ตอนที่ ๔๘ การแสวงหาความสุขที่แท้จริง
การดิ้นรนขวนขวาย แสวงหาความสุข แต่ยังไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงคืออะไร แสวงหาไปจนตาย หรือหลายแสนชาติ อาจจะไม่เจอความสุขที่แท้จริง
ตอนที่ ๕๗ ผู้ที่จะพบกับความสุข*****
เศรษฐี ยาจก วนิพก ขอทาน มีทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่มีเหมือนกันนั้น คือไม่พ้นจากความตาย ผู้ทีได้ประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา ปล่อยวางได้ในทุกสิ่ง ไม่ยึดติด ลุ่มหลงในสิ่งใด จึงจะเป็นผู้พบความสุขได้อย่างแท้จริง
คนเราเกิดมาย่อมปรารถนาความสุข แต่เรานั้นเป็นใคร ถ้ายังไม่รู้ไม่เข้าใจ จะหาความสุขอย่างแท้จริงไม่ได้เลย จะเจอแต่ความสุขอันจอมปลอม
ตอนที่ ๓๙ ความร่ำรวย รักแท้ ความสุข หาได้จากไหน
ถ้าอยากจะมีความร่ำรวย ในทรัพย์สินเงินทอง ให้ทำทาน รักษาศีล สร้างบารมี ถ้าต้องการหารักแท้ รักที่ไม่แปรผันไป หาได้จากความรักของแม่ ของพ่อของตนเอง ส่วนความรักจากหญิงชายอื่น จะเป็นความรักแค่ชั่วคราว ความสุขที่แท้จริงหาได้ในตนเอง จากการดับกิเลสตัณหา จึงจะพบความสุขได้อย่างแท้จริง
ตอนที่ ๖ ผู้ที่ยังมีกิเลสจะพบความสุขที่แท้จริงได้ไหม
ผู้ที่ยังมีความลุ่มหลงอยู่ ไม่ว่จะหลงในสิ่งใด จะอยากได้อยากมีในทรัพย์สิน เงินทองข้าวของ ยศตำแหน่ง คำสรรเสริญ หรือแม้แต่ความสุข ก็ยังจะพานพบแต่ความทุกข์ ในความไม่เที่ยงแท้ ของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น จากกิเลสตัณหาที่มาครองใจ
ร่างกายและสิ่งของ บุคคลที่อยู่ภายนอกร่างกาย เป็นเก็บซ่อนไว้ ซึ่งความทุกข์ จึงหาความสุขที่แท้จริงไม่เจอเลย ถ้าแสวงหาภายนอก เพราะความสุขได้เก็บซ่อนไว้ในจิตใจ จะหาความสุข ต้องหาที่จิตใจ จึงจะพบความสุขที่แท้จริง
ตอนที่ ๔๕ ความสุขที่ซ่อนอยู่ภายใน
จะหาความสุขที่อยู่ภายใน ให้พบได้อย่างไร
หายใจเข้าลึกๆ ท่องคำว่า " ว่าง " หายใจเข้าก็ว่าง หายใจออกก็ว่าง ทุกอย่างว่างเปล่า เป็นเพียงแค่สิ่งสมมติ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งว่างเปล่า ปล่อยความยึดถือ ปล่อยความยึดติด ที่ปกปิดความสุขเอาไว้ สลายทุกสิ่งที่มีในจิตใจ จะได้พบกับความสุข ที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่แสวงหาได้ ด้วยการปล่อยวาง
ตอนที่ ๒ ชีวิตจะเป็นสุขได้เพราะอะไร
ชีวิตจะมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก การได้เกิดเป็นเทพเทวดา มีรูปสวย รวยทรัพย์ อยู่ในตระกูลที่สูงศักดิ์ แต่จะมีความสุขมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่การละกิเลส ตัณหา ได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ หรือดับเชื้อกิเลส ตัณหาได้ โดยสิ้นเชิง จึงจะเป็นผู้มีความสุขได้อย่างแท้จริง
