อารมณ์พระนิพพาน
พุทธโอวาท วันที่ 15 สิงหาคม 2557
พระยาธรรมิกราช ตอน อารมณ์พระนิพพาน
ขอนอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกๆรูป รวมถึงเจริญพร ญาติบุญ ญาติธรรม ทั้งหลาย ผู้ที่มีความตั้งใจดี จะฟังธรรมทุกๆ ท่าน
ในเช้าของวันนี้เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดาท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตา ชี้ทางสว่างแก่เราทั้งหลาย ดังนี้ว่า
คำสอนอันใดที่ซึมเข้าไปในจิตของใครคนใดคนหนึ่ง และใครที่ไม่ลังเลสงสัย ในคำสอนต่างๆที่มาจากเรา หรือมาจากลูกหลานของเรา ผู้เผยแพร่ เผยแผ่ธรรมทั้งหลาย ที่เข้าถึงธรรมคำสอนแล้วนั้น ย่อมเป็นสุขอยู่ในจิต ย่อมไม่เป็นทุกข์อยู่กับตนเอง
ที่ยังลังเลสงสัยอยู่ในคำสอนต่างๆ และยังคงคิดว่า จริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือไม่ถูก ยังมีความลังเลสงสัยทั้งหลายเหล่านี้../ ให้บำเพ็ญ ทำตนเองนั้นให้ถึงซึ่งนิพพาน ทำตนเองนั้นให้ถึงซึ่งความสุข ความลังเลสงสัยนั้นจะหายไปเอง จะสามารถรู้ได้ด้วยตนของเราเองว่า จริงหรือไม่จริง ถูกหรือผิด
การที่ใครคนหนึ่งบอกว่า เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา เราก็อาจเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่มันก็ไม่เท่าการที่เรานั้นได้เห็นด้วยตนเอง การที่มีใครบอกว่า ทำอย่างนี้มีความสุขนะ ทำแบบนั้นดีนะ บางทีเราก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง บางคนไม่เชื่อเลย แถมยังปรามาสอีก ปรามาสครูบาอาจารย์ ปรามาสผู้สอนสั่ง ปรามาสคนที่เขาเห็นเขาทำได้ เพราะเรายังทำไม่ได้ เลยคิดว่าเขาโกหกมั้ง ไม่จริงหรอกมั้ง จะขนาดนั้นเลยหรือ ?
เหมือนกระจกน่ะลูก เรายังทุบบานกระจกของเราไม่ได้ กระจกยังบังตาอยู่ มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น ของคนอื่นเขาทุบแล้ว.. เขาก็มองเห็นได้ เขาก็รู้ได้
ฉะนั้น..การที่เราจะทำอะไร ให้เรานั้นพิสูจน์ ด้วยตัวของเราเอง ใครเขาบอกว่า อดีตชาติเธอมีกรรมนั้นมานะ เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง บางคนก็เชื่อ บางคนก็เชื่อนิดหน่อย บางคนก็ไม่เชื่อเลย
แต่สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ ให้เรานั้นรู้เอง เห็นเองดีที่สุด …
ใครบอกเห็นพระนิพพาน พระนิพพานเป็นอย่างนี้ พระนิพพานเป็นอย่างนั้น บางคนบอกไม่จริงหรอก …
ไม่มีใครที่จะบอกให้ใครเชื่อได้ นอกจากเรานั้นต้องทำให้ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ให้เรารู้ แล้วก็ถึงอย่างแท้จริง
แม้กระทั่งถึงพระนิพพานแล้วก็เช่นเดียวกัน ก็ยังพูดไม่ค่อยเหมือนกัน เพราะชีวิตเรื่องราวของแต่ละคนก็ต่างกัน เจอก็ต่างกัน รู้ก็ต่างกัน เห็นก็ต่างกัน แต่นิพพานที่มีอยู่ อยู่จริงๆนั้น มีความสุขจริงๆ
นิพพานของการละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีความปรารถนาสิ่งใดอีกแล้ว ที่จะทำให้เป็นทุกข์ได้อีกแล้ว ใจของเรา ตัวของเรา เราเคยทำให้ถึงซึ่งนิพพานแล้วหรือยัง เคยได้รับความสุข ที่เป็นพลังความสุขจากนิพพานแล้วหรือ ความสุขที่อิ่มมาจากข้างใน สุขมาจากข้างใน แล้วก็น้ำหูน้ำตาไหล อันนั้นก็ยังถือว่าเป็นแค่เศษเล็กน้อยมาก ถ้าจะเทียบก็อาจจะเป็นลมของนิพพานพัดมาให้ได้สัมผัสได้รู้ ได้เห็นนิดหน่อย แต่ถ้าใครได้สามารถที่จะเข้าไปสงบ นิ่งสงบ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่สนใจสิ่งใด ละแล้ว ทิ้งแล้ว เลิกแล้ว ไม่สนใจอะไรสักอย่าง อันนั้นก็คืออารมณ์ของนิพพาน
** อารมณ์ของนิพพาน ก็เกิดขึ้นมาจากการที่เราได้ละต่อทุกอย่าง ไม่สนใจอะไรแล้วสักอย่าง ไม่ว่าจะไปสุข จะทุกข์ จะมีอะไรมากระทบเข้ามา ไม่ได้สนใจ ปล่อยใจว่างๆ โล่งๆ โปร่งๆ อยู่อย่างนั้น
สถานที่ต่างๆอยู่ในนิพพาน ที่นั่นก็จะเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง มันคล้ายๆ ว่าเป็นอีกมิติหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์แล้วนั้น ก็จะกว้างใหญ่ไพศาลกว่ามาก ร่มรื่น มีความอุดมสมบูรณ์ สรรพสิ่งนั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นก็ได้ ดับก็ได้
หากว่าเรานั้นจะทำให้มันก่อเกิดขึ้นมาภายในพริบตาก็ได้ จะทำให้หายไปในพริบตาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่อยู่ที่นั่น เขาก็จะไม่อะไรกับใครทั้งหมด อยู่แบบไหนก็ได้ อยู่ตรงไหนก็ได้ ไม่ได้สนใจอะไร มีแต่ความว่างๆ โล่งๆ อยู่ในดินแดนพระนิพพาน
สำหรับดวงจิตต่างๆที่ได้หลุดพ้นนั้น คำว่าดวงจิตนั้น ไม่ได้ดับสูญไปไหน เพียงแต่เป็นผู้ที่ไม่หลง ไม่ทุกข์ ไม่จมอยู่ ไม่วนเวียนอยู่ ว่างๆ โล่งๆ และช่วยเหลือค้ำหนุนดวงจิตอื่นๆ ช่วยก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่ช่วยก็ไม่เป็นทุกข์ ใครจะร้องไห้เป็นทุกข์ยังไง ใครจะเป็นอะไรก็ไม่ได้สนใจ เมตตาช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้ เท่าที่พอประมาณตามกฎเกมส์ กฎของกรรม จะไม่ละเมิดต่อกฎของกรรมใดๆ นั่งพิจารณาสิ่งต่างๆ และการที่ทำอย่างนี้ คือ จิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้ว แล้วก็ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ ปนเปื้อนอะไรกับใครเขาอีก ใครที่เข้าถึงอารมณ์แห่งพระนิพพาน ก็จะเข้าใจ พระนิพพานเป็นอย่างนี้ๆ สุขแบบนี้
ใครที่ยังเข้าไม่ถึง ก็อย่าเพิ่งเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ตัดรอน ตัดกำลังของตนเอง.. ไม่จริงหรอกมั้ง ไม่ใช่หรอกมั้ง โกหกรึเปล่า เห็นคนอื่นเขาบอกว่า คนนี้เป็นองค์พระอรหันต์แล้ว เป็นเทวดามาเกิด เป็นพระโพธิสัตว์มาเกิด ไม่เชื่อ หรือไม่ก็เชื่อเป็นกลางๆ เพราะไม่เชื่อ บางครั้งอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง แล้วเราก็จะเกิดโทษเกิดภัย แล้วถ้าเชื่อสนิท เชื่อเกินไป งมงายเกินไป เกิดเขาไม่ใช่ล่ะ เราก็เป็นทุกข์อีก เราก็จะหลงงมงาย
