ธรรมะมหัศจรรย์ หลวงปู่โต - ฝึกสมาธิ กำหนดจิต(พื้นฐาน)
สวดชินบัญชรไปทำไม
เดี๋ยวจะบอกให้สวดชินบัญชรไปทำไม แล้วทำไมอาตมาถึงทิ้งพระคาถานี้ไว้ให้มนุษย์ทั้งหลาย แล้วทำไมมนุษย์บอกว่าคาถานี้เป็นของสูง..ไม่สมควรจะสวด ใช่มั้ยจ๊ะ
ต้องเป็นพระเท่านั้นถึงจะสวดได้ อันที่จริงไม่ใช่หรอกจ้า เดี๋ยวจะบอกให้จ้ะ สวดแล้วทำไมมันเร่าร้อน สวดแล้วทำไมมันฟุ้งซ่านตอนแรก อันที่จริงพระคาถาชินบัญชรนั้นเป็นการนำอัญเชิญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คุณงามความดีของพระขีณาสพทั้งหลาย
เข้ามาประชุมธาตุในกายทุกทวาร เรียกว่า"ปิดทวาร" ทั้งหมดนั่นเอง
ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ทั้งหลายก็มาบรรจุธาตุกันหมดอยู่ในพระคาถา..มารวม มนุษย์นั้น อันดับแรกสวดกันแรกๆ นั้น..ก็ให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ..แล้วแผ่เมตตาก่อน..ก่อนจะสวดชินบัญชรพระคาถานะจ๊ะ
ถ้าสวดครั้งแรกจะเกิดความเร่าร้อนได้ เพราะว่ามารภายในมันกำลังกระทบกับพระคาถานั่นเอง กำลังล้างตัวมันเองนั่นเอง การล้างครั้งแรกตอนนี้มันจะเริ่มเร่าร้อน..เหมือนล้างพิษน่ะจ๊ะ ของร้อนมันก็จะออกมาทางกายผ่านทวารมันก็จะรู้สึกได้ว่ามันร้อน นี่แหล่ะจ้ะ พอสวดไปบ่อยๆทำไมมันถึงสงบเยือกเย็นล่ะจ๊ะ ก็มันค่อยค่อยล้างไปเอง แม้โยมสวดไปกลั้น..กลืนน้ำลายลงไป..มันก็เป็นทิพมนต์แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ต่อไป เมื่อคาถานี้..ต่อไปนั้น น้ำนั้นจะมีพิษมาก เพราะว่าพิษมันจะเกิดจากพลังงานนิวเคลียร์ จากเป็นพิษธรรมชาติ พระคาถานี้เมื่อโยมสวด ๓ จบ ๙ จบก็ดี..เป่าไปที่น้ำ น้ำที่เป็นพิษนั้นมันก็จะหายออกไปได้..จำไว้ แต่"ใจ"ต้อง"มั่น" ทำอะไรต้อง"กลั้นใจ" ทำไมถึงบอกว่ากลั้นใจ ไม่ได้บอกให้กลั้นใจตายนะ ที่กลั้นใจ..ในขณะที่เรากลั้นใจนั้น..ใจมันจะว่างนั่นเอง..จิตมันจะว่างต่อกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วเราภาวนาพระคาถาอยู่..ก็เรียกใจ..จิตมันมั่นในพระคาถา อานุภาพแห่งพระคาถานั้นมันก็จะมีมาก
ดังนั้นแล้ว การสวดสาธยายมนต์พระชินบัญชรนั้น ต้องให้สวดพุทธคุณ
ธรรมคุณ สังฆคุณเสียก่อน..แล้วแผ่เมตตาออกไป ถวายอาตมาก็ได้จ้ะ จิตต่อจิตย่อมถึงกัน แล้วค่อยสาธยายชะยา..สะนา..คะตาออกมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
อันนี้เค้าเรียกว่าสวดเพื่อกำจัดภัย สวดเพื่อกำจัดจิตมารภายในให้มันออกไป สวดเพื่อรักษากายเนื้อของเรา สวดเพื่อรักษาโรคต่างๆได้ นี่ไม่ได้โม้นะจ๊ะ สวดได้รักษาได้จริงๆ ใจต้องมั่นเสียก่อนมันจะเกิดมโนยิทธิได้ ถ้าใจมันเป็นฤทธิ์แล้วเมื่อเป่าไปที่พระคาถา..คาถาผสมกันทีนี้อะไรก็ขลังหมดแหล่ะจ้ะ เขาเรียกคาถา..ตัวคาถามันจะ"ตื่น" ถ้าสวดแล้วด้วยใจที่ไม่ศรัทธาไม่มั่นแล้วไซร้..พระคาถาไม่ตื่นหรอกจ้ะ ตัวนะมันหลับอยู่อย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จะสวดให้ตื่นต้องนะโมดังดังก่อน ๓ จบ ตัวนะถึงจะตื่นได้ เพราะตัวนะนี่..ตัวอักขระคาถานี่เค้ามีวิญญาณของเขานะ จะมีแสงออกมาลอยออกมาเลย แต่เจ้ามองไม่เห็นหรอกจ้ะ มันเป็นคาถาทิพย์คาถาสวรรค์ เมื่อเราสวดแล้วจิตมั่นต่อพระคาถาแล้ว..ดิ่งแล้วทีนี้..พลังอานุภาพแห่งพระคาถาจะคุ้มครองกาย ถ้ามองให้ดีแสงในกายของผู้สวดจะมีแสงสว่างออกมา ในขณะนั้นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เข้าโยมไม่ได้
แต่ก่อนสวดโยมต้องมีสมาธิเสียก่อน คือใจต้องปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเสียก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นคือการ"แผ่เมตตา"นั่นเอง เพราะคาถานี้เป็นคาถาที่ว่าสรรพวิญญาณบางดวงจะรับไม่ได้..ก็ต้องแผ่เมตตาให้เขาเสียก่อน ให้เขารู้เท่าทันเสียก่อนว่าเราจะทำอะไร เพราะเทวดาบางคนก็รับไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะบารมีอาจจะไม่ถึง ก็นั่นเองถึงได้บอกว่าบางคนสวดไปแล้วเร่าร้อน โอ้..ไม่สวดแล้ว นี่แหล่ะจ้ะ เพราะเข้าใจผิด เพราะขาดตัวรู้ ใช่มั้ยจ๊ะ ก็เทวดาก็เลยเร่าร้อนตามไปด้วย อันนี้ต้องขอแผ่เมตตาเสียก่อนเข้าใจมั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ มีนาคม ๒๕๕๖
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต
ให้เสียงธรรมโดยคุณแดง
คำแปล
พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลาย ผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์
ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ
อริยะสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์
มี ๒๘ พระองค์คือ พระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกรเป็นต้น พระพุทธเจ้าผู้จอมมุนี
ทั้งหมดนั้น
ข้าพระพุทธเจ้า ขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่บนศีรษะ
พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง
พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก
พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจพระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา
พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณทัญญะอยู่เบื้องหลัง
พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา
พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย
มุนีผู้ประเสริฐคือพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสง
อยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ
มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ
พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี
พระเถระทั้ง ๕ นี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก
ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือผู้มีชัยและเป็นพระโอรส
เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วน
รุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีลให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่
พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้าพระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา
พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง
พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร
เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ
อนึ่งพระชินเจ้าทั้งหลาย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้
ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิด มีศีลาทิคุณอันมั่นคง
สัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใดๆ
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงกรงล้อม
แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายใน
อันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและโรคดีเป็นต้น
เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ
ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น
จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้น ท่ามกลางพระชินบัญชร
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม
จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวอันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า
ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพ
แห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติ และรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจ
นิรันดรเทอญฯ
คาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
พระคาถานี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมาจากลังกา
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯค้นพบในคัมภีร์โบราณและได้ดัดแปลงแต่งเติมให้ดีขึ้นเป็น
เอกลักษณ์พิเศษ ผู้ใดสวดภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้เกิดความ
สิริมงคลแก่ตนเองศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสย
ต่างๆ
ก่อนเจริญภาวนาให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงหลวงปู่โตและตั้งคำอธิษฐานแล้ว
เริ่มสวด
เริ่มสวด นโม 3 จบ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งอธิษฐาน
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร
ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.
ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว
กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร.
ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.
เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา
วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
การขอพร
การขอพรต่อเทพพรหมทั้งหลายก็ดี แต่การขอพรที่วิเศษสุดน่ะจ้ะ มันมีเคล็ดลับอยู่ว่า
"ขอพรจากตัวเอง"
ถ้ามนุษย์ผู้ใดจะให้พรตัวเองได้..มนุษย์ผู้นั้นต้องมีใจที่ศรัทธา
เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองจะปรารถนา มีองค์พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ
เมื่อเข้าถึงความสงบเข้าถึงความดีแล้วไซร้..ให้อธิษฐานขอพรได้
อันนี้จะวิเศษ..ขลังที่สุดจ้ะ
ใครผู้ใด มนุษย์ผู้ใด สวดมนต์ สาธยายมนต์แล้ว จบแล้ว กำหนดจิตภาวนา
ถ้าไม่สงบก็เข้าสมาธิ..สงบอยู่อย่างนั้นให้เกิดปิติสุข แล้วคลายจากปิติสุขนั้น
แล้วก็แผ่เมตตา อธิษฐานขอพร นี่แหล่ะจ้ะเรียกว่าขอพรต่อตนเอง..ขลังที่สุดเลยจ้ะ
เรียกว่า ได้ทั้งบารมี ได้ทั้งการได้สร้างทาน
ได้ทั้งเป็นบูชา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
และเป็นการบูชาตัวเอง เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเชื่อ แสดงว่าศรัทธาตัวเองแล้ว
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ไปบูชามันเป็นแค่อุบาย ไม่มีใครมาประทานให้ได้ถ้าเวลาไม่ถึง
การทำแบบนี้เรียกว่าเร่งต้นทุนตัวเองได้ นั่นหมายถึงว่ามนุษย์ต้องมีต้นทุนเสียก่อน
เมื่อใครมีต้นทุนแล้ว เทพพรหมที่อยู่กับตัวเรา " โมทนา " ทีเดียวก็ได้แล้ว
แต่ถ้าโยมไม่ได้สร้างต้นทุนเลย ให้ไหว้ขอพรตั้งเป็นร้อยครั้งก็ไม่เกิดประโยชน์
สุดท้ายก็ไม่พ้นความงมงาย..จำไว้นะ
ตัวเองต้องมีมาก่อนคือ " ใจ " ที่เป็นประธาน
เป็นมนุษย์มีสังขารมีวิญญาณ มีบุญเก่าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
มาเจอองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า..คำสอน มีพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่แล้วไซร้
สดับรับฟังธรรมข้อใดมาพิจารณาให้เป็นสรณะเข้าสู่จิตสู่ใจ...
ให้เกิดความตั้งมั่น เกิดสมาธิ แล้วแผ่ภาวนาออกไป แล้วอธิษฐานจิต..
นี่แหละจ้ะคือ"ต้นทุน" เท่ากับว่าเป็นการเบิกบุญทางอ้อม
ว่าเป็นการสร้างกุศลในจิตในใจโดยตรง เป็นการลดทิฐิมานะทางตรง
ที่เหลือโยมจะไปขอพรที่ใด เรียกว่าเป็นการแค่เสริม แต่ตัวเองต้องให้ตัวเองก่อน
ถ้าไม่มีต้นทุนไม่มีใครเสริมให้ได้..
จำไว้ ถ้าทำผิดขั้นตอนก็เรียกว่าขุดไปก็ไม่เจอสิ่งที่หา..
จำไว้นะ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับความงมงายขาดปัญญา ต้องมีต้นทุนเสียก่อน
อย่างวันนี้ที่โยมอาราธนาศีล อาราธนาธรรม สวดมนต์พุทธมนต์ทั้งหลาย
เรียกว่าเป็นการเบิกบุญสร้างต้นทุน แล้วที่เหลือโยมจะบวงสรวงขอพรเทพ
อันนี้ก็สุดแล้วแต่โยม ถือว่าเป็นการดี เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการขอพรจากตัวเอง
การจะขอพรจากตัวเองให้ได้ก่อนนั้น ต้องน้อมพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
มาสู่จิตวิญญาณก่อน
ให้มีประธานสามอย่างนี้ ก็ครบองค์พระรัตนตรัยแล้ว คราวนี้ดวงจิตก็มีประธานแล้ว
ครบองค์ไม่มีอะไรเหนือไปกว่านี้แล้ว
เมื่อใจมั่นศรัทธา..ทีนี้ใจก็เป็นฤทธิ์แล้ว เป็นมโนยิทธิ..
อธิษฐานสิ่งใดย่อมเกิดขึ้นได้ เรียกว่า " แก้วสารพัดนึก " คือดวงจิตนั่นเอง
เมื่อจิตสว่างไสวแล้วไซร้ให้แผ่บุญออกไป..แล้วอธิษฐานบุญตอนนั้น
นี่คือเรียกว่ามีสรณะ มีแก่นมีสาร
เมื่อสารเราดี เราส่งไปเขาอ่านรู้เรื่อง ไม่ใช่ขอไปแล้วไม่เห็นได้ซักที ใช่มั้ยจ๊ะ
ก็สารมันไปไม่รู้เรื่อง มันไม่มีแก่นนี่จ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ มีนาคม ๒๕๕๖
ทางลัดสู่พระนิพพาน
"ใจ"นี้สำคัญนัก ศีลถ้าเรารักษาไม่ได้..ก็ไม่ต้องสนใจ ให้รักษาศีลข้อเดียวพอ
“ทำใจให้มันสงบอย่างเดียว” นั่นแหล่ะจ้ะคือศีลทั้งหลายทั้งปวง
อ้าว..ทำยังไงให้จิตให้ใจมันสงบล่ะจ๊ะ ก็อะไรไม่สงบก็ละออกไป เดี๋ยวใจมันก็สงบเอง
พอสงบจิตใจเราก็จะเป็นปกติ อะไรที่จิตมันอยู่นิ่งได้นี่แหล่ะจ้ะเค้าเรียกว่าปกติ
ถ้าจิตเราไม่นิ่งแล้วนั้นน่ะจ้ะ..ผิดปกติแล้ว มีการเคลื่อนไหวของวิญญาณของธาตุ
เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมันเริ่มเดินแล้ว เพ่นพ่านแล้ว หิวแล้ว ทะยานอยากแล้ว
ถ้ามันนิ่งแล้ว มันอิ่มแล้ว มันพอแล้วมันจะอยู่นิ่ง มันเรียกว่าเป็นปกติ..ศีลก็บังเกิด
" ศีล" นั้นเรียกว่าการปกติแห่งจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตมันกวัดแกว่งนี่แหล่ะจ้ะ
มันเริ่มมีปัญหาแล้ว วิญญาณทั้งหลายที่มันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์นั้น มันเริ่มตื่นแล้ว
มันเริ่มโหยหา หิวโหยแล้ว พอหิวโหยทำยังไงไอ้พวกนี้
เราก็กำหนดรู้ กำหนดธาตุของเรา รู้ลม ถึงลม แล้วทิ้งลมออกไปซะ ทิ้งมันไป
พอทิ้งมันไปแล้วก็อุทิศบุญให้เขาไปให้เขาไปเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ไอ้ความหิวนี้แล มันมากินแล้ว
ก็เหมือนเด็กน่ะ มันเกิดขึ้นมา มันหิวมันก็ต้องร้องมั้ยจ๊ะ แล้วเรารำคาญมั้ยจ๊ะ
แล้วพอให้มันกินแล้วพอมันอิ่มมันนิ่งมั้ยจ๊ะ
คราใดที่จิตเรานั้นกวัดแกว่งผิดปรกตินั้นแล..วิบากกรรมได้มาเสวยแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ให้กำหนดรู้ รู้ลม..ถึงลม..คือรู้อยู่ที่ลม
เพราะ"ลม"นี้เป็นตัวบอกให้เกิดเหตุ เกิดตาย เกิดรู้ เกิดอยู่ เกิดดับ
เมื่อเรารู้ลม..ถึงลม..มันถึงที่ไหน ก็ถึงที่ใจของเราที่เรากำหนด
คือกำหนดรู้ที่ใจ มันออกมาจากใจไอ้พวกนี้ ไอ้พวกวิญญาณนี้
กรรมนี้มันออกมาจากนี้ มันออกมาจากขุมนรกนี้ ก็อยู่ที่ใจเรานี้เคยไปล่วงเกิน
ไปกระทำกรรมอันใดเค้าไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้น ต้องไปกำหนดรู้ที่ตรงนี้ ในขณะนั้นเรียกว่าลมมันเสีย เราต้องกำหนดลมใหม่
ไอ้ที่ลมเสียนี้คืออารมณ์มันเริ่มเสียผิดปกติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เราก็ต้องกำหนดลมใหม่
พอลมมันทิ้งออกไปนี่แหล่ะจ้ะ..เราสลัดอารมณ์นั้นไปแล้ว เราได้ฟอกลมขึ้นมาใหม่
คือ ลมเข้านี่เรียกว่าเกิด ลมออกก็เรียกว่าดับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทีนี้เราทำให้ลมนั้นเกิด..
คือ กำหนดรู้ลม เมื่อจิตเราตั้งมั่นสงบได้ดี..ให้ภาวนาบริกรรมซะ
แล้วจิตเราจะตื่นขึ้นมา พอเราตื่นขึ้นมานี้แล จิตเราพอมันตั้งมั่นตื่นขึ้นมาแล้ว
เราจะเห็น..เห็นอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เห็นไฟที่เผาผลาญในกายสังขาร ในดวงวิญญาณ
ในกรรมของเรา ที่เราได้ไปกระทำไว้ เราก็แผ่เมตตาให้เค้าไป..ให้อยู่บ่อยๆ
ให้กับตัวเองเนี่ยไม่ต้องให้ใคร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อเราให้อยู่บ่อยๆแล้ว เราจะมีความเมตตาปรารถนาดีกับคนทั่วโลกทั่วจักรวาล
เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วไม่อยากไปคิดมีเวรมีภัยกับใคร เพราะการสร้างเวรพยาบาท
เพียงหนึ่งครั้งนี้..มันเรียกว่าไปเพิ่มภพเพิ่มชาติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ก็การจองเวรการไม่ละเวรอาฆาตพยาบาท มันก็ข้ามภพข้ามชาติได้
แต่ถ้าโยมละไม่คิดจะจองเวร ให้อภัยให้อโหสิ..โยมจะตัดภพตัดชาติ..
นี่เค้าเรียกว่าเดิน"ทางลัดเข้าสู่พระนิพพาน" เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แล้วไอ้ตัวนี้เป็นตัวตัดขวากหนามในการเจริญรอยธรรม
ยังประโยชน์ให้ตัดอุปสรรคในทางโลกของโยมได้โดยแท้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ประตูนรก
ธรรมโอสถจากพระโอษฐ์ที่ท่านตรัสทิ้งไว้ ว่า
"เหตุถ้าเกิดที่ใด ก็ให้ไปดับที่เหตุแห่งทุกข์นั้น"
เรียกว่าความจริงอันประเสริฐที่ท่านได้สัมผัสได้เห็น นั่นคืออริยสัจธรรม ๔ ประการ
เป็นความจริงที่โยมต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง นั่นคือทุกข์มีอยู่ในกายนี้จริง
สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ก็อยู่ที่ใจนี้ นิโรธคือการดับทุกข์ ถ้าโยมเห็นเหตุแล้วรู้เหตุได้
เมื่อโยมแค่ไปเห็นเท่านั้น ตัวปัญญาก็จะบังเกิด ก็จะรู้ว่าต้องดับอย่างไร
ก็เพราะว่าใจเรานั้นแล ไปยึด ไปติด ไปพอใจ นิโรธมันก็จะเกิดขึ้น
เมื่อไฟมันดับแล้ว จิตใจก็สงบเยือกเย็นแล้ว โยมย่อมเห็นทางเดินด้วยปัญญา
คือมรรค คือทางเดิน นี้แลควรทำให้แจ้งอยู่บ่อยๆ
แล้วโยมจะอ่านตำราอะไรก็ได้อย่างถ่องแท้และเข้าใจ
ถ้าโยมไม่เข้าใจในอริยสัจ ๔ แล้วไซร้
ให้โยมอ่านตำราทั้งตู้พระไตรปิฎกให้เจนจบแค่ไหน
โยมก็ไม่เข้าถึงหัวใจของพระไตรปิฎกได้ ยิ่งอ่านยิ่งติด
ยิ่งรู้ยิ่งยึด ยิ่งยึดยิ่งหลง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นผู้ใดต้องการรู้ต้องลงมือค้นหาตู้พระไตรปิฎกที่แท้จริงในกายนี้
คือรอบรู้ในกองสังขาร อาการที่เกิดขึ้นในกาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ประตูแห่งนรกที่เขาเปิดออก มันก็มีที่มนุษย์นั้นไปเปิดรับอารมณ์เข้ามาเสวย
ประตูด่านแรกคือดวงตา ใช่มั้ยจ๊ะ มีอะไรบ้างจ๊ะอายตนะเนี่ยะ
ที่โยมต้องใช้อยู่ประจำอยู่เป็นนิตย์ (ลูกศิษย์ : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
ดังนั้นใครต้องการจะไปนรกหรือสวรรค์ก็ไปไม่ยาก
อ้าว..โยมอยากไปทางตาก่อน ใช่มั้ยจ๊ะ เมื่อเห็นแล้วสิ่งไหนที่ทำให้เกิดทุกข์
นี่แหล่ะจ้ะอารมณ์นี้ที่ติดไปก็ไปจากทางตา หูที่ไปสัมผัสแล้ว
เมื่อเลิกสัมผัสก็รู้สึกพอใจ ถ้าคำนั้นเป็นคำสรรเสริญเยินยอ
แต่ไม่นานนัก คำที่ได้ยินเยินยอว่าพอใจนั้น รื่นหูนั้นกลับเปลี่ยนไปจากการด่าร้าย
ด่าทอ ด่าว่า โดนทุบตี ด้วยวาจา นั่นก็เป็นทุกข์จากเสียงที่เราได้ยิน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นนี่ก็คือทุกข์..ให้โยมพิจารณาอยู่บ่อยๆ
ตา..หู..จมูกที่เราไปติดในกลิ่น ลิ้นที่โยมไปสัมผัสรส โยมว่ากายมนุษย์มีรสมั้ยจ๊ะ
กายของมนุษย์มีรสมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มีค่ะ) ถ้าไม่มีโยมจะไปติดกันทำไมล่ะจ๊ะ
แล้วโยมจะมีคู่มีครองไปโหมโรงกันทำไม หากไม่มีรสไม่มีกลิ่น
นั้นเรียกว่ารสแห่งกามคุณ ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่สัมผัสโยมจะรู้รสมั้ยจ๊ะ อืม..นี่แหล่ะ
พอโยมไปสัมผัสมันมีกลิ่นเข้ามากระทบ ถ้ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นที่โยมพอใจ..
มันก็เย้ายวน ถ้าหากกลิ่นนั้นมากระทบเป็นกลิ่นที่เราไม่พึงพอใจ
สัมผัสที่โยมไปนั่นมันก็ลดลงมา ใช่มั้ยจ๊ะ สิ่งเหล่านี้เพราะเราไปพอใจไปปรุงแต่งมัน
ถ้าใครอยากจะพ้นทุกข์ได้..โยมต้องตัดรสออก ต้องเป็นคนไม่มีรส
เมื่อบุคคลใดไม่มีรสแล้ว บุคคลนั้นย่อมไม่มีชาติ ย่อมไม่ต้องมีกำเนิด
แต่เพราะโยมนั้นยังติดรส ยังติดชาติอยู่อย่างนี้ ย่อมพ้นทุกข์ได้ยาก
เค้าบอกว่าอยู่ในเพศฆราวาสจะบรรลุธรรมได้หรือไม่..ก็ได้
ถ้าวัดเป็นเปอร์เซ็นต์มีแค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ โยมว่ามากมั้ยจ๊ะ แทบไม่มีเลยใช่มั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๙
บททดสอบนักปฏิบัติ
การมาเจริญกรรมฐานเพื่อถอดถอน ละเชื้อไฟให้มันออก ฉันถามว่า ในขณะนี้
มันอาจจะสงบด้วยศีลก็ดี ด้วยฌานก็ดี ด้วยสติที่โยมมีจิตที่เป็นปกติก็ดี
แต่เมื่อใดไฟโทสะมีอารมณ์มากระทบ มีคนมาด่าทอนินทาว่าร้ายแล้วไซร้
ไอ้ที่มันนอนก้นอยู่มันจะตื่นขึ้นมามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ตื่นจ้ะ)
เราจะทำอย่างไรให้อารมณ์นี้ที่เราควบคุมมันได้แล้ววางเฉย เห็นว่าโลกธรรมทั้ง ๘
ของโลกใบนี้ มันก็เป็นสักแต่ว่านินทา สรรเสริญ เยินยอ เราจะทำอย่างไร..
นั้นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องรักษากายวาจาใจได้ตลอดเวลาเมื่ออารมณ์แบบนี้ขึ้นมา
เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ไอ้สิ่งที่โยมประพฤติปฏิบัติมานั้น
มันก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
เมื่อโยมประพฤติปฏิบัติกันมาแล้ว สิ่งนี้แหล่ะจ้ะเมื่อโยมออกไปอยู่ในภายนอก
สังคมข้างนอกก็ดี หรือต้องอยู่กับเพื่อนร่วมโลกก็ดีนั้น..ที่คนเค้ามีศีลต่างกับโยม
เมื่อมากระทบอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนี้แลจะเรียกว่าเป็น"บททดสอบ" เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ไม่ใช่ว่าผู้นักปฏิบัติธรรมแล้วจะเจอแต่เรื่องดีๆ ถ้าโยมเจอแต่เรื่องดีๆ
เรียกว่าโยมจะหลง คนเมื่อมีดีแล้ว..เหมือนหมอผี ผีมันก็อยากลองวิชา ใช่มั้ยจ๊ะ
คนประพฤติปฏิบัติธรรมน่ะ "กิเลส"มันก็ชอบทดสอบเป็นธรรมดา
ไม่ใช่ว่าโยมมาอยู่ในที่ที่โยมมาปฏิบัติกันแล้ว โอ้..ไม่เห็นมีอะไรมาทดสอบเลย
คิดว่าตัวเองนั้นจิตบริสุทธิ์มากแล้ว บางทีหลงตัวเองไปได้ ต่อเมื่อมีคนด่าทอ
ตำหนิติเตียนเข้าหน่อย แหม..ลุกกระพือเป็นไฟไปหมด
นี้สิ่งนี้เรียกเป็นการว่าบททดสอบ
ขอให้โยม"เท่าทันอารมณ์" ไม่ว่าเขาจะด่าเราเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
ก็ให้กำหนดรู้แล้วเพ่งโทษที่ตัวเรา เมื่อเราเพ่งโทษได้ อารมณ์นั้นสงบได้
ระงับได้แล้ว ให้อโหสิกรรมแผ่เมตตาจิตออกไป นี่เรียกว่าเรานั้นเจริญโมกขธรรมอยู่
เป็นผู้มีธรรมที่แท้จริง แม้เรานั้นจะผิดจริงชั่วจริงก็ตาม แต่เรานั้นก็ยังคุมไฟเราได้
นี่การคุมไฟนี่แหล่ะจ้ะ เรียกว่า"เหนือกรรม"
คือมีสติหยั่งรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วระงับได้แห่งไฟโทสะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
โยมจะประพฤติปฏิบัติมากี่ร้อยกี่ปีกี่ชาติก็ตาม จะมีอาจารย์เก่งกาจแค่ไหนก็ตาม
แต่เมื่อถึงว่ามีอะไรมากระทบแล้ว แต่โยมควบคุมอารมณ์ไม่อยู่นี่แล
มันจะทำให้ศีลโยมด่างพร้อย คุณอันวิเศษของโยมนั้นมันก็ด่างพร้อยไป
นั้นก็ขอให้จงรู้ว่าอารมณ์เหล่าใดก็ดีที่มากระทบ..
ล้วนแล้วแต่เกิดจากอำนาจแห่งไฟสามกอง
ที่โยมนั้นยังละยังถอนจากใจจากธาตุขันธ์นี้ไม่ได้
เป็นเพราะเราไปพอใจยินดีในอารมณ์ที่เกิดขึ้น
นั้นตอนที่เรามาเจริญพระกรรมฐานก็ดีนี้ เจริญสติภาวนานี้
เมื่อมีสติแล้วให้กำหนดรู้ในอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือเพ่งโทษในกายตน
เพ่งโทษในกรรมก็ดี ในพฤติกรรมก็ดี เพ่งโทษเพื่อจะรู้ว่าเรานั้นยังติดโทษอะไรบ้าง
อกุศลรากเหง้าอันใดที่มันยังนอนก้นอยู่ในดวงใจอยู่ ในกรรมชั่วก็ดีนี้
ให้โยมเพ่งโทษพิจารณาละมันออกไป นี่เรียกว่าเป็นการสร้างบุญละบาปโดยแท้
แต่ถ้าโยมไปแสวงสร้างบุญสร้างกุศล แต่โยมไม่ได้ละความชั่วในดวงจิตในดวงใจแล้ว
ไอ้ความชั่วกับบุญกุศลนั้นมันย่อมมีเท่าเทียมกัน นั้นขอให้โยมเจริญให้มาก ละให้มาก
เมื่อโยมละได้มาก ปล่อยวางได้มาก ความคิดอุปาทานมันก็เหลือน้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