แค้นจัดหนัก V3

อัคร

อัครมักจะเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเพื่อนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำอะไร ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นสะดุดตากว่าใครในกลุ่มเท่านั้น แต่เพราะความเป็นหนุ่มไฮโซที่มีพ่อเป็นถึงนายตำรวจชั้นนายพล และแม่ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลผู้ดีเก่า ทำให้เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างยกให้เขาเป็นผู้นำกลุ่มไม่ว่าจะทำอะไร ซึ่งส่วนใหญ่อัครมักจะทำหน้าที่ได้ดีเสมอ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน ที่เขามักเป็นผู้นำทางความคิดในการริเริ่ม สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ส่วนด้านกิจกรรมเขาก็เยี่ยมไม่เป็นรองใคร เพราะอัครเป็นนักกีฬาที่มีฝีไม้ลายมือเก่งกาจ นอกจากนี้เขายังเป็นนักเอนเตอร์เทนที่สร้างความสนุกสนานให้คนที่อยู่ใกล้ชิดได้มีความสุขอยู่เสมอ และสิ่งที่คนรอบข้างดูจะชื่นชอบมากที่สุดคือความเป็นคนใจป้ำของเขานั่นเอง เพื่อนๆ ต่างรู้กันดีว่าอัครไม่เคยเกี่ยงในการใช้เงินซื้อความสุขปรนเปรอตัวเองและคนรอบข้าง จนเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจถ้าจะมีใครสักคนบอกว่าเขาไม่ชอบอัคร

วันนี้อัครนัดเพื่อนๆ ในกลุ่มมาสังสรรค์ เนื่องจากตั้งแต่เรียนจบ แต่ละคนต่างมีภาระการงานที่ยุ่งเหยิง จนแทบไม่มีโอกาสพบหน้าค่าตากัน แต่เนื่องจากประวิทย์เพื่อนในกลุ่มกำลังจะมีข่าวดีเข้าพิธีวิวาห์ในเร็ววันนี้ อัครจึงถือโอกาสนัดเพื่อนๆ มารวมตัวสังสรรค์กัน

กลุ่มของอัครมีสมาชิกทั้งสิ้น 5 คน ซึ่งสนิทกันมาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยชั้นปี 1 แต่ละคนมีบุคลิกแตกต่างกันไป ประวิทย์เป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เขามาจากครอบครัวคนจีนหัวเก่าที่ทำอะไรต้องผ่านความเห็นชอบของคนในครอบครัว ซึ่งก็รวมถึงเรื่องแต่งงานที่เจ้าสาวเป็นคนที่ทางบ้านเลือกให้ วิทวัสเป็นนายธนาคารที่อาชีพการงานกำลังรุ่งโรจน์ ไพศาลเป็นนักเลงหุ้นผู้กล้าได้กล้าเสียในทุกเรื่อง และอาทิตย์หนุ่มนักปาร์ตี้ ที่กำลังสนุกสนานกับงานประชาสัมพันธ์แกลอรี่ที่ตัวเองถนัด

พวกเขานัดสังสรรค์กันในคลับส่วนตัวแห่งหนึ่ง ซึ่งอัครป็นสมาชิกวี.ไอ.พี.อยู่ ภายในห้องส่วนตัวพวกเขากำลังสนุกสนานกันอยู่ เครื่องดื่มที่กองอยู่เต็มโต๊ะพร่องไปกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้แต่ละคนกำลังเมาได้ที่ มีเพียงประวิทย์คนเดียวเท่านั้นที่ดูจะมีสติมากกว่าคนอื่นๆ อยู่สักหน่อย เพราะนิสัยที่ดื่มน้อยกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว เนื่องจากไม่อยากมีปัญหากับคนทางบ้าน ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดี

อัครยังคงเป็นผู้นำกลุ่มการสนทนาเช่นเดิม เพื่อนๆ ต่างสนุกสนานในเรื่องที่เขาสรรหามาเล่า ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องเก่าๆ ตั้งแต่สมัยเรียนที่อาจจะลืมๆ กันไปแล้ว ก็จะเป็นเรื่องทะลึ่งขำขันตามประสาชายหนุ่มวัยกลัดมันอย่างพวกเขา

“มึงจำเรื่องน้องแนนได้ไหมวะ ที่แม่งแอบชอบกูแต่ไม่กล้าบอก เลยฝากไอ้ศาลเอามาให้ แต่ไอ้ศาลดันเข้าใจผิด เอาจดหมายฉบับนั้นไปให้ไอ้ทิตย์หน้าตาเฉย สุดท้ายมันโดนน้องแนนเม้งใส่ กูยังจำหน้าตาเหรอหราของมันตอนนั้นได้อยู่เลย” อัครเล่าไปขำไป ทำให้เพื่อนๆ หัวเราะชอบใจไปตามๆ กัน

“แต่สาวๆ คนไหนของไอ้อัครก็ไม่เด็ดเท่าพี่เมย์ แม่งอกเป็นอก นมเป็นนม ก้นเป็นก้น กลมกลึงไปทั้งตัว เวลากูเห็นพี่เมย์ใส่เสื้อนักศึกษารัดๆ ทีไร ควยกูกึ่มขึ้นมาทุกที มึงนี่ก็ไม่เห็นใจเพื่อนเลย พวกกูขอแอบดูตอนมึงเอากันก็ทำหวง” วิทวัสย้อนไปถึงอีกหนึ่งสาวที่เคยเป็นที่หมายปองของสมาชิกกลุ่ม แต่สุดท้ายก็เสร็จอัครเหมือนรายอื่นๆ

“เออใช่ พวกกูไม่หล่อ พ่อไม่รวยบ้างก็ให้มันรู้ไป” ไพศาลรับลูกต่อจากเพื่อน

“แหม เรื่องแบบนี้ผู้ชายดีๆ แบบกูก็ต้องให้เกียรติผู้หญิงสิวะ จะมาให้เพื่อนเหี้ยๆ แบบพวกมึงมาแอบดูพี่เขาได้ยังไง” อัครหาข้อแก้ตัว

“แต่กูว่าเหตุผลที่แท้จริงคือมันไม่กล้าโชว์มากกว่า สงสัยควยจะเล็ก ลีลาไม่เด็ดแน่เลย” เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างหัวเราะชอบใจต่อประเด็นสงสัยที่อาทิตย์ตั้งขึ้น และเริ่มเห็นด้วยจนอัครต้องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เอ หรือจริงๆ วันนั้นมันไม่ได้มีอะไรกับพี่เมย์ หรือว่ามึงเป็นเกย์แล้วคบหญิงบังหน้าวะ”ไพศาลเปิดอีกประเด็นเพื่อแหย่เพื่อน เรียกเสียงหัวเราะจากคนในกลุ่มได้อีก ยกเว้นอัครที่เริ่มไม่พอใจเพราะคิดว่าเพื่อนพูดจริง เขาไม่ทันระวังตัวแล้วโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิดว่า “เฮ้ย กูไม่ใช่ไอ้วิทย์นะ ที่จะแต่งงานบังหน้ากลบความเป็นเกย์ของมันน่ะ”

เสียงหัวเราะที่ดังอยู่เมื่อครู่จางหายไปทันทีที่อัครพูดจบประโยค ทุกคนต่างตกตะลึงในสิ่งที่อัครหลุดปากพูดออกมา ทุกสายตาหันมามองทางประวิทย์เป็นจุดเดียวกัน

ประวิทย์เองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าอัครจะหลุดปากเรื่องที่เป็นความลับของพวกเขาออกมา หน้าของเขาชาเหมือนเพิ่งโดนตบ ไม่สามารถหาคำพูดมาปฏิเสธหรือแก้ตัวอะไรได้ทัน

“จริงเหรอวะไอ้วิทย์” ไพศาลเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เอ่ยปากถามออกมา ประวิทย์ทำหน้าเลิกลั่ก ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเป็นคำตอบที่ชัดเจนกว่าการพูดอะไรออกมาเสียอีก แล้วจู่ๆ ไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งตัว ประวิทย์ก็ลุกพรวดออกจากห้องไป ทุกสายตาจึงหันกลับมามองที่อัครอีกครั้งหนึ่ง อัครจึงเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้ว่าประวิทย์เป็นเกย์ว่า

“ตอนนั้นพวกเราเรียนกันอยู่ปี 2 ตอนช่วงที่พี่เมย์มาชอบกูนั่นแหล่ะ กูเห็นไอ้วิทย์มันชอบทำตัวแปลกๆ กูเลยถามดูว่ามันเป็นอะไร จู่ๆ มันก็บอกรักกู แล้วจูบปากกู พอกูผลักมัน มันก็วิ่งหนีไปเหมือนวันนี้ ตอนแรกกูก็รับไม่ได้ แต่คืนนั้นมันโทรมา ร้องไห้ขอร้องให้กูลืมเรื่องที่มันทำ และรับปากว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง กูสงสารก็เลยรับปาก วันต่อมามันก็ทำตัวปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น กูก็เลยไม่อยากคิดอะไร แล้วก็พยายามลืมๆ เรื่องนั้นไป จนพวกมึงล้อกูนี่แหล่ะ ถึงทำให้กูหลุดปากเรื่องนี้ออกมา” อัครพูดด้วยความรู้สึกผิด เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างตกตะลึงกับเรื่องที่อัครเล่า บรรยากาศการสังสรรค์เริ่มเงียบงัน แล้วปาร์ตี้เพื่อฉลองให้เพื่อนรักที่กำลังจะแต่งงานก็จบลงด้วยความเจ็บปวด

ในคลับแห่งหนึ่งซึ่งผู้คนกำลังพลุกพล่าน ประวิทย์นั่งดื่มเหล้าย้อมใจแต่เพียงลำพังโดยไม่สนใจว่าคนทางบ้านจะว่าอะไร สิ่งที่เขาคิดตอนนี้คือความเมาจะช่วยให้เขาลืมเรื่องราวทุกอย่างที่กัดกินใจเขาอยู่ หลังเหตุการณ์นั้นผ่านมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่ความรู้สึกของเขายิ่งหดหู่หนักกว่าเดิม เขาคาดหวังว่าจะมีใครสักคนในกลุ่มโทรมาเพื่อจะบอกกับเขาว่า เพื่อนๆ ทุกคนไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรในตัวเขา พร้อมรับในสิ่งที่เขาเป็น แต่มาถึงตอนนี้ทุกอย่างยังคงว่างเปล่า ความรู้สึกของเขาตอนนี้จึงทั้งเจ็บแค้นและน้อยใจเพื่อนๆ ในกลุ่ม

ประวิทย์นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นตอนที่พวกเขาเรียนอยู่ชั้นปี 3 ตอนนั้นอัครถูกแมวมองที่เป็นผู้ชายลักษณะท่าทางตุ้งติ้งออกสาว ชักชวนไปเทสต์หน้ากล้องงานโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งพวกเขาก็ตามไปให้กำลังใจเพื่อนสนิท แต่ระหว่างที่กำลังรออัครเข้าไปทดสอบ จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่ออัครเดินออกจากห้องมาหาพวกเขา สักพักแมวมองคนนั้นก็เดินกุมหน้าตามออกมาพร้อมช่างภาพ แล้วบอกว่าโดนอัครทำร้ายร่างกาย เรื่องดูท่าจะชุลมุนยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ ต่างฝ่ายต่างส่งเสียงด่าท่อกันไปมา ดีที่ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขาในสตูดิโอ ช่างภาพบอกว่าจะแจ้งความอัครข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่อัครไม่สะทกสะท้านเพราะบารมีของพ่อเขา ประวิทย์ต้องเข้าแก้ไขสถานการณ์โดยบอกว่าจะเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยเรื่องราวทั้งหมดให้เอง แล้วให้เพื่อนๆ ออกที่ร้านอาหารใกล้ๆ สตูดิโอ

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ประวิทย์เดินทางมาสมทบกับเพื่อนๆ ที่ร้าน เมื่อมาถึงเขาเห็นอัครยังคงอารมณ์คุกรุ่นอยู่ไม่หาย พออัครเห็นเขาเดินเข้ามาก็มองด้วยสายตาที่แสดงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิด เขารู้สึกตัวชาสั่นสะท้านไปชั่วขณะ ดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น วิทวัสเป็นฝ่ายเล่าเรื่องราวจากฝั่งอัครให้เขาฟังว่า

“ไอ้อัครบอกว่า อีตุ๊ดนั่นลวนลามมัน ตอนแรกก็ทำเป็นถ่ายรูปธรรมดา แล้วก็ขอให้มันถอดเสื้อ ถอดกางเกงจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ แล้วก็พยายามจะขอให้มันถอดบ็อกเซอร์ออก พอมันไม่ถอดก็เข้ามาทำเป็นจะถอดให้มัน แล้วพยายามจะจับเนื้อจับตัวมัน สุดท้ายมันทนไม่ไหวเลยซัดเข้าให้ที่หน้า ก็เลยมีเรื่องมีราวกัน อีตุ๊ดพวกนี้แม่งทำตัวน่ารังเกียจชิบหาย”

ประวิทย์เห็นอัครยิ้มเยาะตอนที่วิทวัสพูดประโยคสุดท้าย สายตายังมองตรงมาที่เขา หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นอัครลาขาดงานในวงการบันเทิง แม้จะมีคนพยายามชักชวนเขามากมาย แต่เขาก็ไม่ใจอ่อน โดยให้เหตุผลแค่สั้นๆ ว่าเข็ด

ประวิทย์เทเหล้าในขวดจนหยดสุดท้าย เขาจึงเงยหน้าเพื่อมองหาบริกร แล้วสายตาก็ปะทะกับชายปริศนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเห็นชายคนนั้นยิ้มให้เขาแล้วเลื่อนขวดเหล้าของตัวเองมาให้เขาเพื่อเชื้อเชิญให้ดื่มร่วมกัน ประวิทย์แม้จะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจจากผู้ร่วมโต๊ะ

“เห็นคุณดื่มอยู่คนเดียว เลยขอนั่งเป็นเพื่อน”

“คุณมานานเท่าไหร่แล้ว ผมไม่ทันสังเกต”

“ก็นานพอจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่คุณได้รับ”

“เหอะ” ประวิทย์แค่นเสียงหัวเราะ

“ผมดูคนเก่งนะ บอกได้เลยว่าความทุกข์ของคุณไม่ธรรมดา อยากเล่าให้คนแปลกหน้าอย่างผมฟังไหมล่ะ”

ประวิทย์ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไว้ใจชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่ตรงข้าม อาจจะเพราะหน้าตา ท่าทาง การพูดที่ดูเป็นมิตรของอีกฝ่าย หรือไม่เขาก็อาจจะต้องการระบายเรื่องราวทั้งหมดที่แบกไว้ให้ใครสักคนได้ฟัง เขาจึงระบายสิ่งที่ค้างคาใจให้คนที่นั่งตรงข้ามได้รับฟัง

“คุณอยากแก้แค้นคนที่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดไหมล่ะ ผมช่วยได้นะ”

ประวิทย์ชะงักงันทันทีที่ได้ยินคนที่นั่งตรงข้ามพูดจบประโยค เขานิ่งงันไปชั่วครู่เพื่อใช้ความคิด ก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆ แต่แววตาดูไม่มั่นใจ

“ไม่ ผมไม่อยากแก้แค้น ไม่แก้แค้น ไม่” ประวิทย์เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำพูดกับตัวเอง

“ถ้าคุณไม่สนใจก็ไม่เป็นไร หมดธุระของผมแล้ว เหล้าขวดนั้นผมยกให้ เชิญคุณดื่มเพื่อลืมทุกข์ต่อไปได้ตามสบาย” ชายปริศนาลุกจากเก้าอี้เดินหายไปในหมู่ผู้คน ประวิทย์ตัดสินใจวิ่งตามชายคนนั้นไป

“เดี๋ยวก่อน ผมเปลี่ยนใจแล้ว ยังทันไหม”

“ล้างแค้นอีกสิบปีก็ไม่สาย” ชายปริศนายิ้มเยือกเย็น ก่อนจะเอื้อมมือล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มันเป็นซองขนาดเล็กสีน้ำตาล เขายื่นซองนั้นใส่มือประวิทย์ ชายหนุ่มรับมาเปิดดูเห็นยาขนาดเล็กหนึ่งเม็ดบรรจุอยู่ในแผง เขาเงยหน้ามองชายปริศนาด้วยความงุนงง ยังไม่ทันจะพูดอะไรชายปริศนาก็บอกว่า

“ผมให้คุณเม็ดนึง คุณเอาให้คนที่คุณต้องการล้างแค้นกิน แล้วหลังจากนั้นเขาจะตกเป็นทาสคุณ เชื่อฟังคุณทุกอย่าง แล้วไม่ต้องกังวล คนนอกจะไม่รู้ว่าคุณกำลังควบคุมเขาอยู่ แล้วจะไม่มีใครจับได้เพราะไม่มีสารอะไรตกค้างให้คุณต้องเดือดร้อนทีหลังแน่นอน ผมรับประกันเพราะเคยลองมาแล้ว ข้อแม้เดียวคือยานี้จะมีอายุแค่ 6 ชั่วโมงหลังจากที่คนๆ นั้นกินมันเข้าไป คุณอย่าพลาดที่จุดนี้ ผมขอให้คุณโชคดีและสนุกกับการล้างแค้น”

“คุณจะได้อะไรจากเรื่องนี้”

“ผมไม่ได้อะไรทั้งนั้น ผมมาเพื่อช่วยให้คุณได้ชำระแค้น จงชำระล้างมันเถอะ อย่าปล่อยให้มันกัดกินใจคุณต่อไปอีกเลย”

ประวิทย์พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้ ก่อนที่จะเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า

“คุณเป็นใครกันแน่”

ชายคนนั้นยิ้มเยือกเย็นจนประวิทย์รู้สึกขนลุกชัน

“คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมเป็นใคร ตอนนี้คุณแค่นึกว่าจะจัดการแก้แค้นยังไงดีกว่า” แล้วชายตรงหน้าก็หันหลังเดินลับหายไปท่ามกลางผู้คน ปล่อยให้ประวิทย์ยืนงง ก้มลงมองห่อของเล็กๆ ที่อยู่ในมือด้วยใจระทึก แล้วรอยยิ้มที่เย็นเยือกก็ค่อยๆ ปรากฏที่มุมปากของเขา

อัครขับรถยนต์คันหรูเข้ามาจอดหน้าสปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันจะลงจากรถดีก็มีพนักงานกุลีกุจอเข้ามารับรถเพื่อนำไปจอดให้ สถานที่แห่งนี้คือที่ออกกำลังกายของคนมีระดับ เพราะค่าสมาชิกที่แพงจนคนธรรมดาทั่วไปได้แต่ส่ายหน้า ทำให้มันแตกต่างจากสถานที่ออกกำลังกายแห่งอื่นๆ เนื่องจากมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า คนไม่พลุกพล่าน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย อุปกรณ์ก็ไม่ได้ตั้งอย่างเบียดเสียดเพราะพื้นที่อันจำกัด ทำให้อัครชอบที่จะมาออกกำลังกายที่นี่เมื่อมีเวลาว่าง

ช่วงบ่ายๆ อย่างนี้คนยิ่งไม่ค่อยมีคน ห้องที่เขามาเล่นมีสมาชิกเพียง 3-4 คนเท่านั้น อัครสวมเสื้อ-กางเกงออกกำลังกายรัดรูป ตรงไปยังอุปกรณ์สำหรับวอร์มร่างกายก่อน ก่อนจะเปลี่ยนไปยังอุปกรณ์ที่เน้นสร้างกล้ามเนื้อเป็นจุดๆ

อัครคงไม่ทันสังเกตว่าไม่ว่าเขาจะย้ายไปเล่นที่อุปกรณ์ไหน จะมีสายตาอยู่คู่หนึ่งที่มองตามเขาไปตลอด ยิ่งตอนที่เขาขึ้นไปวิ่งบนลู่วิ่งนั้น ยิ่งทำให้เขาถูกจับจ้องเป็นพิเศษ เพราะแรงวิ่งทำให้ร่างกายของเขากระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ ยิ่งเขาใส่เสื้อผ้าที่ฟิตแนบไปกับลำตัวอย่างนี้ ยิ่งทำให้จุดสนใจของเขาเด่นชัดขึ้นกว่าปกติ

อัครใช้เวลาออกกำลังกายบนอุปกรณ์ต่างๆ ไม่นานก็หายกลับไปที่ห้องแต่งตัว ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ ก่อนจะเดินตรงไปที่สระว่ายน้ำ

ที่สระว่ายน้ำ อัครเห็นชายคนหนึ่งในชุดออกกำลังกายนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ที่บาร์ เขาสบตากับชายคนนั้น แต่ไม่ได้สนใจอะไร เดินตรงไปที่เก้าอี้ยาวที่ตั้งอยู่ริมสระ เขาถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออกจากตัว เผยให้เห็นกล้ามแกร่งสมส่วน รูปร่างของชายหนุ่มชวนมองไปทั้งตัว การหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้แทบมีไขมันตรงส่วนไหนในร่างกายเลย ตอนนี้ทั้งร่างของชายหนุ่มมีเพียงกางเกงว่ายน้ำแบบสปอร์ตตัวเดียวเท่านั้นที่สวมติดตัวอยู่

อัครพุ่งลงไปในน้ำ และเริ่มว่ายกลับไปกลับมาจนครบ 3 รอบ เมื่อขึ้นมาจากสระเขาเดินกลับมานั่งพักที่เก้าอี้ยาวริมสระ มองไปที่บาร์เครื่องดื่ม ไม่พบชายคนที่เคยนั่งอยู่ อัครไม่ได้คิดอะไร หยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้นไป

อัครปิดตู้ล็อคเกอร์ของเขาลง หยิบอุปกรณ์อาบน้ำ เดินตรงไปยังห้องอาบน้ำที่แบ่งซอยเป็นห้องๆ มีผ้าม่านกั้นปิดหน้าห้องแทนประตู เขาเดินเข้าไปยังห้องว่างห้องหนึ่ง ปิดม่านพอให้รู้ว่ามีคนใช้ แล้วจึงถอดกางเกงว่ายน้ำออกมาบิด แล้วจจึงเปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างร่างกาย ถ้าคนเดินผ่านไปมามองลอดผ้าม่านเข้ามา คงจะเห็นภาพชายหนุ่มรูปร่างดีกำลังยืนหันหลังเปลือยเปล่าอาบน้ำจากฝักบัวอยู่

อัครคงกำลังเพลินกับการอาบน้ำจนไม่ได้ยินเสียงผ้าม่านถูกเปิดออกช้าๆ