ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา คือโต๊ะสี่ขา
ที่ทำให้เกิดความสำเร็จแห่งธรรม
ขาดสมาธิไป จะยังความสำเร็จให้ตั้งอยู่ไม่ได้เลย
...ตอนที่ ๘๖ สภาวธรรมขององค์พระอรหันต์
การทำตนให้รู้แจ้งในสรรพสิ่ง แล้วปล่อยวาง สลายทุกสิ่งไปสู่ความว่าง มีเหมือนไม่มี แล้วปรับจิตมาอยู่กับโลก โดยรู้อยู่ เห็นอยู่ แต่ไม่สุข ไม่ทุกข์ในสิ่งที่รู้ ในสิ่งที่เห็นนั้น เป็นธรรมดา จึงเป็นสภาวธรรมขององค์พระอรหันต์
ฌานที่ไม่มีรูป การฝึกกรรมฐานหมวดนี้ ต้องเริ่มฝึกให้ได้ฌานที่มีรูปก่อน ให้ได้ถึงฌาน ๔ แล้วจับเอาอากาศความว่างเปล่ามาเป็นอารมณ์ จับเอามีความรู้สึกเหมือนไม่มีความรู้สึก จับเอาสิ่งที่มีให้เหมือนไม่มี จับเอามีความจำเหมือนไม่มีความจำ มาเป็นอารมณ์ของจิต จิตจะไปตั้งไว้ในอรูปฌาน
...ตอนที่ ๘๓ ฌาน ๕ วิสัยพุทธภูมิ
ท่านผู้ที่มีบารมีในวิสัยแห่งพุทธภูมิ คือท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านผู้นั้นจะทรงฌาน ในอานาปานสสติถึงฌานที่ ๕ สำหรับพุทธสาวกทรงได้ถึงฌาน ๔
๑. ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒. ทุติยฌานมีองค์ ๔ คือ ละวิตกเสียได้ ดำรงอยู่ใน วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๓. ตติยฌานมีองค์ ๓ คือ ละวิตก วิจาร เสียได้ ดำรงอยู่ใน ปีติ สุข เอกัคคตา
๔. จตุตถฌานมีองค์ ๒ คือ ละวิตก วิจาร ปีติ เสียได้ ดำรงอยู่ใน สุขกับเอกัคคตา
๕. ปัญจมฌาน หรือ ฌาน ๕ มีองค์สองเหมือนกัน คือ ละวิตก วิจาร ปีติ สุขเสียได้ ดำรงอยู่ใน เอกัคคตา และเพิ่มอุเบกขาเข้ามาอีก ๑
...ตอนที่ ๘๔ ประโยชน์รูปฌานและอรูปฌาน
รูปฌานมีไว้ให้พิจารณา ค้นหาความเป็นจริงของชีวิต เมื่อรู้แจ้งในทุกอย่างแล้ว ให้ใช้อรูปฌานสลายทุกสิ่ง เข้าสู่ความไม่มี กลับสู่ธรรมชาติ ทำให้พ้นจากความทุกข์
ฌานที่ ๔ นี้มีอารมณ์ ๒ เหมือนฌาน ๓ แต่ผิดกันที่ฌาน ๓ มีสุขกับเอกัคคตา สำหรับฌานที่ ๔ นี้ ตัดความสุข ออกเสียเหลือแต่ เอกัคคตา และเติมอุเบกขา เข้ามาแทน ฉะนั้น อารมณ์ของฌาน ๔ จึงมีอารมณ์ผิดแผกจากฌาน ๓ ตรงที่ตัดความสุขออกไป และเพิ่มการวางเฉยเข้ามาแทนที่
ตติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุขกับ เอกัคตา
ฌาน ๒ หรือ ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ
ปิติ คือความเอิบอิ่มใจ
สุข ความสุขกายสบายใจ
เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ได้แก่การที่เราสามารถละ วิตก , วิจาร ลงได้
อารมณ์ของฌาน ที่ ๑ มี องค์ ๕ ดังนี้
๑.วิตก ความตรึกนึกคิดถึงอารมณ์ภาวนา
๒.วิจาร ความใคร่ครวญทบทวนถึงองค์ภาวนานั้นๆ ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ เพียงใด
๓.ปีติ ความเอิบอิ่มใจ มีความชุ่มชื่นเบิกบานหรรษา
๔.สุข มีความสุขสันต์ทางกายและจิตใจอย่างไม่เคยมีมาในกาลก่อน เป็น ความสุข อย่างประณีต
๕.เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ทรงวิตก วิจาร ปีติ สุข ไว้ได้โดยไม่มี อารมณ์ อื่นเข้ามาแทรกแซง
...ตอนที่ ๗๗ รวมจิตกายใจจนถึงอาการปีติ
จิตอยู่ข้างใน ใจอยู่ข้างนอกเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างจิตกับกาย ให้รับรู้ธรรมารมณ์ทั้งหลาย ที่ผ่านหู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนังทางกาย การทำสมาธิต้องรวมจิต กาย ใจ ให้เป็นหนึ่ง จนรับรู้ถึงอาการปีติ ซึ่งมีความอิ่มเอิบใจ เมื่อใกล้ถึงฌาน
...ตอนที่ ๗๖ ปรับจิตกายใจให้พร้อม
ก่อนที่จะทำสมาธิ ให้เตรียมความพร้อมของกาย ปรับท่านั่งให้สบาย เมื่อกายได้ผ่อนคลาย พร้อมแล้ว ค่อยยกกรรมฐานกองใด กองหนึ่งขึ้นมาภาวนา จิตใจจะรวมเป็นหนึ่ง เข้าถึงความสุข ความสงบด้วยความพร้อมของจิตกายใจ
...ตอนที่ ๗๕ ขจัดกระแสรบกวน แบบที่ ๓
นั่งสมาธิไป มีแต่ความฟุ้งซ่าน ให้หาธรรมะมาเปิดฟัง แล้วพิจารณาตาม หรือ จะเปิดดนตรีบรรเลงเบาๆ หรือ จะกวาดลานวัด ทำความสะอาดที่อยู่อาศัย ก็จะทำให้เข้าถึงความสุขสงบ ได้เช่นเดียวกัน
...ตอนที่ ๗๔ ขจัดกระแสรบกวน แบบที่ ๒
รูปแบบหนึ่ง ที่พึงนำมาใช้ เมื่อทำสมาธิไปแล้วฟุ้งซ่าน ให้สวดมนต์สรรเสริญ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และแผ่เมตตาก่อน หรือ ในสายธรรมสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ให้สวดฟอกจิตก่อน แล้วค่อยทำสมาธิ จะได้เคลียร์กระแส ความทุกข์ร้อนออกไป จะทำให้ทำสมาธิ จิตสงบได้เร็วขึ้น
เมื่อทำสมาธิแล้วมีสิ่งรบกวน ทำให้จิตกายใจไม่สงบ ให้แก้ไขด้วยการยกจิตออกจากกาย ไปตั้งไว้ในที่สงบเย็น ดั่งเช่นพระนิพพาน แล้วน้อมรับพลังเย็นๆ แผ่ไปคลุมที่กาย เมื่อกระแสนั้นหายไป จะเข้าถึงสมาธิได้โดยพลัน
...ตอนที่ ๗๒ ทำสมาธิอย่างไรถึงจะสงบได้ง่าย
บุคคลที่จะทำสมาธิ เข้าถึงความสงบ เข้าถึงฌานได้ง่าย ต้องเป็นผู้มีศีล มีสติปัญญา ห่างไกลจากกิเลสตัณหา ไม่ลุ่มหลงในตน รู้จักปล่อยวางความสงสัย รู้หลักการทำสมาธิ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น ด้วยความขยันอดทน หรือเป็นผู้มีของเก่าตามมา จะเป็นผู้ทำสมาธิเข้าถึงความสงบได้โดยง่าย
...ตอนที่ ๗๑ อันตรายมีไหมในการทำสมาธิ
การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าทำโดยขาดสติ ขาดปัญญา อย่าใช้ตัณหาในการทำ ค่อยเรียนรู้ฝึกฝนไปตามลำดับขั้น ถ้ารีบร้อนเร่งปรารถนา จะให้สำเร็จเร็วเกินไป จะเสียผลของความดี
...ตอนที่ ๗๐ เป้าหมายของสมาธิและวิธีไม่ให้หลง
เป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม ก็เพื่อมรรคผลนิพพาน การทำสมาธิเมื่อได้รับความสุขสงบ ให้พิจารณาสภาวธรรมต่างๆ ให้เห็นตามความเป็นจริง ให้เห็นในสิ่งไม่เที่ยงแท้ เพื่อให้คลายความยึดติด ความลุ่มหลง จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์
นักบวช ผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ จะขาดสมาธิไม่ได้ เปรียบเหมือน ไฟฉายต้องมีแบตฯ เพื่อให้แสงสว่าง ฉันใด จิตก็ต้องมีสมาธิ ฉันนั้น จึงจะทำให้เกิดปัญญา รู้เห็นสภาวธรรมต่างๆ ความเป็นจริงได้
การที่มีสมาธิ คือการที่จิตมีความสงบ เย็น ไม่สับสนวุ่นวายในสิ่งใด
จะมีสมาธิที่แท้จริงได้ ต้องมีอยู่ในทุกขณะจิต ในการกระทำ
ไม่ว่าจะยืน เดิน นอน นั่ง หรือ ร่างกายจะขยับทำสิ่งใด
จิตต้องนิ่งสงบ ไม่ขยับ กระเพื่อมไปตามการกระทำของกาย
สมาธิเป็นพลังของจิต เป็นรากฐานของสติ ปัญญา
ทำให้เกิดความสงบ ความสุข ความชุ่มเย็น
การทำสมาธิ ทำให้จิต ได้รับการพักผ่อน
สมาธิเปรียบเสมือนน้ำ ทำให้ต้นไม้ ได้รับชุ่มเย็น
ผู้มีสมาธิมาก จะได้รับความสุขมาก สมาธิจึงสำคัญยิ่งนัก
ทุกคนจึงควรทำสมาธิ เพื่อให้ชีวิตได้รับความสุข
การทำให้จิตให้สงบ ต้องปล่อยทุกสิ่ง วางทุกอย่าง
เอาจิตไปกำหนดไว้ ในจุดใดจุดหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ให้จิตนิ่งอยู่กับสิ่งนั้น ทำไปเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ จิตก็จะเข้าถึงสมาธิได้