ความสุขที่แท้จริงคืออะไร มีรูปลักษณะยังไง หน้าตาเป็นเช่นใด มีอยู่ที่ไหน เมื่อเรารู้ว่าความสุขเป็นเช่นใดแล้ว เราถึงจะหาความสุขเจอ ถึงจะได้รับ และเข้าถึงความสุขได้อย่างแท้จริง
บุคคลที่ปรารถนาให้ได้มาซึ่งความสุข ตราบใดที่ยังฝากเอาไว้กับปัจจัยภายนอก ยังไม่พิจารณาให้เห็น ให้รู้ตามความเป็นจริง ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ไม่มีสิ่งใดที่จะเที่ยงแท้ คงอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัย ตลอดไป ยกเว้นหยุดความอยาก ความปรารถนา ความสุขที่แท้จริง จึงจะได้เข้ามาให้พานพบ
ตอนที่ ๒ ชีวิตจะเป็นสุขได้เพราะอะไร
ชีวิตจะมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก การได้เกิดเป็นเทพเทวดา มีรูปสวย รวยทรัพย์ อยู่ในตระกูลที่สูงศักดิ์ แต่จะมีความสุขมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่การละกิเลส ตัณหา ได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ หรือดับเชื้อกิเลส ตัณหาได้ โดยสิ้นเชิง จึงจะเป็นผู้มีความสุขได้อย่างแท้จริง
ความสุขเกิดมาจากไหน เกิดขึ้นด้วยสิ่งใดบ้าง ความสุขของคนเรานั้น หาได้ไม่ยาก ได้กินอาหารที่อร่อย ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูกหู ได้ดูสิ่งที่ถูกตา ได้มาในสิ่งที่ปรารถนา ก็นำมาซึ่งความสุข ความสุขเหล่านี้เป็นความสุขที่จอมปลอม ไม่เที่ยงแท้ ต้องไปพบความทุกข์ในภายหลัง เป็นความสุขทางโลก ไม่เหมือนความสุขทางธรรม ที่ได้จากการไม่เบียดเบียนใคร ทำจิตใจให้สงบ ไม่ลุ่มหลง ยึดติดในสิ่งใด ปล่อยวางได้ทุกสิ่ง จึงเป็นความสุขที่แท้จริง
...ตอนที่ ๑๔๖ เมื่อปรารถนาความสุข
การอยู่ใกล้กองไฟ ย่อมร้อนเป็นธรรมดา กิเลสตัณหาก็เป็นกองไฟใหญ่ ที่คอยแผดเผาให้เร่าร้อนเป็นทุกข์ ผู้ปรารถนาความสุข จึงต้องอยู่ห่างไกล จากกิเลสตัณหา จึงจะพบกับความสุขได้ ยิ่งถ้าทำให้ดับกิเลส หมดตัณหาจากจิตใจ ก็จะพบความสุขได้ อย่างแท้จริง
...ตอนที่ ๔๒ สุขในวัฏสงสารเป็นเช่นใด
ความสุขของวัฏสงสาร เปรียบเหมือนการแสวงหา ให้ได้มาซึ่งข้าวปลาอาหารมากิน มีความสุขเมื่อได้กิน แตก็เป็นความสุขชั่วคราว เดี๋ยวก็หิวอีก ต้องหามาใหม่ ความสุขของวัฏสงสาร เป็นเช่นนั้น
...ตอนที่ ๕๖ แสวงหาความสุขอันจอมปลอม
รู้ว่าเป็นหนี้ไม่ดี แต่แสวงหา มีใครให้กู้หรือเปล่า รู้ว่าตอนตายเอาทรัพย์สินไปไม่ได้ แต่ก็ยังดิ้นรนให้ได้มาครอง รู้ว่าความรักทำให้เป็นทุกข์ แต่ยังอยากจะมีรัก มันเป็นเพราะอะไร พระพุทธองค์จะไขปัญหาที่คาใจ
ความสุขที่แท้จริง
พุทธโอวาท วันที่ 12 ตุลาคม 2557
** ความสุขที่แท้จริง **
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมแก่เราทั้งหลายมา ดังนี้ว่า
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ความทุกข์ ความสุข > อยู่ที่ใด ?
ทุกข์ เป็นแบบไหน > สุขเป็นแบบไหน ?
แล้วลูกเอ๋ย.. ความสุขที่แท้จริง คือ อะไร เป็นแบบไหน
../ ทุกคนต่างวิ่งวุ่นหาความสุข บางคนเมื่อได้เงินมา ก็เอาไปซื้อรถมาซักคันหนึ่ง สมที่ตนนั้นปรารถนาที่จะได้ รุ่นที่ตนนั้นปรารถนาจะได้ พอซื้อรถมา หวังว่าจะมีความสุขกับรถคันนั้น เมื่อได้มา ได้มาจริงๆแล้ว ก็ไม่ได้มีความสุขอะไร ต้องดูแล จอดไว้ตรงไหนก็ต้องกลัว กลัวว่าใครเขาจะขโมยไปหรือเปล่า จะมีรอยขูด จะโดนชน จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า จะโดนทุบกระจก จะมีปัญหาให้ตนนั้นต้องแก้ไขหรือเปล่า ต้องคอยห่วงมัน เงินก็ไม่พอที่จะไปจ่าย อยากได้มาก เลยดาวน์ออกมาก่อน ทีนี้เงินก็หาไม่พอไปจ่าย กลัวว่าเขาจะต้องยึดไปหรือเปล่า
เป็นความสุขจริงมั้ยลูก เมื่อได้มา ได้รถมาสมที่ปรารถนาแล้ว แล้วเป็นความสุขจริงหรือเปล่า เป็นสุขหรือว่าเป็นทุกข์ เป็นแบบไหนกันแน่.../ ความสุขอันนั้น ใช่ความสุขหรือเปล่า ?
บางคนคิดว่า ถ้าได้บ้านสวยๆ สักหลังหนึ่ง คงจะมีความสุข ที่นี้ไปดิ้นรนขวนขวาย ยืมเงินคนนั้นคนนี้ กู้บ้าง ยืมบ้าง เอามารวมกับของตนเองที่พอมีอยู่สักหน่อยหนึ่ง ไปซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง ต้องคอยผ่อน
..... ทีนี้พอซื้อบ้านหลังใหม่แล้ว เลอะนิดหน่อย ก็ต้องคอยเช็ด คอยกวาด คอยถู ฝุ่นตรงนั้น ตรงนี้ สิ้นเดือนมา ก็ต้องหาเงินเพื่อให้ไปจ่ายค่าบ้าน ค่าบ้านไม่พอ บ้านหลังใหญ่ ต้องจ้างคนมาดูแล ปัดกวาดเช็ดถู จ่ายเงินเดือนเขา เพื่อให้เขากินเขาใช้อีก ยังต้องจ่ายค่าไฟ เพราะว่าไฟต้องติดเยอะ บ้านหลังใหญ่ จ่ายค่าน้ำ ค่าแอร์ อะไรต่อมิอะไรไม่รู้ เยอะแยะไปหมด …
> สรุปแล้ว เป็นความสุขจริงหรือเปล่า ที่ได้บ้านมา สมกับตนปรารถนาที่จะได้ ?
บางคนคิดว่า ถ้าฉันมีเงินเยอะๆ ฉันก็คงจะมีความสุข ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่ขอให้มีเงินก็พอ เมื่อได้มีเงินเยอะๆ เหมือนที่ตนปรารถนาจะได้ ไปไหนก็มีเงินใช้ ไปเที่ยวที่ไหนก็มีเงิน ทำอะไรก็ได้ ซื้ออะไรก็ได้ กินอะไรก็ได้ ไปห้างเมื่อไหร่ก็ได้ อยากมีอะไรก็มีหมด... แล้วหายทุกข์มั้ยล่ะลูก ก็ยังทุกข์อีก
ทุกข์ เพราะว่าลูกไม่เชื่อฟัง ทุกข์เพราะว่า สามีไปมีเมียน้อย ทุกข์เพราะว่าตนนั้นไม่ได้รับความอบอุ่นจากใคร ทุกข์เพราะว่าตนต้องอยู่ในบ้านหลังใหญ่คนเดียว ต้องขับรถคนเดียว ดึกดื่นข้ามคืน สามีหายไปไหนก็ไม่รู้ เป็นทุกข์อยู่ดี ใช้เงินไปๆ ทุกวันๆ ท้ายที่สุด เมื่อมันมีเยอะๆ มันก็ไม่ได้อยากได้อะไร มันก็เบื่อ ซื้ออะไรก็ซื้อทุกวันแล้ว กินอะไรก็กินทุกวันแล้ว ที่ไหนก็ไปเที่ยวหมดแล้ว... เบื่อ ไม่อยากได้แล้ว เงินทองมีไปก็ไม่มีค่าอะไร... ใช่ความสุขมั้ยล่ะลูก
เมื่อมีเงินเยอะๆ ก็ไม่เห็นจะมีความสุขอะไร บางคนก็คิดอีก คิดว่าถ้าฉันมีแฟนคนหนึ่ง ที่เขารักๆฉันมากนะ ฉันคงจะมีความสุข ทีนี้พอได้แฟนมา แฟนเขารักมาก เวลาไปไหน เขาต้องโทรจิก โทรตาม ไปไหนล่ะ ทำไมยังไม่กลับ เมื่อไหร่จะกลับ พอไปไหนนิดๆ หน่อยๆ ก็มีปัญหา เพราะว่าเขารักมาก ทีนี้ก็เป็นทุกข์อีก ทุกข์เพราะว่าไม่เป็นอิสระ ไปไหนก็ไม่ได้ มีแต่ปัญหา อึดอัดใจ เป็นทุกข์อีก .... ใช่ความสุขมั้ยล่ะลูก มันก็ไม่ใช่ความสุขอีก