....ฉะนั้น ไม่มีอะไรที่จะเท่ากับการที่เราสร้างตัว ทำด้วยตัวของเราเอง
วันนี้.. เราเข้าถึงอารมณ์ต่างๆ ของแต่ละรอบของจิต มาฝึกฝน จากฝึกฝน ตั้งแต่จิต กาย ใจ ฝึกฝนตัวของเราให้เลื่อนระดับจิตขึ้นมาเรื่อยๆ
-- อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าคนนี้เป็นคนดีรึเปล่า
-- คนนี้เป็นคนชอบโกหกรึเปล่า
-- คนนี้ชอบพูดหลอกลวงคนอื่นรึเปล่า
-- ให้จับวาระจิตของคนได้ ให้เรารู้ว่า สิ่งใด คือ อะไร
..... เชื่อได้ ไม่ได้ ให้เราพิสูจน์ ได้บ้าง แล้วค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาๆ เพราะแท้ที่จริงนั้น ยังมีอะไรที่ซับซ้อนเยอะแยะอยู่มากมาย
เมื่อภูมิจิตของเราเลื่อนขึ้นมาแล้ว มันก็มีอีกชั้นหนึ่งอีก ชั้นที่เหนือกว่านั้นขึ้นมา สิ่งที่เห็นจะเป็นอย่างที่เห็นมั้ย สิ่งที่รู้จะเป็นอย่างที่รู้มั้ย ก็ยังมีสอบต่างๆนานา ของโพธิสัตว์ใหญ่ ชั้นผู้ใหญ่ ของเหล่าพระอรหันต์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ดลบันดาลทำให้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เพื่อให้เรารู้ว่าเป็นอยู่จริงมั้ย เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า แล้วก็ให้เราแกะรอย
บางคนเขาไม่ได้ชั่วอะไรนักหนา แต่ภพชาติของเขาที่ผ่านมาสร้างกรรมไว้เยอะ เงาของภพชาติแต่ก่อนนั้นก็ตามมา จึงทำให้ดูแล้วเป็นคนไม่ดี จริงๆ แล้วมันเป็นเงาของภพชาติก่อน
เราก็ต้องรู้เลื่อนขึ้นมาอีกเรื่อยๆ จนกว่าเราจะรู้จริงๆ รู้ในทุกเหตุการณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง มองได้ทุกเรื่อง รู้ได้ทุกเรื่อง เห็นเหตุต่างๆว่า อ้อ คนนั้นที่เขาเป็นอย่างนั้น เพราะเขาเป็นอย่างนี้มา ../ ที่เขาทำอย่างนี้ ได้อย่างนี้ เพราะเขาทำมาอย่างนั้นอย่างนี้ จึงได้อย่างนั้น ..
พอเราอ๋อ..ไปทุกอย่างแล้วลูก เราก็จะไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่มีทุกข์อะไรอีก อ้อ..คนนั้นต้องเกิดมา ต้องกิน ต้องใช้ ต้องทำ ต้องลำบาก ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องตาย เราก็รู้อยู่.../ พอเรารู้อยู่ เราก็เริ่มที่จะไม่เป็นทุกข์กับสิ่งต่างๆ สามารถอยู่ได้ด้วยความสุข ถ้าใครทำอะไรกับเรา โดยที่ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี เราก็จะรู้ว่า อ้อ..สภาวธรรมนี้ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าใครมาทำอะไรกับเราที่ไม่ดี เราก็จะรู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร ทำเพื่อสอบจิตเรา หรือเพราะกรรมใดกรรมหนึ่งที่เราเคยกระทำมา
บางครั้งน่ะลูก..การที่ทำไป ไม่จำเป็นต้องทำเพราะตนนั้นมีกรรมมา บางครั้งการที่ใครจะทำอะไรเรา ไม่จำเป็นหรอกลูกว่าเราจะต้องไปมีกรรมกับคนๆนั้น เราไปทำกับใครอีกคนหนึ่ง มันก็มีใครอีกคนต่างหากที่มาสนองนั้นคืนแก่เรา อย่างสมมุติว่า เราไปด่าใครคนหนึ่ง อยู่ๆก็มีใครอีกคนมาด่าเราคืน นั่นแหละกรรมของเราได้สนองคืน ทุกครั้งที่เกิด เกิดสิ่งที่กระทบจิตใจเข้ามา ให้ทวนดูว่า เรามีความผิดพลาดอะไรไปรึเปล่า ไปทำไปปลูกอะไรไว้รึเปล่า ไม่ต้องไปคิดหรอกว่า เป็นคนนั้นหรือเปล่า .../ พ่อ หนูคิดว่า พ่อ หนูไปทำอะไรให้พ่อไม่พอใจ ทำไมพ่อต้องว่าหนู ไปถามพ่อ
