แค้นจัดหนัก V3
แมนสรวง
แมนสรวงคือนักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 36 ปี ที่ได้รับการยอมรับจากคนในวงการ เนื่องจากเขาสามารถก่อร่างสร้างตัวจนธุรกิจอาหารขนาดเล็ก ประสบความสำเร็จสามารถขยายกิจการให้ยิ่งใหญ่ และก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจหนุ่มแถวหน้าของเมืองไทยด้วยลำแข้งของตัวเองล้วนๆ
ชายหนุ่มเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับเมื่อตอนอายุครบ 30 ปี ช่วงนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา เพราะสินค้าของเขาสามารถตีตลาดคู่แข่งที่เป็นผู้ผูกขาดพื้นที่ทางการตลาดยาวนานหลายสิบปี ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาเข้าขั้นพระเอกหนังได้อย่างสบาย ทำให้เขายิ่งโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นิตยสารด้านการค้าธุรกิจส่งเทียบเชิญให้เขามาขึ้นปกหนังสือ พร้อมสัมภาษณ์ประวัติความสามารถของเขาให้คนทั่วไปได้รับรู้ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี รวมทั้งรางวัลจากการโหวตหนุ่มโสดในฝันที่สาวๆ อย่างได้มาครอบครอง
ขณะนี้ภาติยะกำลังอัดรายการโทรทัศน์ที่สัมภาษณ์เกี่ยวกับประวัติชีวิตบุคคลตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจ ชายหนุ่มนั่งทำเท่อยู่เสื้อสูทสีฟ้าอ่อนที่ขับผิวขาวของเขาให้กระจ่างยิ่งขึ้น กางเกงสีเดียวกันดูกลมกลืน เสื้อเชิ้ตขาวด้านในถูกขับให้เด่นด้วยเนคไทสีเข้ม ทรงผมที่หวีเรียบทำให้ความหล่อและสุภาพของเขายิ่งฉายชัดมากยิ่งขึ้น จนสาวๆ ที่ยืนชื่นชมในความหล่อของเขาอยู่หลังกล้องส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันไม่ขาดสาย
“คุณแมนสรวงแกหล่อ มาดแมนแฮนซั่มสมชื่อจริงๆ ว่ะ ดูสิกล้ามเป็นกล้ามจนชุดสูทยังปิดไม่มิด นี่ขนาดจะสี่สิบอยู่อีกไม่กี่ปีแล้วนะ ถ้าได้มาเป็นพ่อของลูกชั้นคงตายตาหลับแน่ๆ แก”
“ก่อนแกจะตาย ขอให้ข้ามศพฉันไปก่อนot”
“ว่าแต่แกอายุขนาดนี้ทำไมยังครองตัวเป็นโสดอยู่อีกนะ”
“ฉันว่ากลัวเรตติ้งตก ขายของไม่ได้แน่เลย”
“ฉันว่าเขาอาจจะแอ๊บแมนก็ได้นะ”
“แหม ไม่หรอก ถ้าเขาไม่แมนฉันว่าเขายิ่งต้องพยายามหาทางกลบข่าวไม่ให้คนสงสัย นี่เขามั่นใจไงถึงไม่กลัวคนนินทา”
“แหม ก็พ่อคุณใช่ว่าจะโสดแล้วซิงนี่ยะ เป็นข่าวกับทั้งดารา นางแบบ ไฮโซ แม้กระทั้งแม่ม่ายยังไม่เว้นเล้ย”
เสียงนินทานั้นไม่พ้นได้ยินเข้าหูชีวิน ชายหนุ่มร่างบางที่แต่งตัวจัด ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวผู้คล่องแคล่วของแมนสรวง เขาปรายตามองกลุ่มสาวๆ ที่กำลังเมาท์ถึงเจ้านายเขาด้วยแววตากึ่งสมเพชเวทนา แต่นี่ไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่เขาเจอ ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่เขาทำงานให้แมนสรวงเขาเคยคนประเภทนี้บ่อยครั้งจนรู้สึกระอา เขาเคยเล่าเรื่องนี้ให้แมนสรวงฟัง ซึ่งชายหนุ่มหัวเราะแล้วกล่าวสั้นๆ เพียงว่า
“มีคนชอบดีกว่าคนเกลียดนะ เขาพูดถึงเราแสดงว่าเขาชื่นชมในตัวเรา” หลังจากนั้นชีวินจึงเลิกเอาเรื่องนี้ไปพูดกับแมนสรวงอีก แล้วปล่อยให้ทุกคนพูดถึงเจ้านายของเขาจนพอใจ
หลังเสร็จสิ้นจากการอัดรายการ แมนสรวงขอตัวไปทำธุระเรื่องส่วนตัว และอนุญาตให้ชีวินเลิกงานได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังเดินทางกลับที่ทำงานอยู่ดี เขาเดินมาหยุดที่ห้องของนายสหัสชัยที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท ก่อนจะเคาะประตูห้องเบาๆ เมื่อเสียงจากภายในอนุญาตเขาจึงหมุนลูกบิดเข้าไปในห้องนั้น
นายสหัสชัยเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ที่มีความสามารถด้านการวิเคราะห์การเงิน เป็นคนที่แมนสรวงไว้ใจมากที่สุดอีกคนหนึ่ง เจ้าของห้องเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง
“เจ้านายไม่กลับด้วยเหรอ”
“ไม่หรอก คงมีธุระกับแม่สาวๆ ดาวยั่วทั้งหลาย”
“ผมรู้สึกว่าคุณกำลังหึงเจ้านาย” สหัสชัยพูดเหมือนรู้ทัน แต่ชีวินแค่นหัวเราะ
“ความรู้สึกนั้นมันหมดไปแล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง ตรงมาที่สหัสชัย คว้าเนกไทที่ชายหนุ่มสวมกระชากขึ้นมาแล้วกล่าวต่อว่า
“ตอนนี้ถ้าจะหึง คงจะหึงคุณมากกว่า” สหัสชัยหัวเราะกับลีลาของอีกฝ่าย คนทั่วไปต่างไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วชีวินและสหัสชัยต่างคบกันอย่างลับๆ มาปีกว่าแล้ว ทั้งคู่ไม่ต้องการให้ผู้ร่วมงานรู้เพราะจะมีผลต่อความเชื่อมั่นเรื่องการทำงาน ผู้ร่วมงานจึงไม่ระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
ขณะเดียวกันนั้น แมนสรวงไม่ได้มีนัดกับสาวๆ อย่างที่ชีวินเข้าใจ เขาเดินทางมายังโรงแรมใหญ่ใจกลางกรุงเทพ ตามการนัดหมายของของชายคนหนึ่ง แมนสรวงนั่งลงที่เก้าอี้ มีบริกรของห้องอาหารโรงแรมมาส่งเมนูให้ เขาสั่งเครื่องดื่มเสร็จก็เริ่มคุยธุระกับฝ่ายตรงข้าม ชายแปลกหน้าส่งซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้เขา ชายหนุ่มเปิดออกดู มันเป็นเอกสารที่เขาให้ชายแปลกหน้าสืบหามาเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าสหัสชัยที่ปรึกษาทางการเงินที่เขาไว้ใจได้ทุจริตต่อหน้าที่ และยักยอกเงินบริษัทเป็นจำนวนหลายล้านบาท
หลังจากได้รับหลักฐานยืนยันการทุจริต วันต่อมาแมนสรวงเรียกสหัสชัยเข้าพบเป็นการส่วนตัว และถามเรื่องการทุจริต ซึ่งแน่นอนว่าสหัสชัยปฏิเสธทันที แต่เมื่อแมนสรวงนำเอกสารหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดให้สหัสชัยดูชายหนุ่มจึงเริ่มหน้าซีดเผือด และจำต้องยอมรับในความผิดเพราะจำนนต่อหลักฐาน เขาขอร้องไม่ให้แมนสรวงดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะจะส่งผลต่อประวัติการทำงานที่ดีมาโดยตลอดของเขา โดยยืนยันว่าจะนำเงินที่ยักยอกไปทั้งหมดมาคืนให้กับแมนสรวง ซึ่งแมนสรวงยอมปฏิบัติตามเพื่อเห็นแก่มิตรภาพ แต่ต้องทำเรื่องเพื่อแจ้งต่อทุกฝ่ายถึงเรื่องการทำผิดทุจริตในหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานให้ผู้ร่วมงานได้รับรู้ร่วมกัน
ผู้คนในบริษัทต่างตกใจกับข่าวการทุจริตของสหัสชัย ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา และมุงดูที่หน้าห้องของสหัสชัยที่ตอนนี้รปภ.ขึ้นมาตรวจความเรียบร้อย และนำตัวเขาเดินออกไปจากออฟฟิศ สหัสชัยรู้สึกอับอายขายหน้าที่สุดในชีวิต เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาของชีวินที่มองมาทางเขาด้วยสายตาที่แสดงความสมเพชเวทนา ความรู้สึกโกรธ เกลียด เจ็บแค้นยิ่งแน่นอกเขามากขึ้นทุกที
สหัสชัยกลับไปที่คอนโดที่เขาใช้เป็นรังรักกับชีวิน เก็บข้าวของทุกอย่างที่มีอยู่ เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันโชว์ว่าชีวินเป็นคนโทรมา ชายหนุ่มกดรับสาย เขาได้ยินน้ำเสียงอันเย็นชาของอีกฝ่าย
“ถ้าของในห้องของผมหายไป ผมจะไม่ใจดีเหมือนคุณแมนสรวงนะ” แล้วสายนั้นก็วางไป ชายหนุ่มยิ่งจุกที่หน้าอกมากยิ่งขึ้น เขานำของที่เป็นของเขาใส่ลังขนาดใหญ่ แล้วขนทุกอย่างออกจากห้องนั้นไป
ในบาร์แห่งหนึ่ง แมนสรวงนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงคนเดียว เขาสั่งบาร์เทนเดอร์ให้ชงเหล้าแก้วแล้วแก้วเหล้าจนเมามาย ฟุบหน้าลงไปกับบาร์เหล้า เวลาผ่านไปนานขนาดไหนไม่รู้ สหัสชัยเงยหน้าขึ้นมา รู้สึกปวดหัวเหมือนมันจะแตกเป็นเสายงๆ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่พร่ามัว เขาเห็นเพียงเงารางๆ ของร่างที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“ท่าทางคุณจะเมามาก” เสียงจากชายแปลกหน้าดังขึ้น
“ผมอยู่ที่ไหน”
ชายแปลกหน้าเอ่ยชื่อบาร์ “คุณเข้ามานั่งนานแล้วนะ กินเหล้าไปหลายแก้ว”
“คุณเป็นใคร” เขาพยายามเพ่งสายตาฝ่าความมืด แต่ไม่เป็นผล เขายังเห็นชายตรงหน้าเป็นเงาพร่าเลือน
“ผมเป็นคนที่จะมาช่วยคุณ”
“ช่วย..ช่วยเรื่องอะไร”
“ผมรู้ว่าความทุกข์ของคุณไม่ใช่น้อย ผมพอจะช่วยได้นะ ถ้าคุณจะเล่าให้ผมฟัง”
สหัสชัยรู้สึกว่าภาพที่พร่าเลือนในตอนนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขากล้าที่จะเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้รับฟัง ความรู้สึกที่คั่งค้างต่างๆ จึงไหลหลั่งพรั่งพรูสู่ชายปริศนาเบื้องหน้า
“ผมรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด คือการได้แก้แค้นต่อคนที่ทำให้คุณต้องเจ็บปวด ถ้าคุณไว้ใจ ผมช่วยได้นะ”
สหัสชัยชะงักงัน ภาพชายปริศนาเบื้องหน้าเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้นทุกที
“ช่วย..ช่วยยังไง”
“ก็แค่มีสิ่งนี้เท่านั้น”
ชายตรงหน้าเอื้อมมือล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มันเป็นซองขนาดเล็กสีน้ำตาล เขาส่งซองนั้นใส่มือสหัสชัย เขารับมาแกะดู สายตาที่พร่าเลือนเห็นภาพยาขนาดเล็กหนึ่งเม็ดที่บรรจุอยู่ในแผงอย่างชัดเจน ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรชายปริศนาก็บอกว่า
“ผมให้คุณเม็ดนึง คุณเอาให้คนที่คุณต้องการล้างแค้นกิน แล้วหลังจากนั้นเขาจะตกเป็นทาสคุณ เชื่อฟังคุณทุกอย่าง แล้วไม่ต้องกังวล คนนอกจะไม่รู้ว่าคุณกำลังควบคุมเขาอยู่ แล้วจะไม่มีใครจับได้เพราะไม่มีสารอะไรตกค้างให้คุณต้องเดือดร้อนทีหลังแน่นอน ผมรับประกันเพราะเคยลองมาแล้ว ข้อแม้เดียวคือยานี้จะมีอายุแค่ 6 ชั่วโมงหลังจากที่คนๆ นั้นกินมันเข้าไป คุณอย่าพลาดที่จุดนี้ ผมขอให้คุณโชคดีและสนุกกับการล้างแค้น”
“พระเจ้าคงส่งคุณมาให้ผมสินะ”
“ไม่ใช่พระเจ้าหรอก แต่คุณอย่ารู้เลยว่าเพราะอะไรที่นำเรามาพบกัน สนใจแต่สิ่งที่คุณต้องทำจะดีกว่า จงมุ่งมั่นกับการแก้แค้นเพียงอย่างเดียว จงชำระล้างมันเถอะ อย่าปล่อยให้มันกัดกินใจคุณต่อไปอีกเลย”
สหัสชัยก้มลงมองดูสิ่งที่กำสิ่งของที่อยู่ในกำมือแน่น ความแค้นที่จุกอกกำลังรอการชำระล้าง เขาหันไปหาชายปริศนาเพื่อจะกล่าวขอบคุณ แต่สิ่งที่เห็นคือเก้าอี้ที่ว่างเปล่า แล้วเสียงผู้คน ดนตรีในบาร์แห่งนั้นก็ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เงียบหายไปนาน