แค้นจัดหนัก V3

พลวิทย์

“จากการหารือของคณะกรรมการโรงเรียน มีมติที่จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ทางโรงเรียนขอแต่งตั้งให้อาจารย์พลวิทย์ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายพละศึกษาคนใหม่ของโรงเรียน โดยคำประกาศจะมีผลทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์พลวิทย์ด้วยค่ะ” เสียงประกาศของอาจารย์ใหญ่จบลง ตามด้วยเสียงปรบมือของอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่อยู่ในห้องประชุม เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับอาจารย์พลวิทย์

สายตาทุกคู่ต่างมองไปที่เขา อาจารย์หนุ่มวัย 28 ปี ที่ตอนนี้ยืนขึ้นเพื่อกล่าวขอบคุณอาจารย์ใหญ่ และพูดการทำหน้าที่ว่าจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อพัฒนาด้านกีฬาของโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จสมดังที่ได้รับความไว้วางใจ หลังกล่าวจบทุกคนต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา เว้นเพียงชายคนหนึ่งที่ยืนมองด้วยแววตาชิงชังอยู่ที่มุมห้อง

“อาจารย์สุนัย ไม่เข้าไปยินดีกับเพื่อนหน่อยเหรอฮะ”เสียงอาจารย์เพชรดังมาจากด้านหลัง ทำให้อาจารย์สุนัยที่ไม่ทันระวังตัวสะดุ้งด้วยความตกใจ

“โถ่ อาจารย์เพชรนี่เอง มาเงียบๆ เล่นเอาผมตกใจหมดเลย”

“แหมไม่รู้นี่ฮะว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้ จะเข้ามาถามว่าจะไม่ไปยินดีกับเพื่อนสนิทหน่อยเหรอ คุณเป็นคนชวนเขามาทำงานที่นี่ไม่ใช่เหรอ คงรู้สึกยินดีกับความก้าวหน้าของเพื่อนแย่เลยสิ”น้ำเสียงนั้นมีแววเยาะหยันอยู่ในที

“อาจารย์วิทย์ได้ก็เหมาะสมดีแล้วนี่ครับ เพราะชมรมว่ายน้ำของเขามีผลงานที่ดีเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากชมรมฟุตบอลของผมที่ผลงานย่ำแย่ลงตั้งแต่รุ่นแชมป์เรียนจบออกไป”

“คิดได้อย่างนั้นก็ดีฮ่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เวลาแห่งความยินดียังมีอีกเยอะ”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกละกันนะฮะ ตอนนี้ขอไปแสดงความยินดีกับหัวหน้าฝ่ายคนใหม่ก่อน” พูดแล้วอาจารย์เพชรก็เดินจากไป สุนัยมองตามเห็นเขาเข้าไปแสดงความยินดีกับอาจารย์พลวิทย์อย่างออกนอกหน้าจนอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้ เขาจึงเดินเลี่ยงออกมาจากห้องประชุมอาจารย์ ระหว่างทางนั้นใจที่ร้อนรุ่มก็หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ครั้งเก่า

เขากับพลวิทย์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียนวิทยาลัยครู ต่างคนต่างมาจากต่างที่ หลังรู้จักกันได้ไม่นานก็ชักชวนกันหาหอพักอยู่ร่วมกัน หลังจากนั้นจึงต่างเป็นเงาซึ่งกันละกัน เมื่อเห็นอีกคนที่ไหนก็จะเห็นอีกคนด้วยเสมอ จนเพื่อนๆ ขนานนามพวกเขาว่าแฝดอิน-จัน พวกเขาเริ่มมาห่างกันตอนที่พลวิทย์พบรักกับชลดานักศึกษารุ่นน้อง และเมื่อต่างคนต่างแยกย้ายไปฝึกสอนคนละที่ จึงเริ่มห่างเหินกันยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อเรียนจบสุนัยเข้าทำงานที่โรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ที่ต้องการอาจารย์ที่มีความสามารถด้านกีฬามาพัฒนาโรงเรียน ช่วงที่เขาเข้ามาดูแลชมรมฟุตบอลกำลังเฟื่องฟูเต็มที่ สุนัยจึงพลอยได้หน้าไปด้วย เมื่อทางโรงเรียนต้องการอาจารย์มาเพิ่มเพื่อดูแลชมรมว่ายน้ำที่กำลังตกต่ำ สุนัยจึงนึกถึงเพื่อนสนิทและชักชวนให้มาทำงานด้วยกัน

พลวิทย์เป็นหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่สมส่วน มีกล้ามที่แขน หน้าอก หน้าท้อง ต้นขาสมส่วนชวนมอง ยามที่สวมเครื่องแบบอาจารย์พละ เสื้อโปโลและกางเกงวอร์มที่รัดรูปทำให้เห็นรูปร่างอย่างชัดเจน ไม่ต้องไปพูดถึงตอนที่เขาคุมชมรมว่ายน้ำที่บางครั้งท่อนล่างต้องสวมเพียงชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วเดินไปมาริมขอบสระ ยิ่งเน้นให้เห็นสัดส่วนอันชวนมองของเขามากยิ่งขึ้นไปใหญ่ ต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เป้าที่นูนเด่นและบั้นท้ายที่งอนงามแม้จะมีชายเสื้อคอยปิดบังเอาไว้ก็ตาม

ส่วนสุนัยนั้นแม้รูปร่างจะกำยำสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่งไม่แพ้พลวิทย์ แต่ดูเหมือนจะแพ้ที่ความขาว เพราะผิวของสุนัยแลดูคล้ำกรำแดด จึงไม่ชวนมองเท่า ทำให้เจ้าตัวไม่เป็นที่ชื่นชอบของเพศตรงข้ามและอาจจะรวมถึงเพศเดียวกันบางคนมากเท่าเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นสิ่งที่สุนัยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมานานแล้ว

สุนัยเดินกลับไปที่ชมรมของเขา เข้าไปนั่งทำใจในห้องพัก แม้จะพอคาดการณ์ได้ล่วงหน้า แต่เขาก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้เพราะความคาดหวังว่าตนเองน่าจะได้รับตำแหน่งนี้ เมื่อดูจากอายุการทำงาน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากก็คือการที่เขาต้องเสียตำแหน่งนี้ให้กับเพื่อนสนิทที่เขาเองเป็นคนชักชวนให้เข้าทำงานที่นี่

สุนัยกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรดีกับความแค้นที่กำลังสุมแน่นอกเขาอยู่ในขณะนี้

เสียงเพลงจากตู้เพลงหยอดเหรียญรุ่นเก่าดังฝ่าเสียงพูดคุยจากโต๊ะต่างๆ ลอยมาจนถึงโต๊ะที่สุนัยนั่งอยู่ มันเป็นเพลงลูกทุ่งที่เล่าเรื่องชายที่ผิดหวังในเรื่องความรักจากหญิงสาวที่คบกันมานาน จนต้องลี้กายมานั่งดื่มเหล้าย้อมใจในที่ห่างไกลผู้คน สุนัยคิดว่าเนื้อเพลงมีบางส่วนใกล้เคียงชีวิตจริงของเขา ข้างกายของชายหนุ่มมีขวดเหล้าที่เป็นอุตสาหกรรมภายในท้องถิ่นตั้งวางอยู่ แต่ถึงจะขายเหล้าที่ผลิตขึ้นมาเอง แต่ร้านเหล้าแห่งนี้ก็ดูใหญ่ มีที่นั่งถึง 12 โต๊ะ และตอนนี้แต่ละโต๊ะเต็มไปด้วยคนในท้องถิ่นที่รวมตัวนัดสังสรรค์กันที่นี่

สุนัยนั่งอยู่ในมุมอับห่างไกลผู้คน โต๊ะของเขาเป็นโต๊ะเล็กๆ ที่มีที่นั่งเพียง 2 ที่ เหมาะกับเขาที่มาดื่มเหล้าย้อมใจเพียงคนเดียว เขาไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เหมาะสมหรือจะมีนักเรียนมาเห็น เพราะร้านเหล้าแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากเขตเมืองพอสมควร เนื่องจากเหล้าที่ขายนั้นดูจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายนัก เขาเคยมาที่นี่หลายครั้ง ทั้งมาคนเดียว มากับเพื่อนครูด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพลวิทย์

เขารู้จักคบหากับพลวิทย์มานานร่วมสิบปีแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนวิทยาลัยครูชั้นปีที่ 1 หลังจากเรียนจบพวกเขายังมาทำงานที่เดียวกันอีก ใครต่อใครต่างชื่นชมมิตรภาพที่พวกเขามีให้กัน แต่คนส่วนใหญ่คงไม่รู้ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆ ของสุนัยว่าเป็นอย่างไร

เขานึกย้อนตอนที่ต่างเรียนปีสุดท้าย พลวิทย์เป็นหนุ่มที่สาวๆ ต่างหมายปอง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจใครเป็นพิเศษ ต่างจากสุนัยที่ตกหลุมรักนักศึกษารุ่นน้องคนหนึ่งที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนที่เรียนด้วยกัน สุนัยพยายามจีบหญิงสาวคนนั้น แต่ดูเหมือนเธอจะคิดกับเขาแค่เพื่อนของพี่ชาย ความสัมพันธ์ไม่มีอะไรคืบหน้า ยิ่งเมื่อเขาขอนัดเธอไปเที่ยวเพียงลำพังเพราะเพื่อนที่เป็นญาติกับหญิงสาวไม่ว่าง ก็ถูกปฏิเสธกลับมา จนสุดท้ายเขาต้องดึงพลวิทย์มาเป็นไม้กันหมา เธอจึงยอมตกลงไปเที่ยวด้วย แต่ดูเหมือนการดึงพลวิทย์เข้ามาเกี่ยวด้วยจะเป็นความคิดที่ผิด เพราะสุดท้ายกลายเป็นพลวิทย์ต่างหากที่คว้าหัวใจหญิงสาวไป สุนัยทำได้แค่ทำหน้าชื่นอกตรม ยินดีกับความรักของเพื่อนสนิท และหนีมาสอนที่โรงเรียนอันห่างไกลแห่งนี้ทันทีที่เรียนจบ

แต่เมื่อทางโรงเรียนมีตำแหน่งว่าง เขาจึงคิดถึงเพื่อนสนิทขึ้นมา แล้วรีบชักชวนให้มาสอนที่นี่ โดยอ้างถึงเรื่องที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่เน้นกิจกรรมด้านพละศึกษา เหมาะกับพวกเขาที่จบมาด้านนี้โดยตรง พลวิทย์จึงตัดสินใจย้ายมาสอนที่นี่ ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็ต่างชื่นชมเขาที่มีน้ำใจต่อเพื่อน โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วที่เขาชวนพลวิทย์มาทำงานที่นี่ เป็นแผนการของสุนัยที่ต้องการแยกพลวิทย์ให้ห่างจากชลดา ซึ่งดูเหมือนแผนการนี้จะใช้ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะหลังจากต้องห่างกันตามหน้าที่ สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่คืบหน้า และต้องจบลงในเวลาอันรวดเร็วสมดังคำว่า “รักแท้แพ้ระยะทาง”

แต่สุดท้ายพลวิทย์ก็ยังเป็นหอกข้างแคร่ที่มีไว้ก็คอยแต่จะทิ่มแทงจิตใจ เพราะความสามารถที่โดดเด่นเกินหน้าเขา สุดท้ายพลวิทย์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายพละศึกษาตัดหน้าเขา เป็นอีกครั้งที่เพื่อนสนิทคนนี้สร้างความเจ็บช้ำให้แก่เขาจนเกินจะรับได้ไหว

สุนัยเทเหล้าหยดสุดท้ายลงแก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม เขากำลังคิดจะกลับอยู่พอดี ตอนที่เห็นชายแปลกหน้าที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้

“เห็นคุณดื่มอยู่คนเดียว เลยขอนั่งเป็นเพื่อน”

