เมืองเพชรได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีต้นตาลมากที่สุด ในประเทศไทย ท่านสุนทรภู่มาเมืองเพชร (สมัยรัชกาล ที่ ๓) ท่านเขียนไว้ใน “นิราศเมืองเพชร” เขียนถึงตาล เมืองเพชรไว้ตอนหนึ่งว่า “ทั่วประเทศเขตแคว้นแดน พริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล” ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) มาสร้างพระราชวังที่เขาวัง คือพระนครคีรี พระราชวังนี้ และต้นตาลจึงใช้เป็นตราประจำจังหวัดเพชรบุรี ใช้มาจนถึงปัจจุบัน คนเมืองเพชรก็ประกอบอาชีพทำน้ำตาล โตนดมาแต่โบราณ จนเป็นที่กล่าวขานกันว่า “หวานเหมือน น้ำตาลเมืองเพชร"
คนขึ้นตาลขณะอยู่ยอดตาลก็ร้องเพลงแก้เหงา ไปด้วย เพลงที่คนขึ้นตาลร้องก็เลยได้ชื่อว่า “เพลงคน ขึ้นตาล” “เพลงพาดตาล” หรือ “เพลงปาดตาล” ชื่อตามงานที่ทำคือปาดงวงตาลเพื่อรองน้ำตาล เพลงที่ ร้องคล้ายเพลงโคราช ๑ บทมี ๕ วรรค จบวรรคสุดท้าย เอื้อนสูง เช่น
๑. เข้าห้องนอนคุด เข้ากุฏินอนคิด
ปรึกษาลูกศิษย์ ว่าจะสึกเดือนสี่
ไม่สมมาดเหมือนมุ่ง เพราะผ้านุ่งหามี...ไม่
๒. ขึ้นยอดตาลผู้ ตาลไม่สู้หยัดนัก
นึกถึงคนเคยรัก อกหักหลายที
สาวใหม่มาแทน ขอให้เป็นแฟน...พี่
๓. โพธิ์ลอยโพธิ์หัก ข้างปลักไร่แค
โรงเข้หนองแหน พี่ไปจนทั่ว
ขึ้นตาลทั้งวัน คนขยันช่างไม่...แล
๔. ข้าวถูกตาลถูก แถมลูกก็มาก
เมียต้องมาจาก อดอยากเต็มที
ต้องหาอีกคน ไม่ให้พันปี...นี้
เพลงคนขึ้นตาล ของคำรณ สัมบุณณานนท์
เพลงคนขึ้นตาล
เห็นตาลยืนต้นสูงจนเสียดฟ้า อุตส่าห์มองดูนี้ใครจะรู้
บ้างว่าเราเบื่อเหลือทน แต่เช้าจนเย็นไม่เคยเว้นว่าง
แหงนคอเพิ่งค้างมือโอบต้น กัดฟันสู้ทนแม้จะหม่นทรวง
เห็นตาลยืนต้นสองมือ เกาะแน่นแขนยังไม่เว้น
หิ้วกระบอกตาลหวังรองน้ำหวาน น้ำตาลไหลจากปลายงวง
หยดหนึ่งน้ำตาลที่ผ่านลงมา คล้ายดั่งน้ำตาผมไหลร่วง
ดุจพรากจากทรวงของคนปาดตาล แม้จะเบื่อเหงื่อย้อยไหลหยดโทรมกาย
ไม่เคยคิดสิ้นความหมาย อุตส่าห์ตะกายป่ายปืนทุกวัน
ถึงตาลสูงเสียดฟ้าแหงนคอตั้งชัน ผมเองไม่เคยนึกหวั่น
ขอเพียงลูกเมียนั้นสุขใจ เห็นตาลเอนลู่เหลียวดูสะท้อนมือไม้อ่อนเพลีย
แทบจะขวัญเสียเพราะตาลเจ้าถูกลมไกว เหงื่อย้อยท่วมคางหยดหลั่งริน
ถึงกายจะสิ้นก็ยอมให้ สิ่งเดียวพอใจคือได้น้ำตาล
ประพันธ์โดยคำรณ สัมบุณณานนท์