จุดเริ่มต้นของผู้กองภาติยะ

ตอนที่ 1

รถเก๋งสปอร์ตสีดำรุ่นใหม่คันนั้นกำลังมุ่งทะยานสู่เส้นทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วสูง พอออกนอกเมืองมาสักพักเส้นทางสายนี้ก็เริ่มจะเปลี่ยว รถราที่แล่นสวนกันไปมาก็เริ่มจะบางตาลง ไม่ต่างจากอาคารบ้านเรือนที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ได้แปรเปลี่ยนเป็นเรือกสวนไร่นาไปจนหมดแล้ว แต่ดูเหมือนคนขับรถคันนั้นจะไม่สนใจความเปลี่ยนไปของสภาพแวดล้อม ยังคงขับรถมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงเช่นเดิม ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะรถที่ขับตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด

รถตำรวจที่เปิดหวอเสียงดังสนั่นกำลังขับกวดรถสปอร์ตคันหน้า มีนายตำรวจสองนายนั่งอยู่ในรถ ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นั่งคนขับคือ ร้อยตำรวจเอกภาติยะ ภาคีไนย นายตำรวจหนุ่มไฟแรงอนาคตไกล ผู้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานภาคสนาม ส่วนผู้ที่นั่งข้าง ๆ คือ ร้อยตำรวจโทพฤกษ์ ไชยยนต์ คู่หูมือปราบที่มีความเก่งกาจไม่ด้อยไปกว่ากัน

ขณะที่รถทั้งสองแล่นกวดกันมาในระยะกระชั้นชิด อยู่ ๆ รถสปอร์ตคันหน้าก็หักเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนตัดใหม่ จนผู้กองภาติยะต้องหักพวงมาลัยตามสุดกำลัง ถนนเส้นนั้นดูเหมือนจะยังไม่ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ เพราะไม่มีรถคันอื่นเข้ามาร่วมใช้เส้นทาง ภาติยะจึงใช้ช่วงจังหวะนี้เหยียบคันเร่งเพื่อหวังจะไล่กวดให้ทัน แต่ดูเหมือนผู้ที่อยู่ข้างหน้าจะไม่ยอมเช่นกันเพราะเร่งเครื่องกระเถิบหนีออกไปอีก ความแรงของรถใหม่ทำให้ภาติยะต้องเหนื่อยมากขึ้นกว่าปกติ

แต่ดูเหมือนผู้ที่ขับรถคันใหม่จะยังไม่ชินกับการควบคุมรถ เมื่อเร่งเครื่องไปจนเกินขีดความสามารถที่จะบังคับรถ รถที่วิ่งมาทางตรงอยู่ดี ๆ กลับสะบัดเลี้ยวลงข้างทาง จนคนขับไม่สามารถควบคุมรถเอาไว้ได้ ต้องปล่อยให้มันไหลไปตามแต่ใจ โดยมีคลองใหญ่ข้างทางที่เต็มไปด้วยจอกแหนเป็นเป้าหมาย

ภาติยะรีบเหยียบเบรกเพื่อชะลอรถโดยเร็ว สายตาเหลือบมองไปเห็นคนขับรถสปอร์ตเปิดประตูรถกระโดดลงคลอง ว่ายหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

“ให้มันได้อย่างนี้สิ”

ภาติยะรีบเปิดประตูรถกระโจนตามลงไปในน้ำทันที คนที่ว่ายอยู่ข้างหน้าคงไม่รู้ว่าภาติยะเป็นนายตำรวจที่มีทักษะด้านกีฬา โดยเฉพาะการว่ายน้ำที่เขาเคยเป็นนักกีฬาในสมัยเรียน เพียงไม่นานเขาจึงเข้าถึงตัวผู้ที่ว่ายนำหน้าได้สำเร็จ และดูเหมือนผู้ที่ถูกไล่ตามเองก็คงจะหมดเรี่ยวแรงด้วยเช่นกัน เพราะหลังพยายามขัดขืนได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ยอมโดนลากกลับขึ้นฝั่งแต่โดยดี

หมวดพฤกษ์ที่ยืนรออยู่ด้านบน รีบเข้าไปช่วยดึงทั้ง 2 ขึ้นจากน้ำ ร่างของทั้งคู่เต็มไปด้วยจอกแหนเต็มตัว หมวดพฤกษ์รีบสวมกุญแจมือผู้ต้องหาที่ตอนนี้นอนหอบหายใจแรงอยู่กับพื้นอย่างหมดท่า

“คงต้องตามรถยกมาลากขึ้นจากน้ำ”

“คงอีกสักพักใหญ่เลยครับผู้กอง ผมติดต่อไปแล้วแต่ไม่มีรถว่างเลย”หมวดพฤกษ์รีบรายงาน

“งั้นพามันกลับไปสอบสวนที่โรงพัก ตอนนี้เราไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีดให้มันรับสารภาพโดยด่วนที่สุด”

“ผมเกรงว่าจะไม่สะดวกครับ ผู้กองอาจจะต้องทำที่นี่เลย”

“ทำไมล่ะ”ภาติยะถามด้วยความสงสัย

“คงเพราะทางใหม่นี่ยังไม่ได้เคลียร์พื้นที่น่ะสิครับ ยางรถของเราเลยมีสภาพเป็นแบบนี้”หมวดพฤกษ์ชี้ให้ดูสภาพยางรถตำรวจที่ตอนนี้แบนติดพื้นเกือบทุกเส้น

“ให้มันได้อย่างนี้สิ”ภาติยะกล่าวอย่างหัวเสีย

“แล้วคงต้องรอสักพักใหญ่กว่าหน่วยซ่อมจะมา เพราะเขาแจ้งว่าจะมาพร้อมรถยกทีเดียว”

“งั้นหมวดช่วยพามันไปที่ท้ายรถ เดี๋ยวผมจะสอบสวนมันเอง”

“ครับ” หมวดพฤกษ์รีบเดินไปคุมตัวผู้ต้องหาลากให้เข้าไปนั่งตอนหลังของรถ ก่อนจะเดินกลับมาหาผู้กองภาติยะ

“ผมว่าผู้กองเปลี่ยนชุดออกก่อนดีไหมครับ ชุดนี้มันทั้งเปียกทั้งสกปรก”

“ผมไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยน ผ้าสักผืนยังไม่มีเลย ไม่คิดว่ามาเที่ยวนี้จะได้รื้อฟื้นความเป็นนักกีฬาเก่า”ภาติยะกล่าวติดตลก

“แต่ผมก็ไม่แนะนำให้ยังใส่เครื่องแบบอยู่ เราไม่รู้ในน้ำมีเชื้อโรคอะไรรึเปล่า ดูสิครับรอยเปื้อนเป็นคราบอะไรก็ไม่รู้ น้ำมันที่ไหลจากรถคันนั้นรึเปล่า”

“แล้วจะให้ทำยังไง”

“อย่างน้อยระหว่างรอผู้กองถอดชุดออกมาผึ่งให้แห้งก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมวิทยุบอกให้เขาเตรียมชุดใหม่มาให้ด้วย”

ผู้กองภาติยะมีท่าทางลังเล

“ผู้กองไม่ต้องเขินหรอกครับ ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น”

“เปล่า ผมไม่ได้เขิน”ภาติยะรีบปฏิเสธทันควัน พร้อม ๆ กับเริ่มปลดกระดุมเครื่องแบบที่สวมอยู่ออกทันที

ตอนที่ 2

หมวดพฤกษ์หยิบกางเกงตำรวจที่เปียกน้ำขึ้นตากบนประตูรถ ก่อนจะหันไปทางเจ้าของกางเกงที่ตอนนี้ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ในสภาพนุ่งกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว สายตาของเพื่อนร่วมงานที่จ้องมองมาทำให้ผู้กองภาติยะอดรู้สึกเขินไม่ได้

“มองอยู่ได้หมวด ทำอย่างกับไม่เคยเห็น ของผมก็เหมือนของหมวดนั่นแหล่ะ”

หมวดพฤกษ์ยิ้มน้อย ๆ สายตายังจับจ้องไปที่กางเกงชั้นในตัวจิ๋วสีขาวที่พอเปียกน้ำก็แทบจะเหมือนไม่ได้สวมใส่อะไรไว้เลย สิ่งที่ควรสงวนทุกอย่างปรากฏให้เห็นทุกอย่าง

“โทษทีครับผู้กอง แต่มันสะดุดสายตาเหลือเกิน เลยเผลอมองนานไปหน่อย ไม่นึกว่าผู้กองจะซ่อนรูปขนาดนี้”

“เอาใหญ่แล้วหมวด พอดีกว่าพูดมากเดี๋ยวของผมขึ้น”

“โห นี่ขนาดยังไม่ขึ้นนะเนี่ย พาดเป็นลำเชียว ว่าแต่กางเกงในหมวดนี่ท่าทางจะแพงมากนะครับเนี่ย เพราะดูดีไซน์แปลกดี ด้านข้างเว้าสูงมีแค่สายเล็ก ๆ เกี่ยวเนื้อผ้าด้านหน้ากับด้านหลังไว้ แถมเนื้อผ้ายังบาง ไม่มีซับในอีก แบบนี้เขาเรียกว่าจีสตริงหรือเปล่าครับ”

“เฮ้ย ไม่ใช่จีสตริง แค่กางเกงในธรรมดา แต่มันเว้าสูงกว่าปกติเท่านั้นเอง ส่วนที่ไม่มีซับในเพราะมันจะช่วยระบายอากาศได้ดี หมวดอย่าคิดมากสิ แล้วก็เลิกสนใจกางเกงในผมได้แล้ว”

ดูเหมือนว่ายิ่งห้ามเหมือนจะยิ่งยุ หมวดพฤกษ์เดินเข้ามาถึงตัวผู้กองภาติยะ ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงจ้องมองกางเกงในอย่างพินิจพิจารณา จนสิ่งที่อยู่ภายในกางเกงตัวจิ๋วนั้นเริ่มออกอาการขยายตัวขึ้นช้า ๆ

“ผู้กองควยแข็งแล้วครับ”

หมวดพฤกษ์แหงนหน้าขึ้นสบสายตาผู้กองภาติยะ เห็นแววตาเขินอายของฝ่ายตรงข้ามชัดเจน เขาเอื้อมมือไปดึงมือของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่พยายามกุมปิดบังส่วนที่ควรสงวนเอาไว้ มือนั้นหลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นท่อนลำที่แข็งตัวอยู่ภายใต้กางเกงชั้นในสีขาวเนื้อบางอย่างชัดเจน

“ควยผู้กองสวยจริง ๆ ผมว่าถอดกางเกงในออกดีกว่า ดูท่าทางมันอึดอัดอยากออกมารับอากาศข้างนอกเต็มที่แล้ว”

มือของหมวดพฤกษ์เลื่อนขึ้นมาจับที่ขอบกางเกงใน ก่อนจะค่อย ๆ ดึงมันลงมาช้า ๆ เสียงหายใจข้าออกของผู้กองภาติยะดังรงมากขึ้น ให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังใจเต้นแรง กางเกงในสีขาวถูกร่นลงมาเรื่อย ๆ จนเห็นกลุ่มขนสีดำดกดำ แต่ก่อนที่ท่อนลำที่กำลังแผดผงาดนั้นจะหลุดออกจากขอบกางเกงใน มือของผู้กองภาติยะก็ขยับมาหยุดการกระทำของหมวดพฤกษ์เอาไว้

“ไม่ดีหรอกหมวด มันประเจิดประเจ้อ เผื่อมีใครผ่านมาเห็นเข้า”

“ผมว่ากลับดีซะอีก เขาจะได้รู้ว่าตำรวจไทยทุ่มเทกับการทำงานขนาดไหน”

“แค่นี้ก็คงทุ่มเทพอแล้วล่ะ พอเถอะหมวด ผมไปสอบปากคำผู้ต้องหาดีกว่า”

หมวดพฤกษ์จำต้องปล่อยมือออก ให้ผู้กองภาติยะดึงกางเกงในกลับขึ้นไปสวมไว้ตามเดิม แล้วจึงผละจากเขาเดินตรงไปทางผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ด้านหลังรถตำรวจ

หมวดพฤกษ์ลุกขึ้นยืน สายตามองตามผู้กองภาติยะที่ตอนนี้ยืนประจันอยู่ตรงหน้าผู้ต้องหาเพื่อเตรียมสอบสวนคดี แต่ดูเหมือนว่าความเป็นชายของเจ้าตัวจะยังไม่ยอมลดขนาดลง จนผู้ต้องหาที่นั่งอยู่อดที่จะจ้องมองอย่างตื่นตะลึงไม่ได้ หมวดพฤกษ์รู้สึกว่าผู้กองภาติยะกลับยิ่งรู้สึกชอบที่ถูกจ้องมองแบบนั้น เพราะแก่นกายของเจ้าตัวยิ่งแผดผงาดมากขึ้นไปอีก

“มิน่า ฟิตหุ่นซะบึ้กขนาดนั้น ทั้งกล้ามแขน กล้ามท้องแน่นไปหมด เวลาใส่ชุดตำรวจก็ฟิตซะจนแทบเหมือนไม่ได้ใส่อะไร ที่แท้ก็เพื่อการนี้ นี่ถ้ากูไม่เอ่ยปากให้ถอด ก็คงจะหาเรื่องถอดโชว์เองอยู่แล้วแน่ ๆ ดูสิ ไปยืนควยตุงอวดไอ้ผู้ร้ายนั่น หน้าไม่อาย กางเกงในแม่งก็ทั้งบางทั้งเล็กเหมือนไม่ได้ใส่ คงเตรียมมาเผื่อโอกาสเหมาะ ๆ ก็พร้อมจะโชว์แน่ ๆ เอาเถอะ เดี๋ยวหมวดพฤกษ์คนนี้จะสนองมึงเอง ให้มึงได้หฤหรรษ์กับการโชว์อย่างเต็มที่เลย”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหมวดพฤกษ์

ตอนที่ 3

เช้าวันถัดมา ผู้กองภาติยะถูกสารวัตรเดชชาติเรียกตัวให้เข้าพบเพื่อรายงานความคืบหน้าของคดีหลังเหตุการณ์การจับกุมตัวผู้ต้องหาเมื่อวานนี้

“เชิญนั่งผู้กอง ดูเหมือนว่าเรากำลังมีปัญหาแล้ว” สารวัตรเดชชาติเข้าประเด็นการสนทนาทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

“ไอ้สิงห์ ผู้ต้องสงสัยที่คุณจับกุมตัวได้เมื่อวานนี้น่ะสิ เขากลับคำให้การแล้ว แถมยังมีทนายมายื่นประกันตัวไปแล้วด้วย”

“แต่ยังไงเราก็มีหลักฐานยืนยันการกระทำผิดที่ชัดเจนนี่ครับ รถคันที่มันขโมยมา”

“นั่นแหล่ะที่มันเป็นปัญหา” สีหน้าของสารวัตรเดชชาติบ่งบอกความไม่สบายใจอย่างผิดไม่มิด

“ผมว่าเจ้าทุกข์อาจจะโดนอิทธิพลมืดข่มขู่ เพราะเขามาถอนแจ้งความแล้ว โดยบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

“เหตุผลฟังไม่ขึ้นเลยนะครับสารวัตร”

“ผมรู้ แต่เราคงทำอะไรมากไม่ได้ เพราะหลังจากนั้นเรายังไม่สามารถติดต่อเจ้าทุกข์คนนั้นได้เลย ผมสงสัยว่าต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ หรือไม่งานนี้คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังต้องมีอิทธิพล จนสามารถพลิกดำให้เป็นขาวได้ คุณต้องรอบคอบในการสืบสวนให้มากนะผู้กอง”

“ครับ” ผู้กองภาติยะรับคำ สีหน้ามีแววหนักใจอยู่ไม่น้อย

“แล้วตอนนี้ผู้ต้องสงสัยนั่นได้ประกันไปแล้วเหรอครับ”

สารวัตรเดชชาติพยักหน้า สีหน้าไม่ต่างจากผู้ใต้บังคับบัญชาเท่าไหร่

“หลังจากนี้คุณคงต้องค่อย ๆ สืบเพื่อหาหลักฐานให้มั่น เพื่อเราจะได้จับกุมทั้งขบวนการโดยไม่มีช่องโหว่ให้มันได้กลับตัว ผมรู้ว่ามันทั้งเหนื่อยและยาก แต่ตอนนี้ผมคงหวังพึ่งใครไม่ได้นอกจากคุณ ผู้กองภาติยะ”

“ครับ ผมจะตั้งใจทำอย่างเต็มที่” ผู้กองภาติยะรับคำอย่างแข็งขัน

“อ้อ มีอีกเรื่อง สุดสัปดาห์นี้พ่อเลี้ยงควนธนเขาชวนครอบครัวผมไปพักตากอากาศที่รีสอร์ทของเขา เขาออกปากชวนคุณกับหมวดพฤกษ์ด้วย ห้ามปฏิเสธนะเพราะผมตอบรับเขาไปแล้ว ทั้งเมีย ทั้งลูกสาวผมเขาอยากให้คุณไปเที่ยวกับพวกเราด้วย”

ผู้กองภาติยะจำต้องตอบรับคำชวนทั้งที่ใจไม่ได้รู้สึกอยากไปสักนิด เขารู้ดีว่าทำไมถึงถูกชวนไปร่วมทริปในครั้งนี้ด้วย พ่อเลี้ยงควนธนพยายามหาทางเข้าถึงสารวัตรเดชชาติ เพื่อความสะดวกทางธุรกิจหลาย ๆ อย่าง เขารู้ดีว่าบางสิ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่เมื่อเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่อยากขัดขวางผลประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ของทั้งสองคน และทั้งคู่คงอยากให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย หรืออย่างน้อยให้รับรู้เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางผลประโยชน์ก้อนโต

แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ การพยายามให้เขาได้ใกล้ชิดกับลูกสาวของสารวัตร ที่ดูเหมือนจะถูกชะตาเขาเป็นพิเศษ เพราะใครๆต่างก็รู้ว่าสารวัตรเดชชาติพยายามหาทางให้ลูกสาวได้ตกร่องปล่องชิ้นกับลูกชายฝาแฝดของพ่อเลี้ยงควนธนคนใดคนหนึ่ง เพราะหวังผลประโยชน์จากทรัพย์สินอันมหาศาลของพ่อเลี้ยงควนธน การพยายามให้เขาได้ใกล้ชิดกับลูกสาวจึงไม่น่าจะเป็นผลดีกับสารวัตรเดชชาติ

ผู้กองภาติยะเดินออกมาสูดอากาศนอกโรงพัก สายตาเขาเหลือบไปเห็นไอ้สิงห์ ผู้ต้องหาที่เขาจับกุมได้เมื่อคืน กำลังเดินไปขึ้นรถกับผู้ชายท่าทางภูมิฐานซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นทนายที่มาประกันตัว เขารีบเดินตรงไปที่หาชายทั้งสอง

“มาส่งผมเหรอผู้กอง”เสียงนั้นมีแววเยาะหยัน

“วันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอกนะ” ผู้กองภาติยะพูดเป็นนัย

“ใช่ ไม่ได้มีหนเดียว โอกาสหน้าผู้กองอาจจะไม่ได้โชว์แค่กางเกงใน เพราะกูจะทำให้คนเขาเห็นมึงทั้งดุ้นแน่นอน เพราะกูรู้ว่ามึงชอบโชว์ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

ไอ้สิงห์หัวเราะใส่หน้าผู้กองภาติยะ ก่อนจะหันเดินกลับไปขึ้นรถที่ขับพุ่งมะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ 4

ภาติยะ ภาคีไนย เป็นนายตำรวจหนุ่มอนาคตไกล ด้วยวัย 27 ปี เขาได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้กองด้วยความสามารถในการปราบปรามคดีดัง ๆ ได้หลายคดี เป็นหนึ่งในนายตำรวจน้ำดีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติฝากความหวังเอาไว้

ความจริงแล้วครอบครัวของภาติยะไม่ได้มีใครมีอาชีพเป็นนายตำรวจหรือแม้แต่ข้าราชการมาก่อน ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวพ่อค้าที่สืบเชื้อสายกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ กว่าภาติยะจะเติบโต ครอบครัวของเขาก็มีหลักฐานมั่นคงจนไม่ต้องกลัวจะเดือดร้อนอะไร กิจการนำเข้าสินค้าเคร่องใช้จากต่างประเทศก็ราบรื่นดีไม่มีปัญหา รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาด้วยเช่นกัน

พ่อของเขาเป็นผู้นำที่ถ่ายทอดความซื่อตรง หนักแน่น และซื่อสัตย์มาให้ลูก ๆ ทุกคน แม่ของเขาเป็นแม่บ้านที่เก่งงานบ้านงานเรือนจนลูก ๆ ทุกคนยึดเป็นแบบอย่างในการเลือกศรีภรรยา พี่ชายของเขา 2 คน ก็ทำงานสืบทอดกิจการของครอบครัวได้เป็นอย่างดี ภาติยะจึงไม่มีความกังวลเมื่อคิดจะเลือกอาชีพตามความต้องการที่แท้จริง ก็คือการเป็นตำรวจ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

ตั้งแต่สมัยเรียน เขามักได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำ เป็นผู้รับผิดชอบความถูกต้อง เรียบร้อยภายในโรงเรียนเสมอ นั่นเป็นสิ่งที่ปลูกฝังให้เขาเลือกเส้นทางเดินเป็นตำรวจในวันนี้ เมื่อแรกเข้าไปรับใช้ชาติ เขาก็กลายเป็นนายตำรวจอนาคตไกลที่ใคร ๆ ก็ต่างก็คาดหวัง เพราะไม่มีคดีไหนที่มาถึงมือภาติยะแล้วจะไม่ได้รับการคลี่คลาย

ชื่อเสียงเขาเพิ่มมากจึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับยศตแหน่งที่สูงขึ้นแซงหน้าเพื่อนร่วมรุ่น แต่อยู่ ๆ เขาก็ถูกย้ายมาประจำการที่อำเภอสุระดี อำเภอหนึ่งในจังหวัดใหญ่ทางภาคอีสาน แม้มันจะเป็นอำเภอใหญ่ แต่การถูกย้ายออกมาต่างจังหวัดทำให้เขาถูกเพ่งเล็ง บ้างก็ว่าเพราะเขาคอยขัดผลประโยชน์นายตำรวจใหญ่ บ้างก็ว่าเพราะความอิจฉาของใครต่อใคร บางคนมองในแง่ดีหน่อยก็ว่าเพราะต้องการให้เขามาปราบปรามผู้มีอิทธิพลของอำเภอนี้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการทุจริตฉ้อฉล

แต่สำหรับภาติยะ เขาเต็มใจอย่างยิ่งในการมาทำงานที่นี่ และพร้อมเต็มที่สำหรับการปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย และตั้งใจจะทำให้เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่สะอาดบริสุทธิ์ให้จงได้

เพียง 3 เดือนที่ย้ายมาประจำการ ภาติยะก็รู้ว่าภารกิจที่เขาต้องพิชิตนั้นไม่ง่าย เพราะผู้มีอิทธิพลนั้นมีอยู่ในทุกวงการ แทรกซึมอยู่ทุก ๆ ที่ และทุกย่างก้าวที่เขาไป เขารู้ดีว่ากำลังถูกเพ่งเล็งและจับตามองอยู่เสมอ แต่ภาติยะไม่เคยไหวหวั่น และมั่นใจว่าจะสามารถหักร้างถางพง ให้ที่นี่กลับมาสวยงามได้อย่างที่เขาต้องการ

ตอนที่ 5

หมวดพฤกษ์กำลังเดินซื้อของฝากให้แฟนสาวอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมือง ตอนที่เขาเห็นผู้กองภาติยะเดินผ่านเขาไปยังแผนกเครื่องแต่งกายชาย ปกติเขาไม่ค่อยเห็นผู้กองหนุ่มมาเดินเที่ยวห้างนักหากไม่จำเป็น เพราะส่วนใหญ่หากภาติยะจะซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องใช้ เขาจะอาศัยช่วงวันหยุดเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ มากกว่า

ผู้กองภาติยะเดินมาหยุดที่แผนกเสื้อผ้าชาย เขาเดินดูเสื้อผ่าคอลเลคชั่นใหม่ ๆ ได้ไม่นาน ก็มีพนักหนุ่มหน้าสวย แต่กิริยาท่าทางกระเดียดไปทางหญิงสาว เดินบิดกายเข้ามาหาเขาทันที

“ต้องการดูเสื้อผ้าแบบไหน ถามได้นะคะ” เจ้าหล่อนรีบอาสา ผู้กองภาติยะส่งยิ้มให้ ตอบกลับด้วยเสียงที่ออกจะเก้อเขินนิด ๆ

“อยากดูกางเกงว่ายน้ำ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนครับ”

สีหน้าของพนักงานขายหญิงในร่างชายดูลิงโลดขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบพาชายหนุ่มเดินตรงยังส่วนที่ขายชุดว่ายน้ำสำหรับชายหนุ่ม

หมวดพฤกษ์อาศัยวิชาตำรวจ เดินตามไปห่าง ๆ ไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว เขาเห็นผู้กองหนุ่มหุ่นงามกำลังเลือกกางเกงว่ายน้ำอยู่ ในขณะที่พนักงานขายผู้อ้อนแอ้นก็ให้คำแนะนำอยู่ไม่ห่าง

ผู้กองหนุ่มเลือกกางเกงว่ายน้ำได้ 4-5 ตัว เขาหันไปถามพนักงานว่าสามารถลองได้ไหม พนักงานหนุ่มสาวยืนลังเลเหมือนกำลังตัดสินอยู่ครู่หนึ่ง

“จริง ๆ ลองไม่ได้หรอกฮ่ะ แต่อันนี้เป็นกรณีพิเศษนะคะ หนูจะพาพี่ไปลอง ตามหนูมานะคะ”

พนักงานหนุ่มใจสาวหันรีหันขวางดูค้นทาง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ นางจึงรีบเดินตัวปลิวนำหน้าผู้กองหนุ่มไปยังด้านหลัง ที่มีป้ายว่าเฉพาะพนักงานโชว์เด่นหราอยู่ด้านบน ดีที่ช่วงเวลานั้นลูกค้าเริ่มหนาตา พนักงานบริเวณนั้นจึงไม่มีเวลาจะสนใจสิ่งอื่น นอกจากคอยทำหน้าที่บริการลูกค้า หมวดพฤกษ์ก็อาศัยจังหวะนั้นรีบตามเข้าไปในห้องห่าง ๆ

เขาได้ยินเสียงพนักงานสาวในร่างหนุ่มดังอยู่ไม่ไกลนัก จึงเดินตามเสียงนั้นไป มือก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดโปรแกรมถ่ายวิดีโอทันที ก่อนจะจับภาพไปที่ชายหนุ่มหุ่นล่ำกับชายหนุ่มผู้อ้อนแอ้น ที่กำลังยืนชิดกันอยู่ในมุมสลัวหน้ากระจกบานใหญ่

ทั้ง 2 คนหันหลังให้เขา สายตามัวจดจ่อกับภาพในกระจก ชายหนุ่มหุ่นล่ำค่อยๆเปลื้องเครื่องแต่งกายของตัวเองออกทีละชิ้น ยิ่งทำให้เห็นรูปร่างที่ล่ำกว่าที่คาด หมวดพฤกษ์เห็นพนักงานสาวในร่างหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่ตั้งใจ จนเมื่อชายหนุ่มปลดกางเกงออกจากกาย ดวงตากลมโตของพนักขายก็ยิ่งวาวโรจน์มากขึ้น

ผู้กองภาติยะสวมแค่กางเกงในแบบจีสตริงสีขาวชิ้นเล็กเพียงตัวเดียว ด้านหน้าหมวดพฤกษ์เห็นผ้าผืนบางห่อหุ้มความเป็นชายไว้แทบไม่มิด มีสายเส้นเล็ก ๆ คล้องเอวผูกโยงมายังด้านหลัง ที่ไม่มีเนื้อผ้าปิดอยู่เลย เผยให้เห็นก้นขาวกลมกลึงแน่นกระชับของผู้กองหนุ่มอย่างชัดเจน

“แม่งเอ๊ย ตั้งใจมาโชว์สินะมึง โรคจิตแท้ ๆ”

ภาติยะหยิบกางเกงว่ายร้ำตัวแรกมาเตรียมจะสวม แต่มีเสียงของพนักงานผู้อ้อนแอ้นดังขัดขึ้น

“จะลองทั้งอย่างนี้เลยเหรอฮะ มันจะไม่สวยนะ หนูว่าพี่ถอดกางเกงในออกก่อนดีกว่ามั้ยฮะ”