ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. อย่าไปสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย
การที่เรานั้นยังติดอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง
เราก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้นๆ
ติดอยู่กับอะไร เราก็จะเป็นทุกข์อยู่กับอันนั้น
ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ การว่างเปล่า
ว่างเว้นจากความมีตัวตน ว่างเว้นจากการมีสรรพสิ่ง..
ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา **
** ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงกระทำตนนั้นให้ถึงความสุข
ความว่างเปล่า การไร้ตัวตนเถิด...**
(กรรมฐานเข้าสู่พระนิพพาน)
** เพราะเราอยู่กับเมฆ เราอยู่กับอากาศ อยู่กับลม
อยู่คู่กับความว่างเปล่า **
** ความว่างเปล่า คือ ดวงใจของเรา
ดวงใจของพระพุทธเจ้า ก็คือ ความว่างเปล่า
แท้ที่จริงแล้ว ที่สุดของที่สุด ก็คือ ความว่างเปล่า
สูงสุดก็คือ ความว่างเปล่า ไม่มีความปรารถนาสิ่งใด
ไม่มีสิ่งใดๆเลย มีแต่ความว่างเปล่า **
** ธรรมะของเราอยู่ที่นั่น อยู่ที่ความว่างเปล่า **
(กวนอิมน้อยสื่อสภาวธรรมโลกทิพย์ – กายในกาย)
กรรมฐานเข้าสู่พระนิพพาน
เมื่อทุกคนได้มีศีลครอบกายเอาไว้ ไม่ให้กระทำสิ่งบกพร่อง เบียดเบียน กระทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ต่อจากนี้ให้ทุกๆคน ตั้งใจนั่งกรรมฐานตาม ดังต่อไปนี้ ทุกๆคนนะจ๊ะ
ให้ทุกคนนั่งขัดสมาธิ แบมือทั้งสองข้างเอาไว้ที่หัวเข่า แล้วหายใจลึกๆ ให้ทุกคนนึกขึ้นมาเช่นนี้ว่า …
... ความทุกข์ทั้งหลาย ญาติทั้งหลาย หนี้สินทั้งหลาย ผู้มีพระคุณทั้งหลาย
ภาระทั้งหลาย หน้าที่ทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนั้น เพราะว่ามี “เรา”
... เมื่อมีเราเกิด จึงมีความทุกข์ มีสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นตามเรามา
แล้วจึงเป็นเหตุให้เราทุกข์อยู่อย่างนี้ วันนี้เราจะไม่มีอีกแล้ว ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา
ไม่มีอะไรอีกแล้ว ทุกสิ่งกำหนดไว้ที่ความว่างเปล่า แล้วหลับตาลง นึกขึ้นมาว่า
** ข้างนอกว่าง ข้างนอกว่าง ** …
ข้างนอกว่างนี้ หมายถึง กายที่เป็นเป็นกายเนื้อของเราว่างเปล่า ไม่มีร่างกาย ไม่มีชื่อ
เมื่อไม่มีเราแล้ว สรรพสิ่งนั้นไม่มี หากไม่มีเราเสียแล้ว อย่างอื่นก็จะไม่มีอีก
ให้พิจารณาร่างกายดังนี้
ร่างกายนี้มีโครงสร้างของมัน ประกอบด้วยธาตุขันธ์ทั้งหมด รวมมาเป็นร่างกายที่เรียกว่า *เรา*
แต่วันนี้เราจะสลายมันไปให้หมด มันจะไม่มีอีกแล้ว มันจะดับลงไปแล้ว
แล้วถ้าสมมุติว่าวันไหนถ้าเราตายไป ธาตุที่เป็นขันธ์ ๕ เป็นร่างกายของเรานี้ก็จะดับสูญไป
ให้เราสมมุติว่าเรานั้นเหมือนคนตายที่ว่างเปล่า ดับสูญแล้ว ไม่มีร่างกายอีกแล้ว แล้วให้ท่องคำว่า..
** ข้างนอกว่าง **
ทีนี้เมื่อข้างนอกว่างแล้ว ให้มานึกถึงดวงจิต
หากว่ากายของเราดับสูญไป หมดไปจากข้างนอก ดับกายไปแล้ว ก็ยังเหลือจิต
จิตที่เรียกว่าเป็นกายภายใน ที่จะต้องเป็นตัวเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนไปในภพต่างๆ
ยังเหลือจิตตรงนั้นอีก หากว่าจิตตรงนั้นยังไม่ว่าง ยังไม่ดับ ยังไม่จบ เราก็ยังจะมีเราอยู่อีก
ยังจะมีที่ไปยึดเหนี่ยว ยึดติด มีที่ที่ต้องไป เมื่อมีที่ที่ต้องไป ก็ยังมีที่ที่ต้องมาอีก
ตราบใดก็ตามที่ยังมามีอยู่นั้น ย่อมไม่มีทางที่จะหลุดพ้น
ให้ลูกพิจารณาจิตกายภายใน แล้วหาดูว่า จิตข้างในของเรานั้น เป็นลักษณะแบบไหน
อาจมีกายเป็นเทวดา เป็นดวงจิตเล็กๆ หรือจะเป็นในรูปแบบเงาใสๆ จะเป็นแบบไหนก็ดี
ตามระดับฌานของแต่ละคน ให้กำหนดไปที่จิตข้างในอีกทีว่า “ว่าง”
หากว่า ว่างข้างนอก แต่ไม่ว่างข้างในนั้น ก็ยังไม่ไปถึงที่สุด
ฉะนั้นเมื่อตัดข้างนอกแล้ว ไม่มีกายสังขาร ทุกอย่างไม่มี..ว่างเปล่า
เมื่อจิตไม่มี ไม่มีแล้ว ไม่มีกายภายใน ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเป็นของเราอีกแล้ว
ข้างในก็มีแต่ความว่างเปล่า เราก็จะว่างเปล่าไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ท่องว่า ..
** ว่าง ข้างในก็ว่าง **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย .. ให้จงภาวนาตามนี้เถิดว่า ..
*ข้างนอกว่าง* หายใจออก
*ข้างในว่าง* เมื่อหายใจเข้า
เมื่อหายใจออก ให้ท่องว่า **ข้างนอกว่าง**
เมื่อหายใจเข้า ให้ท่องว่า **ข้างในว่าง**
ท่องอย่างนี้ตามลมหายใจไปเรื่อยๆ เมื่อมีภาพของญาติ ของเจ้ากรรมนายเวร ของเรื่องนั้นเรื่องนี้
เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมา เราจงเอาคำว่า ”ว่าง” นั้น กำจัดออกไป
เพราะหากว่าว่างแล้ว ไม่มีตัวเราแล้ว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราอีก เพราะไม่มีเราอีกแล้ว
ญาติก็ไม่มี เพื่อนฝูง พี่น้อง ปัญหา การงาน การเงิน เจ้ากรรมนายเวร ลูกหลานทั้งหลาย
ไม่มีในเราอีกแล้ว เพราะขนาดตัวของเราก็ไม่มีเรา
ฉะนั้นว่างเปล่า แม้จะมีภาพสิ่งใดเกิดขึ้นมา ให้ลูกจงท่องคำว่า “ว่าง”
ข้างนอกว่าง ว่างเว้นจากสรรพสิ่ง ว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรอีกแล้ว เพราะไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ท่องไปเรื่อยๆ บริกรรมไปเรื่อยๆ
... * ข้างนอกว่าง ข้างในว่าง.. ข้างนอกว่าง ข้างในว่าง *…
แล้วหากว่าเราไปเห็นจิตตัวข้างในของเรา ว่ามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ เป็นกายแบบนี้ ไปในที่นี้
ไปทำสิ่งนี้สิ่งนั้น มีบ้านเรือน มีเวียงวัง มีข้าวของ ทรัพย์สินต่างๆ มีอะไรก็ดี
เข้ามาให้เราเห็นอยู่ในกายภายใน เราก็อย่าไปสนใจมัน ให้เอาคำว่า“ว่าง” ตัดออกไปซะ
เพราะหากว่าจิตของเราไม่มีแล้ว สรรพสิ่งก็ย่อมไม่มีอีก
ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ข้างนอกก็ว่าง ข้างในก็ว่าง ท่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. อย่าไปสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย
การที่เรานั้นยังติดอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง เราก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้นๆ
ติดอยู่กับอะไร เราก็จะเป็นทุกข์อยู่กับอันนั้น
ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ การว่างเปล่า ว่างเว้นจากความมีตัวตน ว่างเว้นจากการมีสรรพสิ่ง..
ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย .. ลูกจงฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆเถิดลูก
กรรมฐานนี้จะนำพาลูกไปถึงความว่างเปล่า ความไม่มี ความดับสูญ จากการต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง
ลูกจะว่างเว้นจากการต้องการ ต้องการแล้วก็จะว่างเว้นจากความสุข ความทุกข์ที่จะมาปนเปื้อนกับเรา
เรานั้นก็จะมีพลังบุญที่มีความสุข เกิดมาจากจิตกายภายในอย่างแท้จริง เรียกว่า นิพพาน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หากว่าลูกนั้นฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆ จะทำให้ลูกเข้าถึงสภาวะธรรมของนิพพาน
คือ การว่างเว้นจากทุกสิ่ง ทุกอย่าง คือ การเบา สบาย ไม่มีอะไรแล้วสักสิ่งสักอย่างที่จะทำให้เป็นทุกข์
แล้วก็จะเกิดสติปัญญาขึ้นมาว่า หากมีอะไร ก็ทุกข์เพราะอันนั้น
เมื่อเกิดสติปัญญาเช่นนั้นแล้ว ลูกก็จะพิจารณาไปถึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีขึ้นมาเพราะว่า มีเรา
หากว่าไม่มีเราเสียแล้ว สรรพสิ่งย่อมไม่มี
เหตุเกิดอยู่ที่ไหน ดับที่เหตุนั้น
เหตุเกิดที่เรา จงดับที่เราเถิด
...* เมื่อดับถูกเหตุ เหตุนั้นย่อมดับไป ย่อมไม่มีอีกแล้วในภพนี้ ในภพหน้า
ลูกนั้นจึงจะเป็นผู้ที่เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ในสายปฏิบัติธรรม สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ มีสายปฏิบัติธรรมทั้งหมด ๒ กอง
กองที่ ๑ คือ การสอนเพื่อให้รับพุทธบารมี พลังจากพระนิพพาน เพื่อให้ลูกได้ถอดจิตกายภายใน ไปท่องเที่ยวยังสวรรค์ ไปท่องเที่ยวยังโลกทิพย์ เพื่อเกิดปัญญา รู้ว่าสวรรค์นั้นมีจริง บาป-บุญมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นรกมีจริง แต่กรรมฐานกองที่ ๑ นั้นจะยังไม่เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง แต่เป็นกรรมฐานกองแรกที่สายปฏิบัติธรรมได้นำขึ้นมา เพื่อให้ลูกนั้นได้เจริญปัญญา เจริญศรัทธาเพื่อให้เข้าถึงความรู้ การพิสูจน์ เพื่อจะนำทางไปถึงการกรรมฐานในรูปแบบที่ ๒ นี้ เพื่อจะเข้าสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย..จงฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆเถิด แล้วลูกนั้นจะรู้ถึงความพ้นทุกข์ จะได้นิพพานสุข ตั้งแต่ยังมีชิวิตอยู่ เมื่อครั้งดับสูญจากชาตินี้ไป ก็จะไปถึงนิพพานอย่างแท้จริง
กรรมฐานกองที่ ๒ นี้ เรียกว่า กรรมฐานเข้าสู่พระนิพพาน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงกระทำตนนั้นให้ถึงความสุข ความว่างเปล่า การไร้ตัวตนเถิด...
สาธุ….
กวนอิมน้อยสื่อสภาวธรรมโลกทิพย์
ตอน ** กายในกาย **
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย…
วันนี้ก็เป็นโอกาสดีๆ อีกวันหนึ่งที่กวนอิมน้อยได้นั่งกรรมฐาน ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ในดินแดนความสงบแห่งหนึ่ง เมื่อกวนอิมน้อยใช้คำบริกรรม *สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ* เพื่อถอดกายภายในเข้าไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อกวนอิมน้อยลอยขึ้นไปด้วยดอกบัว เห็นมีทางสว่างเจิดจ้าเป็นประตูกลมๆ แล้วก็มีดอกบัว เป็นดอกๆ เรียงกันไปตามเส้นทางนั้น กวนอิมน้อยก็ได้ไปตามทางที่มีดอกบัวนั้นไปเรื่อยๆ จนมีบันไดขึ้นไปข้างบน แต่ตลอดทางที่เดินออกบันไดนั้นก็จะมีดอกบัวเต็มไปหมด กวนอิมน้อยก็ขึ้นไปเรื่อยๆ พอไปเจอกับประตูสีดำๆ มืดๆ ซึ่งกวนอิมน้อยมองไม่เห็นทางเดินผ่านต่อไป จึงยกมือพนมขึ้นมา พร้อมทั้งอธิษฐานจิต
