หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 การปฐมพยาบาล

เรื่องที่ 4 วิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน

การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR) เป็น การช่วยให้ลือผู้บาดเจ็บ เมื่อเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เพื่อนำออกซิเจนเช้าสู่ร่างกาย และช่วยให้โลหิตมีการไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย จนกระทั่งระบบต่าง ๆ กลับมาทำหน้าที่ไต้เป็นปกติ

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ได้แก่ หัวใจ ขาดเลือด ไฟฟ้าดูด ไต้รับสารพิษ จมน้ำ อุบัติให้ต่าง ๆ เป็นต้น

อาการของผู้ที่ต้องไต้รับการช่วยให้ลือ โดยการทำ CPR คือ หมดสติ หยุดหายใจ หรือมีการหายใจผิดปกติ (Gasping)

ขั้นตอนการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation CPR)

1. สำรวจสถานการณ์สำรวจสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ถ้าสถานการณ์ปลอดภัยให้ ตะโกนเรียกผู้บาดเจ็บ

2. หากไม่มีการตอบสนอง ใช้มือทั้ง 2 ช้างตบไหล่ เรียกพร้อมสังเกตการตอบสนอง (การลืมตาขยับตัว และพูด) และดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก หน้าห้อง พบว่าหน้าซีดไม่มีการ ตอบสนอง หน้าอก หน้าห้องไม่เคลื่อนไหว แสดงว่าหมดสติ ไม่หายใจ ให้ตะโกนขอความช่วยให้ลือ

3. ขอความช่วยให้ลือถ้าผู้บาดเจ็บหมดสติไม่หายใจ ให้ขอความช่วยให้ลือ โทรศัพท์แจ้ง 1669(ศูนย์นเรนทร)

4. การกระตุ้นหัวใจ โดยการกดหน้าอก 30 ครั้ง

(1) ตำแหน่ง : กึ่งกลางหน้าอก

(2) กดด้วย : ลันมอ 2 ข้างซ้อนกัน

(3) กดลึก : 5-6 เซนติเมตร

(4) กดเร็ว : 100-120 ครั้ง/นาที และต้องผ่อนมือให้ทรวงอกคืนตัวก่อนกดครั้งต่อไป

(5) จำนวน : 30 ครั้ง

(6) ออกแรงกดจากสำตัวโดยมีสะโพกเป็นจุดหมุน กดในแนวตั้งฉากกับพื้น ข้อศอกเหยียดตรง เวลาในการกดและผ่อนต้องเท่ากัน กดแรงและกดเร็วเป็นจังหวะ (Push Hard - Push Fast)

5. การผายปอด และการช่วยหายใจ

5.1 การช่วยหายใจโดยวิธีเป่าปาก ให้ผู้ป่วยนอนหงาย วางศีรษะให้ตํ่ากว่าไหล่ เล็กน้อย และให้แหงนศีรษะไปช้างหลังเท่าที่จะทำไต้ เพื่อให้ทางเดินหายใจของผู้ป่วยโล่ง สิ้นมาจุกที่คอหอย ใช้มือหนึ่งปีบจมูกของผู้ป่วย ใช้นิ้วหัวแม่มือของอีกมือหนึ่งแหย่เช้าไป ในปากผู้ป่วยเพื่อดึงคางให้อ้าออก หายใจเช้าลึก ๆ อ้าปากให้กว้าง ๆ เอาปากประกบกับปากผู้ป่วยให้แน่นแล้วเป่าลมเช้าไปในปากผู้ป่วย ดูว่าหน้าอกผู้ป่วยพองขึ้นหรือไม่ ถ้าพองขึ้นแสดงว่า ลมเข้าไปในปอดได้ดี ถอนปากที่ประกบออกเพื่อให้ผู้ป่วยไต้หายใจออกเอง เมื่อผู้ป่วยหน้าอก ยุบลง ก็เป่าลมเข้าไปในปากผู้ป่วยอีก ท่าเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ประมาณ 15 - 20 ครั้งต่อนาทีจนกว่า ผู้ป่วยจะหายใจไต้เอง ระหว่างปฏิบัติให้ศีรษะผู้ป่วยแหงนไปช้างหลังตลอดเวลา

5.2 การช่วยหายใจโดยวิธีเป่าจมูก ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเช่นเดียวกับวิธีช่วยหายใจ ด้วยวิธีเป่าปาก แต่ใช้มือช้างหนึ่งตันคางผิ้ป่วยให้ปากปิดสนิท หายใจเช้าลึก ๆ เอาปากประกบ ลงไปบนจมูกผู้ป่วยให้แนบสนิท แล้วเป่าลมเช้าไป ดูว่าหน้าอกผู้ป่วยพองขึ้นหรือไม่ ถ้าพองขึ้นแสดงว่าลมเช้าไปในปอดได้ดี ถอนปากออกแล้วใช้มือจับคางผู้ป่วยให้อ้าออก เพื่อให้ ผู้ป่วยหายใจออกได้ทางปาก เมื่อผู้ป่วยหน้าอกยุบลง ก็เป่าลมไปทางจมูกเช่นเดิมอีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง

5.3 การช่วยหายใจโดยการยกแขนและกดทรวงอก ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า เช่นเดียวกับลองวิธีแรก พับแขนผู้ป่วยเช้าหากันไว้บนอก นั่งคุกเช่าอยู่เหนือศีรษะผู้ป่วย จับข้อมือผู้ป่วยทั้ง 2 ช้าง ช้างละมือ โย้ตัวไปช้างหน้าเหยียดแขนตรงกดลงไปตรงมือของผู้ป่วย ซึ่งจะเท่ากับกดทรวงอกของผู้ป่วยให้หายใจออกขับเอาน้ำออกมา แล้วโย้ตัวไปช้างหลังพร้อมกับ จับแขนผู้ป่วยทั้ง 2 ช้างดึงแยกขึ้นไปช้างบนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จะทำให้ปอดผู้ป่วยขยายตัวทำให้อากาศไหลเช้าไปได้ ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง

5.4 การช่วยหายใจโดยการแยกแขนและกดหลัง ให้ผู้ป่วยนอนควํ่า ให้แขน ของผู้ป่วยทั้ง 2 ช้างพับเช้าหากัน หนุนอยู่ใต้คาง นั่งคุกเช่าอยู่เหนือศีรษะผู้ป่วย วางฝ่ามือลงบนหลัง ของผู้ป่วยใต้ต่อกระดูกสะบัก ช้างละมือ โดยให้หัวแม่มือมาจดกัน กางนิ้วมือทั้ง 2 ช้างออก โน้มตัว ไปช้างหน้า แขนเหยียดตรงใช้น้ำหนักตัวกดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย ซึ่งจะเท่ากับกดทรวงอก ของผู้ป่วยให้หายใจออก ขับเอาน้ำ (ถ้ามี) ออกมาจากนี้ย้ายมือทั้ง 2 ช้างมาจับด้นแขนผู้ป่วยแล้ว โย้ตัวกลับพร้อมกับดึงข้อศอกของผู้ป่วยมาด้วย จะทำให้ปอดผู้ป่วยขยายตัว ทำให้อากาศไหล เข้าไปได้ ทำเช่นนี้เรื่อย ๆ ไปจนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง ถ้าการช่วยหายใจกระทำได้ถกต้องดังกล่าว และหัวใจของผู้ป่วยยังเต้นอยู่ตลอดเวลาผู้ป่วยจะดูแดงขึ้น และอาจกลับมาหายใจได้ เป็นปกติอีก

ข้อสังเกต

(1) การกดหน้าอกให้กดต่อเนื่อง ระวังอย่าหยุดกดหรืออย่าให้มีการเว้นระยะการกด

(2) การกดหน้าอกแต่ละครั้งต้องมีการปล่อยให้ทรวงอกกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อน (แต่ไม่ยกลันมือขึ้นพ้นจากทรวงอก) แล้วจึงกดครั้งต่อไปเมื่อหัวใจถูกกดด้วยความลึก 5-6 เซนติเมตร ความตันในซ่องอกจะเพิ่มขึ้นทำให้มีเลือดสบฉีดออกจากหัวใจ และไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะอื่น ๆ เมื่อหัวใจคลายตัวกลับสู่สภาพเดิมในระหว่างการกดหน้าอก และความตัน ในซ่องอกลดลงเลือดจะไหลกลับสู่หัวใจและปอด เพื่อรับออกซิเจนที่เป่าเข้าไปจากการช่วย หายใจ และพร้อมที่จะลูบฉีดครั้งใหม่ต่อไป