4. ซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี)

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{4:1} โอ้ ปวงมนุษย์! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเธอ ที่ได้บังเกิดพวกเธอมาจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้น ได้ทรงบังเกิดคู่ครองของมัน และจากทั้งสองนั้น ได้ทรงบันดาลให้เหล่าผู้ชายและผู้หญิงอันมากมายแพร่ขยาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺ ที่พวกเธอต่างขอร้องต่อกันด้วย(การอ้างพระนามของ)พระองค์ และจงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูแลพวกเธออยู่เสมอ

{4:2} และแก่ลูกกำพร้า จงส่งมอบทรัพย์สมบัติของพวกเขา และจงอย่าเอาของเลวไปแลกเปลี่ยนด้วยของดี และจงอย่ากินทรัพย์สินของพวกเขาร่วมกับทรัพย์สินของพวกเธอ แท้จริงมันเป็นบาปอันยิ่งใหญ่

{4:3} และหากพวกเธอเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมในบรรดาเด็กกําพร้าได้ ก็จงสมรสกับสตรีอื่นที่เหมาะสมสำหรับพวกเธอ สองคน หรือสามคน หรือสี่คน และถ้าพวกเธอเกรงว่าพวกเธอจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็จงมีเพียงแค่คนเดียว หรือไม่ก็หญิงที่มือขวาของพวกเธอครอบครองอยู่ นั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับการที่พวกเธอจะไม่ลําเอียง

{4:4} และจงให้สินสอดของพวกนางแก่พวกนางด้วยความเต็มใจ แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่พวกเธอจากสินสอดนั้นแล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนั้นด้วยความเอร็ดอร่อยและโอชา

{4:5} และจงอย่าให้ทรัพย์สินของพวกเธอที่อัลลอฮฺได้ทรงให้พวกเธอดูแลค้ำจุนนั้นแก่บรรดาคนปัญญาอ่อน และจงให้ปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาจากทรัพย์สินนั้น และจงกล่าววาจาอันดีงามแก่พวกเขา

{4:6} และจงทดสอบบรรดาเด็กกําพร้า จนกระทั่งพวกเขาบรรลุวัยสมรส ถ้าพวกเธอเห็นว่าพวกเขามีปัญญา ก็จงมอบทรัพย์สินของพวกเขาให้แก่พวกเขาไป และจงอย่ากินทรัพย์สินนั้นอย่างฟุ่มเฟือยและรีบเร่ง ก่อนที่พวกเขาจะเติบโต และผู้ใดเป็นผู้มั่งมีก็จงงดเว้นเสีย และผู้ใดเป็นผู้ยากจนก็จงกินโดยชอบธรรม ครั้นเมื่อพวกเธอส่งมอบทรัพย์สมบัติของพวกเขาให้แก่พวกเขา ก็จงให้มีสักขีพยานยืนยันแก่พวกเขา และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสอบสวน

{4:7} บรรดาบุรุษนั้น จะได้รับส่วนแบ่งจากสิ่งที่บิดามารดาและบรรดาญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้ และบรรดาสตรีนั้นก็จะได้รับส่วนแบ่งจากสิ่งที่บิดามารดาและบรรดาญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้ ซึ่งสิ่งนั้นจะน้อยหรือมากก็ตาม เป็นส่วนได้รับที่ถูกกําหนดอัตราส่วนไว้

{4:8} และถ้าบรรดาญาติที่ใกล้ชิด และบรรดาเด็กกำพร้า และบรรดาผู้ที่ขัดสน มาร่วมอยู่ด้วยในยามแบ่งมรดก ก็จงแบ่งปันส่วนหนึ่งจากสิ่งนั้น ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และจงกล่าววาจาอันดีงามแก่พวกเขา

{4:9} และพึงวิตกเถิด บรรดาผู้ที่ หากพวกเขาเองทอดทิ้งลูก ๆ ที่ยังอ่อนแอ ไว้ข้างหลังของพวกตน พวกเขาก็กลัวว่าจะมีภยันตรายเกิดขึ้นแก่ลูก ๆ ของพวกตน ดังนั้นพวกเขาจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด และจงกล่าววาจาที่เที่ยงตรง

{4:10} แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์สินของบรรดาเด็กกำพร้าด้วยการทุจริตนั้น แท้จริงพวกเขากินเพลิงเข้าไปในท้องของพวกตนต่างหาก และพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง

{4:11} อัลลอฮฺได้ทรงสั่งพวกเธอไว้เกี่ยวกับลูก ๆ ของพวกเธอว่า สำหรับเพศชายนั้นจะได้รับส่วนแบ่งเท่ากับส่วนแบ่งของเพศหญิงสองคน แต่ถ้าหากลูก ๆ นั้นเป็นหญิงเกินกว่าสองคน พวกนางก็จะได้ส่วนแบ่งสองในสามของสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ และถ้าหากลูกเป็นหญิงคนเดียว นางก็จะได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ส่วนบิดาและมารดาของเขานั้น ต่างก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในหกจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ นั่นหากว่าเขามีบุตร แต่ถ้าหากเขาไม่มีบุตร และมีเพียงบิดามารดาของเขา ที่จะรับมรดกของเขาแล้ว มารดาของเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสาม แต่ถ้าหากเขามีพี่น้องหลายคน มารดาของเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในหก ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน บรรดาบิดาของพวกเธอและบุตรหลานของพวกเธอนั้น พวกเธอไม่รู้ดอกว่า ฝ่ายใดในพวกเขานั้น เป็นผู้ที่ใกล้ชิดสำหรับพวกเธอในด้านคุณประโยชน์ ทั้งนี้เป็นบัญญัติที่มาจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:12} และพวกเธอนั้น จะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของสิ่งที่บรรดาภรรยาของพวกเธอได้ทิ้งไว้ นั่นหากว่าพวกนางไม่มีบุตร แต่ถ้าหากพวกนางมีบุตร พวกเธอก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกนางได้ทิ้งไว้ ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่นางได้สั่งเสียมันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน และพวกนางนั้นจะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกเธอได้ทิ้งไว้ นั่นหากพวกเธอไม่มีบุตร แต่ถ้าหากพวกเธอมีบุตร พวกนางก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในแปดจากสิ่งที่พวกเธอทิ้งไว้ ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่พวกเธอสั่งเสียมันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน และถ้ามีชายคนหนึ่งหรือหญิงคนหนึ่งถูกรับมรดกในฐานะเป็นผู้ที่ไร้บิดาและบุตร แต่เขามีพี่น้องเพศชายคนหนึ่ง หรือมีพี่น้องเพศหญิงคนหนึ่ง ทั้งสองต่างก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในหก แต่ถ้าพี่น้องของเขามีมากกว่านั้น พวกเขาก็เป็นผู้มีส่วนร่วมในส่วนแบ่งหนึ่งในสาม ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่ถูกสั่งเสียไว้ หรือหลังจากหนี้สิน โดยไม่ใช่สิ่งที่นำมาซึ่งผลร้ายใด ๆ

เป็นคําสั่งที่มาจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงหนักแน่น

{4:13} เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่ภักดีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงนำเขาเข้าในเหล่าสวนสวรรค์ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านจากเบื้องล่างของมัน โดยเป็นผู้อมตะอยู่ในนั้น และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่

{4:14} และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์และละเมิดขอบเขตของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงนำเขาเข้าในนรก เป็นผู้อมตะอยู่ในนั้น และเขาจะได้รับการลงโทษที่อัปยศ

{4:15} และบรรดาสตรีของพวกเธอผู้ที่กระทำสิ่งลามกนั้น จงให้มีพยานสี่คนของพวกเธอยืนยันพวกนาง ถ้าพวกเขายืนยันแล้ว ก็จงกักขังพวกนางไว้ในบ้าน จนกว่าพวกนางจะสิ้นชีพ หรือไม่ก็จะทรงให้มีทางออกหนึ่งสำหรับพวกนาง

{4:16} และชายสองคนในหมู่พวกเธอที่กระทำการลามกนั้น พวกเธอจงลงโทษเขาทั้งสองคน หากทั้งสองสำนึกผิดและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ก็จงระงับการลงโทษเขาทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:17} แท้จริงการสำนึกผิดที่อัลลอฮฺจะทรงรับนั้นคือ ของบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น แล้วพวกเขาสำนึกผิดในเวลาอันใกล้ ชนเหล่านี้ อัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:18} ไม่ใช่การสำนึกผิดของบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วต่าง ๆ จนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังพวกเขาคนใด แล้วเขาก็กล่าวว่า "บัดนี้แหละข้าฯขอสำนึกผิด" และก็ไม่ใช่ของบรรดาผู้ที่ตาย ในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านี้ เราได้เตรียมการลงโทษอันเจ็บแสบไว้แก่พวกเขาแล้ว

{4:19} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! ไม่อนุมัติแก่พวกเธอ ที่จะเอาบรรดาสตรีเป็นมรดกด้วยการบังคับ และไม่อนุมัติเช่นเดียวกัน ที่จะขัดขวางพวกนาง เพื่อเอาบางส่วนของสิ่งที่พวกเธอได้เคยมอบให้แก่พวกนางนั้นคืนมา นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามกอันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเธอรังเกียจพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเธอรังเกียจสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงให้มีความดีอันมากมายในสิ่งนั้น

{4:20} และหากพวกเธอต้องการเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งแทนที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง และพวกเธอได้เคยให้ทรัพย์สินอันมากมายแก่คนหนึ่งในหมู่พวกนาง ก็จงอย่าได้เอาสิ่งใดจากทรัพย์สินนั้นคืน พวกเธอจะเอามันคืนด้วยการอุปโลกน์ความเท็จและการกระทำบาปอันชัดเจนกระนั้นหรือ?

{4:21} และพวกเธอจะเอามันคืนได้อย่างใดเล่า ทั้ง ๆ ที่พวกเธอได้แนบกายกันแล้ว และพวกนางก็ได้เอาคํามั่นสัญญาอันหนักแน่นจากพวกเธอแล้วด้วย

{4:22} และจงอย่าสมรสกับบรรดาหญิงที่บิดาของพวกเธอได้สมรสมาแล้ว นอกจากที่ได้ผ่านพ้นมาเท่านั้น แท้จริงมันเป็นสิ่งลามกและน่ารังเกียจยิ่ง และเป็นวิถีทางที่ชั่ว

{4:23} ที่ได้ถูกห้ามแก่พวกเธอนั้น คือมารดาของพวกเธอ และธิดาของพวกเธอ และพี่น้องเพศหญิงของพวกเธอ และพี่น้องเพศหญิงร่วมบิดาของพวกเธอ และพี่น้องเพศหญิงร่วมมารดาของพวกเธอ ธิดาของพี่น้องเพศชายของพวกเธอ และธิดาของพี่น้องเพศหญิงของพวกเธอ และมารดาของพวกเธอที่ให้นมแก่พวกเธอ และพี่น้องเพศหญิงของพวกเธอเนื่องจากการให้นม และมารดาภรรยาของพวกเธอ และเหล่าลูกเลี้ยงของพวกเธอที่อยู่ในบ้านของพวกเธอ จากภรรยาของพวกเธอที่พวกเธอได้สมสู่กับนาง แต่ถ้าพวกเธอยังไม่ได้สมสู่กับนาง ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ และภรรยาของบุตรพวกเธอที่มาจากเชื้อสายของพวกเธอ และการที่พวกเธอรวมระหว่างหญิงสองพี่น้องไว้ด้วยกัน นอกจากที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:24} และ(อย่าสมรสกับ)บรรดาหญิงมีสามี นอกจาก(ทาส)ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง

เป็นบัญญัติของอัลลอฮฺที่มีแก่พวกเธอ และได้ถูกอนุมัติให้แก่พวกเธอที่นอกเหนือจากนั้น ในการที่พวกเธอจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเธอ ในฐานะเป็นผู้สมรส ไม่ใช่ในฐานะผู้ทำผิดประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเธอเสพสุขกับนาง ในบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้สินตอบแทนของพวกนางนั้นแก่พวกนาง ตามที่มีกําหนดไว้ และไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอในสิ่งที่พวกเธอต่างยินยอมกันในสิ่งนั้นหลังจากที่มีกําหนดนั้นขึ้น แท้จริง อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:25} และผู้ใดในหมู่พวกเธอไม่สามารถที่จะสมรสกับบรรดาหญิงอิสระที่มีศรัทธาได้ ก็จงสมรสกับเด็กสาวของพวกเธอที่เป็นผู้มีศรัทธาในหมู่(ทาส)ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในการศรัทธาของพวกเธอ บางคนในหมู่พวกเธอนั้นมาจากอีกบางคน ดังนั้นจงสมรสกับพวกนางด้วยการอนุมัติจากผู้ปกครองของพวกนาง และจงให้สินตอบแทนของพวกนางแก่พวกนางโดยชอบธรรม ในฐานะที่พวกนางเป็นหญิงที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นหญิงที่ค้าประเวณี และไม่ใช่หญิงที่คบชู้ แล้วหากนางได้รับการสมรสแล้ว หากพวกนางกระทำสิ่งลามก พวกนางก็จะถูกลงทัณฑ์เพียงครึ่งหนึ่งของโทษทัณฑ์ของสตรีอิสระ นั่นสำหรับผู้ที่กลัวการทำชั่วในหมู่พวกเธอ และการที่พวกเธออดกลั้นไว้ได้นั้น เป็นการดีกว่าสำหรับพวกเธอ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:26} อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะแจกแจงแก่พวกเธอ และชี้นำพวกเธอสู่บรรดาแนวทางของบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเธอ และจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเธอ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:27} และอัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเธอ และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามตัณหานั้นปรารถนาที่จะให้พวกเธอเอนเอียงออกไปอย่างมากมาย

{4:28} อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะผ่อนผันให้แก่พวกเธอ และมนุษย์นั้นถูกบังเกิดขึ้นในสภาพที่อ่อนแอ

{4:29} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงอย่ากินทรัพย์สินของพวกเธอ ในระหว่างพวกเธอกันเองโดยทุจริต นอกจากมันจะเป็นการค้าขายที่เกิดจากความพอใจในหมู่พวกเธอกันเอง และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเธอเอง แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงปรานีต่อพวกเธอเสมอ

{4:30} และผู้ใดที่กระทำเช่นนั้นโดยเจตนาละเมิดและข่มเหงแล้ว เราก็จะให้เขาเข้าในเพลิงนรก และนั่นเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ

{4:31} หากพวกเธอปลีกตัวออกจากบรรดาบาปมหันต์ ที่พวกเธอถูกห้ามให้ละเว้นมันแล้ว เราก็จะลบล้างเหล่าความผิดของพวกเธอออกจากพวกเธอ และเราจะให้พวกเธอเข้าอยู่ในสถานที่อันมีเกียรติ

{4:32} และจงอย่าปรารถนาในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่บางคนในหมู่พวกเธอเหนือกว่าอีกบางคน บรรดาบุรุษนั้นจะได้รับส่วนที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ และบรรดาสตรีนั้นก็จะได้รับส่วนที่พวกนางได้ขวนขวายไว้ และพวกเธอจงขอต่ออัลลอฮฺเถิด จากความโปรดปรานของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง

{4:33} และสำหรับแต่ละคนนั้น เราได้ให้มีผู้รับมรดก จากสิ่งที่บิดามารดาและญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้ และบรรดาผู้ที่สนธิสัญญาของพวกเธอได้ผูกมัดไว้ ก็จงให้ส่วนแบ่งของพวกเขานั้นแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นพยานในทุกสิ่งทุกอย่าง

{4:34} บรรดาบุรุษนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาสตรี เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้พวกเขาบางคนหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกตน บรรดาสตรีที่ดีนั้นคือผู้จงรักภักดี ผู้รักษาในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ลับหลังสามี เนื่องด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺ

ทรงรักษาไว้ ส่วนบรรดาสตรี ที่พวกเธอหวั่นเกรงในความดื้อดึงของพวกนางนั้น ก็จงกล่าวตักเตือนพวกนางและทอดทิ้งพวกนางไว้แต่ลําพังในที่นอน และจงเฆี่ยนพวกนาง แต่ถ้าพวกนางเชื่อฟังพวกเธอแล้ว ก็จงอย่าหาทางเอาเรื่องกับพวกนาง แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงสูงส่ง พระผู้ทรงเกรียงไกร

{4:35} และหากพวกเธอหวั่นเกรงการแตกแยกระหว่างเขาทั้งสอง ก็จงส่งผู้ตัดสินคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายชาย และผู้ตัดสินอีกคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายหญิง หากทั้งสองปรารถนาที่จะประนีประนอมกัน อัลลอฮฺก็จะทรงให้ความสำเร็จในระหว่างทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงสัพพัญญู

{4:36} และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำความดีต่อบิดามารดา และต่อเหล่าญาติที่ใกล้ชิด และเหล่าเด็กกำพร้า และเหล่าผู้ขัดสน และเพื่อนบ้านใกล้เคียง และเพื่อนบ้านที่ห่างไกล และเพื่อนใกล้ชิด และคนเดินทาง และเหล่าผู้ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้ยะโส ผู้โอ้อวด

