยธรรมที่เผยแผ่ออกไปนั้น
-- ซึ่งก็ต้องใช้เวลา เหมือนกันกับเมื่อครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น --
การบังเกิดขึ้นแล้วนั้น ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนไปในทันใด !
แต่การที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงได้ และเปลี่ยนโลกได้...
> ต้องเปลี่ยนด้วยธรรมคำสั่งสอน เปลี่ยนด้วยการประพฤติ ปฏิบัติของคนที่ได้ฟังธรรม..
ฉะนั้น การนำธรรมคำสั่งสอนมาเผยแผ่ของพระยาธรรมิกราช –ในกึ่งศาสนานี้..
จะไม่ได้บันดาลให้สิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ในทันทีหรอกลูกเอ๋ย.. อย่าพึงเข้าใจผิดเช่นนั้นเลย
ซึ่งจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ตามธรรมคำสั่งสอนที่แพร่หลายออกไป ซึ่งก็ต้องใช้เวลา
เพราะการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับการประพฤติ ปฏิบัติ ของคนในหลายๆคน หลายๆกลุ่ม
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
– เพียงแต่เขาจะเป็นผู้บอกทาง / ชี้ทาง ไม่ให้ทำกรรมชั่ว แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่า “แทน” แทนคือ แบบไหน
“แทน” คือ ผู้นำธรรมลงมา เพื่อเผยแผ่แทน
เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่กลับมาเพื่อเผยแผ่อะไรบนโลกนี้อีกแล้ว
มีแต่จะส่งผ่านดวงจิตต่างๆที่สามารถบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลตั้งแต่ขั้นที่ 1 ขึ้นไป
และมาจากพระยาธรรมิกราช ซึ่งมีหน้าที่ในการนำธรรม มาเผยแผ่ในกึ่งศาสนานี้เท่านั้น
จึงเรียกว่า เป็น”องค์แทน” หรือเป็นผู้แทนในการมาประกาศธรรม ในกึ่งศาสนา
< และธรรมคำสั่งสอนนี้ ก็จะช่วยให้คนทำความดี ละเว้นความชั่ว >
... เมื่อเป็นเช่นนั้น บ้านเมืองก็จะสงบสุข ...
การที่พระยาธรรมิกราชบังเกิดขึ้นแล้วนั้น จะทำให้โลกใบนี้ ไม่เกิดภัยพิบัติ ไม่เกิดสิ่งที่ร้ายเกิดขึ้นนั้น
-- เพราะว่า มีการเผยแผ่ธรรม จนทำให้คนกลัวต่อการทำบาป หันมาสร้างความดี --
** เมื่อมีแต่คนที่ทำดีมากมาย -- ภัยพิบัติย่อมไม่เกิด เพราะการกระทำของมนุษย์ที่ดีเหล่านั้น**
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สรรพสิ่งบนโลกนี้ จะแปรเปลี่ยนหมุนไป ก็ต่อเมื่อพระยาธรรมนั้นเผยแผ่ธรรมจนสำเร็จ
นำธรรมคำสั่งสอนมาเผยแผ่จนคลุมไปทั้งหมด มีกลุ่มคน มีประเทศที่มีความเชื่อ /เคารพนับถือต่อพุทธศาสนา
ซึ่งจะทำให้คนเข้าใจ และหลุดพ้นได้มากมายอีกรอบหนึ่ง ในกึ่งศาสนานี้
ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดลูกเอ๋ย.. ว่าการมาของพระยาธรรมนั้น มาเพื่อทำอะไร มาแล้วก่อเกิดสิ่งใด เพราะอะไร
< อย่ามัวแต่เพ่งโทษ อย่ามัวแต่คิดไปต่างๆนานา.. เพราะมันจะเป็นเหตุของกรรมที่ตนจะก่อ >
พระยาธรรม คือ ผู้ที่มีธรรมคำสั่งสอน
และธรรมคำสั่งสอนนั้นก็ไม่ได้เกิดมาจากการปฏิบัติ การประพฤติฝึกฝนของพระยาธรรมเอง..
