กรรมฐาน ทั้ง 40 กอง สิ่งที่จะต้องรู้ก่อนฝึกกรรมฐาน คือ
1. สิ่งที่กีดขวางการปฏิบัติ ในการนั่งสมาธิไม่ให้เข้าฌานนั้นคืออะไร
และมีอะไรบ้าง เราต้องแก้ไขมันอย่างไรบ้าง
2. มารที่จะมาตัดรอนความดี ที่เราจะทำได้ ทำสำเร็จนั้น มีมารอะไรบ้าง
อย่างน้อย ถ้าเรารู้เท่าทัน เราจะได้แก้ไขถูก
สิ่งที่ขวางกั้นจิต ทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ เรียกว่า นิวรณ์ มี ๕ อย่างคือ
๑.กามฉันทะ คือ ความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั้น
เมื่อทำสมาธิ เกิดความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ ขึ้นมา ให้พิจารณาให้เห็นถึงโทษของความโกรธ เห็นตามความเป็นจริง ในกฎของกรรม สิ่งใดไม่เคยทำ ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่เรา ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น ย่อมได้ชดใช้หนี้กรรมไป แล้วปล่อยวางไป ก็จะผ่านนิวรณ์ตัวนี้ไปได้
ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะ คือ ความหดหู่ท้อถอย และมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน ถ้ามีความหดหู่ท้อถอย ให้สร้างกำลังใจ อาจจะนึกถึงครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงตา ผู้ที่เป็นองค์พระอรหันต์ ที่ได้สำเร็จธรรมในการบำเพ็ญเพียรมาในกาลก่อน ถ้าง่วงนอนให้ล้างหน้า หรือปรับเปลี่ยนอริยาบทในการภาวนา จะยืน จะเดินก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวก็ให้ไปนอน
วิธีแก้นิวรณ์ อุทธัจจะกุกกุจจะ
อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็น อุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และ กุกกุจจะคือความรำคาญใจ เมื่อเกิดขึ้นขณะทำสมาธิ ให้ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ดึงสติกับมาที่คำภาวนา หรือจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ฟังธรรม จะเดินจงกรม สวดฟอกจิต หรือจะสวดมนต์น้อมถึงพระรัตนตรัย เพื่อสลายกระแสคลื่นความทุกข์ที่ครอบงำจิตใจ ให้ผ่อนคลายก่อนทำสมาธิ ย่อมทำได้เช่นเดียวกัน
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจในครูอาจารย์ สงสัยในคำสอน สงสัยในวิธีปฏิบัติ มัวแต่สงสัยเลยทำใจให้สงบไม่ได้ ให้แก้ความสงสัย ด้วยการปล่อยความสงสัย ทิ้งคำถามไปก่อน แล้วลงมือปฏิบัติ จึงจะพบคำตอบด้วยตนเอง จึงจะไม่มีความสงสัยอีกต่อไป
จิตยังมีกิเลสตัณหา จะให้ปราศจากอารมณ์ฟุ้งซ่านคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าจะทำสมาธิให้เป็นสมาธิ ต้องมี ศีล ธรรม ปัญญา มาหนุนนำจิต ให้ผ่านนิวรณ์ทั้งหลาย จนเข้าถึงความสงบได้
มารที่จะมาตัดรอนความดี
ขันธมาร คือ ร่างกายไม่อำนวยให้ทำความดี เช่น เจ็บป่วยในร่างกาย การจะเอาชนะขันธมารนั้นได้ ต้องรู้ทันว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา ทำความดีได้เท่าไหร่ ทำเท่านั้น ทำดีด้วยกายไม่ได้ ให้ทำด้วยใจ ด้วยวาจา ด้วยการคิดดี พูดดี มองเห็นสิ่งที่มี ทำสิ่งสิ่งที่มีให้เป็นบวก และ เห็นโทษในการมีร่างกาย คลายความยึดถือ ยึดติดในสิ่งทั้งหลายให้หมดไป จะได้ไม่ต้องมามีร่างกาย มาเกิดอีกต่อไป
อภิสังขารมาร คือบุญบาป ความชั่วขัดขวางมิให้บรรลุธรรม จิตอยู่ภูมิที่ต่ำ กรรมส่งผลมาตัดรอน เมื่อต้องการทำความดี จึงไม่สามารถทำดีได้ และ บุญก็ขัดขวางเช่นเดียวกัน ถ้าหลงในการทำดี ไม่รู้ว่าทำดีแท้จริงแล้วทำเพื่ออะไร จึงติดอยู่ในความดีที่ทำ เลยไม่สามารถละจากความดี จึงไม่บรรลุธรรมหลุดจากวัฏสงสารไปได้
กิเลสมาร คือความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ เป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ทำความดี จะเอาชนะมารเหล่านี้ได้ ด้วยการมีศีล ทำสมาธิ ฟังธรรมให้เข้าใจ จะทำให้เกิดปัญญา เข้าใจในความเป็นจริง จะได้หลุดพ้นความทุกข์ ไม่ตกเป็นทาสของมาร
มัจจุมาร คือ ความตายที่ตัดโอกาสในการทำความดี จะเอาชนะมารแห่งความตาย ต้องเอาชนะกิเลสตัณหา ดับเชื้อแห่งการเกิดให้ได้ มารแห่งความตายก็จะพ่ายแพ้ แก่ผู้ที่ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตายอีกต่อไป
เทวปุตตมาร คือ ดวงจิตที่สั่งสมบุญบารมี จนมีฤทธิ์ มีเดช แต่หลงในตน กลายเป็นเทวดามิจฉาทิฐิ เห็นใครทำบุญเกินหน้า สร้างบารมีเกินตนไม่ได้ อิจฉาตาร้อน คอยกลั่นแกล้งผู้ที่ทำความดี จะชนะมารนี้ได้ ก็ให้ทำความดี ให้ชนะกิเลส ตัณหา ในจิตใจของตน สลายความยึดติด ลุ่มหลงในตนได้เมื่อไหร่ มารทั้งหลายก็พ่ายแพ้ไปเอง
กองที่ ๑๐ กสิณอากาศ แบบที่ ๑
อากาสกสิณ (ช่องว่าง) จิตเพ่งอยู่กับอากาศ นึกถึงอากาศ คือการเพ่งช่องว่าง โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นช่องว่าง เวลาหายใจเข้าให้ภาวนาว่า "อากาศ" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง"
อากาสกสิณ สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง สถานที่ใดเป็นอับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่งมีอากาศสมบูรณ์ เพียงพอแก่ความต้องการได้
นั่งสมาธิแบมือสองข้าง วางไว้บนหัวเข่า ให้นึกถึงอากาศที่เย็นๆ ที่กว้างใหญ่ไม่มีประมาณ น้อมเอาพลังอากาศเย็นๆ มากระทบที่ฝ่ามือสองข้าง แล้วน้อมพลังนั้น ให้เข้าไปสู่ศูนย์กลางกาย ทำเช่นนี้ไป จะเห็นเป็นเช่นใด ขอเชิญพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
กองที่ ๙ กสิณแสงสว่าง แบบที่ ๑
นั่งอยู่ในห้องที่มืด แล้วส่องไฟฉาย ดูแสงไฟไป แล้วหลับตา นึกถึงภาพที่เห็นขึ้นมา ภาวนาและนึกถึงภาพไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเป็นสมาธิ ภาพที่เห็นจะเปลี่ยนไป จะเปลี่ยนเป็นสีอะไร ท้ายที่สุด จะเป็นสีขาวมีแสงสว่างเป็นแก้วประกายพรึก ฝึกให้คล่อง จะเป็นผู้ได้ฌานสี่ ในกสิณแสงสว่าง
สำหรับผู้ที่มีสมาธิบ้างแล้ว ให้หลับตา นึกถึงภาพแสงสว่างขึ้นมาได้เลย แล้วภาวนาดูภาพแสงสว่างไปเรื่อยๆ จนจิตเข้าสู่ความสงบ ภาพแสงสว่างจะเปลี่ยนไป จะเป็นเช่นใด ให้ลองไปทำดู จะรู้ได้ด้วยตนเอง
นั่งสมาธิหลับตา แบมือสองข้างวางไว้บนหัวเข่า ให้นึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลอยอยู่ข้างหน้าเหนือศีรษะขึ้นไป ให้เอาความรู้สึกนึกขึ้นว่าพระองค์ท่านเป็นแก้วใสๆ ส่งพลังพุทธบารมีเป็นแสงสว่างใสๆ มาที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง แล้วเราก็น้อมเอาพลังแสงนั้น ไปไว้ที่ศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาดูไป จนความสว่างในท้องเป็นแก้วประกาย ให้รู้ว่าได้ฌาน๔ ในกสิณแสงสว่าง
กองที่ ๘ กสิณสีขาว แบบที่ ๑
โอทากสิณ ให้ดูสิ่งของที่เป็นสีขาว แล้วหลับตานึกถึงภาพสีขาวขึ้นมา ดูไปเรื่อยๆ ภาพสีขาวจะสว่างขึ้นมาตามกำลังของสมาธิ จนเป็นแก้วเป็นประกาย เป็นกรรมฐานสำหรับเกิดทิพยจักขุญาณ
บุคคลที่มีกำลังสมาธิมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเพ่งสีขาว ให้นึกถึงสีขาวขึ้นมาจับเป็นอารมณ์ได้เลย เพื่อให้จิตเข้าสู่ฌานสมาธิ สีขาวจะเปลี่ยนไป เกิดความสว่างใส ให้ฝึกทรงอารมณ์เอาไว้ ฝึกเข้าออกให้คล่อง จิตจะมีความสงบทรงพลัง
สภาวะพระนิพพาน เราสามารถไปพระนิพพานได้หากเพิ่อพิสูจน์พระธรรม คำสอน
วิธีฝึกกสิณสีขาวอีกแบบหนึ่ง ให้นั่งหลับตา นึกว่าร่างกายของเราเป็นสีขาว แล้วน้อมพลังพุทธบารมีมาคลุมร่างกาย นั่งรับพลังดูร่างกายไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเป็นสมาธิ สีขาวจะเปลี่ยนไป จะมีแสงมีสีที่เปลี่ยนไป จะมีภาพนิ่ง ภาพเลื่อน หรือ เคลื่อนไหว แค่เห็นแล้วปล่อยวาง ร่างกายจะเป็นสีขาวเป็นประกาย เมื่อได้เข้าสู่ฌาน
จิตเหมือนเด็กน้อยที่ชอบเล่นซุกซน ไม่ยอมหลับนอน ต้องหานิทานมาเล่า มากล่อมถึงจะหลับ กรรมฐาน ๔๐ กอง ก็เปรียบกับนิทาน ๔๐ เรื่อง
ที่นำมาเพื่อให้จิตเข้าถึงความสงบ ให้จิตได้พักผ่อน จะได้เกิดพลังทางจิต ทำกิจแห่งธรรมให้เสร็จสิ้นไป ก่อนที่หมดเวลา
กองที่ 1 กสิณดิน แบบที่ ๑
กรรมฐานหมวดกสิณ มี ๑๐ กอง การเพ่งดินก็เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกใหม่ ให้เอาดินมานวด เอามาปั้น ดูจนชินตา ทำให้ติดตาติดใจ จะลืมตาหรือหลับตาก็นึกเห็นภาพนั้น ได้อย่างชัดเจน ดูดินแล้วหลับตานึกถึงมาดินขึ้นมา แล้วปล่อยวาง ทำใจให้ว่าง จนอารมณ์เข้าถึงฌาน๔ ภาพดินก็จะเปลี่ยนสีเป็นแก้วเป็นประกายพรึก ให้ลองฝึกจนชำนาญเถิด
สำหรับผู้ที่มีสมาธิบ้างแล้ว ให้นึกภาพดิน ขึ้นมาในใจได้เลย จะเป็นภาพดินแบบไหน สีอะไรก็ได้ ให้รู้ว่าเป็นดินก็พอ เมื่อหลับตากำหนดดูภาพดินไปเรื่อยๆ ภาพจะเปลี่ยนสีไปตามกำลังของจิต ท้ายที่สุดจะเป็นสีขาวนวลๆ และสว่างๆขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นแก้วประกายพรึก ฝึกทรงอารมณ์ทรงไว้ และฝึกเข้าออกให้คล่อง จิตจะมีพลัง สงบเยือกเย็น เป็นผู้ทรงฌาน
การฝึกกสิณดิน ผู้ที่มีสมาธิระดับสูงแล้ว สามารถจับร่างกาย หรือ ภาพสิ่งใดที่มีองค์ประกอบของดิน มาเป็นนิมิต มาเป็นเครื่องหมาย แทนดินได้เลย ผลที่พึงได้ไม่แตกต่าง ขอให้ตั้งใจทำ จะสำเร็จผลในกสิณดินทุกคน
กรรมฐานทุกกอง มีประโยชน์สูงสุดก็เพื่อให้จิตสงบ เกิดแสงสว่างแห่งปัญญา ถอดถอนกิเลสตัณหา ดับเชื้อของการเกิด เพื่อความพ้นทุกข์ และถ้าสามารถฝึกกสิณ อย่างน้อยแปดในสิบกองสำเร็จในฌาน๔ ก็จะสามารถมีอภิญญา สามารถมีอิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
มีหูทิพย์ กำหนดรู้ใจผู้อื่น ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
กองที่ ๒ กสิณน้ำ แบบที่ ๑
สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ กำลังใจยังไม่เข้มแข็ง ให้ตักน้ำใส่ขัน หรือใส่อะไรก็ได้ มาตั้งไว้ใกล้ๆ ใช้มือสัมผัสน้ำไป แล้วจำภาพน้ำไว้ จำให้ติดตาติดใจ หลับตากำหนดดูน้ำไป เมื่อสมาธิมีมากขึ้น สีสรรของภาพน้ำก็จะเปลี่ยนไป จนท้ายที่สุดเปลี่ยนไป กลายเป็นแก้วเป็นประกาย เป็นผู้ได้ฌาน ๔ ในกสิณน้ำ
สำหรับการฝึกกสิณน้ำอีกแบบหนึ่ง นอกจากดูน้ำแล้ว ให้ฟังเสียงน้ำไหลประกอบไปด้วย จะได้ติดหูติดตาติดใจ เข้าถึงความสงบได้เร็วขึ้น ส่วนนิมิตของกสิณที่เปลี่ยนไป ก็ขึ้นอยู่กำลังของจิตว่าเข้าถึงฌานระดับใด ฝึกทรงฌาน และเข้าออกฌานในกสิณให้คล่อง แล้วค่อยทำกสิณกองอื่นต่อไป
สำหรับผู้ที่มีสมาธิมากแล้ว สามารถฝึกกสิณน้ำ ด้วยการกำหนดภาพน้ำขึ้นมาได้เลย ฝึกควบคุมภาพน้ำให้เป็นตามอำนาจจิตของตน ฝึกการทรงฌานและเข้าออกฌานให้คล่อง ค่อยผ่านไปฝึกกสิณกองต่อไป
กองที่ ๓ กสิณลม แบบที่ ๑
ให้ไปนั่งตรงที่มีลมพัดผ่าน มองไปที่ยอดใบไม้ไหว ให้กายได้สัมผัสลม จำภาพให้ติดตา จำลมที่สัมผัสกาย ภาพที่เห็นจะเริ่มเปลี่ยนไป ตามกำลังของฌานถึงฌาน ๔ เมื่อไหร่ จะเป็นแก้วเป็นประกาย ฝึกทรงฌานเอาไว้ และเข้าออกให้คล่อง กรรมฐานกองลมนี้หมาย ทำให้กายเบาจิตเบา
ให้ดูกองลมในกาย ลมที่หายใจเข้า ลมที่หายใจออก น้อมพลังลมเย็นๆเข้าไป หายใจเอาความทุกข์ ความร้อนออกมา ทำจิตให้ว่างๆ จะเห็นลมเป็นสีต่างๆ จนสมาธิถึงระดับฌาน ลมจะเปลี่ยนเป็นสีขาว สว่างขึ้น จนเป็นแก้วประกายพรึก ฝึกเข้าออก และทรงอารมณ์ให้คล่อง อารมณ์ใจจะหนักแน่นมั่นคง
การเอาร่างกาย มาใช้ในการฝึกกสิณลม ทำใจให้ว่างๆ ปล่อยวางทุกสิ่ง เห็นในความเป็นจริง ของลมที่อยู่ในกาย ลมไหลเวียนขึ้น ไหลเวียนลง ไหลไปด้านซ้าย ย้ายไปด้านขวา กำหนดลมให้มีสีสันขึ้นมา จะเป็นสีอะไรก็ได้ แล้วสีของลมจะเปลี่ยนไป เข้าสู่ฌาน๔ ในกสิณลม
กองที่ ๔ กสิณไฟ แบบที่ ๑
มองไฟให้ติดตา นึกถึงภาพไฟให้ติดใจ จะนึกขึ้นมาครั้งใด ก็เห็นภาพไฟแจ่มใสทันที นั่งหลับตาดูภาพไฟไปเรื่อยๆ ภาพไฟจะเปลี่ยนสี จนเป็นสีขาว มีแสงสว่างเป็นแก้วเป็นประกาย เป็นนิมิตหมายฌาน๔ ในกสิณไฟ
สำหรับผู้มีสมาธิบ้างแล้ว ให้หลับตานึกภาพไฟขึ้นมาได้เลย จับภาพไฟไปเรื่อยๆ ภาพจะเปลี่ยนไป จากสีที่เข้มแล้วจางไป สู่สีขาว แล้วสู่ความสว่างเป็นแก้วเป็นประกาย ตามกำลังของฌานสมาธิที่สูงขึ้น
หลับตาลง ทำใจให้สบาย แล้วจับเอาความร้อน ที่มีอยู่ในกาย แล้วโยกเอาความร้อนไปไว้ที่ฝ่ามือ นึกให้เป็นเปลวไฟ แล้วนึกถึงความเย็น ปรับเปลี่ยนไฟให้เย็น จนสีของไฟเป็นแก้วประกาย ความร้อน ความทุกข์ในกายจะหายไป เกิดความสงบชุ่มเย็น ลองทำดูเถิดจะเกิดผล
กองที่ ๕ กสิณสีเขียว แบบที่ ๑
ให้จับภาพสีเขียวขึ้นมา จะเป็นพระพุทธรูปสีเขียวก็ได้ แล้วหลับตานึกถึงภาพสีเขียวไปเรื่อยๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ เมื่อมีสมาธิมากขึ้น ภาพสีเขียวจะเปลี่ยนไป ตามกำลังของฌาน เมื่อเป็นแก้วประกายพรึก ฝึกทรงอารมณ์นั้นไว้ และฝึกเข้าฝึกออกฌานให้คล่อง เพียงเท่านี้ ก็จะเป็นผู้ทรงฌาน ๔ ในกสิณสีเขียว
การฝึกวิธีนี้ ให้นึกภาพสีเขียวขึ้นมาได้เลย แล้วภาวนาหลับตา ดูภาพสีเขียวในใจไปเรื่อยๆ กำลังของสมาธิเปลี่ยนไป ภาพสีเขียวก็จะเปลี่ยนไปด้วย จะสีจางลงไป จนเป็นสีขาว สู่ความสว่างเป็นประกาย ฝึกทรงฌานให้นานตามชอบใจ จิตจะมีพลังความสุข ขุ่มเย็น
หลับตาลงนึกถึงสีเขียวขึ้นมา ให้สีเขียวคลุมโลกคลุมจักรวาล รวมทั้งกายเราด้วย ลมหายใจเข้าออกก็เป็นสีเขียว ภาวนาดูสีเขียวไปเรื่อยๆ สีเขียวจะเปลี่ยนไป ป็นสีใด ก็ปล่อยให้เป็นไป ตามกำลังของสมาธิ แต่ท้ายที่สุดจะเปลี่ยนเป็นสีขาว เป็นแก้วประกาย เป็นผู้ได้ฌาน๔ในกองกสิณสีเขียว
กองที่ ๖ กสิณสีเหลือง แบบที่ ๑
การปฏิบัติสมาธิภาวนา ด้วยการการเพ่งกสิณสีเหลืองนั้น จิตจะยึดเอาภาพนิมิตกสิณที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องรู้ของจิต แทนอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิต และเมื่อสีเหลืองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต จากนั้นภาพกสิณสีเหลืองจะค่อย ๆ พัฒนาไปเองตามความละเอียดของจิต ซึ่งจะส่งผลให้เกิดมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับภาพสีเหลืองนั้น เริ่มตั้งแต่ความคมชัดในการมองเห็นสีเหลืองนั้นได้อย่างชัดเจน ราวกับมองเห็นด้วยตาจริง ๆ ไปจนกระทั่งการที่จิตสามารถบังคับสีเหลืองให้เลื่อนเข้า-เลื่อนออก หรือหมุนไปทางซ้าย-ทางขวา หรือยืด-หดภาพสีเหลืองดังกล่าวได้ อันเป็นพลังจิตที่เกิดขึ้น แต่ในที่สุดแล้วภาพสีเหลือง ก็จะมาถึงจุดแห่งความว่างและแสงสว่าง กล่าวคือ ภาพสีเหลืองจะหมดไปจากจิต แม้กระทั่งอาการและสัญญาในดวงจิตก็จะจางหายไปด้วย จากนั้น จิตจึงเข้าสู่กระบวนการของสมาธิในขั้นฌานต่อไปตามลำดับ
ให้นึกถึงภาพองค์พระสีทองเหลืองอร่าม อยู่ข้างหน้าสูงเหนือศรีษะขึ้นไป นึกให้เห็นชัดเจนติดตาติดใจ แล้วขอน้อมพลังสีเหลืองมาคลุมกายคลุมใจ ภาพพระจะเปลี่ยนสี ตามกำลังของสมาธิที่เปลี่ยนไป จนไปสู่ความเป็นแก้วเป็นประกาย เป็นกำลังสูงสุดของฌาน
กำหนดให้กายเป็นสีเหลือง อวัยวะน้อยใหญ่ แขน ขา หู ตา จมูก กระดูก ทุกส่วนล้วนเป็นสีเหลือง ทำอารมณ์จิตให้สบาย นั่งหลับตานึกถึงสีเหลืองไป ลมหายใจเข้าก็สีเหลือง ลมหายใจออกก็สีเหลือง ดูไปเรื่อยๆ กายสีเหลืองจะเปลี่ยนไป สู่สีขาวเป็นแก้วประกาย เป็นนิมิตของจิตที่สูงสุดของกสิณสีเหลือง
กองที่ ๗ กสิณสีแดง แบบที่ ๑
เอาสีแดงมานั่งมองจนภาพติดตา หลับตาภาวนานึกถึงภาพสีแดงไปเรื่อยๆ ภาพสีแดงจะชัดเจน แล้วเปลี่ยนสีไป ตามกำลังของฌาน ฝึกทรงฌาน ฝึกเข้าออกให้คล่อง แล้วไปฝึกกสิณกองใหม่ต่อไป
บุคคลที่สามารถนึกถึงภาพสีแดง ได้อย่างชัดเจน จะลืมตาหรือหลับตา สามารถฝึกกสิณสีแดงได้เลย ไม่ต้องไปนั่งเพ่งสีแดงอีก ให้หลับตาแล้วนึกถึงสีแดงขึ้นมา แล้วกำหนดดูไปเรื่อยๆ สีแดงจะเปลี่ยนสีไปตามกำลังสมาธิที่เข้าถึง จนกลายเป็นสีขาวสว่าง เป็นแก้วเป็นประกาย เป็นนิมิตหมายสูงสูดของรูปฌาน
สำหรับผู้ที่มีสมาธิมากแล้ว ให้นึกถึงเลือดที่อยู่ในกาย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายส่วนใดก็เต็มไปด้วยเลือด เต็มไปด้วยสีแดง นึกให้สีแดงมาคลุมกาย ดูสีแดงไป สีจะเปลี่ยนไปจนสู่ความเป็นแก้วประกาย ตามกำลังของฌาน
กองที่ ๑๑ อสุภะ ซากศพทีพองขึ้นอืด แบบที่ ๑
อุทธุมาตกะ ซากศพทีพองขึ้นอืด ท่านสอนเพื่อเป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดในทรวดทรง สันฐาน เพราะอสุภกรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นเนื้อแท้ของทรวดทรงสันฐาน ว่ามีสภาพไม่คงที่ ในที่สุดก็ต้องขึ้นอืดพอง เหม็นเน่า เป็นสิ่งโสโครกไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าชอบใจอย่างนี้
อสุภะ ซากศพทีพองขึ้นอืด แบบที่ ๒
นั่งสมาธิน้อมพลังพุทธบารมี มาเก็บไว้ที่ศูนย์กลางกาย เมื่อจิตสงบดีแล้ว ให้นึกถึงบุคคลที่มีอิทธิพลต่อจิตใจ ที่ทำให้เรารัก เราลุ่มหลงอยู่ ให้สมมุติว่าบุคคลผู้นั้นได้ตายไปแล้ว ร่างกายกำลังบวมขึ้นอืด บวมพอง เพื่อให้จิตคลายจากความยึดติด คลายจากความลุ่มหลง จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์
อสุภะ ซากศพทีพองขึ้นอืด แบบที่ ๓
ให้เอาซากสัตว์มาพิจารณา ให้เห็นเป็นซากที่บวมขึ้นอืด ตั้งแต่เริ่มการตาย จนพุพองเน่าเปื่อยสูญสลายไป กลับคืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กรรมฐานกองนี้ จะช่วยให้หลุดจากเชื้อแห่งราคะ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส จะทำให้เข้าถึงความเป็นจริง ดับการเกิด และเข้าสู่พระนิพพานได้
กองที่ ๑๒ อสุภะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ แบบที่ ๑
กรรมฐานกองนี้ ให้พิจารณาร่างกายที่เขียวคล้ำ โดยพิจารณาร่างกายของเราเอง สมมุติว่าตายแล้ว มีสภาวธรรมเช่นใดบ้าง ที่ซ้อนอยู่ในความเป็นเรา พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง จะได้คลายความยึดติด ยึดถือ ลุ่มหลงในตน จนทำความดีไม่ได้ กลายเป็นคนที่ต้องตายเน่าเปื่อย อย่างสูญเปล่าไป
อสุภะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ แบบที่ ๒ (แนะนำ)
คนที่ตายไปแล้วหลายวัน มีสีสันผิวพรรณที่เปลี่ยนไป ให้นึกว่าคนที่ตายเป็นบุคคลที่เรารัก ที่ชอบใจ เพื่อจะได้คลายความยึดติด ความหลง ในร่างกายที่ไม่เที่ยงแท้ ในการเกิด ในการแก่ เจ็บตาย จะได้ไม่ต้องทุกข์
อสุภะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ แบบที่ ๓
การทำกรรมฐานโดยการเพ่งอสุภะ ซากศพสีเขียวคล้ำในแบบที่สามนี้ ให้ทำสมาธิโดยน้อมพลังเย็นๆมาอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง และน้อมพลังเย็นๆเข้าสู่ในศูนย์กลางกาย ทำสมาธิจนตัวเราเริ่มเบา กายเริ่มใส ที่ฝ่ามือมีดวงแก้วดวงธรรมปรากฏขึ้น เป็นดวงกลมสว่างไสว และลอยมาอยู่ตรงหน้า เราอธิษฐานให้ดวงแก้วดวงธรรมตรงหน้าเรา ปรากฏเป็นภาพซากศพของสัตว์ พิจารณาให้เห็นว่าแทัจริงแล้ว ว่าจะเกิดมาเป็นอะไร สมมุติชื่อว่าเป็นใครก็ตาม ท้ายที่สุดเมื่อธาตุเเห่งธรรมชาติคือดิน น้ำ ลม ไฟหยุดทำงาน กายก็จะเหลืองแข็ง และเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เน่าเปื่อยพุพองสูญสลายไป
กองที่ ๑๓ อสุภะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม แบบที่ ๑ (ฝึกแยกจิตออกจากกาย)
นั่งน้อมรับพลังพุทธบารมี เข้าสู่ศูนย์กลางกาย เมื่อพลังเต็มแล้ว ให้แยกจิตออกจากกาย ออกไปพิจารณากายของตน ที่สมมุติว่าเราได้ตายไปแล้ว ศพเริ่มจะขึ้นอืด บวมพอง เนื้อหนังจะเปื่อยมีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกจากทางปาก ทางจมูก ไหลออกจากตา กลิ่นเหม็นเน่า แล้วเราจะไปยึดติดอะไร จากร่างกาย คลายความลุ่มหลงในกายได้ จะได้พ้นทุกข์
อสุภะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม แบบที่ ๒
พิจารณาบุคคลที่เรารัก ยกขึ้นมาพิจารณา ให้เห็นเป็นซากศพ ที่บวมมีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลออก ให้เห็นถึงความทุกข์ ที่มีอยู่ในการเกิด ทำให้มีการพลัดพราก การเจ็บ การตาย เพื่อถอดถอนความยึดติด ในบุคคลที่รักที่ผูกพัน และถอดถอนตัวตนของตน จะได้ดับการเกิด ไม่ต้องกลับมาตายอีกต่อไป
อสุภะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม แบบที่ ๓
บุคคลที่เราเกลียด ถ้ายังยึดติดในความโกรธ ก็จะผูกรัดมัดเราเอาไว้ ไม่ให้พ้นจากความทุกข์ ควรพิจารณาว่าบุคคลทั้งหลาย ตายแล้วย่อมเปื่อยเน่า ย่อมเป็นไปตามกรรมทุกคน จะได้ถอดถอนความยึดติด กับบุคคลทั้งหลาย แม้แต่ตัวตนของเราเอง จะได้พ้นทุกข์
กองที่ ๑๔ อสุภะ ซากศพที่ขาดกลางตัว แบบที่ ๑
การพิจารณาซากศพ จะทำให้เห็นความเป็นจริงของชีวิต ที่เกิดมาแล้วต้องดิ้นรนขวนขวาย ให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา ท้ายที่สุด ก็นำไปไม่ได้เลย แม้แต่ร่างกายก็ต้องเปื่อยเน่า สลายกลับคืนสู่ธรรมชาติเช่นเดิม
อสุภะ ซากศพที่ขาดกลางตัว แบบที่ ๒
บุคคลที่ทำให้เรารัก เราลุ่มหลง จมอยู่ในร่างกายที่สวยงาม ยกขึ้นมาพิจารณาให้เห็นเป็นซากศพ ที่ขาดออกเป็นสองท่อน มีตับ ไต ไส้ ปอด ไหลทะลักออกมา มีน้ำเลือด น้ำเหลืองไหลออกมา แล้วกลายสภาพเปื่อยเน่า พิจารณาเช่นนี้ จะทำให้เบื่อหน่ายในกายมนุษย์ ถอดถอนความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ จะทำให้จิตสงบ ปราศจากเชื้อแห่งกิเลส สามารถดับการเกิดได้
อสุภะ ซากศพที่ขาดกลางตัว แบบที่ ๓
มหาเศรษฐีชาวอินเดียถูกโจรฆ่าชิงทรัพย์ ร่างกายถูกฟันตรงช่องท้องขาดออกเป็นสองท่อน ในมือเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง ตายไปแล้วจิตออกจากร่าง ไปรอการพิพากษา กายก็สูญสลายคืนสู่พื้นดิน ไม่มีสิ่งใดยึดถือเอาไว้ได้เลย
กองที่ ๑๕ อสุภะ ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน แบบที่ ๑
คนเราเกิดมาไม่รู้ว่าชะตาชีวิต จะเป็นยังไง ให้สมมุติว่าเราไปในป่า แล้วถูกเสือกัดตาย แล้วถูกกัดกินเนื้อหนังไปทีละชิ้น จิตออกไปยืนดูอยู่ ทำอะไรไม่ได้ น่าสลด สังเวชใจยิ่งนัก จึงไม่ควรประมาทในชีวิตที่มี ให้รีบขวนขวายสร้างความดี ก่อนที่เสือจะกัดตาย
อสุภะ ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน แบบที่ ๒ (แนะนำ)
ทำจิตให้สงบ นึกถึงภาพซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกาย จึงถอดถอนความยึดติดในตน ทำใจให้ปล่อยวาง เมื่อจิตว่างๆ จึงเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความว่างความไม่มี เข้าถึงอารมณ์ของพระนิพพาน
อสุภะ ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน แบบที่ ๓ (แนะนำ)
ดวงจิตทั้งหลาย เวียนว่ายตายเกิดเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของตน
บางที่ต้องเกิดเป็นไก่ เป็นหมูเป็นปลาา เวียนกลับมาเกิดเป็นคน พิจารณาซากศพที่สัตว์กัดแทะ เห็นความไม่เที่ยงแท้ และตามกฎของกรรม เคยกินเขามา ตอนนี้เขากลับมากินเรา เห็นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง
กองที่ ๑๖ อสุภะ ซากศพที่กระจายเรี่ยราด แบบที่ ๑ *****
ให้นึกขึ้นมาว่าซากศพที่ตายเป็นของเราเอง ที่ศีรษะขาดกระเด็นไปทาง แขนขาไปทาง กระจัดกระจายเรี่ยรายแผ่นดิน เห็นแล้วอเนจอนาถใจ น่าสงสาร ตายแล้วยังไม่มีใครเห็น และการตายจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบใด ที่ยังยังดับความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธไม่ได้ ก็ต้องตายอีกต่อไป
อสุภะ ซากศพที่กระจายเรี่ยราด แบบที่ ๒
พิจารณาเห็นการตาย ของบุคคลที่เรารักและรักเรา ตั้งแต่บรรพบุรุษ ทวด ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ พี่น้องที่ต้องตาย พลัดพรากจากกันไป นึกให้เห็นซากศพ ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย เกลื่อนกลาดแผ่นดิน จะได้สลดสังเวชใจ ไม่ต้องการที่จะเกิดอีก
อสุภะ ซากศพที่กระจายเรี่ยราด แบบที่ ๓
สมมุติว่ามีพายุลมฝน ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ บ้านเรือนพังทลายเสียยับเยิน ทั้งคนและสัตว์ล้มตาย ซากศพกระจัดกระจาย ไหลไปตามดินโคลน ยกภาพนั้นขึ้นมา พิจารณาเพื่อถอดถอน ความยึดติด ความลุ่มหลงในตน เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดเวียนวน มารับผลของกรรม เช่นนี้ อีกต่อไป
กองที่ ๑๗ อสุภะ ซากศพที่ถูกสับเป็นท่อน แบบที่ ๑
พิจารณาศพที่เขาสับออกเป็นท่อนๆ โดยให้เราสมมุติว่าเราได้ตายไปแล้ว มีคนเอามีดมาตัดชิ้นส่วนของร่างกาย ออกทีละชิ้น ทีละส่วนไปเรื่อยๆ จากแขน มาขา หั่นออกมาพิจารณา ให้รู้ว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีอยู่ในร่างกาย ร่างกายไม่มีอยู่ในเรา
อสุภะ ซากศพที่ถูกสับเป็นท่อน แบบที่ ๒
กายของมนุษย์นี้ มีจิตอาศัยอยู่ มีหน้าที่สร้างความดี เพื่อยกจิตให้สูงขึ้น ให้อยู่เหนือกิเลสตัณหา จะเกิดปัญญา รู้แจ้งสว่างตามความเป็นจริงของชีวิต ไม่ยึดติดในกาย จะได้พ้นจากความทุกข์
อสุภะ ซากศพที่ถูกสับเป็นท่อน แบบที่ ๓
ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ หมดไปจากจิตดวงใด จิตดวงนั้นย่อมเป็นอิสระ สว่าง สงบ ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
กองที่ ๑๘ อสุภะ ซากศพที่มีเลือดไหลออก แบบที่ ๑
พิจารณาร่างกายที่มีหนังหุ้มห่อ กายไม่สวยไม่งาม ผิวหนังขาดไป น้ำเลือดน้ำเหลืองก็จะไหลออกมา เห็นตามความเป็นจริงข้อนี้ จะได้คลายความยึดติด ในกายของตนและกายของผู้อื่น จะได้พ้นจากความทุกข์ จากความไม่เที่ยงแท้ของกาย
อสุภะ ซากศพที่มีเลือดไหล แบบที่ ๒
บุคคลผู้มีเชื้อราคะ แม้เป็นนักบวชแล้วยังต้องทุกข์อยู่ ให้แก้จิตด้วยพิจารณาร่างกาย ของคนที่สวยงาม ที่ติดตาต้องใจ สมมุติว่ากายนั้นตายด้วยอุบัติเหตุ มีเลือดไหลนองออกจากกาย จะได้คลายความยึดติด ลุ่มหลงในกาย จะได้ไม่ต้องทุกข์
อสุภะ ซากศพที่มีเลือดไหล แบบที่ ๓(แนะนำ)
กายมีกายภายนอกและมีกายภายใน มีจิตที่ซ้อนอยู่ข้างในอีกทีหนึ่ง กายภายในจะเป็นเช่นใด ขึ้นอยู่กับการกระทำ อยู่ที่กรรมของแต่ละบุคคล เห็นศพมีเลือดไหล บอกกับใจของตนให้ปล่อยวาง ทุกอย่างมันไม่ใช่ของเรา จะมัวเมา ลุ่มหลงอยู่กับอะไร ตายแล้วนำไปไม่ได้ ให้ปล่อยวาง ให้ปล่อยวาง
กองที่ ๑๙ อสุภะ ซากศพที่มีหนอนชอนไช แบบที่ ๑
มะม่วงสุกงอม ร่วงหล่นลงพื้นดิน มีหนอนมีแมลงมาชอนไชกัดกิน ให้หายกลายเป็นดิน กลับคืนสู่โลก มนุษย์ เกิดแล้วต้องตาย กายก็สลายเป็นดินน้ำลมไฟ กลับคืนสู่ธรรมชาติ เช่นเดียวกัน
อสุภะ ซากศพที่มีหนอนชอนไช แบบที่ ๒
เมื่อเห็นการตาย จึงระลึกรู้ว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ สรรเสริญ สุขทุกข์ในโลก ล้วนเป็นสิ่งหลอกล่อ ให้เราจมอยู่ในวัฏสงสาร จึงปล่อยวาง จิตจะเข้าสู่ความสงบ ความว่างได้ในที่สุด(แนะนำ)
อสุภะ ซากศพที่มีหนอนชอนไช แบบที่ ๓(นำนั่งสมาธิ)
ชะตาชีวิตของใครบางคน หมดรอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ในทางโลก ไม่มีโอกาสที่จะกลับไปครองเรือนอีกต่อไป รู้เช่นนั้น จึงรู้สึกสลดสังเวชใจ น้ำตาพาลจะไหล ได้ยินเสียงพุทธองค์ ทรงถามมาเสียงเย็นๆ ว่า " เสียดายขี้อยู่หรือลูก "
กองที่ ๒๐ อสุภะ ซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูก แบบที่ ๑
ผีกระดูกที่ยังมีลมหายใจ ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ ทำให้รัก ทำให้โลภ ทำให้โกรธ ทำให้หลงกับคนนั้น กับสิ่งนี้อยู่ร่ำไป ตายไปเป็นผี เหลือแต่กระดูก ก็ยังไ่ม่หมดทุกข์ ตราบใดที่ยังไม่รู้ ตามความเป็นจริงของชีวิต ยังดับการเกิดไม่ได้ ต้องมาเป็นผีกระดูก เช่นนี้ต่อไป
อสุภะ ซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูก แบบที่ ๒
เทวดาผู้ลุ่มหลง เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี ไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่ก็มี บุคคลใดยึดติดในสิ่งที่มี หลงในสิ่งที่เป็น เบียดเบียนแต่ผู้อื่น ทำความดีไม่ได้ สุดท้ายตายไป จะเกิดเป็นอะไร คิดเอาเอง
อสุภะ ซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูก แบบที่ ๓
เมื่อไม่หลงในเรา สิ่งใดเล่าจะทำให้หลงได้ การเห็นตามความเป็นจริง ของร่างกายที่มีเนื้อหนังเอ็นกระดูก ที่สมมุติว่าเป็นเรา เห็นความไม่สวยไม่งาม มีความเสื่อมเป็นธรรมดา เพื่อคลายความหลงในตน จะได้พ้นความทุกข์