“ ด้วยบารมี สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ขอให้กวนอิมน้อยได้ผ่านสภาวะความมืดนี้ไปสู่ที่ที่สว่าง ไปพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเข้าเฝ้าพระองค์ท่านด้วยเถิด”
เมื่อกวนอิมน้อยอธิษฐานจิตจบ แสงมืดนั้นก็หายไป พร้อมทั้งมีแสงสว่างเจิดจ้าออกมาเป็นสีม่วง สีชมพู เปล่งออกมาเป็นสีขาวไข่มุก แล้วก็ขาวสว่างเจิดจ้า เหมือนกับเป็นเมฆหมอกเยอะๆ เมื่อนั้นกวนอิมน้อยก็ได้นั่งดอกบัวลอยขึ้นไปอีก
.... ในขณะที่กวนอิมน้อยกำลังลอยอยู่ในกลางอากาศ ที่เป็นหมอกเมฆเต็มไปหมด กวนอิมน้อยก็ได้อธิษฐานจิตว่า
“ ข้าแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ บัดนี้ กวนอิมน้อยตั้งใจจะขึ้นมาเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อน้อมรับพระธรรมคำสอน กลับไปเผยแผ่สู่มนุษย์โลก ขอให้บารมีของ *พระสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ* นำทางกวนอิมน้อยให้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ให้ถึงยังจุดที่พระองค์ทรงประทับอยู่ด้วยเถิด”
เมื่อหนูอธิษฐานจิตจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงของน้ำไหล และมีเสียงของนกร้อง แล้วก็มีเสียงตามมา.. เป็นเสียงที่นุ่มนวลและอบอุ่นมาก พูดกับหนูว่า
“ กวนอิมน้อย เจ้ามีอะไรล่ะลูก ขึ้นมาถึงที่นี่ ปรารถนาสิ่งใด เจ้าจงบอกมาเถิด ”
ทันทีที่หนูได้ยินเสียงพูดของพระองค์ท่าน หนูจึงลืมตาขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ตรงหน้าของหนู พร้อมทั้งมีพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงประทับอยู่บนดอกบัวแก้ว ด้วยพระวรกายสว่างเจิดจ้า สง่างามมาก
หนูจึงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งพูดว่า
“ กราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า เจ้าค่ะ วันนี้กวนอิมน้อยขึ้นมาเข้าเฝ้าพระองค์ เพราะว่ากวนอิมน้อยมีเรื่องที่จะขึ้นมาทูลถาม พร้อมทั้งปรารถนาที่รับพระธรรมคำสอนกลับไปเผยแผ่เจ้าค่ะ “
พระองค์ท่านจึงตอบว่า
“ กวนอิมน้อย เจ้ามีคำถามอะไรที่ปรารถนา เจ้าก็จงถามมาเถิด ”
“ พระพุทธเจ้า เจ้าขา การที่มนุษย์เรามีกายภายในที่ซ้อนกายอยู่ นั่นคือสิ่งที่หนูทราบแล้วว่าเป็นความจริง แต่ว่าหนูคิดว่า คงจะมีมนุษย์อีกหลายๆคน แทบจะทั้งหมดเลยด้วยซ้ำไปที่ยังคงไม่เข้าใจถึงกายภายใน ที่ซ้อนกายอยู่ หนูจึงมาเฝ้าเพื่อขอคำอธิบายจากพระองค์เจ้าค่ะ เพื่อจะได้รู้เห็นตามความเป็นจริง จะได้ตัดความยึดมั่นถือมั่นที่อยู่ในร่างกายไปได้เจ้าค่ะ”
เมื่อหนูทูลถามพระองค์ท่านจบ พระองค์ท่านจึงตอบกลับมากับกวนอิมน้อยว่า
“ กวนอิมน้อย กายภายในที่ซ้อนกายเนื้ออยู่ นั่นก็หมายถึงจิตที่แท้จริง รถก็เปรียบเสมือนร่างกายของมนุษย์ ส่วนจิตก็เปรียบเสมือนคนขับ รถคันหนึ่งก็จะมีคนขับที่นั่งขับอยู่คนหนึ่ง แต่คนขับกับรถสามารถที่จะแยกออกจากกันได้ หากว่ารถพังไป คนขับก็ต้องออกจากรถคันนั้น และทิ้งรถคันนั้นไว้ ก็ต้องไปหาคันใหม่มาขับ มาใช้ในการประกอบกิจกรรม ประกอบกิจการงาน ในการที่จะสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และแน่นอนว่า รถก็ย่อมมีขึ้นมาเพื่อได้ใช้เป็นผลประโยชน์ในการทำสิ่งใดๆ
เหมือนกันกับร่างกายของมนุษย์เราที่มีขึ้นมา เพื่อให้ได้ประกอบกิจการงาน ที่ก่อเกิดคุณประโยชน์ให้กับดวงจิตของเราเช่นเดียวกัน นั่นก็แบ่งแยกให้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า ระหว่างรถกับดวงจิต.. ก็เหมือนกันกับร่างกายกับดวงจิต คนขับก็เหมือนดวงจิตที่คอยพากายสังขาร พาร่างไปทำงานในจุดต่างๆ ทำหน้าที่สร้างคุณงามความดี ทำให้ตนนั้นเกิดประโยชน์กับดวงจิตของตนได้ และหากว่ารถนั้นจะเสียไป ก็ย่อมที่จะไปซื้อรถคันใหม่ที่สวยงามกว่าเดิมได้ หากเมื่อครั้งที่เรามีรถคันเก่า เราใช้รถคันเก่านั้นไปทำงาน หาเงิน สร้างคุณประโยชน์เก็บไว้ ..หากรถเสียไป เราก็ย่อมจะมีเงินที่จะไปซื้อคันใหม่ ที่สวยกว่าคันเก่า เพราะสิ่งที่เสียไปนั่นคือรถ ไม่ใช่เรา
ก็เหมือนกันกับดวงจิตของมนุษย์เรา หากว่าร่างกายเสื่อมเสียไป ดวงจิตก็ต้องไปหากายอยู่ใหม่ ซึ่งเป็นกายที่เป็นกาย ที่แตกออกไปจากร่างกายปัจจุบันที่มีอยู่ ซึ่งหากเป็นภูมิของกายทิพย์ ของเทพเทวดา ก็จะเป็นภูมิจิตที่สร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศลไว้มาก จนสะสมแต้มขึ้นมามีกายทิพย์
เหมือนคนที่ไปทำการใดๆ สะสมเงินเอาไว้มากพอที่จะไปซื้อรถคันใหม่ เมื่อเรามองไป ก็จะเห็นว่าคนๆนี้ มีทรัพย์มากพอที่จะไปซื้อรถคันใหม่ หากคันนี้เสียไป นั่นก็เป็นกายที่ซ้อนกายข้างในอยู่ ซึ่งเราก็จะมองเห็นว่า เป็นภูมิจิตที่สูงขึ้นไป เพราะเกิดจากคุณประโยชน์ ที่นำรถคันเก่าหรือกายเนื้อ กายเดิมที่มีอยู่นั้นสร้างกำไร สร้างคุณงามความดีขึ้นมาเยอะแยะมากมาย ก่อเกิดประโยชน์ให้กับดวงจิตของตน แต่หากว่าใครที่นำพาร่างหรือขับรถที่ตนมีอยู่ ไปทำในสิ่งที่เกิดโทษ เกิดภัยกับตน เช่น ขับไม่ระมัดระวัง เกิดอุบัติเหตุ ขับไม่ระมัดระวัง ไปชนคนอื่นเค้าเข้า ก็จะก่อเกิดให้เสียทรัพย์สินเงินทองมากมาย จะก่อเกิดให้ติดหนี้ติดสิน ต้องเสียเงินมาซ่อม... กว่าจะฟื้นตัวลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็จะเหนื่อยมากในสิ่งที่เป็น
นั่นก็เปรียบเสมือนคนที่มีร่างกายสังขารเป็นกายเนื้อ แต่ดวงจิตข้างในก็นำพาไปทำแต่สิ่งที่ไม่ดี.. สร้างกรรม สร้างวิบากกรรม ไปทำแต่สิ่งที่เป็นความชั่ว ตัดรอนบุญกุศลที่มีอยู่ จนก่อเกิดให้ดวงจิตนั้นต้องติดหนี้กรรม และหากตายไป รถคันนั้นเสียไป กายเนื้อนั้นเสื่อมไป.. ก็ย่อมที่จะไปชดใช้กรรม และดวงจิตนั้นก็ต้องไปหาบุญ เพื่อมาจ่ายหนี้กรรมที่ตนได้ก่อเอาไว้
กายภายในที่ซ้อนกายอยู่ ก็คือดวงจิตของเรา ซึ่งรถคันใหม่ที่จะไปซื้อจะเป็นรถในรูปแบบไหน บางทีอาจเป็นรถที่แพง เช่น มีกายเป็นกายทิพย์ที่ละเอียดแล้ว หากตายไปดวงจิตก็จะได้ครอบครองกายทิพย์ที่เหาะเหินเดินอากาศได้ อยู่ในที่ที่สูง ไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย ป่วยบ่อยๆ เหมือนกับกายของมนุษย์
และหากเป็นกายที่ซ้อนกาย ที่ไม่ได้ก่อกรรมมากมาย แต่ก็ไม่ได้สร้างสมบุญ หรือตัดความยึดมั่นถือมั่นเสียจนกลายเป็นกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ก็จะทำให้มองเห็นกายที่ซ้อนมา ว่าคนๆนี้มีดวงจิตนี้มีกายที่ซ้อนอยู่ข้างในภูมิของมนุษย์ ก็พอจะมีบุญค้ำหนุนบ้าง และอาจจะได้กายที่ดีกว่ากายเดิม อาจรวย สวยกว่ากายเดิม
** นั่นก็เป็นสิ่งที่ส่งผลให้เห็นว่า มีเงินเป็นทุน หรือมีบุญพอจะไปซื้อรถคันใหม่ ที่อาจสวยกว่าคันเดิมได้อยู่บ้าง และบางคนหากไม่สร้างสมบุญ ไม่นำพารถที่มีอยู่ไปหากำไรให้กับตน ก็จะติดลบ และอาจเป็นหนี้เป็นสินที่จะต้องมาชดใช้ และกายภายในก็อาจสื่อให้เห็นถึงภูมิของสัตว์ต่างๆ เช่น หากตายไปครั้งนี้ อาจจะเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ บางทีก็อาจไปเกิดในภูมิของสุนัข เสือ หมู ไก่ ปลา นก สัตว์ต่างๆ ตามกำลังของเราได้
เพราะฉะนั้น ผลของการกระทำ ก็จะเลื่อนกายภายในออกมาให้เห็นได้ชัด หากว่าเราสร้างบุญสร้างบารมีไว้เยอะๆ ก็เหมือนการที่เราใช้รถที่มีอยู่ ไปหากำไรให้กับตนเพื่อซื้อรถคันใหม่
แต่หากว่าเราไม่สร้างบุญสร้างกุศลไว้เยอะๆ หากว่าเราจะไปซื้อรถคันใหม่ เมื่อคันเก่านั้นเสียไปแล้ว เราก็จะไม่มีเงินที่จะไปซื้อรถคันดีๆสวยๆ เราก็จะซื้อได้แค่รถที่เป็นรถที่ไม่มีราคา ไม่สามารถจะขี่ไปไกลๆ ได้ ไม่สามารถจะทำให้เกิดคุณประโยชน์ได้ นอกจากมาเพื่อชดใช้หนี้เท่านั้นเอง../ เช่น อาจต้องเกิดมาเป็นสัตว์ต่างๆ หรือบางคนก็จะติดลบมาก ถึงขนาดว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รถเลยด้วยซ้ำไป.. ต้องไปชดใช้หนี้กรรมจนกว่าจะมีเงินหรือมีบุญขึ้นมาซื้อรถ และยังจะเป็นรถที่ไม่มีราคา ใช้ในการวิ่งไปสร้างบุญสร้างกุศล สร้างคุณประโยชน์ไม่ได้ เช่น เป็นกายของสัตว์ต่างๆ
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า กายภายในนั้น คือ ดวงจิต และคือ อนาคตของดวงจิต ส่วนกายภายนอกนั้นเราต้องใช้ให้เกิดคุณ เกิดประโยชน์ ต้องใช้ให้มีค่า สร้างผลประโยชน์ให้กับกายภายใน
...ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ จงจำเอาไว้เสมอนะลูก ”
เมื่อพระองค์ท่านพูดจบ หนูจึงกราบขอบพระคุณพระองค์ท่าน พร้อมทั้งทูลถามพระองค์ท่านต่อไปว่า “ พระพุทธเจ้าเจ้าขา แล้วพระองค์ท่านจะมีธรรมะดีๆอะไร ให้ลูกนำไปเผยแผ่อีกล่ะเจ้าคะ” เมื่อหนูทูลถามพระองค์ท่านจบ พระองค์ท่านก็ทรงตรัสกลับมาว่า
“ กวนอิมน้อย ในระหว่างทางที่เจ้าขึ้นมาเข้าเฝ้าเรา เจ้าก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วใช่มั้ย ว่าในขณะที่เจ้าถอดกายขึ้นมาเฝ้าเรา ยังมีอุปสรรคที่กีดขวางทางเจ้า และมีทั้งสิ่งที่เป็นแสงสว่าง และความมืด แต่หากเจ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ รู้ไม่ทันสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าของเจ้า วันนี้เจ้าก็จะมาเข้าเฝ้าไม่ถึงยังที่ประทับของเรา เช่นเดียวกันกับการที่เจ้าลองย้อนไปตอนเมื่อกี้ที่เจ้าขึ้นมาซิลูก ตอนขึ้นมามีทางแสงสว่างเจิดจ้า พร้อมทั้งมีดอกบัวรองรับทางเดินของเจ้า..ใช่มั้ย”
หนูจึงตอบพระองค์ท่านไปว่า “ ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“นั่นแหละ ส่งผลให้เห็นว่า การที่เราจะไปในทิศทางใด ก็จะมีนิมิตหมายแห่งความดี และเมื่อเราไปตามความดีนั้น ไปเรื่อยๆ ย่อมจะมีทางเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่จะมีอุปสรรค เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับการที่เจ้าเดินทางขึ้นมา จนสุดทางดอกบัว ก็เจอกับเงามืด ความมืดที่มาบังไม่ให้เจ้ามองเห็นในสิ่งใดเลย จริงมั้ย “
หนูจึงตอบพระองค์ท่านไปว่า “เจ้าค่ะ”
เมื่อหนูตอบพระองค์ท่านจบ พระองค์ท่านจึงพูดต่อไปอีกว่า ..