บางคนคิดว่า ถ้าได้สามี ได้ภรรยามาแล้ว ชีวิตคงจะมีอะไรเติมเต็ม คงจะมีความสุขมากกว่านี้ พอได้มาแล้ว คุยกันไม่ถึง 3 คำ ไม่รู้เรื่องเลย ทะเลาะกัน เถียงกัน มีแต่ปัญหา เดี๋ยวก็พ่อตา แม่ยาย เดี๋ยวก็พ่อสามี แม่สามี มีแต่ปัญหาฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ตรงนั้น ตรงนี้ เข้ามาวุ่นวายไปหมด... เป็นความสุขมั้ยล่ะลูก แท้ที่จริงก็ไม่มีความสุขเลย
แล้วก็บางคนคิดว่า ถ้าฉันมีลูกสักคนหนึ่ง คงจะมีความสุขกว่านี้ ครอบครัวน่าจะอบอุ่นดี.../ พอมีลูกมา ยังไม่ทันไรเลย เป็นทุกข์เสียแล้ว ต้องคอยร้องไห้ สงสารลูกบ้าง เพราะว่าไม่มีเงินให้ลูกบ้าง ต้องไปคอยดิ้นรนขวนขวายมาไว้ให้ลูก จะทุกข์ จะเหนื่อย จะยากเพียงใด ขอให้ลูกมีความสุขก็พอ... เป็นความสุขที่แท้จริงมั้ยล่ะลูก
แล้วทีนี้พอลูกโตมา ก็ไปหวังว่าเลี้ยงลูกไป เดี๋ยวลูกโตมา ลูกก็ดีเองแหละ เอาชีวิตฝากไว้กับลูก
.... พอลูกโตมา ลูกเกเร ไม่เชื่อฟัง ก็เป็นทุกข์อีก... มันคือความสุขมั้ยล่ะลูก
สิ่งทั้งหลายนี้ที่ยกมา เป็นความสุขที่เรามักจะแสวงหาจากภายนอก เพราะว่าเราคิดว่า สิ่งทั้งหลายนั้น คือ ความสุข แต่แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ความสุขเลยลูกเอ๋ย.. มันคือ ความทุกข์ ทุกข์ที่มาพร้อมกับความสุขอันจอมปลอม
** ความสุขนั้น.. เพียงชั่วครั้งชั่วครู่ / หากเป็นทุกข์นั้น.. ช่างยาวนานเหลือเกิน **
++ บางคนรักกันแค่ 3 วัน แต่ชีวิตทั้งชีวิต ลืมไม่ได้ ต้องคอยนึกถึงแต่เรื่องนั้น นึกถึงแต่เหตุการณ์นั้น แล้วก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น
++ บางคนเคยมีเงินเยอะๆ พอไม่มีไปแล้ว ก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะเคยมี ตอนนี้ไม่มีแล้ว
++ บางคน สามีเคยรักตนมาก อยู่ๆก็ไปรักคนอื่น ตนก็ต้องคอยเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น ไม่จบไม่สิ้น
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เรียกว่า ความสุข หรือเปล่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แท้ที่จริงเป็นความทุกข์ต่างหากเล่า ความสุขที่ได้มา มีแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง ไม่คุ้มค่าเลย กับการที่เราจะต้องไปแลกด้วยความทุกข์
ความทุกข์ที่ทำให้เราต้องทุกข์ ต้องทรมาน
บางคนต้องทุกข์ ข้ามภพข้ามชาติ เพราะหวังจะได้ความสุขอันจอมปลอมนี้ หวังจะได้ความสุขอันน้อยนิดนี้ จนยอมสร้างกรรม
บางคนต้องไปทำในสิ่งที่ละเมิดต่อศีลธรรม เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนา ไปทำในอาชีพที่เบียดเบียนผู้อื่น ไปทำอาชีพที่ทำให้ตนนั้นร่ำรวย ก่อให้เบียดเบียนผู้อื่น ช่างมัน../ ขอให้ฉันร่ำรวยก็พอ ให้ฉันสุขสบายก็พอ ให้ฉันมีเงิน มีบ้าน มีรถ ให้ฉันนั้นได้ให้ภรรยา ได้ให้ลูก ให้ครอบครัว
ต้องไปฆ่าหมูบ้าง ค้าวัวบ้าง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สัตว์ใหญ่ๆทั้งนั้น
บางคนก็ค้ามนุษย์ สารพัดอาชีพที่จะทำ เพื่อให้ได้เงินเหล่านั้นมา ไม่ได้สนใจศีลธรรม ไม่ได้สนใจว่าจะเบียดเบียนผู้อื่นหรือเปล่า ขอให้เป็นสุข แล้วก็ได้ความสุขอันจอมปลอมนั้นมา
เสวยสุขไม่นานหรอกลูก ทีนี้กรรมก็ส่งผล ครอบครัวก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์ ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้ว เกิดไปชาติหน้า ก็ต้องไปชดใช้กรรมอีก ต้องเกิดไปเป็นทาสของสิ่งที่เราเคยทำ อย่างบางคนน่ะลูก ค้าขายหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย ทำไปแล้ว ทีนี้ตนก็ต้องกลับไปเป็นหมู เป็นวัว เป็นควาย เช่นนั้น
บางคนขายเหล้า ขายสิ่งเสพติด ตายไปชาติ ก็ต้องไปเป็นทาสของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถูกมันครอบงำเอาไว้ แล้วก็ต้องเป็นทาสของมัน มีเงินเท่าไหร่ก็ต้องไปเสพยา ซื้อเหล้ากิน กลายเป็นคนขี้เมาตลอดชีวิต
อันนั้นแหละลูก คือ ความสุขที่จอมปลอม ที่หลอกให้เราหลง หลงว่าถ้าหากได้มันมาแล้ว เราจะเป็นสุข จนเรานั้นยอมสร้างกรรม เพื่อแลกกับมันมา ชีวิตของเราเป็นสุขแค่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง แต่ความทุกข์นั้นช่างยาวนาน เขาเรียกสิ่งทั้งหลายนี้ว่า ความสุข จริงไหมล่ะลูก
ความสุขที่ได้ยกมาทั้งหลายนี้ เป็นสิ่งที่เราคิดเองต่างหาก คิดเอง ปรุงแต่งเอง ว่าถ้าหากมีสิ่งทั้งหลายนี้ คงจะเป็นสุข แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย..ลูกเอ๋ย
มันมีแต่ความทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่มันเกิดขึ้นมา ทุกข์เท่านั้นที่ทำให้เราลุ่มหลง ทำให้เราต้องจมอยู่ มืดมน มองหาทางไม่เจอ
ลูกทั้งหลาย.. จงเลิกเถอะลูก เลิกลุ่มหลง จมอยู่กับความทุกข์ อันจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นเพียงแค่ความคิดของเรา สิ่งที่เราคิดไปเองว่าจะเป็นสุข แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย มันทำให้เรานั้นต้องมีชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมน มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ ไม่รู้จบ เวียนตายเวียนเกิด ในวัฏสงสารนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพราะความสุขอันจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้เรานั้นต้องจมอยู่
