หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การลูกเสือไทย

เรื่องที่ 1.3 กิจการลูกเสือไทยแต่ละยุค

กิจการลูกเสือไทย เริ่มขึ้นครั้งแรกที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 มีความเจริญก้าวหน้ามาถึง ปัจจุบัน นับเนื่องเป็นเวลากว่า 100 ปี โดยจำแนกตามรัชสมัย ดังนี้

1. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2454 –2468)

2. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 –2477)

3. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477 – 2489)

4. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอลุยเดช รัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489 – 2559)

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=4ZVD0MnnvRA&t=5s

5. รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรรัชกาลที่ 10 (พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน)

“ลูกเสือ” วิชาที่ทรงโปรด

พระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551 หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 6 ให้มีคณะลูกเสือแห่งชาติ ประกอบด้วยลูกเสือทั้งปวงและบุคลากรทางการลูกเสือ มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงเป็นลูกเสือสำรอง ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2504 ซึ่งเป็นวันที่โรงเรียนจิตรลดาทำพิธีเปิดหน่วย “ลูกเสือสำรอง” โดย นายกอง วิสุทธารมณ์ อธิบดีกรมพลศึกษาขณะนั้น ในฐานะเลขาธิการสภาคณะกรรมการจัดการลูกเสือแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำ วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2559 อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดลูกเสือสามัญ ซึ่งเป็นวิชาที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุด ขึ้นเป็นภาพปกพร้อมพาดหัวข่าวว่า (ขออนุญาตนำความบางประการมาตีพิมพ์ซ้ำ ณ ที่นี้)

“ทรงโปรดวิชาลูกเสือ” พร้อมโปรยข่าวตอนหนึ่งว่า “ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ วิชาที่ทรงโปรดคือ “ลูกเสือ” เพราะได้ออกกำลังกลางแจ้ง จุดประกายความฝันให้ศึกษาต่อวิชาทหารจากสถาบันชั้นนำ จนได้รับการยกย่องในระดับสากล”

อีกตอนหนึ่งบรรยายว่า “การได้เป็นลูกเสือสำรองเป็นความภาคภูมิใจและเป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับเด็กชายที่เข้าสู่วัยเรียนทุกคนเช่นไร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ในขณะนั้นก็รู้สึกเช่นนั้น โดยพระองค์ทรงเฝ้ารอเวลานี้มานานแล้ว พร้อมกับพระสหายในวัยเดียวกัน”

หน่วยลูกเสือของโรงเรียนจิตรลดาแบ่งออกเป็น 2 หมู่ หรือ 2 ซิกซ์ เพราะขณะนั้นมีนักเรียนอยู่ในเกณฑ์เป็นลูกเสือสำรองได้เพียง 12 คน โดยหมู่หนึ่งแบ่งออกเป็น 6 คน หมู่แรก ชื่อหมู่สีฟ้า ทรงเป็นหัวหน้าหมู่ หมู่ที่สองชื่อหมู่สีน้ำเงิน หัวหน้าหมู่คือ สัณห์ ศรีวรรฑธนะ การเป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือสำรองนี้ โดยทั่วไปผู้บังคับบัญชาลูกเสือเป็นผู้เลือก แต่ในโรงเรียนจิตรลดาเปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกกันเอง

หัวหน้าหมู่มีหน้าที่ดูแลและเก็บสิ่งของซึ่งเป็นของหมู่ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาฝึกก็นำออกมาแจกให้ลูกหมู่ เสร็จแล้วก็เก็บรวบรวมไปไว้ยังที่ให้เป็นระเบียบ ซึ่งทรงปฏิบัติหน้าที่นี้ได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ทรงอิดเอื้อนบ้างในตอนแรก เพราะยังไม่เข้าพระทัยในหน้าที่นี้ดีแต่เมื่อพระอาจารย์อธิบายถวายก็ทรงปฏิบัติตาม พระองค์ทรงโปรดวิชาลูกเสือสำรองมาก เพราะนอกจากจะได้ทรงกระโดดโลดเต้นออกกำลังกายกลางแจ้งแล้ว ยังได้ทรงฟังนิทานสนุก ๆ และได้ทรงร้องเพลงที่สนุกสนานอีกด้วย ทรงเป็นนักเรียนที่ช่างซักมากที่สุดในชั้น วันใดที่มีการฝึกลูกเสือสำรองจะทรงตื่นบรรทมเช้ากว่าปกติ เตรียมฉลองพระองค์ลูกเสือด้วยพระองค์เอง สิ่งแรกที่ทรงทำหลังจากตื่นบรรทมก็คือ ขัดหัวเข็มขัดและรองพระบาทสำหรับเครื่องแบบลูกเสือ ทำความสะอาดพระนขา (เล็บ) เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจอยู่ตลอดเวลา

ในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2506 ในพิธีสวนสนามของลูกเสือ ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานครั้งแรก สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ในขณะนั้น เสด็จฯ ไปทรงร่วมกิจกรรมกับลูกเสือโรงเรียนอื่นเป็นครั้งแรกที่ทรงร่วมพิธีสวนสนามของลูกเสือ ซึ่งประชาชนคนไทยที่ทราบข่าวก่อนหน้าพากันเป็นห่วงเป็นใยพระองค์ท่านไปต่าง ๆ นานา ด้วยเกรงว่าพระองค์จะประชวรลง บางคนถึงกับกล่าวว่า “โถ ทูลกระหม่อมจะทรงทนแดดไหวหรือ ท่านจะทรงเป็นลมไหมนะ” โดยความห่วงใยในพระองค์ของพสกนิกรเรื่องนี้ เมื่อทรงทราบก็ได้รับสั่งว่า “ต้องได้ซิ ทำไมจึงดูถูกกันอย่างนี้นะ”

ครั้นถึงวันสวนสนามก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ของลูกเสือสำรองของโรงเรียนจิตรลดาได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับลูกเสือคนอื่น ๆ ในวันนั้น ทรงถือป้ายชื่อโรงเรียนผ่านพระที่นั่งด้วยพระอาการสง่า และทรงร่วมแสดงในนามหมู่ลูกเสือโรงเรียนจิตรลดาด้วย

สำหรับการที่ทรงมีความอดทนและรู้จักหน้าที่ของลูกเสือเป็นที่ประจักษ์ชัดอีกครั้งหนึ่งในการซ้อมใหญ่สวนสนามวันฉลองครบรอบวันกำเนิดลูกเสือไทย วันที่ 1 กรกฎาคม 2508 ขณะนั้นทรงเป็นลูกเสือโทแล้ว วันนั้นที่กรีฑาสถานแห่งชาติฝนตกหนักอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น บรรดาผู้คุมการฝึกซ้อมลงความเห็นว่า ควรเชิญเสด็จเข้าประทับในชายคา เพราะอาจจะทำให้ประชวรหวัดได้ เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งวิ่งออกไปที่สนาม ทูลเชิญเสด็จเข้าที่ประทับในชายคา ทรงมองหน้าผู้ทูลเชิญพร้อมกับสั่นพระเศียร แล้วรับสั่งว่า “ทำไมจะต้องให้ฉันหลบเข้าไปด้วยล่ะ ใคร ๆ เขาตากฝนได้ฉันก็ตากได้เหมือนกัน ฉันแข็งแรงพอ” ก่อนหน้านั้นเมื่อโรงเรียนจิตรลดาเข้าพิธีประจำกองลูกเสือสามัญ โดยสมทบกับหน่วยโรงเรียนวชิราวุธ เป็นกองลูกเสือ สังกัด อ.3 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2506 ทรงสอบได้เป็น ลูกเสือโท เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2508 ในวันนั้นได้เสด็จฯ ไปทรงสอบเดินทางไกล และประกอบอาหารที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต้องเสด็จฯ ตั้งแต่เช้ามืด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสห้ามใครตามเสด็จนอกจากราชองครักษ์ ซึ่งให้ตามเสด็จได้เพียงห่าง ๆ

การเสด็จเข้าค่ายลูกเสือที่ค่ายวชิราวุธครั้งนั้น ทรงทำอาหารเอง ซึ่งที่ทรงโปรดทำที่สุดคือ “ข้าวสวยคลุกไข่ปั้นเป็นก้อนทอด” โดยทรงโปรดการทำครัวเท่ากับความช่างเสวย บางคราวทรงทำอาหารเองด้วยหม้อและเตาดินเผาเล็ก ๆ แล้วประทับเสวยอย่างเอร็ดอร่อยร่วมกับผู้ตามเสด็จ

ทรงศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดาถึงมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่อังกฤษ

เมื่อครั้งทรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานพระราโชวาทในพิธีปฏิญาณตนและสวนสนาม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 ไว้ตอนหนึ่งว่า

“...กิจการลูกเสือและเนตรนารีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเยาวชนของชาติ เพราะการฝึกอบรมอย่างถูกต้องครบถ้วนตามแบบแผนและวิธีการของลูกเสือนั้น ย่อมจะทำให้เยาวชนมีคุณสมบัติในตัวเองสูงขึ้นหลายอย่าง เช่น ทำให้มีระเบียบวินัยที่ดี มีความเข้มแข็งอดทนขยันหมั่นเพียร เอื้อเฟื้อ เสียสละ ซื่อสัตย์ สุจริต และรู้จักใช้ความคิดอย่างฉลาดคุณสมบัติเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่จะเกื้อหนุนส่งเสริมให้แต่ละคนสามารถพึ่งตนเอง และสร้างสรรค์ประโยชน์อันยั่งยืน เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติได้...”

เมื่อพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ ทรงมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษาและความมั่นคง มีพระราชประสงค์อยากเห็นคนไทยมีวินัย รู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบ สร้างวินัยโดยกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี

พระบรมราโชบายด้านการศึกษาในหลวงรัชกาลที่ 10

การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน

1. มีทัศนะคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง

- ความรู้ความเข้าใจต่อชาติบ้านเมือง

- ยึดมั่นในศาสนา

- มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์

- มีความเอื้ออาทรต่อครอบครัวและชุมชน

2. มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง - มีคุณธรรม

- รู้จักแยกแยะสิ่งที่ผิด - ชอบ / ชั่ว - ดี

- ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ดีงาม

- ปฏิเสธสิ่งที่ผิด สิ่งที่ชั้ว

- ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง

3. มีงานทำ - มีอาชีพ

- การเลี้ยงดูลูกหลานในครอบครัว หรือ การฝึกฝนอบรมในสถานศึกษาต้องมุ่งให้เด็กและเยาวชนรักงาน สู้งาน ทำจนงานสำเร็จ

- การฝึกฝนอบรมทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตรต้องมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนทำงานเป็นและมีงานทำในที่สุด

- ต้องสนับสนุนผู้สำเร็จหลักสูตร มีอาชีพ มีงานทำ จนสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัว

4. เป็นพลเมืองดี

- การป็นพลเมืองดี เป็นหน้าที่ของที่คน

- ครอบครัว - สถานศึกษาและสถานประกอบการ ต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี

- การเป็นพลเมืองดี คือ "เห็นอะไรที่จะทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทำ" เช่น งานอาสาสมัคร งานบำเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศลให้ทำด้วยความมีน้ำใจและ ความเอื้ออาทร

https://www.matichonweekly.com/column/article_17373