จากหนังสือ ธรรมวิสัชนา
เรื่องแนวปฏิบัติของท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
ดังนี้
โดยหลักการที่ ท่านอาจารย์เสาร์
ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามานั้น
ยึดหลัก
การบริกรรมภาวนา พุทโธ
และ
อานาปานสติ
เป็นหลักปฏิบัติ
การบริกรรมภาวนา
ให้จิตอยู่ ณ จุดเดียว
คือ พุทโธ
ซึ่ง พุทโธ แปลว่า
ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นกิริยาของจิต
เมื่อจิตมาจดจ้อง
อยู่ที่คำว่า พุทโธ
ให้พิจารณาตามองค์ฌาน ๕
คือ
การนึกถึง พุทโธ
เรียกว่า วิตก
จิตอยู่กับ พุทโธ
ไม่พรากจากไป
เรียกว่า วิจารณ์
หลังจากนี้
ปีติ และความ สุข
ก็เกิดขึ้น
เมื่อปีติและความสุขเกิดขึ้นแล้ว
จิตของผู้ภาวนา
ย่อมดำเนินสู่ความสงบ
เข้าไปสู่
อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
ลักษณะที่จิตเข้าสู่อัปปนาสมาธิ
ภาวะจิตเป็นภาวะสงบนิ่ง สว่าง
ไม่มีกิริยาอาการแสดงความรู้
ในชั้นนี้เรียกว่า
จิตอยู่ในสมถะ
ถ้าจะเรียกโดยจิตก็เรียกว่า
อัปปนาจิต
ถ้าจะเรียกโดยสมาธิก็เรียกว่า
อัปปนาสมาธิ
ถ้าจะเรียกโดยฌานก็เรียกว่า
อัปปนาฌาน
บางท่านนำไปเทียบกับฌานขั้นที่ ๕
จิตในขั้นนี้เรียกว่า
จิตอยู่ในอัปปนาจิต อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌาน
จิตย่อมไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้น
นอกจากมีสภาวะรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อนักปฏิบัติ
ผู้ที่ยังไม่ได้ระดับจิต
เมื่อจิตติดอยู่ในความสงบนิ่งเช่นนี้
จิตย่อมไม่ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น
ท่านอาจารย์เสาร์
ผู้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานในสายนี้
จึงได้เดินอุบาย
สอนให้ลูกศิษย์พิจารณา กายคตาสติ
เรียกว่า กายานุปัสสนาปฏิปทา
โดยการพิจารณา
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เป็นต้น
โดยน้อมนึกไปในลักษณะ
ความเป็นปฏิกูลน่าเกลียด
เป็นของโสโครก
จนกระทั่ง
จิตมีความสงบลง
รู้ยิ่งเห็นจริงตามที่ได้พิจารณา
เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณา
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เห็นสิ่งปฏิกูล
ในที่สุด
ได้เห็นจริงในสิ่งนั้นว่า
เป็นของปฏิกูล
โดยปราศจากเจตนาสัญญาแล้ว
ก็เกิดนิมิตเห็นสิ่งเหล่านั้น
ว่าเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกจริง ๆ
โดยปราศจากสัญญาเจตนาใด ๆ ทั้งสิ้น
จึงได้ชื่อว่า
เป็นผู้พิจารณาเห็น อสุภกรรมฐาน
และเมื่อผู้ปฏิบัติ
พิจารณาอสุภกรรมฐาน
จนชำนิชำนาญ
จนรู้ยิ่งเห็นจริง
ในอสุภกรรมฐานนั้นแล้ว
ในขั้นต่อไป
ท่านอาจารย์เสาร์
ได้แนะนำให้พิจารณากาย
ให้เห็นเป็นธาตุ ๔
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
จนกระทั่งเห็นเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ
เมื่อจิตรู้ว่า
เป็นแต่เพียงสักแต่ว่าธาตุ ๔
ดิน น้ำ ลม ไฟ
จิตก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า
ตามที่พูดกันว่า
สัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขา
ไม่มี
มีแต่ความประชุมพร้อมของธาตุ ๔
ดิน น้ำ ลม ไฟ
เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น
จิตก็ย่อมรู้จักอำนาจของความคิดขึ้นมาได้ว่า
ในตัวของเรานี้ไม่มีอะไรอัตตา
ทั้งสิ้น
มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เท่านั้น
ถ้าภูมิจิตของผู้ปฏิบัติ
จะมองเห็นแต่เพียงกายทั้งหมดนี้
เป็นแต่เพียงธาตุ ๔
ดิน น้ำ ลม ไฟ
รู้แต่เพียงธาตุ ๔
ดิน น้ำ ลม ไฟ
และภูมิจิตของท่านอยู่แค่นั้น
ก็มีความรู้เพียงแค่ขั้น
สมถกรรมฐาน
และในขณะเดียวกันนั้น
ถ้าภูมิจิตของผู้ปฏิบัติ
ปฏิบัติความรู้ไปสู่
พระไตรลักษณ์
คือ
อนิจจัง ไม่เที่ยง
ทุกขัง เป็นทุกข์
อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ถ้าหากมี
อนิจจสัญญา
ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยง
ทุกขสัญญา
ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นทุกข์
อนัตตสัญญา
ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ภูมิจิตของผู้ปฏิบัตินั้น
ก็ก้าวเข้าสู่
ภูมิแห่งวิปัสสนา
เมื่อผู้ปฏิบัติ
มาฝึกฝนอบรมจิตของตนเอง
ให้มีความรู้ด้วยอุบายต่าง ๆ
และมีความรู้แจ้งเห็นจริง
ในลักษณะของอสุภกรรมฐาน
โดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง
จนมีความรู้แจ้งเห็นจริง
ในลักษณะที่ว่า
กายเรานี้
เป็นแต่เพียงธาตุ ๔
ดิน น้ำ ลม ไฟ
มีความเห็นว่า
ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ก็เป็นแต่เพียงธาตุ
ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา
ด้วยอุบาย ดังกล่าวแล้ว
ผู้ปฏิบัติ
ยึดหลักอันนั้น
ภาวนาบ่อย ๆ
กระทำให้มาก ๆ
พิจารณาให้มาก ๆ
พิจารณาย้อนกลับไปกลับมา
จิต
จะค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่
ภูมิรู้ ภูมิธรรม
เป็นลำดับ ๆ ไป
หลักการปฏิบัติ
ของท่านอาจารย์เสาร์
ก็มีดังนี้
คัดลอกจาก...
หนังสือแก้วมณีอีสาน หน้า ๒๙๗-๒๙๘
ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/Aug-saraporn/2010/07/30/entry-1