ตอนที่ ๒๑๓ ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในเรา
... ตอนที่ ๒๑๓ ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในเราความเป็นจริงสิ่งที่สมมติเป็นเรานั้น มีกายและจิต กายซ่อนธาตุดินน้ำลมไฟ ภาระหน้าที่ในการดูแลกาย ความทุกข์เสียดแทงในกาย มีความต้องการ มีความรัก โลภ โกรธ หลง มีความรู้สึกสุขทุกข์ ที่ซ่อนอยู่ในจิต ยกจิตให้อยู่เหนือ ความรู้สึกสุขทุกข์ ความต้องการ ความรักโลภโกรธหลง สลายความยึดติดในกายได้ ก็จะพบความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในเรา
การจะดับความทุกข์ได้ ต้องดับการเกิด การจะดับการเกิดได้ ต้องรู้จักตัวตน รู้ที่มาที่ไปของตัวเรา จะได้สลายความลุ่มหลง ยึดติดในตัวตน ตัวเราของเรา เพราะได้รู้ความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ ท้ายที่สุดก็ไม่มีเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นแค่เพียงสิ่งว่างเปล่า
ตอนที่ ๑๗๒ สิ่งใดที่เป็นของเรา
… ตอนที่ ๑๑๖ สิ่งที่เป็นของเรา
เมื่อมีความไม่รู้ มีความหลง ทำให้เกิดความยึดถือ ในสิ่งที่มี ในสิ่งที่เป็น ในสิ่งที่เห็นว่าเป็นของเรา สืบต่อทำให้ อยากให้มี อยากให้เป็น อยากให้เสื่อมไป ตามที่เห็นว่าดี หรือไม่ดี ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ถ้าปรารถนาความดี ปรารถนาความพ้นทุกข์ จงเดินตามทางศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ให้คลายจาก ความหลง ความยึดถือ ความอยาก เพื่อไม่ให้เบียดเบียนตน และผู้อื่น จะได้พ้นจากความทุกข์
… ตอนที่ ๕๙ เราเป็นใคร แสวงหาอะไร ***
ทำสมาธิถอดจิตออกไปแล้ว แต่ยังไม่พบความสงบที่แท้จริง แล้วเราเป็นใคร แสวงหาอะไร
ถอดจิตจากกายเนื้อไปแล้ว ยังไปเจอกายทิพย์ ถอดจากกายทิพย์ ยังไปพบกับกายแก้ว ที่เป็นที่ตั้งแห่งจิต ให้พิจารณาตัดยึดถือในกายทั้งหลาย ปล่อยวางทุกอย่าง ให้เกิดเป็นความว่างเปล่า เราจึงจะพบความสงบสุขอย่างแท้จริง
… ตอนที่ ๑๗๒ สิ่งใดที่เป็นของเรา
มีสิ่งใดย่อมมีทุกข์เพราะสิ่งนั้น เมื่อมีเราจึงมีทุกข์เพราะมีเรา กิเลสตัณหาเป็นเหตุให้มีเรา ดับกิเลสตัณหาได้ จึงจะไม่มีการเกิด จึงจะไม่มีเราอีกต่อไป จิตจะได้คืนสู่อิสระเสรี ไม่อยู่ภายใต้กฎของกรรม ไม่อยู่ภายใต้ความไม่เที่ยงแท้ จิตจะได้พ้นจากความทุกข์ พบความความสุขอย่างแท้จริง
… ตอนที่ ๑๐๙ สิ่งใดที่เป็นของเรา
สิ่งใดในโลกที่เป็นของเรา และสิ่งใดที่ไม่ใช่ของเรา
ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นสิ่งสมมติ ล้วนเป็นบันได ให้เดินขึ้นหรือลง ตามความลุ่มหลง ที่มีอยู่ในเรา ยึดถือเอาไว้ไม่ได้ กำหนดให้เป็นเช่นใดก็ไม่ได้ นอกจากจิตดวงเดียวเท่านั้น ที่เป็นเราเป็นของเรา
… ตอนที่ ๑๓๗ เข้าใจผู้อื่นแต่ไม่มีใครเข้าใจเรา
ข้าใจผู้อื่นแต่ไม่มีใครเข้าใจเราเลย จะให้คิดอย่างไรเพื่อจะไม่ให้เป็นทุกข์
การเข้าใจผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดี จะเข้าใจผู้อื่นได้ต้องประกอบด้วยความเมตตา รู้จักให้อภัย เป็นการสร้างความดี จะเป็นพลังมาหนุนนำจิตใจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ในลำดับต่อไป ให้เราศึกษาที่จะทำความเข้าใจในตัวเราด้วย เพื่อจะเป็นการเปิดจิตใจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เมตตาผู้อื่นได้ ให้อภัยผู้อื่นได้ ต้องรู้จักเมตตาให้อภัยตัวเองด้วย ไม่ต้องรอให้ใครมาเข้าใจเรา ขอให้เราเข้าใจตัวเราเองก็พอ
ความหลงเป็นเชื้อของการเกิดตัวเรา ก่อเกิดความยึดถือเป็นตัวเป็นตน เกิดความอยากให้เป็นไป เกิดการสร้างกรรม เกิดความทุกข์ในความไม่เที่ยงแท้ เกิดการเวียนตายเวียนเกิด ดับเชื้อความหลงลงได้ที่ตัวเรา ก็จะดับความทุกข์
… ตอนที่ ๑๒ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในเรา
ใบไม้ซ่อนสิ่งต่างๆมากมาย ในความเป็นใบไม้ ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเรามากมาย ทำให้รวมกันมาเป็นเรา ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเราได้ จึงจะเป็นผู้รู้ ผู้เข้าใจในตัวตน และเข้าใจในสรรพสิ่ง จะสามารถชนะสิ่งสมมุติทั้งหลายที่เป็นเรา
...49… ชีวิตเป็นของใคร อะไรที่เรียกชีวิต
ชีวิตคือสิ่งใด อะไรเรียกชีวิต จิตหรือร่างกาย ใครเป็นเจ้าของ เรามาตรองตามนี้ดู สิ่งมีจิตครองเขาถึงเรียกว่ามีชีวิต ดังนั้นชีวิตคือจิตนั่นเอง แล้วใครเป็นเจ้าของ ต้องมาดูว่าฝ่ายใดครอง ถ้าฝ่ายดีครองจิต ชีวิตชีวีถึงกลับมา ถ้ากิเลสตัณหาครอง ความเศร้าหมองของจิตหมดชีวิตหมดชีวา รู้อย่างนี้แล้วหนา ให้สร้างสั่งสมความดีขึ้นมา เอาชีวิตกลับมาเป็นของเรา
มื่อมีเราจึงมีเขาตามมา เมื่อมีเขาจึงมีสุขทุกข์ตามมาอีก
ดับที่เราได้ ที่เขาก็ดับด้วย สุขทุกข์ก็จะดับด้วยเช่นกัน
ตอน เมื่อมีเรา*****
ตอนที่ ๒๗๔ ตราบใดที่ยังมีเรา เงาก็ยังมีอยู่
การทำความดี ที่ยังยึดถือในความดี ทำให้มีอัตตาตัวตน ยังไม่พ้นบ่วงมาร ความดีอาจจะนำพา ให้เราเป็นพญามารผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งทำดีมาก ยึดติดมาก ยิ่งหลงมาก จนกว่าจะทำดี เพื่อดับความลุ่มหลง ความยึดดี เพื่อสลายตัวตน จึงจะพ้นจากอำนาจของมาร
เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีเรา เมื่อมีเรา จึงมีสิ่งสมมติทั้งหลายว่าเป็นของเรา มีหน้าที่ มีกิจการงาน มีทรัพย์สินเงินทอง มีบุคคลข้าวของอันเป็นที่รักของเรา อันที่จริงแล้ว มีสิ่งอันใดบ้างที่เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเขามีของเขาอยู่แล้ว แต่เรามายึด มาถือเอาว่าเป็นของเรา แค่นั้นเอง แต่สิ่งทั้งหลายนั้น มีขึ้นมาได้ ตั้งอยู่ได้ แล้วก็จะสลายไปเช่นกัน ยึดถือสิ่งใด ก็จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น เช่นนั้นแหละท่านทั้งหลาย
ของเรา
พุทธโอวาท วันที่ 14 กันยายน 2557
** ของเรา **
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดาท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตา แสดงธรรมกับพวกเรามา ดังนี้ว่า
ลูกๆ ทั้งหลายเอ๋ย.. ในวันนี้ให้ลูกทุกๆคน ลองพิจารณา คิดทบทวนดูให้ดีๆว่า บนโลกนี้มีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ร่างกายที่เราเรียกว่า “เรา” นั้น เขาก็ยังไม่ใช่ของเรา สรรพสิ่งสักว่าเป็นของเราเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเขาก็จะดับและสลายไป
.... เมื่อเขาดับและสลายไปแล้วนั้น คำว่า “เรา” ก็จะไม่มีอีกต่อไป
ลูกทั้งหลาย..คนๆ หนึ่งเมื่อเกิดมา ก็ได้ตั้งชื่อเรียกขานไว้ เป็นสิ่งสมมุติว่า ชื่อหนึ่ง..ชื่อสอง..และก็ได้มีชื่อนั้นเป็นสิ่งสมมุติที่มีขึ้นมา แต่ท้ายที่สุด ทุกอย่างนั้นมันก็จะต้องสิ้นสุดด้วยการดับ
ในแต่ละวันนั้น ไม่ว่าจะมีความสุขเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะเก็บเอาความสุขนั้นไว้กับเราตลอดไปได้ เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะสลายไปตามกาลเวลา../ วันนี้มีความทุกข์ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะเก็บความทุกข์นั้นเอาไว้กับเราได้ตลอดไป ในที่สุดมันก็จะสลายไปอีกอยู่ดี
..... ทรัพย์สิน ข้าวของเงินทอง สิ่งต่างๆทั้งหลายนั้น เมื่อเราได้มันมา มันก็จะต้องมีเหตุให้นำไปใช้จ่าย มีเหตุให้ต้องหมดไป มันมาเดี๋ยวมันก็ต้องไป
ลูกทั้งหลายเอ๋ย..ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ มีอะไรบ้างที่เป็นของเราสักสิ่งสักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเขามีของเขาอยู่ตามธรรมชาติ ตามสิ่งที่ก่อเกิด ตามกาลเวลา แล้วเขาก็จะดับไปตามที่เขาจะเป็น เราไม่สามารถที่จะไปเหนี่ยวรั้ง หรือว่าดึงอะไรเอาไว้สักสิ่งสักอย่างเลย.. ลูกเอ๋ย
ร่างกายเมื่อเราเติบโตขึ้นมา มันก็โตตามวัย เมื่อเราแก่ขึ้นมา มันก็แก่ตามวัย เมื่อมันต้องตาย มันก็ต้องตายไป เราก็ทำอะไรกับมันไม่ได้สักสิ่งสักอย่างเลย..ลูกเอ๋ย
-- ร่างกายถ้ามันไม่โต เราอยากให้มันโตเหมือนตอนเด็กๆ อยากให้โตไวๆ ถ้ามันไม่โต มันก็ยังไม่โต เพราะว่ามันจะเป็นไปตามกาลเวลา เราไม่สามารถที่จะควบคุม บังคับมันได้เลย
-- เมื่อมันโตแล้ว เราอยากจะกลับไปเด็กเหมือนเดิมอีก เราก็ไม่สามารถจะกลับไปเด็กเหมือนเดิมอีกได้ เพราะว่ามันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เมื่อเราต้องแก่ขึ้นแล้ว เราก็ไม่อยากแก่อีก หนังก็เหี่ยวแล้ว ยานแล้ว ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่เขาก็จะเป็นไปตามธรรมชาติของเขา
เมื่อครั้งถึงเวลาที่จะต้องตาย ไม่มีใครหรอกลูกที่อยากจะตายไป ทุกคนก็อยากที่จะอยู่ต่อ ใช้ชีวิตต่อไป พอถึงเวลานั้นขึ้นมา ก็ต้องตายอยู่ดี ไม่มีใครฝืนความจริงได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. โลกใบนี้มันก็แค่เป็นสภาวธรรมหนึ่งที่ก่อเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนผัก เหมือนพืช เหมือนสิ่งที่เรามองเห็นทุกวันๆ เพียงแต่ว่าร่างกายของเรานี้ ใช้งาน ใช้ประโยชน์ มีความเลิศหรูและดีกว่าพืชผักทั้งหลายเหล่านั้น เราจึงรู้สึกว่า เรานั้นเป็นเรา มีชีวิตที่ยืนนาน เราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
แต่แท้ที่จริงแล้ว.. ลูกเอ๋ย พวกเราที่เป็นมนุษย์อยู่ ก็ไม่ได้ต่างอะไร ไปจากผัก พืช สิ่งต่างๆทั้งหลายเลย ต้นมะละกอ 1 ต้น มันเจริญเติบโตด้วยธาตุของดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุของอากาศต่างๆทั้งหลาย บำรุงด้วยปุ๋ยของดิน เมื่อมันเจริญเติบโตขึ้นมาพอตัวแล้ว มันก็จะมีผล ออกดอกออกผล เมื่อออกผล ออกดอกแล้ว มันก็จะสุก เมื่อสุกแล้วร่วงลงพื้นดิน แล้วเมล็ดของมันก็ไปเกิดต้นใหม่ แต่มะละกอต้นนั้นก็จะหมดอายุขัยไป คือ แก่ลงทุกวันๆ จนกว่ามันจะหมดอายุขัย ก็คือ ไม่มีดอกมีผลแล้ว เมื่อไม่มีดอกมีผลแล้ว มันก็จะแก่ลงทุกวันแล้วก็เหี่ยว ล้มตายไปในที่สุด ไปอยู่กับซากดิน กลับไปสู่ดิน ไปเป็นปุ๋ยและยาให้กับธาตุของดิน
ผักถ้าเราปลูกปุ๊บ เมล็ดเราหว่านลงไปปุ๊บ มันก็จะโต โตขึ้นทุกวัน จนกระทั่งมันโต สวยมาก น่ากิน น่าเด็ดมาขายบ้าง ใครเห็นก็ถูกใจ ชอบใจ แต่พอเวลาล่วงเลยจากนั้นไป มันก็เริ่มออกดอก เมื่อมันเริ่มออกดอกแล้วไม่มีใครเก็บมันมากิน หรือจะเก็บมากินก็ดี มันก็คงความสวยงามไว้ไม่ได้ ท้ายที่สุดมันก็ต้องแก่ เหี่ยว สีเหลืองๆ แล้วก็เน่าตายไปในที่สุด
ลูกทั้งหลาย.. ชีวิตของมนุษย์เรา แท้ที่จริงก็เป็นเช่นนั้นแหละลูก ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเราสักสิ่งสักอย่าง ทุกอย่างมันมาตามธรรมชาติ และมันก็จะกลับไปสู่ธรรมชาติเช่นเดียวกัน จงเตือนใจของตนเองไว้เสมอ จงบอกกับตนเองไว้เสมอว่า ชีวิตนี้เป็นของใคร ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา ชีวิตนี้เราไม่สามารถที่จะเลือกให้มันอยู่ในตรงไหนได้ ทรัพย์สิน ข้าวของ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่มีอะไรสักสิ่งสักอย่างที่เป็นของเราอย่างแท้จริงเลย ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ถ้าถึงเวลาที่มันต้องเก่า ต้องเสื่อม ต้องเสียไปด้วยลม ดินฟ้าอากาศ มันก็ยังต้องเป็นไปเช่นนั้น
... รถถึงเวลาที่มันต้องเสีย ผุฟังไป มันก็เป็นเช่นนั้น ร่างกายที่เราเรียกว่าเป็นของเรา เมื่อถึงเวลามันก็ต้องผุพังไป เป็นเช่นนั้นอีก ไม่เห็นจะมีอะไรสักสิ่งสักอย่างที่เป็นของเราเลย แล้วให้ถอดถอนความลุ่มหลงที่เราจะไปหลงอยู่ในสิ่งของ ข้าวของต่างๆทั้งหลายนั้น ดึงกลับมา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เดี๋ยวก็ผ่านไป 1 วัน เดี๋ยวก็ผ่านไป 1 คืน เดี๋ยวก็ผ่านอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็ผ่านเดือน และปีหนึ่ง ผ่านไปทีละเดือน ทีละปี เผลอแป๊บเดียว ผ่านไป 5-6 ปีแล้ว เผลอแป๊บเดียวผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว ...