{4:37} ที่ตระหนี่และสั่งสอนผู้คนให้ตระหนี่ และปกปิดสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์ และเราได้เตรียมการลงโทษที่อัปยศไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

{4:38} และที่บริจาคทรัพย์ของพวกตน เพื่อโอ้อวดผู้คน และทั้งที่พวกเขาก็ไม่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และไม่มีศรัทธาต่อวันปรโลก และผู้ใดที่มีชัยฏอนเป็นคู่ของเขาแล้ว มันก็เป็นคู่ที่เลวร้าย

{4:39} และพวกเขาจะเสียหายอะไรหรือ? หากพวกเขามีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก และได้บริจาคส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และอัลลอฮฺทรงรอบรู้เกี่ยวกับพวกเขา

{4:40} แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงอยุติธรรม แม้จะเพียงเท่าน้ำหนักผงธุลี และถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความดีนั้นเป็นทวีคูณ และทรงประทานรางวัลอันใหญ่หลวงจากที่พระองค์

{4:41} แล้วจะเป็นอย่างใด เมื่อเรานำพยานคนหนึ่งจากแต่ละประชาชาติมา และเราได้นำเธอมาเป็นพยานต่อชนเหล่านี้

{4:42} ในวันนั้น บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและดื้อดึงต่อศาสนทูต ปรารถนาอยากให้แผ่นดินกลบพวกตนจนมิดหายไป และพวกเขาไม่สามารถจะปิดบังคําพูดใด ๆ แก่อัลลอฮฺได้

{4:43} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงอย่าเข้าใกล้การนมาซ ขณะที่พวกเธอกําลังมึนเมาอยู่ จนกว่าพวกเธอจะรู้สิ่งที่พวกเธอพูดจา และก็จงอย่าเข้าใกล้การนมาซ ขณะที่เป็นผู้มีญะนาบะฮฺ นอกจากจะเป็นผู้ที่ผ่านทางไปเท่านั้น จนกว่าพวกเธอจะอาบน้ำ และหากพวกเธอป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง หรือพวกเธอคนหนึ่งคนใดมาจากที่ถ่ายทุกข์ หรือพวกเธอสัมผัสผู้หญิง แล้วพวกเธอไม่พบน้ำ ก็จงมุ่งสู่ดินที่ดี แล้วจงลูบใบหน้าของพวกเธอและมือของพวกเธอ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงยกโทษเสมอ

{4:44} เธอไม่ได้เห็นบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ? โดยที่พวกเขาซื้อเอาความหลงผิดไว้ และต้องการที่จะให้พวกเธอหลงทาง

{4:45} และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งเกี่ยวกับบรรดาศัตรูของพวกเธอ และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงคุ้มครอง และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงช่วยเหลือ

{4:46} ในหมู่ผู้เป็นยิวนั้น มีที่บิดเบือนบรรดาถ้อยคําให้หันเหออกจากที่ของมัน และพวกเขากล่าวว่า "เราได้ยินกันแล้วและเราก็ได้ฝ่าฝืนกันแล้ว และท่านจงฟัง โดยที่ไม่ใช่เป็นผู้ได้ยิน และรออินา" โดยบิดลิ้นของพวกเขาและใส่ร้ายในศาสนา และหากว่าพวกเขากล่าวว่า "เราได้ยินกันแล้ว

และได้เชื่อฟังกันแล้ว" และ "ได้ยินแล้ว" และ "อุนซุรนา" ก็จะดีกว่าสำหรับพวกเขา และเที่ยงตรงกว่า ทว่าอัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งพวกเขา เนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีศรัทธา นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

{4:47} โอ้ บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์! จงมีศรัทธาต่อสิ่งที่เราได้นำลงมาเพื่อยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเธอเถิด ก่อนที่เราจะลบล้างใบหน้า แล้วหมุนมันกลับไปอยู่ด้านหลัง หรือไม่ก็จะสาปแช่งพวกเขา เช่นเดียวกับที่เราได้สาปแช่งบรรดาผู้ที่ละเมิดในวันสับบาโต และพระบัญชาของอัลลอฮฺนั้นย่อมถูกปฏิบัติตามเสมอ

{4:48} แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงอภัยต่อการตั้งภาคีขึ้นแก่พระองค์ และพระองค์ทรงอภัยให้แก่สิ่งอื่นจากนั้นสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดตั้งภาคีขึ้นแก่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวง

{4:49} เธอไม่ได้เห็นเหล่าผู้ที่แก้ตัวดอกหรือ? หามิได้! อัลลอฮฺต่างหากที่จะทรงประกันความบริสุทธิ์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพวกเขาจะไม่ได้รับความอยุติธรรม แม้จะเพียงเท่าขนาดร่องเมล็ดอินทผาลัม

{4:50} จงดูเถิดว่า อย่างใดเล่า ที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ และเพียงพอแล้ว ที่ความเท็จนั้นเป็นบาปอันชัดแจ้ง

{4:51} เธอไม่ได้เห็นบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ? โดยที่พวกเขามีศรัทธาต่อญิบตุ และฏอฆูต และกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า "พวกเขาเหล่านี้แหละเป็นผู้อยู่ในทางที่เที่ยงตรงกว่าบรรดาผู้ที่มีศรัทธา"

{4:52} ชนเหล่านี้คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งพวกเขา และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงสาปแช่งพวกเขาแล้ว เธอจะไม่พบว่ามีผู้ช่วยเหลือสำหรับเขาอีกเลย

{4:53} หรือว่าพวกเขามีส่วนได้ในอํานาจ? ถ้าเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่ให้แก่คนอื่น แม้จะเพียงเท่าขนาดจุดบนเมล็ดอินทผาลัม

{4:54} หรือว่าพวกเขาอิจฉาคนอื่นในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์ แท้จริงนั้นพระองค์ได้ประทานคัมภีร์และวิทยญาณให้แก่วงศ์วานของอิบรอฮีมมาแล้ว และได้ทรงประทานอํานาจอันยิ่งใหญ่แก่พวกเขา

{4:55} แล้วในหมู่พวกเขามีผู้มีศรัทธาต่อเขา และในหมู่พวกเขามีผู้ที่ขัดขวางเขา และเพียงพอแล้วที่นรกญะฮันนัมเป็นเปลวเพลิงอันโชติช่วง

{4:56} แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของเรานั้น เราจะเอาพวกเขาเข้าไปในเพลิงนรก คราใดที่ผิวหนังของพวกเขาสุก เราก็เปลี่ยนผิวหนังอื่นให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:57} และบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และประกอบคุณงามความดีนั้น เราจะให้พวกเขาเข้าในบรรดาสวนสวรรค์ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านจากเบื้องล่างของมัน เป็นอมตะอยู่ในนั้น ซึ่งในนั้นพวกเขาจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ และเราจะให้พวกเขาเข้าอยู่ในร่มเงาอันร่มเย็น

{4:58} แท้จริงอัลลอฮฺบัญชาพวกเธอให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของ ๆ มัน และเมื่อพวกเธอตัดสินระหว่างผู้คน พวกเธอก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺทรงชี้นำพวกเธอด้วยสิ่งซึ่งดีแท้ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงเห็น

{4:59} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงภักดีต่ออัลลอฮฺ และภักดีต่อศาสนทูต และผู้ปกครองในหมู่พวกเธอเถิด แต่ถ้าพวกเธอขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺและศาสนทูต หากพวกเธอศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง

{4:60} เธอไม่ได้เห็นดอกหรือ บรรดาผู้ที่อ้างว่า พวกเขามีศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เธอและสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเธอ? โดยที่พวกเขาต้องการที่จะมอบหมายการพิพากษาให้แก่ฏอฆูต ทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกบัญชาให้ปฏิเสธมัน และชัยฏอนนั้นต้องการที่จะให้พวกเขาหลงทางห่างไกล

{4:61} และเมื่อมีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "พวกเธอจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา และยังศาสนทูตเถิด" เธอก็ได้เห็นพวกคนสับปลับเหล่านั้นผินหลังให้แก่เธออย่างจริงจัง

{4:62} แล้วไฉนเมื่อมีเหตุร้ายประสบแก่พวกเขา เนื่องจากสิ่งที่มือของพวกเขาเองได้ประกอบขึ้น แล้วพวกเขาก็มาหาเธอโดยสาบานต่ออัลลอฮฺว่า "พวกเราไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากการทำความดีและให้มีการปรองดองกันเท่านั้น"

{4:63} ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่อัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของพวกเขา ดังนั้นเธอจงผินหลังให้แก่พวกเขา และจงตักเตือนพวกเขา และจงพูดกับพวกเขาในเรื่องตัวของพวกเขาด้วยคำพูดอันคมคาย

{4:64} และเราไม่ได้ส่งศาสนทูตคนใดมา นอกจากเพื่อให้เป็นที่ภักดีด้วยพระอนุมัติของอัลลอฮฺ และหากว่าพวกเขา ขณะที่ทุจริตต่อตนเอง ได้มาหาเธอ แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮฺ และศาสนทูตก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้ว แน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่า อัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:65} ไม่ดอก! ขอสาบานด้วยพระเจ้าของเธอ ว่าพวกเขาจะยังไม่มีศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เธอพิพากษาในสิ่งที่ขัดแย้งระหว่างกัน แล้วพวกเขาไม่พบความอึดอัดในใจของตนจากสิ่งที่เธอได้พิพากษา และยอมจํานนโดยดี

{4:66} และหากว่าเราได้กําหนดแก่พวกเขาว่า "พวกเธอจงฆ่าตัวของพวกเธอเอง หรือจงออกไปจากหมู่บ้านของพวกเธอ" พวกเขาก็ไม่ทำตามกําหนดนั้น นอกจากเพียงส่วนน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขาได้กระทำตามสิ่งที่พวกเขาได้รับการชี้นำแล้ว แน่นอนก็เป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเขาเอง และเป็นสี่งที่ยิ่งยึดเหนี่ยวให้มั่นคง

{4:67} และถ้าเช่นนั้นแล้ว แก่พวกเขา เราก็จะให้รางวัลอันใหญ่หลวงจากที่เรา

{4:68} และแก่พวกเขา เราก็จะชี้นำทางอันเที่ยงตรง

{4:69} และผู้ใดที่ภักดีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตแล้ว ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานพวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดามรณสักขี

และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นมิตรที่ดี

{4:70} ความโปรดปรานดังกล่าวนั้นมาจากอัลลอฮฺ และเพียงพอแล้ว ที่อัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงรอบรู้

{4:71} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงยึดถือการระมัดระวังของพวกเธอ แล้วจงออกไปเป็นหมู่เหล่าหรือออกไปด้วยกันทั้งปวง

{4:72} และแท้จริงในหมู่พวกเธอนั้นมีผู้ที่ชักช้าอยู่ หากมีเหตุร้ายประสบแก่พวกเธอ เขาก็กล่าวว่า "อัลลอฮฺได้ทรงกรุณาแก่ฉัน ที่ฉันไม่ได้ร่วมอยู่กับพวกเขา"

{4:73} และถ้าหากว่ามีความกรุณาจากอัลลอฮฺได้ประสบกับพวกเธอแล้ว เขาก็จะพูดประหนึ่งไม่เคยมีความรักระหว่างพวกเธอกับเขา ว่า "โอ้ ถ้าฉันได้ร่วมอยู่กับพวกเขาก็คงจะดี! แล้วฉันก็จะได้มีชัยชนะอย่างใหญ่หลวง"

{4:74} บรรดาผู้แลกเอาปรโลกด้วยชีวิตโลกนี้ จงสู้รบในทางของอัลลอฮฺเถิด และผู้ใดสู้รบในทาง

ของอัลลอฮฺ แล้วเขาถูกสังหารหรือได้รับชัยชนะ เราก็จะประทานรางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขา

{4:75} แล้วไฉนเล่าพวกเธอไม่สู้รบในทางของอัลลอฮฺ ทั้ง ๆ ที่บรรดาผู้ถูกกดขี่ ทั้งชายและหญิงและเด็ก ๆ ต่างกล่าวกันว่า "พระเจ้าของพวกข้า! โปรดนำพวกข้าฯออกไปจากเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองเป็นผู้ข่มเหงรังแก และโปรดแต่งตั้งผู้คุ้มครองสักคนจากที่พระองค์ให้แก่พวกข้าฯ และโปรดแต่งตั้งผู้ช่วยเหลือสักคนจากที่พระองค์ให้แก่พวกข้าฯ"

{4:76} บรรดาผู้ที่มีศรัทธานั้น พวกเขาจะต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาจะต่อสู้ในหนทางของฏอฆูต ดังนั้นพวกเธอจงต่อสู้บรรดาสมุนของชัยฏอนเถิด แท้จริงอุบายของชัยฏอนนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนแอ

{4:77} เธอไม่ได้เห็นดอกหรือ? บรรดาผู้ที่ถูก(ตักเตือน)ว่า "จงระงับมือของพวกเธอก่อนเถิด และจงนมาซ และจงชําระซะกาต" ครั้นเมื่อการสู้รบได้ถูกกําหนดขึ้นแก่พวกเขา ทันใดนั้นกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็กลัวผู้คน เสมือนกับการกลัวอัลลอฮฺ หรือกลัวยิ่งกว่านั้น และพวกเขากล่าวว่า "พระเจ้าของพวกข้า! เพราะเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกําหนดการสู้รบขึ้นแก่พวกข้า? พระองค์จะทรงเลื่อนกําหนดเวลาอีกสักหน่อยให้แก่พวกข้าไม่ได้หรือ?" จงกล่าวเถิด "ความสุขแห่งโลกนี้มีเพียงเล็กน้อย และปรโลกนั้นดียิ่งกว่าสำหรับผู้ที่ยำเกรง และพวกเธอจะไม่ได้รับความอยุติธรรม แม้จะเพียงเท่าขนาดร่องเมล็ดอินทผาลัม"

{4:78} ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเธออยู่ ความตายก็ย่อมมาถึงพวกเธอ และแม้ว่าพวกเธอจะอยู่ในป้อมปราการอันสูงตระหง่านก็ตาม และหากมีความดีอันใดมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า สิ่งนี้มาจากอัลลอฮฺ และหากมีความเลวร้ายอันใดมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า สิ่งนี้มาจากเธอ จงกล่าวเถิด "ทุกอย่างนั้นมาจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น" แล้วไฉนชนพวกนี้จึงแทบจะไม่เข้าใจคําพูดเล่า?

{4:79} ความดีอันใดที่ประสบแก่เธอนั้นมาจากอัลลอฮฺ และความเลวร้ายอันใดที่ประสบแก่เธอนั้นมาจากตัวของเธอเอง และเราได้ส่งเธอไปเป็นศาสนทูตแก่ปวงมนุษย์ และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน

{4:80} ผู้ใดภักดีต่อศาสนทูต แน่นอนเขาก็ภักดีต่ออัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็ไม่ได้ส่งเธอมาในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาดอก

{4:81} และพวกเขากล่าวว่า "ภักดี" แต่เมื่อพวกเขาออกไปจากเธอ ตกค่ำพวกเขากลุ่มหนึ่งก็ได้เปลี่ยนแปลงคำพูด เป็นอื่นจากที่เธอพูด และอัลลอฮฺจะทรงบันทึกสิ่งที่พวกเขาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจงเพิกเฉยต่อพวกเขา และจงมอบหมายต่ออัลลอฮฺเถิด และเพียงพอแล้ว ที่อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ได้รับมอบหมาย

{4:82} พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ? หากว่ามันมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอนพวกเขาก็จะพบว่า ในนั้นมีความขัดแย้งกันอย่างมากมาย

{4:83} และเมื่อมีเรื่องหนึ่งเรื่องใดมายังพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความสงบปลอดภัยหรือความหวาดกลัว พวกเขาก็จะแพร่มันออกไป และหากว่าพวกเขาให้มันกลับไปยังศาสนทูตและยังผู้ปกครองการงานในหมู่พวกเขาแล้ว แน่นอนบรรดาผู้ที่วินิจฉัยมันในหมู่พวกเขาก็ย่อมรู้มันได้ และหากไม่ใช่เพราะความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเธอ และความเมตตาของพระองค์แล้ว แน่นอน พวกเธอก็คงปฏิบัติตามชัยฏอนกัน ยกเว้นคนส่วนน้อยเท่านั้น

{4:84} เธอจงสู้รบในหนทางของอัลลอฮฺเถิด โดยที่เธอไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องรับภาระของผู้ใด นอกจากตัวของเธอเอง และจงปลุกใจบรรดาผู้ที่มีศรัทธา อัลลอฮฺอาจจะทรงยับยั้งกําลังรบของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และอัลลอฮฺทรงเข้มแข็งกว่าในแสนยานุภาพ และทรงรุนแรงกว่าในการลงโทษ

{4:85} ผู้ใดที่ให้ความช่วยเหลือทางดี ส่วนได้จากความดีนั้นก็จะเป็นของตน และผู้ใดให้ความช่วยเหลือทางชั่วร้าย ส่วนเสียจากความชั่วนั้นก็จะเป็นของตน และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{4:86} และเมื่อพวกเธอได้รับการคารวะ ด้วยการคารวะใด ๆ ก็ตาม ก็จงคารวะตอบด้วยวิธีที่ดีกว่า หรือตอบกลับด้วยวิธีที่เท่าเทียมกัน แท้จริงอัลลอฮฺทรงคํานวณนับในทุกสรรพสิ่ง

{4:87} อัลลอฮฺนั้น ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ แน่นอน พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเธอสู่วันฟื้นคืนชีพ ซึ่งไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้ และผู้ใดเล่าที่จะทรงสัตย์ในคำพูดยิ่งกว่าอัลลอฮฺ

{4:88} ไฉนพวกเธอได้กลายเป็นสองพวก ในเรื่องของพวกคนสับปลับเล่า? และอัลลอฮฺได้ทรงให้พวกเขากลับสู่สภาพเดิมแล้ว เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ พวกเธอต้องการที่จะชี้นำผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงปล่อยให้หลงผิดใช่ไหม? และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้หลงผิด เธอก็จะไม่พบหนทางใดสำหรับเขาอีกเลย

{4:89} พวกเขาหวังกันว่า พวกเธอจะปฏิเสธศรัทธา ดั่งที่พวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธา พวกเธอก็จะได้เท่าเทียมกัน ดังนั้นจงอย่าได้ยึดเอาผู้ใดในหมู่พวกเขาเป็นมิตร จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปในทาง

ของอัลลอฮฺ แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ ก็จงจับกุมพวกเขาและจงสังหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเธอพบเจอพวกเขา และจงอย่าเอาผู้ใดเลยในหมู่พวกเขาเป็นมิตรและเป็นผู้ช่วยเหลือ

{4:90} นอกจากบรรดาผู้ที่ติดต่ออยู่กับพวกหนึ่ง ซึ่งระหว่างพวกเธอกับพวกนั้นมีพันธะสัญญาอยู่ หรือบรรดาผู้ที่มาหาพวกเธอ โดยที่หัวอกของพวกเขาอัดอั้นต่อการที่พวกเขาจะสู้รบกับพวกเธอ หรือสู้รบกับหมู่ชนของพวกเขาเอง และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ก็คงได้ทรงให้พวกเขามีอํานาจเหนือพวกเธอและพวกเขาก็คงสู้รบกับพวกเธอแล้ว แต่ถ้าพวกเขาออกห่างพวกเธอ โดยที่ไม่ได้ทำการสู้รบกับพวกเธอ และได้เจรจากับพวกเธอเพื่อประนีประนอม อัลลอฮฺก็ไม่ทรงเปิดทางให้พวกเธอปราบปรามพวกเขา

{4:91} พวกเธอจะพบพวกอื่นอีก โดยพวกเขาปรารถนาที่จะพ้นภัยจากพวกเธอ และพ้นภัยจากหมู่ชนของพวกตน คราใดที่พวกเขาถูกส่งกลับสู่การทดสอบ พวกเขาก็ถูกนำกลับไปอยู่ในนั้นตามเดิม ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่ได้ถอยห่างจากพวกเธอไป และไม่ได้เจรจาเพื่อประนีประนอมกับพวกเธอ และไม่ได้ระงับมือของพวกตนแล้ว ก็จงจับกุมพวกเขาและจงสังหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเธอพบเจอพวกเขา และชนเหล่านี้แหละ เราได้ให้พวกเธอมีอํานาจอันชัดเจนที่จะปราบปรามพวกเขา

{4:92} และไม่ใช่วิสัยของผู้มีศรัทธาที่จะสังหารผู้มีศรัทธา นอกจากว่าไม่ได้มีใจเจตนา และผู้ใดที่สังหารผู้มีศรัทธาโดยไม่ได้มีใจเจตนา ก็ให้มีการปล่อยทาสที่มีศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท และให้มีค่าทำขวัญ ที่ส่งมอบให้แก่ครอบครัวของเขา นอกจากว่าครอบครัวของเขาจะยกให้เป็นทาน แต่ถ้าหากเขาอยู่ในหมู่ชนที่เป็นศัตรูของพวกเธอ โดยที่เขาเป็นผู้มีศรัทธา ก็ให้มีการปล่อยทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท และถ้าเขาอยู่ในหมู่ชนที่มีพันธะสัญญาระหว่างพวกเธอกับพวกเขา ก็ให้มีการทำขวัญ ที่ส่งมอบให้แก่ครอบครัวของเขา และให้มีการปล่อยทาสที่มีศรัทธาคนหนึ่ง ผู้ใดที่ไม่พบ ก็ให้มีการถือศีลอดสองเดือนต่อเนื่องกัน เป็นการไถ่โทษจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน

{4:93} และผู้ใดสังหารผู้มีศรัทธาโดยจงใจ การตอบแทนแก่เขาก็คือนรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น และอัลลอฮฺก็ทรงกริ้วโกรธเขา และทรงสาปแช่งเขา และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง

{4:94} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! เมื่อพวกเธอเดินทางไปในทางของอัลลอฮฺ ก็จงตรวจสอบให้ชัดแจ้งเสียก่อน และจงอย่ากล่าวแก่ผู้ที่กล่าวสะลามแก่พวกเธอว่า "ท่านไม่ใช่ผู้มีศรัทธา" เพียงเพื่อแสวงหาลาภเล็กน้อยแห่งชีวิตโลกนี้ แต่ ณ ที่อัลลอฮฺนั้นมีโชคลาภอันมากมาย ในทำนองเดียวกันนั้น พวกเธอก็เคยเป็นมาก่อน แล้วอัลลอฮฺได้ทรงโปรดปรานพวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจงตรวจสอบให้ชัดแจ้งเสียก่อน แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{4:95} ในบรรดาศรัทธาชน พวกที่นั่งอยู่กับที่ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้มีความจำเป็น และบรรดาผู้ต่อสู้และเสียสละในทางของอัลลอฮฺ ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกตนและชีวิตของพวกตนนั้น ย่อมไม่เท่าเทียมกัน อัลลอฮฺทรงเชิดชูบรรดาผู้ที่ต่อสู้และเสียสละด้วยทรัพย์สมบัติของพวกตนและชีวิตของพวกตน เหนือกว่าบรรดาผู้ที่นั่งอยู่กับที่ขั้นหนึ่ง และทั้งหมดนั้น อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาว่าจะให้สิ่งที่ดีเยี่ยม แต่อัลลอฮฺทรงเชิดชูบรรดาผู้ที่ต่อสู้และเสียสละเหนือกว่าบรรดาผู้ที่นั่งอยู่กับที่ ด้วยรางวัลอันใหญ่หลวง

{4:96} ฐานันดรหลายขั้นจากพระองค์ และการอภัยโทษและความเมตตา และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:97} แท้จริงบรรดาผู้ที่มะลาอิกะฮฺได้เอาชีวิตของพวกเขาไป โดยที่พวกเขาเป็นผู้ทุจริตต่อตนเองนั้น มะลาอิกะฮฺได้กล่าวว่า "พวกเธอเคยอยู่ในสภาพใด?" พวกเขากล่าวว่า "พวกเราเป็นผู้ที่ถูกกดขี่ในแผ่นดิน" มะลาอิกะฮฺกล่าวว่า "แผ่นดินของอัลลอฮฺไม่ได้กว้างขวาง เพื่อที่พวกเธอจะได้อพยพไปในนั้นดอกหรือ?" ชนเหล่านี้แหละ ที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับคืนอันเลวร้าย

{4:98} นอกจากบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่ ทั้งชายและหญิงและเด็ก ๆ ที่ไม่สามารถออกอุบายใด ๆ ได้เลย อีกทั้งไม่รู้ทางไป

{4:99} ชนเหล่านี้แหละ อัลลอฮฺอาจจะทรงยกโทษให้แก่พวกเขา และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงยกโทษเสมอ

{4:100} และผู้ใดที่อพยพไปในทางของอัลลอฮฺ เขาก็จะพบว่าในผืนแผ่นดินมีสถานที่ลี้ภัยอันมากมายอีกทั้งความมั่งคั่ง และผู้ใดที่ออกจากบ้านของตนไปในฐานะผู้อพยพไปยังอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ แล้วความตายมาถึงเขา แน่นอนรางวัลของเขานั้นย่อมมีอยู่ ณ อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:101} และเมื่อพวกเธอเดินทางไปในผืนแผ่นดิน ก็ไม่เป็นความผิดอันใดแก่พวกเธอในการที่พวกเธอจะบั่นทอนการนมาซให้สั้นลง หากพวกเธอกลัวว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะข่มเหงรังแกพวกเธอ แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น เป็นศัตรูอันชัดเจนแก่พวกเธอ

{4:102} และเมื่อเธออยู่ในหมู่พวกเขา แล้วเธอได้ให้มีการปฏิบัตินมาซขึ้นแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขากลุ่มหนึ่งก็จงยืนนมาซร่วมกับเธอ พวกเขาก็จงจับอาวุธของพวกตน ครั้นเมื่อพวกเขากราบแล้ว พวกเขาก็จงอยู่เบื้องหลังของพวกเธอ และอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่ได้นมาซก็จงมา และจงนมาซร่วมกับเธอ และพวกเขาจะต้องจับตาเฝ้าระวังและจับอาวุธของพวกตน บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นปรารถนาหากว่าพวกเธอละเลยอาวุธของพวกเธอและสัมภาระของพวกเธอ พวกเขาก็จะได้จู่โจมพวกเธออย่างรวดเดียว และไม่เป็นความผิดแก่พวกเธอ ในการที่พวกเธอจะวางอาวุธของพวกเธอ หากว่าพวกเธอมีความยากลำบากเนื่องจากฝนตก หรือพวกเธอเจ็บป่วย แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเตรียมการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย

{4:103} ครั้นเมื่อพวกเธอเสร็จจากการนมาซแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพที่พวกเธอนอนเอกเขนก ครั้นเมื่อพวกเธอปลอดภัยแล้ว ก็จงดํารงการนมาซ แท้จริงการนมาซนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกําหนดเวลาไว้แก่บรรดาผู้ที่มีศรัทธา

{4:104} และพวกเธอจงอย่าท้อแท้ในการติดตามเสาะหาชนพวกนั้น หากพวกเธอเจ็บปวด พวกเขาก็เจ็บปวดเช่นเดียวกับพวกเธอ แต่พวกเธอหวังจากอัลลอฮฺ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาไม่หวัง และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:105} แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์ลงมาแก่เธอเป็นความจริง เพื่อเธอจะได้พิพากษาระหว่างผู้คนด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงเปิดเผยสำแดงให้เธอรู้เห็น และเธอจงอย่าเป็นผู้เถียงแทนผู้บิดพลิ้วทั้งหลาย

{4:106} และเธอจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:107} และเธอจงอย่าโต้เถียงแทนบรรดาผู้ที่บิดพลิ้วต่อตนเองเลย แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้ที่

เคยบิดพลิ้ว ที่เคยกระทำบาป

{4:108} พวกเขาอาจจะปกปิดให้พ้นจากปวงมนุษย์ได้ แต่พวกเขาไม่อาจจะปกปิดให้พ้นจากอัลลอฮฺ เพราะพระองค์ร่วมอยู่กับพวกเขา ขณะที่พวกเขากระซิบกระซาบคำพูดที่พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย และอัลลอฮฺนั้นทรงล้อมรอบสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

{4:109} ก็พวกเธอนี้แหละได้โต้เถียงแทนพวกเขาในชีวิตโลกนี้ แล้วผู้ใดเล่าที่จะโต้เถียงกับอัลลอฮฺแทนพวกเขาในวันฟื้นคืนชีพ หรือว่าผู้ใดเล่าจะเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาพวกเขา

{4:110} และผู้ใดที่กระทำความชั่วหรือทุจริตต่อตัวเอง แล้วเขาขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ เขาก็จะพบว่าอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระทรงมีปรีชาญาณ

{4:111} และผู้ใดที่แสวงหาบาปกรรม อันที่จริงเขาก็แสวงหามันไว้แก่ตนเอง และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระทรงมีปรีชาญาณ

{4:112} และผู้ใดที่แสวงหาความผิดหรือบาปกรรม แล้วก็โยนบาปกรรมนั้นให้แก่ผู้บริสุทธิ์ แน่นอนเขาได้แบกความเท็จและบาปกรรมอันชัดเจนไว้

{4:113} และหากไม่ใช่เพราะความโปรดปรานของอัลลอฮฺและความเมตตาของพระองค์แก่เธอแล้ว แน่นอนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาก็มุ่งหวังที่จะหลอกลวงเธอให้หลงผิด แต่พวกเขาไม่อาจจะหลอกลวงผู้ใดให้หลงผิดได้ นอกจากตัวของพวกเขาเอง และพวกเขาก็ไม่อาจจะทำอันตรายแก่เธอได้แต่อย่างใด และอัลลอฮฺได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เธอ และวิทยญาณ และได้ทรงสอนเธอในสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน และความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีแก่เธอนั้นใหญ่หลวงนัก

{4:114} ไม่มีความดีอันใดดอกในการพูดซุบซิบอันมากมายของพวกเขา นอกจากผู้ที่สั่งให้ทำทานหรือสั่งให้ทำสิ่งที่ดีงาม หรือให้ประนีประนอมระหว่างผู้คน และผู้ใดกระทำดังกล่าว เพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺแล้ว เราจะให้รางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขา

{4:115} และผู้ใดที่ฝ่าฝืนศาสนทูตหลังจากที่การชี้นำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามทางที่ไม่ใช่ของบรรดาผู้ที่มีศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามทิศทางที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับคืนอันเลวร้าย

{4:116} แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การตั้งภาคีแก่พระองค์ แต่พระองค์จะทรง

อภัยโทษให้แก่สิ่งอื่นจากนั้นสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดตั้งภาคีขี้นแก่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอน เขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างห่างไกล

{4:117} พวกเขาจะไม่วิงวอนขออื่นจากพระองค์ นอกจากเจว็ดหญิง และพวกเขาจะไม่วิงวอนขอ นอกจากชัยฏอนที่ดื้อรั้นเท่านั้น

{4:118} อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งมันแล้ว และมันได้กล่าวว่า "ข้าฯจะต้องเอาจากเหล่าบ่าวของพระองค์ให้ได้ส่วนที่ถูกกําหนดไว้"

{4:119} "และข้าฯจะต้องหลอกลวงพวกเขาให้หลงผิด และข้าฯจะต้องทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และข้าฯจะต้องสั่งพวกเขา แล้วพวกเขาก็ต้องผ่าหูปศุสัตว์ และข้าฯจะสั่งพวกเขา แล้วพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้าง และผู้ใดที่ยึดเอาชัยฏอนเป็นผู้ช่วยเหลือแล้ว แน่นอนเขาก็สูญเสียอย่างชัดเจน"

{4:120} มันจะสัญญากับพวกเขา และจะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และชัยฏอนจะไม่สัญญานอกจากการหลอกลวงเท่านั้น

{4:121} ชนเหล่านี้แหละ ที่พำนักของพวกเขาก็คือนรกญะฮันนัม และพวกเขาจะไม่พบทางหนีจากมันได้เลย

{4:122} และบรรดาผู้ที่มีศรัทธาและประกอบสิ่งดีงามทั้งหลายนั้น เราจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านจากเบื้องใต้ของมัน เป็นอมตะอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร เป็นสัญญาอันแท้จริงของอัลลอฮฺ และผู้ใดเล่าที่สัตย์จริงในคำพูดยิ่งไปกว่าอัลลอฮฺ

{4:123} ไม่ใช่ความเพ้อฝันของพวกเธอ และไม่ใช่ความเพ้อฝันของผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ผู้ใดที่กระทำชั่วเขาก็ถูกตอบแทนด้วยความชั่วนั้น และเขาจะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือ อื่นจากอัลลอฮฺเลย

{4:124} และผู้ใดประกอบคุณงามความดี ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้มีศรัทธา ชนเหล่านี้จะได้เข้าบรรดาสวนสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ได้รับความอยุติธรรม แม้จะเพียงเท่าขนาดรูที่เมล็ดอินทผาลัม

{4:125} และผู้ใดเล่าจะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของตนให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ประพฤติดี และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม ผู้ใฝ่หาความสัตย์จริง และอัลลอฮฺได้ทรงถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย

{4:126} และสิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงล้อมทุกสรรพสิ่งไว้