“ เพราะว่าเจ้ารู้จักเอาตัวรอด รู้ทันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าเจอเงาที่มืด เจ้าก็ใช้บารมีที่สร้างสมมาเปิดทาง ใช่มั้ย “
หนูจึงทูลตอบพระองค์ท่านไปอีกว่า “เจ้าค่ะ หนูขอพุทธบารมีเปิดทางเจ้าค่ะ “
“ นั่นก็แสดงถึงความฉลาด ความรู้ของเจ้านั่นแหละ และมันก็แปลได้อีกหลายรูปแบบ เช่น
หากวันใดที่ท่านรู้สึกมืดมนกับหนทางที่เดิน ในขณะที่ท่านเดินมา จากอีกทางหนึ่ง มีแสงสว่างเจิดจ้า พอมาถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่ามืดและดับลงไป
.... นั่น อาจเป็นบททดสอบว่าท่านจะสามารถที่ฝ่าด่าน และผ่านสิ่งนั้นมาได้ เช่น นักบุญบางคน สร้างบุญ สร้างบารมีมาตั้งแต่เนิ่นนาน พอมาถึงจุดๆ หนึ่ง เจอกับความมืด เจอกับทางตัน มองไปเท่าไหร่เห็นแต่ความมืดมน กลับเกิดความท้อ และหาทางไปต่อไม่ได้ จึงรู้สึกยอมแพ้ และอยู่กับความมืดนั้น และไม่ยอมเชื่อว่ามีอยู่จริง ทั้งที่ไม่ได้ใช้บุญบารมี ไม่ได้น้อมถึงเรา และไม่ได้คิดว่าจะต้องทำยังไงเพื่อให้สว่างออกมา เพียงแค่เจอบททดสอบเล็กน้อยก็อ่อนใจแล้ว และกลับไป ..จึงจะไม่มีวันที่จะพบเราเลย
จงอดทน อดกลั้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ประสบพบเจอเข้ามา../ ไม่ว่าจะเป็นยังไง การสร้างบุญใหญ่ก็ย่อมที่จะมีเงามืดเข้ามาบดบังเป็นธรรมดา.. / แต่หากมีจิตใจที่หนักแน่น ด้วยแรงจิตศรัทธา จงน้อมจิตนึกถึงเราเถิด ท่านจะได้รับแสงสว่างอย่างแน่แท้ เหมือนดังกวนอิมน้อยที่เดินทางขึ้นมาหาเรา หากว่าเขาหลงในเงามืดนั้น เขาก็จะไม่พบ และเข้าเฝ้าเราไม่ได้ “
เมื่อพระองค์ท่านพูดจบ หนูจึงยิ้ม และทูลต่อพระองค์ท่านไปอีกว่า
“ พระพุทธเจ้าเจ้าขา และในระหว่างทางหนูก็ยังมาเจอเมฆ ที่ขาวๆเต็มไปหมด แล้วก็สับสนอยู่ในก้อนเมฆเหล่านั้น หาทางไปไม่เจออีกละเจ้าค่ะ”
เมื่อหนูพูดจบ พระองค์ท่านจึงตรัสกลับมาอีกว่า
“ ใช่แล้ว และหากบางครั้งนักบุญทั้งหลาย ท่านเดินทางมาถึงจุดๆหนึ่ง ท่านอาจจะรู้สึกว่า เมฆนั้นขาวเต็มไปหมด ชีวิตช่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนอยู่กลางลม กลางฝน จะเอื้อมไปทางใดก็ไม่ถึง มองไปทิศทางใดก็มีแต่ลม อ้างว้าง โดดเดี่ยวเดียวดายเหลือเกิน มองไม่เห็นสิ่งใดเลย มองไม่เห็นแม้กระทั่งเรา อยู่กลางอากาศ ไม่รู้จะลอยไปไหน
อาจมีบางครั้งที่ท่านรู้สึกแบบนี้ อาจจะทำให้ท่านว้าเหว่ ไขว้เขว ในบุญกุศล ในสิ่งที่ต้องทำ../ แต่ท่านจงตั้งจิตให้มั่นเถิด เพราะเราอยู่กับเมฆ เราอยู่กับอากาศ อยู่กับลม อยู่คู่กับความว่างเปล่า
หากท่านรู้สึกว่างเปล่า และโดดเดี่ยวเดียวดาย เราอยู่กับท่าน อยู่เคียงข้างท่านเสมอ นำพาความสุขให้กับท่านเสมอ ในท่ามกลางความว่างเปล่า นั่นย่อมแฝงไปด้วยนิมิตหมายแห่งความดี จิตของท่านกำลังว่างอยู่กับกลางสายลม รู้สึกอ้างว้างโดยเดี่ยวเดียวดาย เพราะจิตของท่านสัมผัสถึงความว่างเปล่า
....
** ความว่างเปล่า คือ ดวงใจของเรา ดวงใจของพระพุทธเจ้า ก็คือ ความว่างเปล่า แท้ที่จริงแล้วที่สุดของที่สุด ก็คือ ความว่างเปล่า สูงสุดก็คือ ความว่างเปล่า ไม่มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดๆเลย มีแต่ความว่างเปล่า
หากท่านทั้งหลาย รู้สึกยืนอยู่กลางเมฆ กลางฝน ความว่างเปล่า ..นั่นแหละ ท่านท่านทั้งหลาย กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเรา เราก็จะโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ เหมือนเราโผล่ออกไปรับกวนอิมน้อยนั่นแหละ
ท่านจงใช้ความว่างของท่านนั้น รับพระธรรมคำสอน จากธรรมะ จากความโดดเดี่ยวเดียวดาย เรียนรู้กับสิ่งเหล่านั้น ../
** ธรรมะของเราอยู่ที่นั่น อยู่ที่ความว่างเปล่า **
เมื่อพระองค์ท่านพูดจบ หนูจึงยิ้มและขอบพระคุณพระองค์ พร้อมทั้งพูดว่า
“ กวนอิมน้อยกราบขอบพระคุณพระพุทธเจ้าเจ้าข้า ที่ทรงให้พระธรรมคำสอนให้กับกวนอิมน้อย และได้ไปเผยแผ่ให้กับท่านผู้ฟังได้ฟังกัน ต่อจากนี้ไปกวนอิมน้อยจะจำพระธรรมคำสอนของพระองค์ไว้นะเจ้าค่ะ หากวันใดกวนอิมน้อยเจอกับความมืด ก็จะน้อมนึกถึงพระองค์ ด้วยบุญบารมีที่ได้สร้างสมมา และรับพระธรรมคำสอนจากพระองค์ เพื่อเป็นแสงสว่าง และหากวันใด กวนอิมน้อยเจอกับความว่างเปล่า กวนอิมน้อยจะเรียนรู้ธรรมะจากความว่างเปล่านั้น เพราะพระองค์คือความว่างเปล่า
…กราบนมัสการลานะพระเจ้าคะ ”
เมื่อหนูพูดจบ หนูจึงลาพระองค์ท่าน และกลับออกมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อมาเผยแผ่พระธรรมคำสอนลงคลิปนี้ เพื่อเผยแผ่เป็นธรรมทานให้กับท่านผู้ฟังทั้งหลายได้ฟังกัน
ก็ขอให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และขอให้ท่านทั้งหลายประสบพบเจอกับความว่างเปล่า ของพระพุทธเจ้า นะเจ้าคะ
สวัสดีค่ะ
… ตอนที่ ๑๑๗ ชัยชนะคือความว่างเปล่า
สิ่งที่มีอยู่ ทำให้ต้องพ่ายแพ้ในสิ่งที่มี หลงในสิ่งใด อยากมีสิ่งใด ยึดติดสิ่งใด
เขาจะเอาสิ่งนั้นเป็นเหยื่อ เป็นตัวประกัน ทำให้เราไม่สามารถที่ได้ชัยชนะ ในการทดสอบ ในการต่อสู้ได้เลย
จงฝึกปล่อยวางในทุกสิ่ง สลายตัวตน เพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อชัยชนะในวัฏสงสารเถิด
… ตอนที่ ๓๘ ความยึดมั่นถือมั่น
การยึดถือตัวตน เป็นบ่วงห่วงที่ผูกรัด ให้ติดอยู่กับความทุกข์
เพราะ เมื่อมีเรา ก็จะมีเขา มีของเรา มีของเขา มีการแย่งชิง ยึดครอง ยึดถือ ทำให้ติดอยู่ จมอยู่ ไม่หลุดพ้นจากความทุกข์
จนกว่าเรา จะปล่อยวาง จากสิ่งภายนอก เข้าสู่การปล่อยวางในกาย
จนสู่การปล่อยวางในจิต ให้ไม่มีอะไร เป็นความว่างเปล่า ไร้ตัวตน
… ตอนที่ ๔๕ ความสุขที่ซ่อนอยู่ภายใน*****
จะหาความสุขที่อยู่ภายใน ให้พบได้อย่างไร
หายใจเข้าลึกๆ ท่องคำว่า " ว่าง " หายใจเข้าก็ว่าง หายใจออกก็ว่าง ทุกอย่างว่างเปล่า เป็นเพียงแค่สิ่งสมมติ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้
ไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งว่างเปล่า ปล่อยความยึดถือ ปล่อยความยึดติด ที่ปกปิดความสุขเอาไว้ สลายทุกสิ่งที่มีในจิตใจ
จะได้พบกับความสุข ที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่แสวงหาได้ ด้วยการปล่อยวาง
ตอนที่ ๕๙ เราเป็นใคร แสวงหาอะไร
หาความว่างให้เจอ
ทำสมาธิถอดจิตออกไปแล้ว แต่ยังไม่พบความสงบที่แท้จริง แล้วเราเป็นใคร แสวงหาอะไร ถอดจิตจากกายเนื้อไปแล้ว ยังไปเจอกายทิพย์ ถอดจากกายทิพย์ ยังไปพบกับกายแก้ว ที่เป็นที่ตั้งแห่งจิต
ให้พิจารณาตัดยึดถือในกายทั้งหลาย ปล่อยวางทุกอย่าง ให้เกิดเป็นความว่างเปล่า เราจึงจะพบความสงบสุขอย่างแท้จริง