คติธรรม คำสอน...หลวงพ่อดาบส สุมโน
"ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่"
ถึงแม้จิต จะยังอาศัยอยู่ในกาย
แต่จิต ไม่หลงรักว่าเป็นอันเดียวกับจิต
อย่าเอาจิต ไปนึกว่ามันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ปล่อยไป เพียงแต่ ผ่านมา ผ่านไป เท่านั้น
ถ้าทรงอารมณ์อยู่ จิตไม่สนใจขันธ์ ๕ ของใคร วางเฉยไม่ทุกข์ร้อน
ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่
อารมณ์เฉยเป็นเอกัคตารมณ์
เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มี สำหรับเรา
เราไม่มี สำหรับกาย
จิตจะสะอาด เบิกบาน ผ่องใส
พ้นจากความยึดมั่นในของปลอม ของทุกข์ ของร้อน
พระท่าน เรียกว่า จิตของพระอรหันต์
วิธีทำจิตให้ว่างจากกายเรา กายเขา แบบนี้
เป็นวิธีลัดแบบง่าย มีแต่พรหมวิหาร ๔
ไม่ยึดถืออารมณ์ใดๆมาไว้ในจิต
มีความจำได้หมายรู้ ก็เหมือนไม่มีความจำ
เพราะความจำอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็ลืม
ประสาทสมองลืมง่าย
ความคิด ความจำ ความฟุ้งซ่าน วิตก กังวล เป็นเรื่องของกาย ให้สลัดทิ้ง
ให้จิต เต็มไปด้วยพระธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า
จิตจะเบา บริสุทธิ์ สะอาด
จิตอันนี้ เราจะตามรอยพระพุทธบาท เมื่อกายพังแตกสลาย
ผู้เพียร ทำจิตให้ว่างจากร่างกาย หรืออารมณ์ ต่างๆ แบบนี้ เป็นแบบของพระอริยเจ้า
เป็นสมาธิ เป็นวิปัสสนาญาณ อยู่ด้วยกัน
ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน
ทำได้ทั้งที่อยู่คนเดียวและอยู่แบบหมู่คณะ
เป็นทางหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน
เป็นทางลัดตรงไปสู่จุดหมายปลายทางคือ พระนิพพาน
ที่มา : https://plus.google.com/วัดเจ็ดเสมียน
ยอดธรรม ยอดคาถา
เวลาจะภาวนา ให้ว่ายอดธรรม ยอดคาถานี้ก่อน ถ้าหลายคนว่าพร้อมกัน
(ยะโขธัมมัง วรังตัสสะ เยชะนาเต ชะนาวะรัง โกจิตตังสัง ขะตังมุตโต เอโสปาระโม ทุกขังขะโย)
ยะโขธัมมัง ธรรมใดแล, เป็นธรรม ไม่มี ที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่มี ที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่มี ทั้งที่กำลังเป็นอยู่,
เป็นธรรมกวมทั่ว(คงที่),ผ่องใส ปราศจากอารมณ์ต่างๆอันจักพึงติดต้อง, เป็นธรรมว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ ฯ
วะรังตัสสะ ธรรมนั้นแล, เป็นธรรมพึงประจักษ์เฉพาะตน, อันบุคคลจักพึงเห็นเอง, คือพระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด, ที่เรียกว่าฝั่ง,
ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก, เป็นธรรมประเสริฐ, อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ
เยชะนาเต บรรดามนุษย์ทั้งหลาย, ชนเหล่าใดที่เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย,
อันบุคคลข้ามได้แสนยาก ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย,
ส่วนหมู่สัตว์ คือ ชนนอกจากนี้ๆ, ย่อมเลาะเลียบไปตามชายฝั่ง, คือไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ,
ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่น อยู่นั่นแหละ เหมือนหลับอยู่,
ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดประพฤติตามธรรม, ในธรรมที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว, ชนทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง,
ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
ชะนาวะรัง ก็ชนใดทำจิตของตน, ไม่ให้มี ที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มี ที่ล่วงมาแล้วและที่ยังมาไม่ถึง, ไม่ให้มี ทั้งที่กำลังเป็นอยู่,
ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ,
ชนนั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
หรือมิฉะนั้น ชนใด, เป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์ อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปอารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ,
ชนนั้นก็จักประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง,
เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
โกจิตตังสัง ก็จิตของเรานี้เล่า, มันเพลิน เที่ยวไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ, ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่นอยู่ เหมือนหลับอยู่,
ขะตังมุตโต ไฉนเล่า เราจักเป็นผู้พ้นทุกข์, จิตของเราจักเข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นได้ ฯ
เอโสปาระโม เหตุนั้นกาลบัดนี้, เราจักทำจิตของเรา ไม่ให้มี ที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มี ที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่ให้มี ทั้งที่กำลังเป็นอยู่,
ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใส ปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับฯ
ทุกขังขะโย เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น
หรือมิฉะนั้น, เราจักกำหนดรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ,
เพื่อประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง,
ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น, ซึ่งเป็นธรรมประเสริฐ, คือพระนิพพานเป็นที่หลุดรอด,
ตามที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว...นั้น นั่นแล