และลูกทั้งหลาย วันเวลาที่ผ่านและล่วงเลยไปนั้น ลูกจงเห็นความไวในการผ่านของเวลานั้นเถิด มันช่างรวดเร็วเหลือเกิน เราไม่สามารถที่จะไปยึด ดึง บอกให้มันรอได้เลย และลูกทั้งหลาย เวลาผ่านไปทุกวันๆ หนึ่งวัน สองวัน หนึ่งปี สองปี รู้ตัวอีกทีหนึ่ง เราก็อายุขัย 40-50 ปีแล้ว และทุกคนก็จะมีอายุขัยที่ถูกจำกัด ของแต่ละดวงจิต ที่จะต้องตายไป จากไป
.... บางคนก็ถูกจำกัดไว้ 20 ปี, 30 ปี บางคนก็อยู่ถึง 70, 80 ปี แต่ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่มีอายุขัยไม่ถึง 100 ปี เลยซักคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลา ก็จะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
ลูกทั้งหลาย.. จงทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆทั้งหลายนี้เถิดว่า มันมีมา แล้วก็จะมีไป มันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป ธรรมชาติสร้างให้เราเกิดมาเช่นนี้ เป็นอย่างนี้ เราก็ยอมรับในกฎของธรรมชาติ และให้รู้ค่าในสิ่งที่เรานั้นเป็นอยู่ ทำอยู่ ให้รู้ค่าในสิ่งที่ธรรมชาตินั้นให้แก่เรามา คือ ร่างกายนี้ สังขารนี้ให้เรามาเพื่อทำอะไร ร่างกายของเราเกิดมาครั้งนี้ เกิดมาเพื่อสร้างคุณประโยชน์อะไร เหลือเวลาอีกไม่เยอะแล้วหนอ เดี๋ยวมันก็จะหมดไปแล้ว
ทรัพย์สินที่ได้มา ธรรมชาติให้เราได้มาเพื่ออะไร เราขวนขวายด้วยพละกำลัง แต่มีพลังของบุญกุศล สิ่งที่ดีค้ำหนุน จึงให้ขวนขวายมาได้ เราจะนำไปทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น สิ่งของข้าวของทั้งหลายที่ได้มา มันไม่เที่ยงหนอ มันมาเดี๋ยวมันก็จะดับไป เราจะนำไปทำอะไรหนอที่มันเกิดประโยชน์ แก่เราและผู้อื่นได้มากที่สุด จงรู้จักสำนึก สำรวม นึกถึง ในชีวิตของตน สิ่งที่ตนได้ยืมธรรมชาตินั้นมา เพื่อทำอะไร
เมื่อครั้งที่สิ้นสุดการยืม ธรรมชาติสิ้นสุดสัญญาณ สิ้นสุดสัญญา ที่ได้สัญญากันเอาไว้กับธรรมชาติแล้วนั้น เราจะได้มีกำไรกลับไปพร้อมกับดวงจิตของเราเอง สิ่งที่อยู่กับเรานั้นคือ ดวงจิตที่ยังคงต้องวน ต้องเวียนอยู่ และไม่ดับสูญไปไหน ซึ่งเราสามารถที่จะสร้างความดีให้มันผ่องใส สวยงามได้ตามกำลังของเรา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ถึงแม้ว่าเรานั้นไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนใคร แล้วใครก็ไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนเรา เพราะธรรมชาตินั้นสร้างเรามาให้เป็นอย่างนี้ แต่เราสามารถที่จะฝึกฝนตนเอง ให้เป็นไปในทางที่ดี คือ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง ทำแต่สิ่งที่ดี ละเว้นจากการทำชั่ว แสวงหาทางพ้นทุกข์ให้กับจิตของตน เพราะในขณะที่ธรรมชาติสร้างเรามา ธรรมชาติก็ได้สร้างทางออกให้กับเราแล้วด้วย
... เมื่อมีทางมา ก็ย่อมต้องมีทางกลับ ขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นจะคิดหาทางกลับแล้วหรือยัง ถ้าคิดแล้วทำหรือยัง หากทำแล้วพบหนทางนั้นแล้วหรือยัง หากพบแล้ว เป็นทางออกที่แท้จริงหรือเปล่า สัญญาณบ่งบอกทางออกที่แท้จริง คือ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ซึ่งตัวของเราก็จะรู้ได้ด้วยตัวของเราเองว่า บัดนี้เราพ้นแล้วหรือยัง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บนโลกนี้ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกอย่างเขามา เดี๋ยวเขาก็ไป ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ สมมุติว่าทุกข์ สมมุติว่าสุข สมมุติว่าเป็นของเรา สมมุติว่าเป็นของเขา แล้วสมมุติก็ดับไป สมมุติว่ามีขึ้นมาใหม่ เป็นอยู่อย่างนั้น ดวงจิตของเราต่างหากล่ะลูก เป็นสิ่งที่จะต้องตามเขา ตามสุข ตามทุกข์ ตามทรมานอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักจบสิ้น จงหาทางออกให้กับดวงจิตของตนเถิด เพื่อออกไปจากวัฏสงสารนี้ ออกไปจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะสิ่งต่างๆทั้งหลายนี้อีก
ลูกทั้งหลาย.. เราก็เหมือนบุคคลคนหนึ่ง ที่จะต้องมาวิ่งตามเส้นทางอันยาวไกลที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะเหนื่อย จะล้า จะท้อ ทางเส้นนั้นมันก็วนเวียนอยู่ ไม่มีทางที่ออกไปจากมันได้เลย
** จงหาทางออก คิดค้นหาวิธีออกจากเส้นทางเส้นนั้นเถิด แล้วลูกจะไม่เหนื่อยกับมันอีก
ลูกทั้งหลาย.. ในวันนี้มีหัวข้อธรรมต่างๆ ที่ลูกๆ ทุกคนได้พิจาณาถึงตัวของตนเอง ดับที่ตนเอง หาทางออกให้กับจิตของตนเอง ให้รู้ทันสรรพสิ่งที่มีขึ้น มีดับไป ทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของใคร ทุกอย่างเป็นแค่สภาวธรรมหนึ่งๆที่เกิดขึ้นมา จงเลิกยึดติด ยึดติดกับตนเอง ยึดติดกับผู้อื่น เลิกมีเรา เลิกมีเขา ชีวิตว่างเปล่านั้นคือ ความสุขที่แท้จริง
จงกระทำเช่นนี้ อย่างนี้ทุกๆคนเถิด...
สาธุ
มีสิ่งใดย่อมมีทุกข์เพราะสิ่งนั้น เมื่อมีเราจึงมีทุกข์เพราะมีเรา กิเลสตัณหาเป็นเหตุให้มีเรา ดับกิเลสตัณหาได้ จึงจะไม่มีการเกิด จึงจะไม่มีเราอีกต่อไป จิตจะได้คืนสู่อิสระเสรี ไม่อยู่ภายใต้กฎของกรรม ไม่อยู่ภายใต้ความไม่เที่ยงแท้ จิตจะได้พ้นจากความทุกข์ พบความความสุขอย่างแท้จริง