.. แต่จะเป็นธรรมคำสั่งสอนที่มาจากคำสั่งสอนที่มาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งจะแตกต่างจากอรหันตสาวกองค์อื่นๆ
อรหันตสาวก องค์อื่นๆที่สามารถปฏิบัติจนเข้าถึงแก่นของธรรมนั้น
จะทำให้เขารู้แจ้งเห็นธรรมในพระพุทธเจ้า //พระพุทธศาสนา
และสามารถนำธรรมเหล่านั้นที่เขาเห็นจากการปฏิบัติ มาเผยแผ่ …
แต่พระยาธรรมนี้ ไม่ได้บังเกิดมาจากการฝึกฝนปฏิบัติ แต่เป็นธรรมที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่งมาให้
จึงมีความแตกต่างจากอรหันตสาวก และการบังเกิดของพระยาธรรมิกราชนี้
จะช่วยผู้คนโดยคำสั่งสอน ด้วยการชี้ทางและบอกทาง
จะช่วยผู้คนให้พ้นจากทุกข์ได้ ก็ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นมีศรัทธา และฝึกฝนปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นพระยาธรรม หรือจะเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า > ก็เป็นแต่เพียงผู้บอกทาง ลูกเอ๋ย..
ไม่มีใครบังเกิดขึ้นมา เพื่อบันดาลให้คนๆหนึ่งเป็นเช่นไรตามใจบุคคลผู้นั้น
-- เพราะกฎแห่งกรรม เป็นสิ่งที่ทุกคนละเมิดไม่ได้ --
// ใครปรารถนาที่จะเป็นคนดี ได้ในสิ่งที่ดี.. ก็ต้องประพฤติปฏิบัติดี
// ใครปรารถนาที่จะพ้นทุกข์.. ก็ต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์
*พระยาธรรม* หรือจะเป็นใครสักคนหนึ่ง ที่จะมานำทางนั้น ก็ได้แต่เพียงบอกทางเท่านั้น ลูกเอ๋ย..
“ ลูกต้องประพฤติ ปฏิบัติ กระทำตามเอง “
ฉะนั้นวันนี้ เมื่อทำความเข้าใจ *พระยาธรรมิกราช* ที่แท้จริงแล้ว
ก็จงปรับเปลี่ยนที่จิตแห่งตน เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งสอน
อย่ารอให้พระยาธรรม / มาทำให้เราสำเร็จธรรม / มาช่วยให้เราพ้นทุกข์ / มาปรับเปลี่ยนการเมืองบ้าง
เรื่องโน้นเรื่องนี้ อันเป็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบของธรรมเลย !.. ลูกเอ๋ย
**หลักธรรมคำสั่งสอน**
สอนอยู่ในกรอบของทางพ้นทุกข์ และทางพ้นทุกข์ คือ สิ่งที่จะนำพาให้ลูกทั้งหลายพ้นจากทุกข์
-- เมื่อทำเหตุให้ดี ผลของมันก็จะงอกงาม งอกเงย ไปในทางที่ดีเอง --
ถ้าบ้านเมืองหนึ่งที่ทำแต่ความดี อยู่ในกรอบของศีลธรรม -- บ้านเมืองนั้นก็ย่อมมีแต่ความสงบสุข
ฉะนั้น.. จงทำตนให้ดี ประพฤติตามธรรมคำสั่งสอนที่นำมาเผยแผ่
และต่อจากนี้ไปในภายภาคหน้า การเผยแผ่ธรรมคำสอนจะแพร่หลายออกไป ..
ผู้คนมากมายจะทำดี จะมีผู้คนมากมายเข้าถึงความพ้นทุกข์
บ้าน- ประเทศ -โลก ย่อมก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์ กลับคืนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยสิ่งเหล่านี้
... แต่ไม่ใช่บันดาลจากพระยาธรรม ...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เมื่อได้เข้าใจ ”หน้าที่ของพระยาธรรม” อย่างแท้จริงแล้ว ..
ก็จงอย่าสร้างกรรม โดยการเพ่งโทษ โดยการลังเลสงสัย โดยการคิดไปต่างๆนานา ด้วยความคิดของตนเลย
จงปล่อยวางเสียเถิดลูก แล้วปฏิบัติตนให้เข้าถึงเสียยังจะดีกว่า เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรในการเพ่งโทษ
ไม่เกิดประโยชน์อะไรในการลังเลสงสัย
จงดูที่จิตแห่งตน ปรับเปลี่ยนตนให้เข้าถึงความพ้นทุกข์เถิด ลูกเอ๋ย..
เพราะตนจะได้ไม่กลายเป็น “ฝ่ายมาร” ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ *พระยาธรรม*
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ความดีและความชั่ว อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
... แต่ไม่จำเป็นหรอกลูก ที่จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่ง เสียสละถึงขนาดต้องไปเป็น”ฝ่ายชั่ว”
ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอกลูกเอ๋ย.. สงสารตนเองบ้างเถิด
จงประพฤติ ปฏิบัติดี เพราะแท้ที่จริงมารนั้น..ก็มีอยู่ในวัฏสงสาร คือ การที่ถูกครอบงำจากกิเลสตัณหา
ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น ดิ้นรน เร่าร้อน ขวนขวาย
“มาร” ก็มีอยู่ในการเกิด คือ กองทุกข์นั้นแล้ว
สิ่งเหล่านั้น ก็มากพอที่จะทำให้พระยาธรรม เผยแผ่ธรรมเพื่อให้ทุกคนพ้นทุกข์ได้แล้ว …
ไม่จำเป็นหรอกลูก ที่จะต้องตั้งตนเพื่อมาเป็น “มาร” ทดสอบพระยาธรรม
สงสารตนที่จะต้องไปชดใช้กรรมหนักเถิด ลูกเอ๋ย ..
-- แล้วจงมาเป็นผู้ ปฏิบัติดี ประพฤติดี เพื่อทางพ้นทุกข์แห่งตน --
สาธุ
ในเช้าของวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว.. พระองค์ท่านจึงทรงเมตตาให้ข้าพระพุทธเจ้าได้ตอบคำถาม ในเรื่องของการเข้าใจในสภาวธรรมต่างๆ - ตอนที่ 2
พุทธธรรมที่สวนธรรมิกราช วันที่ 13 มกราคม 2561
**หน้าที่ของพระยาธรรม**
+ +
พระพุทธองค์ท่านได้ทรงเมตตาข้าพเจ้ายิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงกราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่าน ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ในตอนที่ 2 นี้ พระพุทธองค์จะทรงเมตตาให้ลูกได้ทบทวนถึงธรรม ในสภาวธรรมไหนบ้างล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาชี้ทางลูกด้วย เจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. ในตอนที่ 2 ของเช้าวันนี้
ก็ให้ลูกนั้น ตอบคำถามตามที่เข้าใจ เหมือนเดิมก็แล้วกันนะ
แต่จะเป็นคำตอบข้อต่อไป..
พระยาธรรมเอ๋ย.. แล้วลูกนั้น เข้าใจการก่อเกิดของลูกว่าอย่างไรเล่า ?
เข้าใจว่า ลูกนั้น.. เป็นใคร มายังไง ต้องทำอะไรบ้าง ในโลกนี้ ?
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาให้ลูกได้ทบทวนในสิ่งที่ลูกรู้ เข้าใจ เจ้าค่ะ
ตามที่ลูกเข้าใจ ลูกเข้าใจว่า..
ทุกสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มันก่อเกิดขึ้นในศาสนาพุทธนั้น..
-- ล้วนแล้วแต่เป็นพลังที่ดี พลังที่บริสุทธิ์ ที่เชื่อมต่อกัน --
ไม่ว่าจะเป็นองค์บรมบิดา หรือว่าจะเป็นองค์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือว่า องค์พระอรหันต์ -- ก็ย่อมเป็นพลังงานที่ดี พลังที่บริสุทธิ์ จากจิตที่ปราศจากกิเลสตัณหาแล้ว
และเป็นพลังที่เชื่อมต่อกัน เพื่อที่จะเผยแผ่ธรรม
หรือชี้ทาง ให้กับดวงจิตทั้งหลาย.. ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารเหล่านั้น.. เขาได้รู้ตาม
ตัวของลูกเอง.. จึงเป็นดวงจิตที่ก่อเกิดขึ้นมา - ในยุคของกึ่งศาสนา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน - พระพุทธเจ้าพระสมณโคดม
เมื่อลูกก่อเกิดขึ้นแล้ว..พลังจากทุกพระองค์ ย่อมเชื่อมต่อมาที่ลูก
เพราะลูกเป็นผู้ที่จะมาถ่ายทอดธรรม - ในกึ่งศาสนานี้ น่ะเจ้าค่ะ
รวมถึง ลูกเอง - ก็ยังเป็น..
เป็นตัวแทนของธรรมทั้งปวง
เป็นตัวแทนแห่งธรรมที่ก่อเกิดขึ้นในกึ่งศาสนา
ลูกไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้า แต่เป็นพระธรรม - ที่ก่อเกิดขึ้น อีกครั้งในกึ่งศาสนา
ลูกเป็นตัวแทนแห่งธรรมทั้งปวง ลูกจึงมีชื่อ **พระยาธรรมิกราช**
และธรรมทั้งปวงที่มีอยู่ / ที่ชี้บอกทาง - จึงเกิดขึ้นสว่างเจิดจ้า ในตัวของลูก
ให้ลูกได้มองเห็น เข้าใจตามสภาวะความเป็นจริง
เพราะลูกเป็นตัวแทน ..แห่งธรรมทั้งปวง
ดวงจิตของลูกเกิดมา เฉพาะถ่ายทอดธรรมโดยตรง
ลูกจึงเกิดขึ้นมา.. เป็นองค์แทนพระธรรมทั้งปวง
เป็น **พระยาธรรมิกราช** เกิดขึ้นในศาสนาของพระสมณโคดม มีองค์บรมบิดา และมีองค์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้าทุกพระองค์
ที่หลุดพ้น อยู่ในดินแดนพ้นทุกข์.. ส่งพลังมาช่วย
ช่วยให้ลูกทำหน้าที่ได้สำเร็จ - ในกึ่งศาสนานี้ **
เข้าใจว่า ลูกเป็นเช่นนี้ อย่างนี้ น่ะเจ้าค่ะ
และการก่อเกิดขึ้นมาแล้ว หน้าที่ก็คือ การเผยแผ่ธรรม ชี้ทาง บอกทางตามที่..
- ตนนั้นเข้าใจ
- ตนนั้นรู้
- ตนนั้นเห็นแจ้งตามความจริง
-- ให้จิตทั้งหลาย ผู้รอรอบในกึ่งศาสนานี้ ..ได้หลุดพ้นจากความทุกข์เจ้าค่ะ --
แต่ว่า ลูกก็ต้องเรียนรู้ ศึกษาความทุกข์ เชื้อแห่งกิเลสให้จบ แล้วก็ทำตนให้ออกจากเชื้อเหล่านั้นให้ได้เสียก่อน ลูกจึงจะสามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ !
และคนที่ลูกอาจช่วยได้เหล่านั้น.. เขาก็เป็นผู้ที่สร้างบุญ รอรอบแล้ว
พระองค์ทุกๆพระองค์ทรงมองเห็นว่า ในยุคกึ่งศาสนานี้
** เป็นยุคที่เหมาะสมแห่งการก่อเกิดพระยาธรรม - หรือธรรมของพระพุทธองค์**
...เพราะมีจิตที่รอรอบในการจะมาปฏิบัติ เยอะแยะมากมาย
และเขาเหล่านั้น ก็จะ..
/ สามารถเบ่งบานได้
/ สามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าได้มีธรรมคำสั่งสอนมาชี้ทาง
... ดวงจิตเหล่านั้น ก็มีเยอะแยะมากมาย พอที่จะให้พระธรรมเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ..
ท่านทั้งหลาย.. จึงส่งหนูมา
หนูมาแล้ว.. ก็ต้องทำหน้าที่เผยแผ่ธรรม เช่นนี้ อย่างนี้.. เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ที่เข้าใจสภาวธรรมของตน
แล้วลูกนั้น มีความหวาดกลัวกับสิ่งที่จะทำหรือเปล่า.. ว่าจะทำได้ หรือว่าไม่ได้ ?
+ +
พระยาธรรม :: เมื่อก่อนโน้น ก็จะมีอยู่บ้างเจ้าค่ะ ที่จะกลัวว่า.. จะทำได้ /ไม่ได้
เพราะว่า เป็นหน้าที่.. ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ลูกไม่เชื่อเท่าไหร่ ว่าลูกจะเกิดมาทำหน้าที่เช่นนั้น
แต่ตอนนี้.. ลูกก็เฉยๆ เชื่อกับไม่เชื่อ - ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุ
-- ก็เลยไม่มีเชื่อ หรือไม่เชื่อ..
... เอามันทิ้งไปก่อนเจ้าค่ะ
สิ่งที่ลูกทำไปเรื่อยๆ.. ตามความรู้ความสามารถ ตามสติปัญญาของตน ที่พอจะทำได้
ฉะนั้น.. ลูกคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น - มันก็เกิดเพราะว่า มันมีเหตุของมัน
ที่มันจะเป็นไป - ก็เพราะเป็นไปตามเหตุของมัน
เราเกิดขึ้นแล้ว เรารู้จักหน้าที่แห่งตน .. เราก็ทำหน้าที่แห่งตน..ให้ดีที่สุด ++
... แล้วเราก็จะสามารถทำผลที่ดี.. ตามมา
ฉะนั้น..
ไม่ต้องไปคิดว่าเชื่อ หรือไม่เชื่อ
ไม่ต้องปล่อยจิตใจของตนให้มันเป็นสุข เป็นทุกข์ - กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง..
ไม่ต้องพะวงกับมัน
ทำปัจจุบันให้ดี เป็นไปเรื่อยๆ - ตามธรรมของพระพุทธองค์ ที่สั่งสอนลูกว่า..
ต้นไม้ มันจะค่อยๆเจริญเติบโต -ตามกาลเวลา
และเงาของมัน - ก็จะโตขึ้นตามต้นของมัน
-- เราแค่ทำหน้าที่ให้ดี ก็คือ แค่รดน้ำพรวนดิน ดูแลต้นไม้ต้นนั้นให้ดี.. ก็พอ
เปรียบเสมือน การที่เราทำความดีให้สม่ำเสมอ ดูแลต้นความดีของเราไปเรื่อยๆ..
บารมีของเรา ความสามารถ ความรู้ ความเข้าใจของเรา - ก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
- ตามเหตุและปัจจัยของมันเอง ++
ฉะนั้น.. หนูก็เลยปล่อยจิตไว้เช่นนี้
จึงไม่มีความกังวล หรือคิดว่าจะทำได้ / ไม่ได้
... เพราะทุกอย่าง มันคงเป็นไปตามเหตุของมันเอง.. น่ะเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ก็ถือว่าลูกนั้น พอจะเข้าใจในธรรมทั้งหลายดีลูก
-- น่าจะสามารถ นำพาจิตต่างๆทั้งหลาย.. ออกจากกองทุกข์ได้ ++
พระยาธรรมเอย.. แล้วลูกนั้น คิดว่าจะนำพาจิตต่างๆทั้งหลาย ออกจากกองทุกข์ ยังไงเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกคิดว่า การที่ลูกจะนำพาจิตทั้งหลาย.. ออกจากกองทุกข์ได้นั้น
ลูกต้องพ้นทุกข์ก่อน - แล้วลูกจึงจะสามารถนำพา ชี้ทางเขาได้ เจ้าค่ะ
รวมถึงพระพุทธองค์ทั้งหลาย ก็มีความเมตตา
ที่ให้ลูกเห็นสภาวธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ในวัฏสงสารนี้
ลูกก็จะนำเอาสิ่งที่ลูกรู้ และแจ้งเหล่านั้น - มาชี้บอกเขาทั้งหลาย..
/ ให้ปฏิบัติ ทำความดี
/ ให้ *มีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา*
เขาเหล่านั้น.. ก็คงจะสามารถรู้ตาม - ตามที่ชี้บอก
และรู้ตาม..
- ตามบุญที่เขาสั่งสมมา
- ตามบารมีของเขา ที่มีอยู่
- ตามความรู้ ที่เขาสามารถเข้าใจ ในแต่ละดวงจิต
- ตามพละกำลัง ความรู้ ความสามารถ
- ตามจำนวนดวงจิต - ที่สั่งสมบุญไว้แล้ว..
อย่างนั้น เจ้าค่ะ..
พระยาธรรมเอย.. แล้วจะเป็นสุข - เป็นทุกข์ กับสิ่งที่ชี้ทาง บอกทาง - แล้วมีคนรู้ตามไม่มาก !
จะทุกข์หรือเปล่า หรือว่ามีมาก- จะสุขหรือเปล่าล่ะ..
... ลองทบทวนดูซิ ว่ารู้สึกเช่นไร ?
พระยาธรรม :: เมื่อก่อนจะเป็นทุกข์ ที่เห็นคนมาน้อย หรือว่า เข้าใจได้น้อย
เวลาเราชี้ทางบอกทางเขา ก็สุขบ้าง เมื่อเห็นมีคนเข้าใจมากขึ้น
... แต่ทุกวันนี้ ก็กลายเป็นความเฉยๆ ไปแล้วละเจ้าค่ะ..
ทุกคนมีรอบของการสั่งสม มาต่างกัน
เขาอาจจะเข้าใจได้บ้าง / ไม่ได้บ้าง
-- เป็นธรรมดา.. แล้วแต่รอบบุญของเขา --
เราแค่ทำหน้าที่ของเรา คือ ใครเข้ามา.. เราก็ดูว่า เขามีสติปัญญาที่พอจะรับธรรมได้ในระดับใด
.. เราก็ให้ธรรมเขาไป ตามกำลังของเขา
.. เขาจะสามารถขวนขวายธรรม ได้มากได้น้อย - ก็เรื่องของเขาอีกทีหนึ่ง ++
** เราก็จะไม่สุข ไม่ทุกข์ กับสิ่งทั้งหลายที่มันเกิดต่อหน้าเรา เจ้าค่ะ --
จะเห็นเป็นธรรมดา และคิดว่า.. ดวงจิตทั้งหลายนั้น อยู่กับกิเลสตัณหามานาน
การที่เราจะบอกให้เขาออกได้เลย ในทันใด - เขาคงทำไม่ได้ !
แต่ก็มีดวงจิตที่เขาบำเพ็ญมา เพื่อรอรอบ.. เราก็เห็นเป็นธรรมดา
บางคนไปได้ / บางคนไปไม่ได้ ..ก็แล้วแต่
และเข้าใจตามคำสอนพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า.. เราเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางบอกทาง
เพราะว่า วัฏสงสารนี้ ถูกคุมเอาไว้ด้วย *กฎแห่งกรรม*
ใครทำอะไร - ก็จะได้สิ่งนั้น
เราจะหยิบยื่นให้.. เขาจะรับหรือไม่ น้อมไปปฏิบัติตามหรือไม่ - ก็ต้องเป็นเรื่องของเขา
เราต้องวางเฉยกับสิ่งที่ทำ และทำหน้าที่ของตนให้จบ ทำให้ดี ก็พอ
จึงไม่สุข ไม่ทุกข์อะไร
จึงเห็นเป็นธรรมดา.. เจ้าค่ะ
และลูกก็คิดว่า.. คนที่เขามา -- เขาจะอยู่กับเรา เขาจะอยู่ได้นาน / ได้ไม่นาน
ก็ขึ้นอยู่แต่กับว่า.. เขาจะรู้หรือขวนขวายได้หรือไม่
... ก็เลยไม่ค่อยเป็นอะไรแล้ว..
แม้จะเห็นคนมาก คนน้อย - ก็ไม่สุข ไม่ทุกข์ตามเขาเลย.. เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละพระยาธรรม..
การประพฤติ ปฏิบัตินะลูก สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ ให้เรารู้เท่าทันตัวของเรา สิ่งที่เราทำ
รู้เท่าทันสิ่งที่เราให้ไป
รู้เท่าทัน สิ่งที่เขาตอบรับมา
... รู้ให้เท่าทันสิ่งทั้งหลาย ให้มันอยู่บน *ทางสายกลาง* ทั้งหมด..
ทุกสิ่งทุกอย่าง.. ปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุของมัน
เราตั้งใจทำเหตุของเราให้ดี คือ เราเป็นพระยาธรรม
-- เราก็ทำพระยาธรรมนั้น ให้ดี / ให้สมบูรณ์ในความเป็นพระยาธรรม **
ดวงจิตทั้งหลายที่แวะเวียนเข้ามา - เราก็หยิบธรรมนั้นให้กับเขา
แบ่งเอาสิ่งที่พอจะให้เขา ตามพละกำลัง ความรู้ ความสามารถของเขา
และก็ปล่อยให้ทุกอย่าง.. เป็นไปตามเหตุของมัน อีกทีหนึ่ง
นั่นแหละลูก.. มันจะทำให้เราไม่ต้องทุกข์ /ไม่ต้องสุข
กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น - ดับไป.. อยู่ตรงหน้าของเรา
พระยาธรรมเอ๋ย.. ตามที่ได้ตอบคำถามมานั้น ก็ถือว่า ..รู้ทางที่แจ้ง
รู้ทางที่ถูก และไม่หลงทาง
ดีแล้วละลูก..
ฝึกฝนปัญญา ไปเรื่อยๆ
ฝึกฝนธรรม - ให้รู้แจ้ง เข้าถึง.. ให้ลึกขึ้นเรื่อยๆ..
เมื่อวันหนึ่ง.. ที่ได้รอบแห่งการเติมเต็มแล้ว - จิตของลูกก็จะสว่างไสว
พอที่จะเป็นที่พึ่ง ให้กับดวงจิตทั้งหลาย..
ผู้ที่ไม่มี สิ่งที่บดบังจิตของเขาให้มืดมิด คือ กิเลสตัณหา
ผู้ที่พอเห็นธรรมบ้าง
ผู้ที่พอเข้าใจ ในการทำความดี
เอาละนะ พระยาธรรม วันนี้ก็สนทนาธรรมกัน เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน
กลับไปทำหน้าที่แห่งตนเถิด
แล้ววันหลัง โอกาสใหม่ ค่อยคุยกันใหม่อีกทีหนึ่งนะ.. ดีแล้วละ
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาให้ลูกได้ทบทวนธรรม ที่ลูกเข้าใจ
ลูกก็ได้มั่นใจขึ้นนิดหนึ่ง ว่า ..ไม่หลงทาง
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงชี้ทางลูก
และคิดว่า ความเข้าใจ หรือการอธิบายในคราวครั้งนี้
- ก็จะเป็นประโยชน์กับญาติธรรมผู้เดินตามธรรมของพระพุทธองค์ ในกึ่งศาสนานี้
..ได้มากเช่นเดียวกัน เจ้าค่ะ
ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าค่ะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ
สาธุ