ก็จะเกิดความสงบ ความสว่าง ความว่างเปล่า
จะรู้ในสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ในสิ่งที่ซ่อนอยู่ เมื่อจิตเกิดสมาธิ
… ตอนที่ ๒๔ ทำสมาธิทำไมต้องหยุดพักก่อน ***
การทำสมาธิเมื่อจิตเข้าถึงความสงบสุข ถอนสมาธิกลับมา ทำไมบางครั้งถึงนั่งสมาธิต่อไปไม่ได้เลย
การทำสมาธินั้น ก็เพื่อให้จิตมีพลัง
แต่ที่ต้องพักก่อน เมื่อได้ทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง
ก็เปรียบได้กับการรับประทานอาหาร เมื่อถึงจุดที่อิ่มแล้ว ย่อมต้องพักก่อน เพื่อรอให้อาหารย่อยสลาย นำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย
ให้มีพลัง มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นไป
จิตที่มีกิเลสตัณหา ภาวนาไปก็ไม่สงบ
และหนี้กรรมเก่าที่ทำมา ใจก็มีแต่ความเร่าร้อน เป็นทุกข์
การจะข้ามพ้นกิเลสตัณหา และหนี้กรรมได้นั้น
ต้องสร้างความดีขึ้นไปเรื่อยๆ อย่าย่อท้อ
จึงจะนำพาดวงจิตออกจากกองทุกข์ ได้ด้วยความขยันและอดทน
หลักการทำสมาธิ เริ่มแรกให้ผู้ที่จะทำสมาธินั่งขัดสมาธิ แบมือทั้ง 2 ข้าง เอาไว้ที่หัวเข่า เพื่อรับพลังพุทธบารมี
ให้ตัดความยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่าง
ตัดอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ตัดอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้อยู่กับปัจจุบัน และคิดว่าตอนนี้เรากำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกของความสงบสุข
เมื่อได้ตัดความวุ่นวายทั้งหลายออกไปแล้ว ให้หายใจลึกๆ ค่อยๆหลับตาลง ให้ตั้งสมมุติขึ้นมาว่าเหนือศีรษะของเราขึ้นไป สูงขึ้นไป มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ขนาดใหญ่ เป็นกายแก้วใสๆ นั่งอยู่บนดอกบัวแก้ว แล้วพระองค์ท่านมีฉัพพรรณรังสี.. สว่างเจิดจ้าด้วยพุทธบารมี
บริกรรมว่า *สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ *
… ตอนที่ ๑๒๐ นั่งภาวนาดูลมหายใจไปนิพพานได้ไหม
ฝึกดูลมหายใจเข้าออก จะเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ไหม
แนวทางการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ มีอยู่เยอะแยะมากมาย สามารถฝึกกรรมฐานกองใดก็ได้ ในกรรมฐาน ๔๐ กอง
ถ้าทำให้จิตใจสงบสุข มีพลัง รู้เท่าทันในสิ่งที่จะมาล่อหลอกให้ลุ่มหลง
การดูลมหายใจเข้าออก ถ้าตั้งใจปฏิบัติอยู่ในกรอบของ ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ย่อมจะเป็นปัจจัยค้ำหนุนให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ เช่นเดียวกัน
.. ตอนที่ ๒๐๔ สมาธิทำให้เกิดปัญญา
ดวงจิตที่บริสุทธิ์ ถูกความรัก โลภ โกรธ หลงครอบจิตเอาไว้
มีกายครอบอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าตนเป็นใคร
จนกว่าจะทำให้จิตอยู่นิ่งๆ เติมพลังสมาธิเข้าไป จิตจะสว่าง
เกิดสติปัญญา รู้แจ้งตามความเป็นจริง ด้วยตัวของเราเอง
… ตอนที่ ๙ จะทำจิตให้มีสมาธิขั้นสูงได้อย่างไร ***
การที่จะทำให้จิตมีสมาธิอย่างง่าย ต้องแยกจิตออกจากกาย
ออกจากความคิดปรุงแต่ง ออกจากความยึดติด
ให้ส่งจิตไปสงบนิ่งอยู่ในที่สงบสุข เพื่อตัดกระแสคลื่นความทุกข์
ความร้อน ความฟุ้งซ่านทั้งหลายที่มาจากกาย
จิตจะได้มีพลังความสุขสงบ สามารถเข้าถึงสมาธิได้อย่างง่ายดาย