... เราไม่ได้ทำผิดกับพ่อหรอกลูก แต่เราไปทำผิดกับใครคนใดคนหนึ่ง แต่พ่อเป็นแค่ผู้ที่มาสนองกรรมคืนให้เรา ตามกฎของกรรม
บางทีก็คิดว่าเราไปทำอะไรกับผู้ชายคนนี้ ทำไมเขาถึงทำร้ายจิตใจเราเหลือเกิน บางครั้งเราไม่ได้ทำกับคนนี้หรอกลูก แต่เราทำกับอีกคนหนึ่ง คนนี้ก็แค่ถูกจัดเข้ามาให้ทำความเจ็บปวด สนองกรรมคืนกับเรา ให้เราได้ชดใช้ตามกฎของกรรมแค่นั้นเอง
ฉะนั้น.. การที่เราจะรู้ว่าทำอะไร จะเห็น จะเข้าใจ เข้าถึง โดยไม่มีความลังเลสงสัย ไม่ว่าจะเป็นคำสอน เราก็ต้องเข้าให้ถึงซึ่งความดี ในคำสอนต่างๆนั้นที่เราซึมเข้าไปไว้ในใจ แล้วก็การที่เราจะรู้อะไร เชื่ออะไร ไม่เชื่ออะไร.. ก็อยู่กับเราอีก
ฉะนั้น.. จงหมั่นบำเพ็ญ สร้างตัว ทำตนให้ดี ให้ถึงซึ่งความสุขต่างๆเหล่านั้น เพื่อเราจะได้ไม่ผิดพลาดแก่ตัวของเราเอง
วันนี้ก็ฝากธรรมะแก่ลูกทั้งหลาย แต่เพียงเท่านี้ ขอให้จงอยู่เย็นเป็นสุข และหลุดจากความทุกข์กันทุกๆ คนนะจ๊ะ...
สาธุ....
การนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ ๑๙๒ อุปสมานุสติ แบบที่ ๑
การนึกถึงพระนิพพาน จนทำให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์นั้น แบบที่ ๑ ให้นั่งหลับตา แบฝ่ามือสองข้างบนหัวเข่า แล้วน้อมนึกถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ
แสงพุทธบารมี กำหนดหมายว่าพระองค์ท่านอยู่ที่พระนิพพาน น้อมรับพลังแสงพุทธบารมี กระแสเย็นๆ สว่างไสว จากพระองค์ท่าน มากระทบที่ฝ่ามือทั้ง
สองข้าง แล้วเอาน้อมแสงพลังนั้น เข้าสู่ศูนย์กลางกาย ภาวนาดูไปเรื่อยๆ จิตจะเข้าสู่ความสงบตั้งมั่น เข้าสู่ฌานได้ในที่สุด
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ ๑๙๓ อุปสมานุสติ แบบที่ ๒
การรับคลื่นพลังจากพระนิพพาน เพื่อให้เข้าถึงความสงบ ให้หลับตาลง ปล่อยวางจิตใจ ให้น้อมพลังที่เย็นภายนอก เข้าสู่ภายใน แล้วพิจารณาให้เห็น
ความเป็นจริงของร่างกาย เพื่อสลายกิเลสตัณหาที่ครอบงำจิตใจ นึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระนิพพาน น้อมรับพลังมาเก็บไว้ที่ศูนย์กลางกาย จะ
มีพลังสงบชุ่มเย็น จนเป็นฌาน สามารถอธิษฐานไป ถอดกายภายในไปค้นหาตัวตน หาเหตุหาผลของการเกิดเวียนวน จะได้ดับการเกิดได้ ด้วยการนึกถึง
พระนิพพานเป็นอารมณ์
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ ๑๙๔ อุปสมานุสติ แบบที่ ๓
การนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ให้ระลึกถึงองค์พระสัมมา ผู้ได้นำพาให้ดวงจิตหลุดพ้น จากการเกิดการเวียนวน ด้วยการชำระกิเลส ตัณหา
ปล่อยวางจิตใจ ไม่ได้เบียดเบียนผู้ใด ไม่ยึดถืออะไรแม้แต่ตัวตน จึงจะดับการเกิด ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป