พระยาธรรมิกราช ได้เผยแผ่ธรรม เรื่องพระผู้สร้างโลกจักรวาล ได้มีผู้ที่คัดค้าน และสงสัย ในสิ่งที่เผยแผ่ออกไป
เพื่อให้คลายความสงสัย ป้องกันไม่ให้หลายดวงจิตต้องสร้างกรรมไม่ดี
จึงได้น้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน
ทูลถามเรื่องของพระผู้สร้างโลก ให้เกิดความรู้กระจ่างแจ้ง
เพื่อนำมาเผยแผ่ ถ้าบุคคลใด ปรารถนาที่รู้ตาม ก็ขอเชิญเปิดจิตเปิดใจ
รับฟังคลิปเสียงนี้ แต่จะเข้าใจตามได้หรือไม่ ก็ขอให้ปล่อยวาง
ตราบใด ที่ดวงจิตยังติดอยู่ในวัฏสงสาร เรายังไม่ใช่ผู้ที่รู้แจ้งโลก
บ้านเมือง โลก จักรวาล วัฏสงสาร จะเป็นเช่นใด
จะมีความสุข หรือมีความทุกข์ ย่อมมาจากการกระทำ
ของดวงจิตทั้งหลาย ที่อยู่ร่วม อยู่ด้วยกัน จึงมีเหตุให้เป็นเช่นนั้น เช่นนี้ ไม่มีใครที่ทำให้เป็นไปเช่นใด เกินอำนาจของกรรม
การที่เราเล่นเกมส์ชนิดใด เราต้องรู้กฏกติกา ให้รู้แจ้งรู้จริง
ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถเล่นหรือ ทำคะแนนได้ดีในเกมส์นั้นๆ
เกมส์ชีวิตก็เหมือนกัน มีกฏของเกมส์ ที่สำคัญคือกฏของกรรม
ถ้าเรายังรู้ไม่แจ้งในกฎของกรรมแล้วไซร้ เราก็ยังไม่สามารถ
ที่จะเป็นผู้ชนะ ในการมาเกิดในแต่ละครั้งได้
ลองมาศึกษากฎของกรรมเป็นผู้รู้อย่างแท้จริงเถิด
จะได้เป็นผู้ชนะหลุดพ้นในความทุกข์ ในการเวียนวนลงมาเล่นเกมส์ซะที
ชีวิตหลังความตาย การเวียนไปการเวียนมาของดวงจิตในวัฏสงสาร
ใครเป็นผู้นำพาดวงจิตไป ใครปกครองจักรวาล ดูแลวัฏสงสาร
ทำกรรมดีกรรมชั่ว ใครเป็นผู้คอยจด นับถือศาสนาต่างกัน ตายแล้วจะไปไหน จะเชื่อได้อย่างไร พิสูจน์ได้อย่างไร หาคำตอบได้ที่ ภูสวรรค์
นิทานที่มาของการเกิดดวงจิต ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร พร้อมกับสภาวธรรมของโลกของจักวาลทั้งหลาย มีการก่อเกิดมีที่มา ที่ไปอย่างไร
การที่พระยาธรรมิกราช มาเปิดสภาวธรรมของโลกต่างๆ
ตั้งแต่ก่อเกิดดวงจิตมานั้น เพื่อที่จะทำให้ดวงจิตต่างๆ ได้เข้าใจ
และรู้แจ้งถึงการเวียนว่ายตายเกิด ให้เห็นความที่มันไม่มีของใคร
คือ จิตนั้น ก่อเกิดมาเอง เกิดมาแล้ว มันก็เป็นไปตามสภาวธรรม
ของธรรมชาติ กฎแห่งกรรม กฎของไตรลักษณ์ กฎแห่งความไม่เที่ยงแท้
ก็คือ สิ่งที่มันค่อยๆพัฒนา และเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสร้างให้มันเกิดขึ้นมา ความสุข ความทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด สวรรค์ บาดาล นรก โลกมนุษย์ และมิติต่างๆ ที่จิตต่างๆทั้งหลาย เมื่อก่อเกิดขึ้นมาแล้ว
ก็ไปอยู่ในจุดต่างๆ ตามการกระทำของตน
เพื่อย่อโลก ย่อจักรวาล เพื่อเข้าใจ ในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงมรรคผล นิพพาน อย่างแท้จริง
มีผู้ร่วมเดินทาง ในขบวนของพระยาธรรมิกราช
สงสัยในการก่อเกิดดวงจิต ใครสร้างขึ้นมา แล้วใครสร้างบรมบิดา
ใครสร้างธรรมชาติ พระยาธรรมจึงได้เข้าเฝ้าทูลถามปัญหา
ต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระองค์ท่านเลยให้พระยาธรรม เข้าเฝ้าพระบรมบิดา ทูลถามปัญหา สภาวธรรมที่ยังไม่เข้าใจเหล่านั้น
ขอเชิญญาติธรรมติดตามรับฟัง เพื่อความกระจ่างแจ้งในธรรม
การเปิดโลกของพุทธองค์ เป็นการเปิดด้วยพระธรรมคำสอน
เปิดให้เห็นความเป็นจริงในการเวียนตาย เวียนเกิด ในวัฏสาร
เปิดให้เข้าใจที่มาของดวงจิต เข้าใจเหตุที่มาเวียนวน
เข้าใจวิธีการทำให้หลุดพ้น เข้าใจในสภาวธรรมของสรรพสิ่ง
ตามความเป็นจริง จึงเรียกว่า ธรรมะเปิดโลก
… ตอนที่ ๘๒ ธรรมะเปิดโลก *****
พระยาธรรมิกราชมาเปิดโลก เปิดจักรวาล เปิดวัฎสงสาร เปิดความเป็นจริงของพระนิพพาน เพื่อเป็นแผนที่การบอกทาง ให้ดวงจิตทั้งหลาย ให้เดินออกจากความทุกข์ เมื่อได้เปิดจิตเปิดใจ นำคำสอนไปปฏิบัติ เมื่อสำเร็จเป็นองค์อรหันต์แล้ว จะสามารถเข้าใจ รู้ได้ด้วยตนเองว่าเป็นจริงหรือไม่ ฉะนั้น จึงควรเปิดจิตเปิดใจ ฝึกฝนปฏิบัติตน ให้พ้นจากความทุกข์ ใช้เวลาไม่นานมากนักหรอก ก็จะเห็นผลได้ด้วยตนเอง
...ตอนที่ ๘๗ ธรรมะเปิดโลกเปิดจักรวาลเปิดวัฏสงสารเพื่ออะไร.
พระผู้สร้างโลกสร้างจักรวาล
พระยาธรรมิกราชได้ขึ้นเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสมเด็จพระบรมพุทธบิดา ทำให้รู้ว่าจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้นได้อย่างไร
พระยาธรรมิกราชคือใคร มาทำอะไรในโลกมนุษย์
ขอกราบนมัสการต่อองค์พระบิดาผู้สร้างโลกและจักรวาลทั้งหมด สร้างดวงจิตทั้งหมด สร้างสรรพสิ่งให้ก่อเกิดขึ้นบนโลกนี้ และโลกแต่ละโลก ทุกๆสรรพสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นด้วยพุทธบารมีจากองค์พระบิดาผู้สร้างสรรพสิ่ง และขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นอบน้อมถึงองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ และองค์พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ รวมถึงนอบน้อมต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย รวมถึงเจริญพรญาติบุญญาติธรรมทั้งหลายผู้ที่มีความตั้งใจดีจะฟังธรรม และฟังสิ่งที่ข้าพระพุทธเจ้าจะเล่าให้ญาติบุญญาติธรรมนั้นฟังต่อไปนี้ ทุกๆท่าน
เมื่อเย็นของวันที่ 13 เดือนกรกฎาคม 2557 ข้าพระพุทธเจ้าได้นั่งกรรมฐาน เมื่อข้าพระพุทธเจ้านั่งสงบแล้ว จิตที่ออกจากกายไปนั้นก็ได้เข้าไปสู่ดินแดนพระนิพพาน ที่ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ได้ปรินิพพาน และจิตของพระองค์ท่านได้ไปอยู่ที่นั่น ที่นั่นในสภาวะธรรมในดินแดนนิพพานนั้น ก็ยังมีป่าไม้ ต้นไม้ มีธรรมชาติ มีความร่มรื่นน่าอยู่น่าอาศัย และข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าไปในดินแดนนั้น
เมื่อไปในดินแดนนั้นแล้ว องค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านจึงได้สอนสั่งและบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานไม่ใช่จุดหรือไม่ใช่จิตนั้นดับสูญ แต่เป็นการดับสูญจากความต้องการทั้งหลาย ความอยากมีอยากเป็นทั้งหลาย ดับสูญจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย ดับสูญจากการเวียนว่ายตายเกิด ดับสูญจากความทุกข์ สรรพสิ่ง ที่จะทำให้จิตนั้นเศร้าหมองได้ นั่นคือ พระนิพพาน
เมื่อพระองค์ได้ทรงบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าดังนี้แล้ว พระองค์ท่านก็จึงได้ทรงเมตตาดันพุทธบารมีให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า เพื่อขึ้นไปสู่นิพพานที่ซ้อนขึ้นไปอีก 1 ชั้น เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้ลอยขึ้นไปสู่นิพพานในชั้นที่ 2 ที่นั่นก็มีดวงจิตที่ประพฤติปฏิบัติ และสำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ก็ดี องค์พระพุทธเจ้าก็ดี องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี
แต่ในสถานที่ชั้น 2 นั้นก็เป็นแต่เพียงแก้วใสๆ มีแต่อากาศ เพราะชั้น 2 ก็ไม่มีแล้ว ป่าไม้ ลำธาร ธรรมชาติ ไม่มีแล้ว มีแค่เพียงแก้วใสๆ วางไว้เต็มไปหมด ให้เรารู้ว่าตรงนี้มีดวงจิตอยู่ ตรงนี้มีดวงจิตอยู่ พระองค์ท่านบำเพ็ญอยู่ และที่นั่นส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเลย จะไม่มีดวงจิตใดที่ยังไม่หลุดพ้นเข้าไปถึงที่นั่นได้ เพราะเป็นนิพพานที่ซ้อนขึ้นไปอีก และข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ผ่านจากนิพพานชั้นนั้นไปอีก ไปชั้นที่ 3
ชั้นที่ 3 นี้ก็จะมีดวงจิตทีบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นดวงคล้ายๆกับเป็นรูปดอกบัว ดอกบัวที่ยังไม่บาน ที่ยังตูมอยู่ วางไว้ หรือว่าหลุดลอยอยู่ตามจุดต่างๆมากมาย ใสๆเหมือนแก้ว ทำให้รู้ว่าหนึ่งดวงแก้วนั้นคือหนึ่งดวงจิตที่พระองค์ท่านได้สำเร็จแล้ว ท่านก็มาอยู่ที่นี่ ประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญธรรมอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แล้วก็ขึ้นไปชั้น 4
ชั้น 4 ก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เป็นแก้วลักษณะคล้ายๆรูปวงรีบ้าง รูปวงกลมบ้าง เป็นดอกบัวแก้วบ้าง เต็มไปหมด แต่ในสถานที่นั้นก็จะเป็นอากาศโล่งๆ โปร่งๆ ไม่มีธรรมชาติ ไม่มีพื้นดิน ไม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรทั้งหมด แล้วก็ขึ้นอีกไปชั้น 5
ชั้น 5 ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน จะเป็นลูกเล็กลูกน้อย เป็นดวงๆเล็กๆน้อยๆบ้าง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เป็นดอกบัวบ้าง เป็นแก้วเยอะแยะ
ทีนี้เมื่อถึงชั้น 5 แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็ดันขึ้นไปอีกจนถึงชั้นที่ 6 ที่นั่นก็จะมีกายเป็นพระพุทธรูปบ้าง เป็นดวงธรรมใสๆบ้าง เป็นรูปกายที่เป็นโครงสร้างของรูปลักษณ์คล้ายๆมนุษย์ ยืนบ้าง นั่งบ้าง แต่ว่าไม่มีกายหยาบ เป็นกายแก้วใสๆ นั่งบ้าง ยืนบ้าง ทำให้รู้ว่าที่นี่มีดวงจิตอยู่ และที่นั่นในชั้น 6ของนิพพาน ก็จะเป็นดวงจิตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มาตรัสรู้แล้วก็กลับไป และของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่นั่นก็จะไม่มีดวงจิตของพระอรหันต์ขึ้นไป ผู้ที่สำเร็จจิตเป็นพระอรหันต์ก็จะอยู่แค่สวรรค์ชั้น 5 ลงมา
พอชั้น 6, 7, 8 ชั้น 6 กับ 7 ก็จะเป็นดวงจิตขององค์พระพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่อยู่ในที่นั้นก็จะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เยอะไม่เท่ากับชั้นต่างๆตั้งแต่ชั้น 5 ลงมา น้อยกว่าแต่ก็ยังมีเยอะอยู่ ขึ้นไปชั้น 7 ก็เป็นเช่นนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าจึงขึ้นไปถึงชั้น 8 ก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่ชั้น 6,7,8 .. 3 ชั้นนี้ก็จะเป็นชั้นขององค์พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ไปอยู่ในที่นั้น
หลังจากนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ดันขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 9 ของนิพพาน ที่นั่นมีองค์บรมบิดาผู้สร้างโลกและจักรวาล สร้างโลกทุกๆ โลกขึ้นมา สร้างดวงจิตต่างๆขึ้นมาให้ก่อเกิด สร้างร่างกายของมนุษย์ กายของเทวดา กายทิพย์และสร้างกายของสัตว์ต่างๆ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกายทั้งหลาย ทุกร่างกายที่ดวงจิตนั้นมีอยู่ ก็คือพระองค์ท่านเป็นผู้สร้างทั้งหมด
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้ขึ้นไปถึงดินแดนแห่งนั้น จึงนอบน้อมก้มกราบ พระองค์ท่านนั่งอยู่เหนือศีรษะของข้าพระพุทธเจ้าขึ้นไปเป็นแท่น และก็มีพระวรกายเป็นแก้วใสๆสว่างเจิดจ้า แผ่พุทธบารมีที่ปกคลุมไป ครอบทั้งหมดจักรวาล ทุกๆ จักรวาล จึงได้ก้มกราบ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้ก้มกราบท่านแล้ว พระองค์ท่านจึงกล่าวกับข้าพระพุทธเจ้า กล่าวถามมาดังนี้ว่า
“เป็นยังไงบ้างพระยาธรรมเอ๋ย”...
เมื่อพระองค์ท่านได้กล่าวถามมาเช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้นอบน้อม และตอบพระองค์ท่านว่า
“ลูกก็เผยแผ่ธรรมไปได้มากแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าลูกนี้ยังเป็นทุกข์เรื่องการกินอยู่ เพราะการกินนี้เป็นเรื่องที่ข้าพระพุทธเจ้ายังต้องศึกษา ปรับเปลี่ยนในการกินอยู่ พระพุทธเจ้าค่ะ”
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กล่าวตอบไปเช่นนั้นแล้ว พระองค์ท่านจึงได้เมตตากล่าวสอนแก่ข้าพเจ้า ในเรื่องของการที่จะทำยังไง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ในเรื่องของการกิน เมื่อพระองค์ท่านได้สอนแก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ท่านจึงได้เอามือใหญ่ๆของพระองค์ท่านยกตัวของข้าพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกายเล็กๆอยู่ในกายแก้วใสๆเล็กๆ ยกขึ้นไปนั่งอยู่บนฝ่ามือของพระองค์ท่าน แล้วพระองค์ท่านจึงได้เป่าคาถา เป่าพร เพื่อประทานพรแก่ข้าพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่ธรรม ในรอบของกึ่งศาสนานี้ให้จงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เมื่อพระองค์ท่านได้เป่าพระคาถา ที่จะเป็นสิ่งที่จะก่อเกิดเป็นอภินิหารในการแสดงธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้า และได้เป่าให้พรแก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ท่านจึงวางข้าพระพุทธเจ้าลง และเมื่อนั้นเอง พระองค์ท่านก็ได้แยกออกมาเป็นกายขนาดเท่ารูปกายของมนุษย์เรา และก็ได้พาข้าพระพุทธเจ้าออกไปนอกจักรวาลทั้งหมด พระองค์ท่านได้พาข้าพเจ้าไปยืนอยู่ท่ามกลางระหว่างความว่างเปล่า และก็มองดูจักรวาลต่างๆ พระองค์ท่านได้บอกกับข้าพระพุทธเจ้าว่า
“พระยาธรรมเอ๋ย จักรวาลทั้งหมดมี 7 จักรวาล จักรวาลทีใหญ่ๆมาก และมีการวนเวียนอยู่นั้น มีอยู่ทั้งหมด 4 จักรวาล ด้วยกัน
จักรวาลที่ 1 คือจักรวาลของพระนิพพาน คือ โลกแห่งพระนิพพาน
จักรวาลที่ 2 คือ สวรรค์
จักรวาลที่ 3 คือ บาดาล
จักรวาลที่ 4 คือ โลกมนุษย์
จักรวาลของมนุษย์และจิตต่างๆที่วนเวียนนี้ ก็วนเวียนอยู่ในสวรรค์ บาดาล มนุษย์ และกลับมาสู่พระนิพพาน วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะกลับมาถึงในพระนิพพาน แล้วจึงจะหยุดในการเดินทางวนเวียน
ส่วนจักรวาลที่เล็กลงไปอีก 3 จักรวาล...
จักรวาลที่ 1 คือ จักรวาลแห่งการก่อเกิดดวงจิตทั้งหลาย เราได้สร้างจักรวาลเล็กๆนั้นเอาไว้เพื่อก่อเกิดดวงจิต ถือว่าเป็นที่สร้างดวงจิตทั้งหลาย และก็ได้มี
จักรวาลที่ 2 คือ จักรวาลเล็กเช่นเดียวกัน ที่นั่นคือที่ผลิตร่างกายของมนุษย์ก็ดี ของเหล่าพญานาคก็ดี เหล่าชาวสวรรค์ทั้งหลายก็ดี สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ต่างๆ ทั้งหลาย ที่นั่นเป็นโลกแห่งการสร้างและผลิตร่างกายทั้งหลายนั้น
เมื่อพระองค์ท่านได้กล่าวถึงจักรวาลที่ 2 แล้ว พระองค์ท่านจึงได้บอกอีกว่า จักรวาลสุดท้ายอยู่ข้างล่างนี้เป็นจักรวาลของนรก หรือเรียกว่าเป็นโลกของนรก ก็คือ จักรวาลอีกจักรวาลหนึ่งเล็กๆ จักรวาลแห่งนี้เป็นที่ที่ดวงจิตของผู้ที่ทำผิดทำชั่วทั้งหลาย ต้องตกอยู่และลงไปเกิดในจักรวาลนี้ ซึ่งเรียกว่าโลกแห่งนรก
เมื่อพระองค์ท่านได้พาข้าพระพุทธเจ้าได้ออกไปอยู่นอกจักรวาลทั้งหมด แล้วชี้ให้ข้าพระพุทธเจ้าดู เป็นดวงๆ ทั้งหมดมี 7 ดวง แล้วก็มีดวงใหญ่อยู่ 4 ดวง มีดวงเล็กอยู่ 3 ดวง กลมๆ คล้ายๆกับลูกฟุตบอลที่กลมๆอย่างนั้น แต่มีใหญ่กว่าและเล็กกว่า ต่างก็มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโลกนั้นๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะหมุนไวหรือช้าตามรอบของแต่ละโลก ว่ากาลเวลานั้นจะหมุนไปเท่าไหร่ พระองค์ท่านก็ได้ตั้งเวลาเอาไว้ในแต่ละโลก
และเมื่อเสร็จจากตรงนั้น พระองค์ท่านจึงพาข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปในโลกของการสร้างร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นเทพเทวดา หรือจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก หรือจะเป็นชาวพญานาคอยู่ในบาดาล สถานที่และโลกใบนั้นสร้างร่างกายทั้งหมด ก็จะมีคล้ายๆ เป็นบริษัทเหมือนเป็นโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ คล้ายๆกันเช่นนั้น เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าไป พระองค์ท่านพาไปในที่นั้น ที่นั่นพระองค์ท่านได้ปั้นหุ่นขององค์พระพุทธเจ้าวางเรียงๆกันไว้ เป็นพระพุทธเจ้า เป็นร่างกายของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่จะมาตรัสรู้ เหมือนเป็นหุ่นรูปปั้นที่ทำเอาไว้ แล้วพระองค์ท่านก็บอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า “พระยาธรรมเอ๋ย หากถัดจากองค์พระศรีอาริยเมตไตรที่จะมาตรัสรู้ ไปอีก 2 องค์ องค์ที่ 2 นั้นจะมาตรัสรู้ในกายของสตรี จะเกิดมาเป็นผู้หญิงและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นผู้หญิง แต่จิตข้างในนั้นจะเป็นชาย เพียงแต่จะมาสร้างตำนานตรัสรู้เป็นสตรีเท่านั้นเอง”
เมื่อพระองค์ท่านได้บอกแก่ข้าพเจ้าดังนี้แล้ว ทรงแสดงถึงองค์ที่ 3 ถัดจากนี้ไป 1 พระศรีอาริยเมตไตร และถัดไปอีก 2 องค์ พระองค์ท่านจึงพาข้าพระพุทธเจ้าเดินเข้าไปในที่ที่ผลิตร่างกายของสัตว์โลกทั้งหลาย คล้ายๆกับโรงงาน ก็มีเทวดา มีจิตที่พระองค์ท่านสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นจิตที่จะต้องมาสร้างร่างกายของสัตว์โลกทั้งหลาย
เขาก็จะทำงาน สร้างแขน สร้างขา สร้างรูปลักษณ์ รูปกาย กลุ่มนี้เป็นคนพิการ พิการแขน พิการขา พิการหู ร่างกายไม่สมบูรณ์ ก็สร้างตามกรรมของดวงจิตต่างๆที่จะมาครอบครองกายนั้นๆ และชดใช้กรรมนั้น พระองค์ท่านได้ทรงสร้างจิตเหล่านั้นมาสร้างร่างกายของสัตว์โลกอีกทีหนึ่ง
เมื่อพระองค์ท่านได้พาข้าพระพุทธเจ้าไปท่องเที่ยวยังโลกจักรวาลต่างๆเสร็จแล้ว พระองค์ท่านจึงพาข้าพระพุทธเจ้ากลับมายังที่ประทับของพระองค์ที่อยู่สูงเหนือศีรษะของข้าพุทธเจ้าไป พระองค์ท่านกลับมานั่งอยู่ข้างบนบัลลังก์ แล้วข้าพระพุทธเจ้าจึงกราบนอบน้อมลาต่อพระองค์ท่าน แล้วค่อยๆถอยจิตกลับมาทีละชั้นๆๆของนิพพาน จนมาถึงชั้นที่หนึ่งของพระนิพพาน แล้วก็ได้ออกจากประตูของพระนิพพานมา กลับมาสู่สวรรค์ เมื่อกลับมาสู่สวรรค์แล้วข้าพเจ้าจึงกลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อมาเผยแผ่ธรรมให้แก่ญาติบุญญาติธรรมทั้งหลายได้ฟังกัน และเพื่อรู้และเข้าใจว่าจักรวาลนี้ก่อเกิดขึ้นมาด้วยสิ่งใด มีใครเป็นผู้สร้าง แม้กระทั่งดวงจิตของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ องค์พระบิดาท่านก็คือผู้สร้าง บรมบิดาคือผู้สร้างสรรพสิ่งให้ก่อเกิดขึ้น
ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายก็เปรียบเสมือนเป็นดวงจิตหนึ่งๆ และเป็นลูกของพระองค์ท่านที่มาวนเวียน เวียนวนอยู่ หากพวกเรารู้กันเช่นนี้แล้วคงจะสงสัย และไม่เข้าใจว่าข้าพระพุทธเจ้าเป็นใคร เพราะเหตุอะไรจึงได้ไปถึงที่นั่นและรู้ถึงเรื่องราวต่างๆทั้งหลายนี้
วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะขอชี้แจง หรือทำความเข้าใจตัวตนของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้านี้อุบัติขึ้นมาจากเส้นเกศาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระองค์ท่านได้ทรงปลุกเสกข้าพระพุทธเจ้าเพื่อก่อเกิดขึ้นมาเป็นดวงจิตหนึ่ง เป็นเด็กตัวเล็กๆ แล้วก็ได้ส่งข้าพระพุทธเจ้ามาอยู่บนโลกสวรรค์ 267 ปี เพื่อเรียนรู้ถึงการเวียนวนของ 3 โลก สวรรค์ มนุษย์ บาดาล เมื่อข้าพระพุทธเจ้าอยู่ในเมืองสวรรค์ถึง 267 ปีแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจึงลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ 5 ปี เพื่อเรียนรู้กับความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์นี้
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้อุบัติขึ้นมา เกิดขึ้นมาเป็นกายของมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้ามาอยู่ในกายของมนุษย์ โดยการลงแฝงร่างของมนุษย์เท่านั้นเอง ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดเหมือนกับพวกท่านทุกๆคน เพียงแต่ลงมาชำระกายของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีผู้เสียสละต่อชีวิตของตน และสตรีผู้ถวายกายแก่ข้าพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้นำมาเผยแผ่ธรรม ข้าพระพุทธเจ้าเป็นเพียงกุมารตัวน้อยๆ อายุแค่ 12 ขวบเท่านั้นเอง
ดวงจิตของข้าพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้มาเกิด ไม่ได้มาวนเวียนเหมือนกันกับพวกท่านทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มาแฝงกายมนุษย์เพื่อสื่อสภาวะธรรมต่างๆ มาเผยแผ่ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังและเข้าใจถึงการเวียนวนเท่านั้นเอง
เช่นนี้เมื่อท่านทั้งหลายได้รู้และเข้าใจแล้วว่า ข้าพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ที่มาแฝงในกายของมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้อุบัติขึ้น เกิดขึ้นเหมือนดังพวกท่าน
บัดนี้ พระยาธรรมิกราชได้อุบัติขึ้นแล้ว ด้วยการแฝงกายของมนุษย์ในการสอนสั่งธรรม แล้วพระยาธรรมิกราชนี้ก่อเกิดมาจากไหน คือ ก่อเกิดมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในแต่ละรอบขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในกึ่งศาสนานั้น จะต้องมีพระยาธรรมิกราชเป็นผู้อุบัติขึ้นในรอบของกึ่งศาสนา เพื่อมาเผยแผ่ธรรมให้แก่สัตว์โลกทั้งหลายได้ฟังธรรมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ได้เข้าใจถึงการเวียนวนอีกครั้งหนึ่ง เช่นนี้อย่างนี้มาแล้วทุกๆพระองค์
ท่านทั้งหลายเอ๋ย จงอย่ามัวแต่เสียเวลาในความทุกข์ของท่านเลย จงฟังธรรมจากเราเถิด เพราะเราคือพระยาธรรมิกราชผู้ที่อุบัติขึ้นแล้วในโลก เพื่อนำธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายนั้นจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ อย่าพึงเข้าใจว่าเรานี้เป็นมนุษย์เรานี้คือผู้ที่ก่อเกิดเหมือนกันกับท่าน ...อย่าตามหา แสวงหาเราเลยว่าอยู่ในที่ใด เราอยู่ในเสียงธรรม เราอยู่ในกายของสตรีผู้หนึ่งผู้ที่เสียสละจิต ละเสียร่างกายถวายแก่เราในการแสดงธรรมเป็นครั้งคราว เป็นบางเวลา เราจะมาสื่อกับท่านทั้งหลายเพียงแค่บางครั้ง บางเวลาเท่านั้น เมื่อเสร็จงานเสร็จหน้าที่ของเราแล้ว เราก็ถอยออกไปจากร่างกายของมนุษย์ เป็นเช่นนั้นอย่างนั้นแหละ
ท่านทั้งหลายเอ๋ย เมื่อท่านทั้งหลายได้เข้าใจถึงจักรวาลทั้งหลายที่ก่อเกิดขึ้นแล้ว การเวียนวนแล้ว ได้เข้าใจถึงผู้ที่นำคำสอนมาแล้วนั้น ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจดังนี้ด้วยว่า องค์บรมบิดาผู้สร้างจักรวาลทั้งหลาย พระองค์ท่านไม่เคยเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดเลย ท่านมี ตั้งขึ้นมา แล้วก็มีคงสภาวะธรรมอยู่และดำรงอยู่เช่นนั้นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างพวกเราทุกคน หรือเป็นเหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย พระองค์ท่านไม่เคยเกิด ไม่เคยวนเวียน
วันนี้เราได้นำธรรมะพระธรรมคำสอนนี้มาเผยแผ่ เผยแพร่และทำความเข้าใจแก่ญาติบุญญาติธรรมทั้งหลายให้ได้ฟังกันแล้ว ขอให้ทุกท่านทุกคนจงหลุดพ้นจากการเวียนวน เข้าไปสู่พระนิพพานทุกๆคน ด้วยพุทธบารมีของบรมบิดา และขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขององค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และเหล่าพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ รวมถึงเทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ขอให้จงช่วยให้จิตของท่านทั้งหลายนั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ด้วยกันทุกๆคนเถิด
สาธุ