{4:127} และพวกเขาจะขอให้เธอชี้ขาดในเรื่องของบรรดาสตรี จงบอกเถิดว่า "อัลลอฮฺจะทรงชี้ขาดให้แก่พวกเธอในเรื่องของนางเหล่านั้น และสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์นั้น ที่ถูกอ่านให้พวกเธอฟัง ในเรื่องของหญิงกำพร้าที่พวกเธอไม่ได้ให้แก่พวกนางซึ่งสิ่งที่ถูกกําหนดขึ้นแก่พวกนาง ในขณะที่พวกเธอปรารถนาจะสมรสกับพวกนาง และในเรื่องของบรรดาผู้อ่อนแอในหมู่เด็ก ๆ และในการที่พวกเธอจะดํารงความยุติธรรมแก่บรรดาเด็กกําพร้า และความดีอันใดก็ตามที่พวกเธอกระทำไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้ในความดีนั้น"

{4:128} และหากสตรีใดเกรงว่าจะมีการปึ่งชาหรือมีการผินหลังให้จากสามีของนางแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับทั้งสองที่จะตกลงประนีประนอมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า และจิตใจคนนั้นถูกทำให้มีความตระหนี่ติดมาด้วย และหากพวกเธอกระทำความดี และมีความยำเกรงแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{4:129} และพวกเธอไม่อาจจะให้ความยุติธรรมในระหว่างบรรดาภารยาได้ดอก ถึงแม้ว่าพวกเธอจะมุ่งมั่นตั้งใจก็ตาม ดังนั้นพวกเธอจงอย่าลำเอียงเข้าข้างเดียว แล้วก็ปล่อยให้นางอีกคนนั้น ประหนึ่งผู้ที่ถูกแขวนไว้ และหากพวกเธอประนีประนอมกัน และมีความยำเกรงแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:130} และหากทั้งสองจะแยกกัน อัลลอฮฺก็จะทรงประทานความพอเพียงแก่เขาทั้งคู่ จากความมั่งมี

ของพระองค์ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:131} และสิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และแท้จริงเราได้สั่งเสียไว้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเธอและพวกเธอด้วย ว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และหากพวกเธอปฏิเสธศรัทธา ก็แท้จริงสิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงมั่งมี พระผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญ"

{4:132} และสิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และเพียงพอแล้ว ที่อัลลอฮฺทรงได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา

{4:133} หากพระองค์ทรงประสงค์ก็จะทรงขจัดพวกเธอจนหมดไป โอ้ ปวงมนุษย์! และจะทรงนำพวกอื่นมา และอัลลอฮฺทรงมีอำนาจเหนือสิ่งนั้น

{4:134} ผู้ใดที่ต้องการสิ่งตอบแทนในโลกนี้ ก็ที่อัลลอฮฺนั้นมีทั้งสิ่งตอบแทนในโลกนี้และปรโลก และอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงเห็น

{4:135} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงเป็นผู้ที่ดํารงความยุติธรรม จงเป็นสักขีพยานเพื่ออัลลอฮฺ และ(ไม่ลำเอียง)แม้ว่าจะ(เป็นสักขีพยาน)แก่ตัวของพวกเธอเอง หรือบิดามารดาและญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม แม้จะเป็นคนมั่งมีหรือคนยากจน อัลลอฮฺก็สมควรยิ่งกว่าเขาทั้งสอง ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติตามอารมณ์แล้วไม่ยุติธรรม และหากพวกเธอบิดเบือนหรือผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเธอกระทำกัน

{4:136} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์

และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ศาสนทูตของพระองค์ และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนหน้านั้น และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และวันปรโลก แน่นอนเขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างห่างไกล

{4:137} แท้จริงบรรดาผู้ที่มีศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วมีศรัทธา แล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วเพิ่มการปฏิเสธศรัทธายิ่งขึ้นนั้น อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และพระองค์จะไม่ทรงชี้นำทางใดให้แก่พวกเขา

{4:138} จงแจ้งข่าวดีแก่พวกคนสับปลับเถิดว่า พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

{4:139} (นั่นคือ)บรรดาผู้ที่ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดาผู้ที่มีศรัทธา พวกเขาจะแสวงหากําลังอํานาจที่พวกเขากระนั้นหรือ แท้จริงกําลังอํานาจทั้งมวลนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ

{4:140} และแน่นอนอัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเธอแล้วในคัมภีร์นั้นว่า หากพวกเธอได้ยินบรรดาโองการของอัลลอฮฺนั้นถูกปฏิเสธศรัทธาและถูกเย้ยหยัน พวกเธอก็จงอย่านั่งร่วมกับพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในเรื่องอื่นจากนั้น มิฉะนั้นแล้ว พวกเธอก็เหมือนพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรวบรวมบรรดาคนสับปลับและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไว้ในนรกญะฮันนัมด้วยกันทั้งปวง

{4:141} (นั่นคือ)บรรดาผู้ที่คอยสอดส่องดูพวกเธอ ถ้าหากพวกเธอได้รับชัยชนะจากอัลลอฮฺ พวกเขาก็กล่าวว่า "เราไม่ได้ร่วมอยู่กับพวกท่านดอกหรือ?" และหากผู้ปฏิเสธศรัทธาได้เปรียบ พวกเขาก็กล่าวว่า "เราไม่ได้มีอํานาจเหนือพวกท่านดอกหรือ? และเราไม่ได้ป้องกันพวกท่านให้พ้นจากบรรดาศรัทธาชนดอกหรือ?" อัลลอฮฺจะทรงพิพากษาระหว่างพวกเธอในวันฟื้นคืนชีพ และอัลลอฮฺจะไม่ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามีหนทางเหนือบรรดาผู้ที่มีศรัทธาเป็นอันขาด

{4:142} แท้จริงพวกคนสับปลับนั้นกําลังหลอกลวงอัลลอฮฺอยู่ ขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงหลอกลวงพวกเขา และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นนมาซ พวกเขาก็ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เพื่ออวดให้ผู้คนเห็น

และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ นอกจากเพียงเล็กน้อย

{4:143} โดยที่พวกเขาลังเลใจในระหว่างนั้น ทางพวกนี้ก็ไม่ไป ทางพวกนั้นก็ไม่ไป และผู้ใด

ที่อัลลอฮฺให้หลงทางไปแล้ว เธอก็จะไม่พบหนทางใดสำหรับเขาเป็นอันขาด

{4:144} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร นอกเหนือจากบรรดาผู้ที่มีศรัทธากันเอง พวกเธอต้องการที่จะให้อัลลอฮฺมีหลักฐานอันชัดเจนมาผูกมัดพวกเธอกระนั้นหรือ?

{4:145} แท้จริงบรรดาคนสับปลับนั้นอยู่ในนรกชั้นต่ำสุด และเธอจะไม่พบผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกเขาเป็นอันขาด

{4:146} นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดและปรับปรุงแก้ไข และยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ และได้มอบการเคารพสักการะของพวกตนให้แก่อัลลอฮฺโดยสิ้นเชิง ชนพวกนี้แหละจะร่วมอยู่กับบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และอัลลอฮฺจะทรงประทานรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่ศรัทธาชน

{4:147} เหตุใดอัลลอฮฺจะทรงลงโทษพวกเธอเล่า หากพวกเธอกตัญญูและมีศรัทธา? และอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงขอบพระทัย พระผู้ทรงรอบรู้

{4:148} อัลลอฮฺไม่ทรงชอบการพูดถึงความชั่วร้ายอย่างโจ่งแจ้ง นอกจากผู้ที่ถูกข่มเหง และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้เสมอ

{4:149} แม้ว่าพวกเธอเปิดเผยความดีหรือปกปิดมันไว้ หรือให้อภัยต่อความผิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้น คือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงอานุภาพเสมอ

{4:150} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาศาสนาทูตของพระองค์ และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮฺและบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และกล่าวว่า "เรามีศรัทธาใน

บางคน และปฏิเสธในบางคน" และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาหนทางกึ่งกลางระหว่างนั้น

{4:151} ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาอย่างแท้จริง และแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น เราได้เตรียมการลงโทษที่ยังความอัปยศ

{4:152} และบรรดาผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และไม่ได้แบ่งแยกระหว่างพวกเขาเหล่านั้น ชนเหล่านี้แหละ พระองค์จะทรงประทานรางวัลของพวกเขาแก่พวกเขา และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{4:153} บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์จะขอร้องเธอ ให้เธอนำคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากฟ้าลงมาแก่พวกเขา แท้จริงนั้นพวกเขาได้ขอร้องมูซา ซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นมาแล้ว โดยที่พวกเขากล่าวว่า "จงแสดงให้พวกเราเห็นอัลลอฮฺโดยชัดแจ้งเถิด" แล้วอสุนีบาตก็ได้คร่าพวกเขา เนื่องด้วยความทุจริตของพวกเขา ต่อมาพวกเขาก็ได้ยึดถือลูกวัว หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดเจนได้มายังพวกเขาแล้ว แล้วเราก็อภัยให้ในเรื่องนั้น และเราได้ให้อํานาจอันชัดเจนแก่มูซา

{4:154} และเราได้ยกภูเขาตูรขึ้นเหนือพวกเขา เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาของพวกเขา และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "จงเข้าประตูนั้นด้วยการก้มกราบ" และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "จงอย่าได้ละเมิดในวันสับบาโต" และเราได้เอาสัญญาอันหนักแน่นจากพวกเขา

{4:155} เนื่องด้วยการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกตน และปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺและฆ่าบรรดานบี โดยปราศจากความเป็นธรรม และการที่พวกเขากล่าวว่า "หัวใจของเรามีเปลือกหุ้มอยู่" หามิได้! อัลลอฮฺได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขาต่างหาก เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีศรัทธากัน นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

{4:156} และเนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา และการกล่าวใส่ร้ายแก่มัรยัม ด้วยความเท็จอันมหันต์

{4:157} และการที่พวกเขากล่าวว่า "พวกเราได้สังหารมะซีหฺ อีซา บุตรมัรยัม ศาสนทูตของอัลลอฮฺ" ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้สังหารอีซา และไม่ได้ตรึงเขาบนไม้กางเขน ทว่าถูกทำให้พวกเขาเห็นคลับคล้าย และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขานั้น แน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับเขา พวกเขาไม่มีความรู้อันใดเลยเกี่ยวกับเขา นอกจากคล้อยตามการคาดเดาเท่านั้น และพวกเขาไม่ได้สังหารเขาอย่างแน่นอน

{4:158} หามิได้! อัลลอฮฺได้ทรงยกเขาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:159} และไม่มีชาวคัมภีร์สักคนที่ไม่มีศรัทธาต่ออีซา ก่อนที่เขาจะสิ้นชีพ และวันฟื้นคืนชีพ เขาจะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น

{4:160} แล้วก็เนื่องด้วยความทุจริตจากบรรดาผู้ที่เป็นยิว เราจึงได้บัญญัติห้ามแก่พวกเขาซึ่งบรรดาสิ่งดี ๆ ที่ได้เคยถูกอนุมัติแก่พวกเขา และเนื่องด้วยการที่พวกเขาขัดขวางหนทางของอัลลอฮฺอย่างมากมาย

{4:161} และเนื่องด้วยการที่พวกเขาเอาดอกเบี้ย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกห้ามในเรื่องนั้น และเนื่องด้วยการที่พวกเขากินทรัพย์สินของผู้คนโดยทุจริต และเราได้เตรียมการลงโทษอันเจ็บแสบสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา

{4:162} ทว่าบรรดาผู้ลึกซึ้งในความรู้ในหมู่พวกเขา และบรรดาผู้ที่มีศรัทธานั้น พวกเขาย่อมมีศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เธอ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเธอ และบรรดาผู้ที่ดํารงการนมาซ และบรรดาผู้ที่ชําระซะกาต และบรรดาผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก ชนเหล่านี้ แก่พวกเขา เราจะให้รางวัลอันใหญ่หลวง

{4:163} แท้จริงเราได้เปิดเผยสำแดงแก่เธอ เช่นเดียวกับที่เราได้เคยเปิดเผยสำแดงแก่นูหฺ

และบรรดานบีหลังจากเขา และเราได้มีโองการแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอฺกูบ และวงศ์วานของอิสรออีล และอีซา และอัยยูบ และยูนุส และฮารูน และสุลัยมาน และแก่ดาวูดนั้น เราได้ประทานซะบูร

{4:164} และมีบรรดาศาสนทูต ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เธอมาก่อนแล้ว และมีบรรดาศาสนทูตซึ่งเราไม่ได้เล่าแก่เธอ และอัลลอฮฺได้ตรัสสนทนากับมูซาด้วยคำพูด

{4:165} คือบรรดาศาสนทูตในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและในฐานะผู้ตักเตือน เพื่อว่าปวงมนุษย์จะได้ไม่มีข้ออ้างแก้ตัวต่ออัลลอฮฺได้อีก หลังจากบรรดาศาสนทูตเหล่านั้น และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:166} ทว่าอัลลอฮฺนั้นทรงยืนยันในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เธอว่า พระองค์ได้ทรงประทานสิ่งนั้นมาด้วยความรู้ของพระองค์ และมะลาอิกะฮฺก็ยืนยันด้วย และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงยืนยัน

{4:167} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและขัดขวางทางของอัลลอฮฺนั้น แน่นอนพวกเขาได้หลงทางไปห่างไกล

{4:168} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและทุจริตต่อตัวเองนั้น อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และพระองค์ก็จะไม่ทรงชี้นำทางแก่พวกเขาเลย

{4:169} นอกจากทางแห่งนรกญะฮันนัม โดยที่พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น และนั่นเป็นสิ่งง่ายดายแก่อัลลอฮฺ เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น และอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:170} โอ้ ปวงมนุษย์! แท้จริง ศาสนทูตผู้นั้น ได้นำความสัตย์จริงจากพระเจ้าของพวกเธอมายังพวกเธอแล้ว จงมีศรัทธากันเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเธอ และหากพวกเธอปฏิเสธศรัทธาแล้ว แท้จริงสิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น และอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{4:171} โอ้ ชาวคัมภีร์! จงอย่าปฏิบัติจนเกินขอบเขตในศาสนาของพวกเธอ และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮฺ นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น อันที่จริง อัลมะซีหฺ อีซา บุตรมัรยัมนั้น เป็นเพียงศาสนทูตของอัลลอฮฺและเป็นเพียงพระดํารัสของพระองค์ ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้นจงมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์เถิด และจงอย่ากล่าวว่าสามองค์เลย จงหยุดยั้งเสียเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเธอ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงบริสุทธิ์กว่าการที่จะทรงมีบุตร สิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ทั้งสิ้น และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา

{4:172} อัลมะซีหฺนั้นจะไม่เย่อหยิ่งเป็นอันขาดที่จะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดก็เช่นกัน และผู้ใดเย่อหยิ่งต่อการเคารพสักการะพระองค์และยะโสแล้ว พระองค์ก็จะทรงนำพวกเขามาชุมนุม ณ ที่พระองค์ทั้งหมด

{4:173} ส่วนบรรดาผู้ที่มีศรัทธาและประกอบคุณงามความดีนั้น พระองค์จะทรงตอบแทนรางวัลของพวกเขาให้แก่พวกเขาโดยครบถ้วน และจะทรงเพิ่มจากความโปรดปรานของพระองค์ให้แก่พวกเขาส่วนบรรดาผู้ที่หยิ่งยะโสนั้น พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ และนอกเหนือจากอัลลอฮฺแล้ว พวกเขาจะไม่พบผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกตนอีกเลย

{4:174} โอ้ ปวงมนุษย์! แน่นอนได้มีหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเธอมายังพวกเธอแล้ว และเราประทานแสงสว่างอันแจ่มแจ้งลงมาแก่พวกเธอ

{4:175} ส่วนบรรดาผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และยึดมั่นในพระองค์นั้น พระองค์จะทรงนำพวกเขาเข้าอยู่ในความเมตตาและความโปรดปรานจากพระองค์ และแก่พวกเขา จะทรงชี้นำหนทางอันเที่ยงตรงไปสู่พระองค์

{4:176} เขาเหล่านั้นจะขอให้เธอชี้ขาดปัญหา จงกล่าวเถิดว่า "อัลลอฮฺจะทรงชี้ขาดให้แก่พวกเธอในเรื่องของผู้เสียชีวิตที่ไม่มีบิดาและบุตร คือถ้าชายคนหนึ่งเสียชีวิต โดยที่เขาไม่มีบุตร แต่มีพี่น้องเพศหญิงคนหนึ่ง นางก็จะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของมรดกที่เขาได้ทิ้งไว้ และขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับมรดกของนาง นั่นถ้าหากนางไม่มีบุตร แต่ถ้าพี่น้องเพศหญิงของเขามีด้วยกันสองคน ทั้งสองนั้นจะได้รับส่วนแบ่งสองในสามจากมรดกที่เขาได้ทิ้งไว้ แต่ถ้าพวกเขาเป็นพี่น้องหลายคนทั้งชายและหญิง สำหรับชายจะได้รับเท่ากับส่วนแบ่งของหญิงสองคน ที่อัลลอฮฺทรงแจกแจงแก่พวกเธอนั้น เพื่อพวกเธอจะได้ไม่หลงผิด และอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง"