สัตว์สวนครู
กศน.อำเภอหาดใหญ่
กศน.อำเภอหาดใหญ่
ปลานิล
ปลานิล เป็นปลาที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่าปลานิลมีประวัติศาสตร์ และมีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ถึงสองพระองค์ นั่นก็คือ กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีไทยและจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น
นับย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2508 สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโต เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ทรงจัดปลานิลจำนวน 50 ตัว ความยาวเฉลี่ยตัวละประมาณ 9 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 14 กรัม ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อดินเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางเมตร ภายในบริเวณสวนจิตรลดา
เมื่อเลี้ยงได้สักระยะปรากฎว่ามีลูกปลาเกิดขึ้นจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่ขุดบ่อขึ้นใหม่อีก 6 บ่อ เนื้อที่เฉลี่ยบ่อละประมาณ 70 ตารางเมตร และได้ทรงย้ายพันธุ์ปลาด้วยพระองค์เอง จากบ่อเดิมไปปล่อยในบ่อใหม่ทั้ง 6 บ่อ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2508 ต่อจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมประมงจัดส่งเจ้าหน้าที่วิชาการมาตรวจสอบการเจริญเติบโตเป็นประจำทุกเดือน
เมื่อทรงเลี้ยงไปสักระยะ ทรงสังเกตเห็นว่าปลานิลเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ออกลูกดก เจริญเติบโตได้รวดเร็ว จึงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ปลานิลนี้แพร่ขยายพันธุ์ อันจะเป็นประโยชน์แก่พสกนิกรของพระองค์ ดังนั้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2509 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อปลานิลนี้ว่า "ปลานิล"
ปลานิลมีถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมมาจากแม่น้ำไนล์ (Nile) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Tilapia nilotica และได้พระราชทานปลานิลขนาดยาว 3-5 เซนติเมตร จำนวน 10,000 ตัว แก่กรมประมงนำไปเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในบริเวณสถานีประมงต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์พร้อมกัน เมื่อปลานิลแพร่ขยายพันธุ์ออกไปได้มากเพียงพอแล้ว จึงได้แจกจ่ายให้แก่ราษฎรนำไปเพาะเลี้ยงตามความต้องการต่อไป
นั่นคือประวัติการเดินทางคร่าวๆ ของปลานิลจากประเทศญี่ปุ่นสู่ประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันปลานิลจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายแล้วก็ตาม แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทดลองเลี้ยงและแพร่ขยายพันธุ์ปลานิลในบ่อสวนจิตรลดาต่อไป โดยในทางวิชาการเรียกสายพันธุ์ปลานิลนี้ว่า “ปลานิลสายสืบพันธุ์จิตรลดา” ซึ่งยังคงเป็นปลานิลสายพันธุ์แท้ที่ประเทศไทยได้รับการทูลเกล้าฯ ถวาย จากพระจักรพรรดิอะกิฮิโตแห่งประเทศญี่ปุ่น
ในวันนี้ไม่เพียงแต่สวนจิตรลดาเท่านั้นที่มีการขยายพันธุ์และอนุรักษ์พันธุ์ปลานิล ปัจจุบันมูลนิธิชัยพัฒนา ยังได้เดินดำเนินงานตามรอยพระราชดำริ โดยขยายพื้นที่การเลี้ยงปลานิลออกสู่ต่างจังหวัดเพื่อให้เข้าถึงราษฎรได้มากที่สุด โดยได้จัดทำโครงการสาธิตการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตลูกปลานิลสายพันธุ์จิตรลดาในพื้นที่ดินเปรี้ยว บ้านเกาะกา ตำบลท่าเรือ อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก เพื่อผลิตลูกปลานิลสายพันธุ์จิตรลดาแท้ที่มีคุณลักษณะดี และมีเป้าหมายเพาะพันธุ์ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดาให้ได้ผลผลิตประมาณ 5-10 ล้านตัวต่อปี และเพื่อจำหน่ายในราคาถูกให้แก่เกษตรกรนำไปเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ รวมถึงถ่ายทอดความรู้ด้านการเพาะพันธุ์ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดาให้แก่เกษตรกรและประชาชนที่สนใจทั่วไป
ภายในโครงการประกอบด้วย บ่อดิน สำหรับใช้เป็นบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ซึ่งได้มาจากสวนจิตรลดา และบ่ออนุบาลลูกปลา อาคารเพาะฟักและอนุบาลลูกปลา เป็นต้น นอกจากนั้นยังได้มีการแปลงเพศปลานิล หรือที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีว่าปลานิลแปลงเพศ เพื่อกำหนดเพศปลานิลให้เป็นเพศผู้ เนื่องจากปลานิลเพศผู้มีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าเพศเมีย ทั้งยังมีตัวใหญ่และให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่า และยังสามารถกำหนดขนาดของปลาให้มีขนาดใกล้เคียงกันเกือบทั้งบ่อได้อีกด้วย
ปัจจุบันปลานิลไม่ได้นิยมเลี้ยงเพื่อบริโภคแต่เพียงอย่างเดียว โดยหลังจากแล่เนื้อปลาเพื่อจำหน่าย ได้นำหัวปลาและก้างไปเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ เรายังสามารถนำส่วนต่างๆ ของปลานิลไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2550 ว่า โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์แห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรีของประเทศไทย นำเอาเกล็ดปลานิลซึ่งมีความแข็งมาดัดแปลงรีไซเคิลให้เกิดประโยชน์ โดยให้โรงงานในจังหวัดนครปฐม นำไปแปรสภาพให้มีสีสันและตัดเย็บเป็นแผ่นสำหรับเป็นวัสดุในการตัดเย็บผลิตภัณฑ์จากเกล็ดปลานิล ซึ่งนักออกแบบได้ดัดแปลงทำได้หลายอย่าง อาทิ กระเป๋าถือ รองเท้า หรือแม้แต่ชุดชั้นใน บิกินี....
ปลานิลตัวเล็กๆ ซึ่งเดินทางมาไกลจากประเทศญี่ปุ่นในวันนั้น นำมาซึ่งปลานิลนับแสนนับล้านตัวในวันนี้ จากแรกเริ่มเพียง 50 ตัว ได้รับการเอาพระทัยใส่จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จนสามารถเจริญเติบโตแพร่ขยายพันธุ์ก่อให้เกิดคุณอนันต์มากมายแก่ประชาชนชาวไทย ปัจจุบันไม่มีใครไม่รู้จักปลานิล ในทางกลับกัน เราสามารถเรียนรู้วิธีการนำเอาประโยชน์จากปลานิลไปพัฒนาจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ผลจากสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรงห่วงใยพสกนิกร นำมาซึ่งผลผลิตอันเป็นทั้งอาหารและสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย ให้สามารถหล่อเลี้ยงประชาชนได้กินดีอยู่ดีพอเพียงตามอัตภาพ.....
ในวันนี้ หากท่านมีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรสปลานิลครั้งใด ขอจงระลึกไว้เสมอว่าปลานิลที่ท่านรับประทานอยู่ เป็นอีกหนึ่งในนับร้อยนับพันโครงการของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่ก็มิได้ทรงละเลย นับเป็นความโชคดีของเราแท้ๆ ที่เกิดมาเป็นประชาชนชาวไทย...
...ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ...
อ้างอิงจาก : รื่องเล่าจากวารสารมูลนิธิชัยพัฒนา ฉบับเดือนเมษายน 2551 บทความการเดินทางของปลานิล
เรียกได้ว่า “ปลานิล” มีประโยชน์ครบถ้วน แถมด้วยยังเป็นปลาที่มีรสชาติดี เนื้อของปลาจะมีความแน่นเต็มคำ และยังมีก้างชิ้นใหญ่ทำให้รับประทานง่ายไม่ติดคอ
ข้อมูลจาก โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
การเตรียมบ่อและวิธีเลี้ยง
ถึงแม่ว่าปลานิลจะเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย แต่ในการเพาะเลี้ยงเพื่อให้ได้รับผลดีเป็นที่น่าพอใจ จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิธีการเพาะเลี้ยงเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้
บ่อ
บ่อที่จะใช้เลี้ยงลูกปลานิล ควรเป็นบ่อดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไป ระดับของน้ำในบ่อควรลึกประมาณ 1 เมตร ตลอดปี ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้เลี้ยงปลาซึ่งมีขนาดโต และใช้สำหรับเพาะลูกปลาพร้อมกันไปด้วย เพราะถ้าเป็นบ่อซึ่งมีขนาดเล็กแล้ว ลูกปลาที่เกิดขึ้นใหม่จะทวีจำนวนแน่นบ่ออย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกปลาเหล่านี้มีขนาดไม่โต โดยที่ปลานิลเป็นปลาที่วางไข่โดยการขุดหลุมตามก้นบ่อ ดังนั้น จึงควรมีชานบ่อหรือทำให้ตามขอบบ่อมีส่วนเชิงลาดเทมากๆ ซึ่งจะเป็นแหล่งตื้นๆ สำหรับให้แม่ปลาได้วางไข่
ถ้าบ่อนั้นอยู่ใกล้กับแม่น้ำ เช่น คู คลอง แม่น้ำ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวิดน้ำเข้าออก เพียงแต่ทำท่อระบายน้ำแล้วกรุด้วยตะแกรงตาถี่เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาที่เลี้ยงไว้หลบหนีออกไปก็ใช้ได้ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูของปลาที่เลี้ยงไว้หลบหนีออกมาอีกด้วย แต่ถ้าบ่อนั้นไม่สามารถจะทำท่อระบายน้ำได้ก็จำเป็นต้องสูบน้ำเข้าบ่อเมื่อเวลาน้ำลดลง และต้องมั่นเปลี่ยนน้ำในเวลาที่เกิดน้ำเสีย
การเตรียมบ่อ
ก. บ่อใหม่ หากเป็นบ่อที่ขุดใหม่ ดินมักมีคุณภาพเป็นกรด ควรใช้ปูนขาวโรยให้ทั่วบ่อ ในอัตรา 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อที่ 10 ตารางเมตร
ข. บ่อเก่าจำเป็นต้องปรับปรุงบ่อ โดยกำจัดวัชพืชออกให้หมด เช่น ผักตบชวา จอก บัว และหญ้าต่างๆ เพราะวัชพืชเหล่านี้จะปกคลุมผิวน้ำเป็นอุปสรรค์ต่อการหมุนเวียนของอากาศ ซ้ำยังจะเป็นที่หลบซ่อนอยู่อาศัยของศัตรูที่เป็นอันตรายต่อปลา และเป็นการจำกัดเนื้อที่ซึ่งปลาต้องใช้อยู่อาศัยอีกด้วย
ก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยง ต้องกำจัดศัตรูของปลานิลให้หมดเสียก่อน ได้แก่ พวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาบู่ และปลาดุก ถ้ามีสัตว์จำพวกเต่า พบ เขียด งู ก็ควรกำจัดให้พ้นบริเวณบ่อนั้นด้วยวิธีกำจัดอย่างง่ายๆ คือ โดยการระบายน้ำออกให้แห้งบ่อ แล้วจับสัตว์ชนิดต่างๆ ขึ้นให้หมด แต่ถ้าบ่อนั้นไม่อยู่ใกล้ทานน้ำ ไม่สะดวกแก่การระบายน้ำออกก็ควรใช้โล่ติ๊นสด ในอัตราส่วน 1 กิโลกรัม ต่อปริมาณน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร วิธีใช้คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียด นำลงแช่น้ำสัก 1 หรือ 2 ปี๊บ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้น้ำสีขาวออกมาหลายๆ ครั้งจนหมด แล้วนำไปสาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูประหลาดังกล่าวก็จะตายลอยขึ้นมาหมด แล้วเก็บออกทิ้งเสียอย่าปล่อยให้เน่าอยู่ในบ่อเพราะจะทำให้น้ำเสียได้ ก่อนที่จะปล่อยปลาลงเลี้ยงควรทิ้งบ่อนั้นไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อรอฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวไปหมดเสียก่อน
ค. การใส่ปุ๋ย โดยทั่วๆ ไปแล้ว ปลาจะกินอาหารซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและจากที่ให้สมทบเป็นจำนวนเกือบเท่าๆ กัน ดังนั้นในบ่อเลี้ยงปลา ควรดูแลให้มีอาหารธรรมชาติเกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีการใส่ปุ๋ยลงไปเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ ปุ๋ยที่ใช้ได้แก่ มูลวัว มูลควาย มูลหมู มูลเป็ดและมูลไก่ นอกจากปุ๋ยมูลสัตว์ดังกล่าวแล้ว ปุ๋ยหมักและปุ๋ยพืชสดต่างๆ ก็ใช้ได้
อัตราการใส่ปุ๋ย ในระยะแรกนั้นควรใส่ประมาณ 250-300 กิโลกรัมต่อไร่ ในระยะหลังๆ ควรใส่ในอัตราครั้งละครึ่งหนึ่งของระยะแรก วิธีการใส่ปุ๋ย ถ้าเป็นปุ๋ยคอก ควรตากให้แห้งเสียก่อน เพราะถ้าเป็นปุ๋ยที่ยังสดอยู่ จะทำให้น้ำในบ่อมีแก๊สพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ำมาก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อปลา การใส่ปุ๋ยคอกควรใช้วิธีหว่านลงไปในบ่อให้ละลายไปทั่วๆ อย่าโยนให้ตกอยู่ในที่เดียวส่วนปุ๋ยพืชสดนั้น ควรเทสุมเป็นกองไว้ตามมุมบ่อ 1 หรือ 2 แห่ง โดยมีไม้ไผ่ปักล้อมไว้เป็นคอก รอบกองปุ๋ยพืชสดนั้น เพื่อป้องกันมิให้ส่วนที่ยังไม่สลายตัวลอยกระจัดกระจาย
บ่อที่มีอาหารธรรมชาติมากหรือน้อย จะสังเกตได้โดยการดูสีของน้ำถ้าน้ำในบ่อมีสีเขียวแสดงว่ามีอาหารจำพวกพืชเล็กๆ ปนอยู่มาก แต่ถ้าน้ำในบ่อมีสีค่อนข้างคล้ำ มักจะมีอาหารจำพวกไรน้ำมาก พวกพืชเล็กๆ และไรน้ำมาก พวกพืชเล็กๆ และไรน้ำเหล่านั้น นับว่าเป็นอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อการเลี้ยงปลาเป็นอย่างดี
การปล่อยปลาลงเลี้ยง
ก. จำนวนปลาที่ปล่อย เนื่องจากปลานิลเป็นปลาที่ขยายพันธุ์ได้เร็ว ดังนั้นจำนวนปลาที่จะปล่อยลงเลี้ยงในบ่อครั้งแรกจึงไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มากนัก สำหรับบ่อขนาดเนื้อที่ 1 งาน (400 ตารางเมตร) ควรใช้พ่อแม่ปลานิลเพียง 50 คู่ หรือถ้าเป็นลูกปลาซึ่งมีขนาดเล็กก็ควรปล่อยเพียง 400 ตัว หรือ 1 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร
ข. เวลาปล่อยปลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับปล่อยปลา ควรเป็นเวลาเช้าหรือเวลาเย็น เพราะระยะเวลาดังกล่าวนี้อุณหภูมิของน้ำไม่ร้อนเกินไป ก่อนที่จะปล่อยปลา ควรเอาน้ำในบ่อใส่ปนลงไปในภาชนะที่บรรจุปลา แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้ปลาคุ้นกับน้ำใหม่เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ จุ่มปากภาชนะที่บรรจุปลานิลลงบนผิวน้ำพร้อมตะแคงภาชนะปล่อยให้ปลาแหวกว่ายออกไปอย่างช้าๆ
การให้อาหาร
ปลานิลเป็นปลาที่กินอาหารได้ทุกชนิด ดังนั้นปลาชนิดนี้จึงเป็นปลาที่ให้ผลผลิตสูง โดยเฉพาะพวกอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อ เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ในบ่อ ตลอดจนสาหร่ายและแหน ถ้าต้องการให้ปลาโตเร็วควรให้อาหารสมทบ เช่น รำ ปลายข้าว กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง กากมะพร้าว แหนเป็ดและปลาป่น เป็นต้น การให้อาหารแต่ละครั้งไม่ควรให้ปริมาณมากจนเกินไปควรกะให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของปลาเท่านั้น ส่วนมากควรเป็นน้ำหนักราว 5% ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง ถ้าให้อาหารมากเกินไป ปลาจะกินไม่หมด เสียค่าอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้น้ำเน่าเสีย เป็นอันตรายแก่ปลาได้
การเจริญเติบโต
ปลานิลเป็นปลาที่มีการเจริญเติบโตเร็ว เลี้ยงในเวลา 1 ปี จะมีน้ำหนักถึง 500 กรัม และเป็นปลาที่แพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว พ่อแม่ปลาซึ่งมีขนาดโตเต็มที่ เมื่อปล่อยลงเลี้ยงในบ่อ จะเริ่มว่างไข่ภายใน 2-3 สัปดาห์ ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ชุดนี้จะเริ่มวางไข่ได้ต่อไปอีกเมื่อมีอายุประมาณ 3-4 เดือน
ด้วยเหตุที่ปลานิลแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะปล่อยให้จำนวนของปลาในบ่อมีปริมาณมากจนเกินไป หากพบว่ามีลูกปลาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ควรจะจับลูกปลาแบ่งออกไปเลี้ยงยังบ่ออื่นบ้างเพราะถ้าปล่อยให้อยู่กันอย่างหนาแน่น ปลาก็จะไม่เจริญเติบโตและจะทำให้อัตราการแพร่พันธุ์ลดน้อยลงอีกด้วย
ประโยชน์
ปลานิลเป็นปลาซึ่งมีเนื้อมาก และมีรสดี สามารถที่จะนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง เช่น ทอด ต้ม แกง ตลอดจนทำน้ำยาได้ดีเท่ากับปลาช่อน นอกจากนี้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำชนิดต่างๆโดยทำเป็นปลาเค็มตากแห้งแบบปลาสลิด ปลากรอบ ปลาร้า ปลาเจ่า ปลาจ่อม หรือปลาส้ม และยังนำมาประกอบเป็นอาหารแบบอื่นได้อีกหลายชนิด ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้วนั้นสามารถเก็บไว้ได้นาน ทั้งสามารถนำไปจำหน่าย นับเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวอีกทางหนึ่ง
อ้างอิงข้อมูลจาก : กรมประมง
เรียบเรียงข้อมูล : ห้องสมุดประชาชนอำเภอหาดใหญ่