ตอนที่ 47 สิ่งใดที่ทำให้ไม่ต้องเกิดดับอีก
ขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการพระคุณเจ้า ทุกๆรูป รวมถึงเจริญธรรมญาติบุญทั้งหลาย ผู้ที่มีความตั้งใจดี จะฟังธรรมทุกๆ ท่าน ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลถามพระองค์ท่านดังนี้ว่า ข้าแต่องค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา ดอกไม้เมื่อมันบานแล้ว ก็ต้องดับไป เหี่ยวไป อยู่ดี ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายต้องดับไปเหมือนกัน แล้วอะไรล่ะเจ้าค่ะ ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเที่ยงแท้ เป็นสิ่งที่จะทำให้เราไม่เกิด ไม่ดับอีก เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้ทูลถามคำถามไปแล้ว พระองค์ท่านก็ทรงเมตตาแสดงธรรมตอบ ดังนี้ว่า
พระยาธรรมเอ๋ย สิ่งที่ไม่เกิดและไม่ดับนั้น เราสามารถทำจิตของเราให้กลายเป็นจิตที่ไม่เกิด ไม่ดับ อีกได้
ด้วยการละต่อกิเลสตัณหาทั้งปวง กิเลสและตัณหา คือเหตุของการนำมา ซึ่งการเกิดของจิต
จิตของเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ มีความไม่เที่ยงแท้ เป็นสิ่งที่คอยทำให้เราเป็นทุกข์
มีความไม่เที่ยงแท้ คือมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เรา ต้องคอยหายไปบ้าง กลับออกมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
คือหายไปเพราะอะไรก็ตาม กลับมาเพราะอะไรก็ตาม เราก็จะมีทุกข์ที่ซ่อนอยู่ อยู่ในนั้นเสมอ
พระยาธรรมเอ๋ย สิ่งเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เราไม่เกิด ไม่ดับได้ นอกจากที่กล่าวถึงนี้ ก็คือดวงจิต ลูกเอ๋ย
ดวงจิตของเรา ยกห่างออกจากกิเลสและตัณหาได้เมื่อไหร่ หลุดเป็นอิสระเมื่อไหร่
เมื่อนั้นแหละลูก เราจึงจะพ้นจากการเกิด การดับได้ลูกเอ๋ย
และกิเลสตัณหาเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่เราควรจะชำระล้างมัน ด้วยศีล ธรรม สมาธิและปัญญา
คือธรรมคำสั่งสอนขององค์พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ที่จะนำทางลูกทั้งหลาย ออกจากการเวียนวน เวียนว่าย ตาย เกิด
และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นใด ลูกเอ๋ย ที่จะออกได้ นอกจากทางเส้นนี้
พระยาธรรมเอ๋ย สิ่งที่จะทำให้เที่ยงแท้ได้ คือการหมั่นสร้างความดี ละเว้นการทำชั่ว
ซึ่งการทำดีละเว้นชั่วนั้น ก็อยู่ในกรอบของศีลอยู่แล้ว บุคคลผู้ที่มีศีล เขาก็จะไม่ทำในความชั่ว เขาจะทำแต่สิ่งที่ดีงาม
ความดีของเราจะค้ำหนุนให้ภูมิจิตของเราอยู่ในสภาวะของภูมิจิตที่สูงขึ้นมา
ฟังธรรม ฟังคำสั่งสอน เข้าใจได้ สามารถเข้าใจในธรรมคำสั่งสอน คือแผนที่การบอกทางชี้ทางได้
เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตนก็จะสามารถปฏิบัติตาม กระทำตนตามได้ด้วย เพราะบุคคลผู้มีศีลย่อมไม่แวะไปทำสิ่งไม่ดี ศีลตีกรอบไว้ทุกอย่างแล้ว
จิตล่วงแล้ว เข้าใจในธรรมคำสั่งสอน จึงก่อเกิดการมีสมาธิ ทำสมาธิขึ้นมา เพื่อให้พลังของจิตชัดเจนขึ้น มีมากเพิ่มขึ้น
จิตจะได้รู้เห็นตามความเป็นจริง สมาธิเกิดขึ้นทุกเวลา ทุกขั้นตอนแล้ว หลับตา ลืมตา เห็นสิ่งทั้งหลาย เห็นแต่ความไม่เที่ยง
เห็นแต่ความไม่น่าลุ่มหลง ไม่น่าได้น่าปรารถนา อยู่ในนั้น ถอดถอนความลุ่มหลงได้แล้ว ลูกนั้นก็จะก้าวเข้าสู่ความพ้นทุกข์ได้เอง
การที่ลูกนั้นจะหยุดการเกิด การดับ ในตัวลูกได้ มีหนทางนี้เพียงทางเดียว ลูกเอ๋ย
เพราะว่ามันเป็นทางสู่การพันทุกข์ ซึ่งมีผู้ที่ไปอยู่ที่นั่น หลุดจากที่นี่ มากมายเหลือเกิน มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐมมา
มีองค์พระปัจเจก องค์พระอรหันต์มากมาย ที่ไปแล้ว และไม่กลับมาทุกข์อีกเลย ไม่ว่ากาลเวลานั้น จะผ่านไปมากมายเพียงใด
และคนเหล่านี้ ดวงจิตเหล่านั้น เขาก็หลุดพ้นจากการเกิดและการดับ
พระยาธรรมเอ๋ย ตราบใดก็ตามที่เรายังอยู่ในวัฏสงสารนี้ เราก็ยังคงต้องอยู่กับความไม่เที่ยงแท้ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีตั้งขึ้น อยู่ และดับไป อยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ผู้คน หรือสิ่งของ ข้าวของ แม้แต่ต้นไม้ ภูเขา ลำธาร ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงไป ตามยุคตามสมัย เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
พระยาธรรมเอ๋ย หากว่าเรานั้น ไม่ปรารถนาที่จะอยู่ในความไม่เที่ยงนี้อีกต่อไป ก็จงแสวงหาเถิดลูก
แสวงทางแห่งศีล รักษาศีลให้มั่น แสวงหาแผนที่บอกทาง คือธรรม ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
สมาธิ และปัญญา 4 ย่างก้าวนี้ คือ สี่ย่างก้าวแห่งการที่จะเดินไปสู่ทางพ้นทุกข์
คือ 4 ย่างก้าวที่จะเดินไปสู่ ที่ๆไม่เกิด ที่ๆ ไม่ดับ อีกต่อไป
พระยาธรรมเอย ถึงแม้ว่ามันจะดูยาก ดูลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ยากอะไรเลยลูกเอ๋ย
แค่ดับ แยกจิตของเรา จิตก็คือจิต กิเลสและตัณหาก็คือกิเลสและตัณหา
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์ จะอยู่ในนรก หรือว่าอยู่ในโลกมนุษย์ จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม
หากเชื้อแห่งกิเลส ยังคงครอบงำจิตใจเราอยู่ เรายังแบ่งมันไม่ได้ แยกมันออกจากกันไม่ได้ ว่าสิ่งไหนคือสิ่งไหน เราก็จะยังถูกมันครอบงำและปนเปื้อนอยู่
แต่ถ้าเกิดว่า เราหมั่นพิจารณาทบทวนไตร่ตรองดู จนเรารู้และเข้าใจชัดเจนแล้วว่าจิตก็คือจิต กิเลสตัณหาคือสิ่งครอบงำจิต
เหตุที่ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ และตาย เหตุที่ยังอยู่ในวัฏสงสารนี้ เพราะมีกิเลสเป็นต้นเหตุ เป็นสิ่งที่ทำให้ก่อเกิด
วันนี้เราจะลอก ลอกสิ่งที่ครอบงำเราอยู่ ทำให้เราต้องเกิดออกไป คือกิเลสและตัณหาเหล่านี้
ทีนี้เราก็ค่อยๆ ดับเชื้อแห่งกิเลส คือ ความรัก ดับไป ความโลภ ดับไป ความหลง ดับไป ความโกรธ ดับไป สิ่งเหล่านี้ดับไป
ตัณหานั้นหรือจะเกิดขึ้น ความดิ้นรนทะยานอยาก สิ่งที่เรานั้นใช้ความอยากเป็นที่ตั้งก็จะไม่มีกับเราอีกแล้ว
ตัณหาก็ดับไปด้วยลูกเอ๋ย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็หลุดจากมัน
พระยาธรรมเอย นี่แหละลูกคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราไม่เกิด และไม่ดับได้
เมื่อเราจับได้ไล่ทันมัน เราก็รีบแยกตนออกจากมันเสีย ก็จะทำให้เรานั้น เป็นสุขได้
ในขณะนี้ จิตอาจจะปนเปื้อนคลุกเคล้า คลุกคลีอยู่กับมัน จะเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จนแยกไม่ออกเลย ว่าอันไหนคือเรา อันไหนคือกิเลสและตัณหา
ให้จงแยกโดยการดูจิต จิตของเราก็คือจิต
ความอยากนั่นคือตัณหา ความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง
หากมันยังมีอยู่ในเราอยู่ แปลว่ามันยังคลุกอยู่ในเรา ต้องเอามันออกไป
ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ชำระ ค่อยๆ ล้าง ดับมันไปทีละอย่าง ทีละอย่าง
เราให้รู้ให้เห็นอยู่ตลอดเวลาว่า ตอนนี้ยังมีรักเท่าไหร่ โลภเท่าไหร่ โกรธเท่าไหร่ หลงเท่าไหร่
แล้วค่อยๆ ชำระ ตัดมันออกไปทีละนิด ทีละหน่อย จนกว่ามันจะหมดในเรา
แล้วลูกนั้น ก็จะเห็นว่า จิตนั้นเป็นอิสระเป็นเช่นไร
การคลุกเคล้า คลุกคลี ปนเปื้อนกับมันนั้นเป็นแบบไหน ทุกข์ยังไง
แล้วลูกนั้นก็จะได้พ้นจากการเกิด เมื่อพ้นจากการเกิด ลูกก็จะเป็นจิตที่เที่ยงแท้
เที่ยงแท้เพราะพ้นจากวัฏสงสารนี้แล้ว เที่ยงแท้เพราะไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป
จิตของลูกจะอยู่อย่างนั้น เป็นสุขตลอดไป ลูกเอ๋ย
สาธุ...