ทีนี้เรามาทิ้งความสุขอันจอมปลอม โยนมันทิ้งไป แล้วเราก็มาตามหาความสุข ที่เรียกว่าสุขอย่างแท้จริง ความสุขอันนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ในฟากฟ้าใด อยู่ไกลขนาดไหน ถ้ารู้ว่าอยู่ไกลขนาดไหน เราคงจะเดินไปให้ถึงเพื่อไปหยิบมันมาให้แก่เรา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ความสุขอันนั้น ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ไม่ได้อยู่ไกลเลย มันอยู่ในเรานี่แหละ หากว่าเรารู้จักปล่อยวาง รู้จักคำว่าพอ พอใจในสิ่งที่มี ปล่อยวาง ใช้จ่ายตามเหตุตามปัจจัย จะมีสิ่งใด ไม่มีสิ่งใด เราก็ทำไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ได้ขวนขวายดิ้นรน จนละเมิดศีลธรรม แต่เราก็ไม่ได้นอนรออย่างเดียว ทำตามเหตุตามปัจจัย ปล่อยจิตปล่อยใจว่างๆ เป็นกลางๆ ไม่ละเมิดต่อศีลธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ทำความดีไปเรื่อยๆ
สิ่งทั้งหลาย มันก็ไม่แปลว่ามันจะไม่มีขึ้นมา การที่เราปล่อยวางแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่มีบ้าน จะไม่มีรถ จะไม่มีเงิน จะไม่มีลูกที่ดี สามีที่ดี จะไม่มีองค์ประกอบต่างๆทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมา
การที่เราปล่อยวาง ทำใจว่างๆ ให้เราได้มีความสุขเกิดขึ้นในจิตของเรา สิ่งภายนอกทั้งหลายนั้น มันจะมีหรือว่าไม่มี เราไม่ได้ไปสนใจกับมันเลย ที่นี้เราไม่ได้สนใจกับมัน เป็นสุขเป็นทุกข์กับมัน มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ทีนี้เราก็ไม่เป็นทุกข์อะไร
.... พอจิตใจของเราไม่เป็นทุกข์ ความสุขที่เรียกว่าสุขภายใน มันก็เติมเต็มขึ้นมา อิ่มขึ้นมา จนล้นออกมา แล้วก็แผ่ความสุขนั้นให้แก่คนรอบข้าง แผ่ความสุขนั้นให้กับทรัพย์สิน สมบัติ ข้าวของที่มีอยู่ เพราะเราไม่ได้ยึดมั่น ถือมั่น ไม่ได้สนใจอะไรสักอย่าง เราอยู่ด้วยความสุข ความสุขที่ใจของเรา สุขที่อิ่มมาจากข้างใน ทีนี้ความสุขของเราก็ล้นออกมาให้เขาด้วย
สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้นที่อยู่รอบตัวเรา เขาก็ได้รับแต่ความสุข เขาก็อยู่กับเราไป สักวันหนึ่งหากเขาดับไปตามกาลเวลา เราก็ไม่ได้เป็นสุขเป็นทุกข์อะไร เพราะว่าเราสุขมาจากข้างใน ความสุขอันนี้สามารถหามาได้จากตัวของเราเอง ในตัวของเราเอง
ลูกทั้งหลาย.. ไม่มีความสุขใดหรอกลูกที่จะดี ยั่งยืน อยู่คู่กับดวงจิตของเราไปตลอด นอกจากความสุข ที่เกิดมาจากจิตข้างในเอง สุขที่ได้ช่วยเหลือ สุขที่ได้ทำดี สุขกับสิ่งที่มีอยู่ พอประมาณ พอใจ ใครจะทำอะไรเราก็พอใจ เรามีความสุข พออยู่กับสิ่งที่เรามีแล้ว สามี ลูก ครอบครัว ใครจะทำอะไรเราก็พอใจ ทีนี้ความสุขของเราอันนั้น บุญของเราอันนั้นก็ค้ำหนุนให้เขาดีกันเอง
ลูกทั้งหลาย.. ทุกคนเกิดมา มีเวลาไม่ถึง 100 ปี เดี๋ยวก็จะดับไปแล้ว เราอย่ามัวแต่เสียเวลาไปหาความสุขอันจอมปลอมข้างนอกเลย จงสร้างความสุขให้ก่อเกิดในจิตของตนเถิด ความสุขอันนี้ ขึ้นมาจากการรักษาศีล ภาวนา มองให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง มองให้เห็นความไม่เที่ยงของมัน แล้วปล่อยวาง เพราะว่าเราจะยึดถือ ยึดมั่นไป มันก็จะเป็นไปอย่างนั้น เราจะไปขวางมัน ก็ขวางไม่ได้ ฝืนให้มันเป็นแบบไหนก็ไม่ได้ หากว่าเรามองเห็นเป็นธรรมดาแล้ว แล้วก็ปล่อยวาง ตามเหตุตามปัจจัยไป เราก็จะเป็นสุข สบายเอง ไม่ยึดติด ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด เจริญในศีลในธรรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา ใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา
ทีนี้ความสุขนั้นก็จะเต็มขึ้นมา ล้นขึ้นมา ทุกวันๆ จนเรานั้นไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว เราก็จะเจอกับความสุข ที่เป็นสุขภายในที่ก่อเกิดมาจากตัวของเราเอง อันนี้แหละลูกที่เขาเรียกว่า ความสุขอย่างแท้จริง
สุขอย่างแท้จริงแบบไหน..? แท้ เพราะว่ามันไม่มีทางที่จะทำให้เรากลับไปทุกข์ได้อีก อย่างเราเคยทุกข์เพราะเรื่องสามี ทุกข์เพราะเรื่องลูก ทุกข์เพราะเรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องทรัพย์สิน ข้าวของ พอเราฝึกไปๆ วันหนึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับเราเลย มันจะลดน้อยลงๆๆ ไปจนกว่ามันหายไป ความทุกข์อันนั้น มันจะไม่มีคำว่า มากเพิ่มขึ้นอีกแล้ว มันจะไม่มีคำว่า เกิดขึ้นใหม่อีกแล้ว
.** เพราะมันได้ดับไปด้วยตัวของเราเองแล้ว **
อันนี้แหละลูกที่เขาเรียกว่า เป็นความสุขอย่างแท้จริง เพราะเป็นความสุข ที่ไม่มีความทุกข์ใดมาทำให้เศร้าหมองไปได้ เพราะเป็นความสุขที่ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ทุกข์ได้อีกแล้ว และหากว่าเราเติมไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่มันอิ่มเต็มกำลังแล้ว ก็ได้เลื่อนจิตของเราให้ไปสู่พระนิพพาน คือ ชีวิตที่เป็นอมตะ ชีวิตที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์แล้วอย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สิ่งนี้แหละลูก ที่เรียกกันว่า ความสุขอย่างแท้จริง สิ่งนี้แหละลูกที่เรียกว่ามันเป็นความสุข ซึ่งเราสามารถหาได้ อยู่ในตัวของเรานี้ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวาย วิ่งไปตามหา ไม่จำเป็นที่จะต้องร้องไห้คร่ำครวญเพื่อได้มันมา เราแค่นั่งเฉยๆ วางกายเฉยๆ มองเห็นทุกอย่างธรรมดา วางใจเฉยๆ แล้วก็ปล่อยวาง ทำจิตให้ว่างๆ สบายๆ แค่นั้นแหละลูก ความสุขอันนั้นก็เกิดขึ้นกับเราแล้ว
จงหมั่นเติม... เติมให้แก่ตัวของเรา เติมไปทุกวันๆละ 5 นาที 10 นาที พิจารณาเห็นเหตุตามความเป็นจริง แล้วก็ภาวนา เติมชาร์จพลังตัวนี้เข้าไป ชาร์จความสุขตรงนี้เข้าไป ตักใส่วันละแก้ว วันละขัน เติมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวความสุขนั้นก็เต็มขึ้นมาเอง เมื่อมันเต็มขึ้นมาแล้ว เราก็จะไม่เป็นทุกข์แล้ว
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงปฏิบัติตามนี้เถิด เพราะในวันนี้ เราได้ชี้ทางให้ลูกได้มองเห็นความสุขอย่างแท้จริงแล้ว อย่ามัวแต่ไปจมอยู่ ลุ่มหลงเป็นทุกข์ เสียเวลาอยู่กับความทุกข์ ความสุขอันจอมปลอมที่หลอกให้ลูกนั้น ไปจมอยู่กับความทุกข์นั้นเลย
จงกระทำเช่นนี้ อย่างนี้ทุกๆคนเถิด
สาธุ