“เชิญตามสบาย ผมกำลังจะกลับพอดี” สุนัยเก็บของเตรียมลุกจากที่นั่ง แต่ถูกรั้งเอาไว้

“จะรีบไปไหนล่ะ ราตรีนี้ยังเยาว์นัก คุณดูพระจันทร์คืนนี้สิ เป็นใจให้คนดื่มเหล้าย้อมใจอย่างพวกเรานะ”

“เหอะ” สุนัยแค่นเสียงหัวเราะ เขารู้สึกว่าชายตรงหน้าพูดแทงใจจนตัดสินใจจะนั่งเป็นเพื่อนต่อ

“ผมดูคนเก่งนะ บอกได้เลยว่าความทุกข์ของคุณไม่ธรรมดา อยากเล่าให้คนแปลกหน้าอย่างผมฟังไหมล่ะ”

สุนัยไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไว้ใจชายที่นั่งตรงข้าม อาจจะเพราะหน้าตา ท่าทาง การพูดที่ดูเป็นมิตรของอีกฝ่าย หรือไม่เขาก็อาจจะต้องการระบายเรื่องราวทั้งหมดที่แบกไว้กับใครสักคน สิ่งที่คั่งค้างต่างๆ จึงได้หลุดออกมาจากปากของเขาให้คนที่นั่งตรงข้ามได้รับฟัง

“คุณอยากแก้แค้นคนที่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดไหมล่ะ ผมช่วยได้นะ”

สุนัยชะงักงันทันทีที่ได้ยินคนที่นั่งตรงข้ามพูดจบประโยค เขาจ้องมองคนตรงหน้านิ่งอย่างใช้ความคิดไตร่ตรอง แต่เพียงไม่นานเขาตัดสินใจตอบไปว่า

“ผมต้องทำยังไง”

“คุณแค่ต้องใช้มัน” ชายตรงหน้าเอื้อมมือล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มันเป็นซองขนาดเล็กสีน้ำตาล เขาส่งซองนั้นใส่มือสุนัย สุนัยรับมาแกะดู เขาเห็นยาขนาดเล็กหนึ่งเม็ดที่บรรจุอยู่ในแผง เขามองหน้าชายผู้ให้ด้วยความงุนงง

“ผมให้คุณเม็ดนึง คุณเอาให้คนที่คุณต้องการล้างแค้นกิน แล้วหลังจากนั้นเขาจะตกเป็นทาสคุณ เชื่อฟังคุณทุกอย่าง แล้วไม่ต้องกังวล คนนอกจะไม่รู้ว่าคุณกำลังควบคุมเขาอยู่ แล้วจะไม่มีใครจับได้เพราะไม่มีสารอะไรตกค้างให้คุณต้องเดือดร้อนทีหลังแน่นอน ผมรับประกันเพราะเคยลองมาแล้ว ข้อแม้เดียวคือยานี้จะมีอายุแค่ 6 ชั่วโมงหลังจากที่คนๆ นั้นกินมันเข้าไป คุณอย่าพลาดที่จุดนี้ ผมขอให้คุณโชคดีและสนุกกับการล้างแค้น”

“มันใช้ได้จริงๆ เหรอ”

“อยู่ที่ความศรัทธาในการแก้แค้นของคุณว่ามีขนาดไหน”

“จริงใจดีนี่ แล้วผมต้องจ่ายคุณเท่าไหร่”

“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ขอให้คุณมุ่งมั่นกับการแก้แค้นเพียงอย่างเดียว จงชำระล้างมันเถอะ อย่าปล่อยให้มันกัดกินใจคุณต่อไปอีกเลย”

สุนัยมองสิ่งของที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ หูแว่วยินเสียงชายที่นั่งตรงหน้าบอกว่า

“หมดหน้าที่ของผมแล้ว ต่อจากนี้เป็นหน้าที่คุณ” เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าชายตรงข้าม เห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก ก่อนที่ชายคนนั้นจะลุกจากที่นั่งไปโดยเขาไม่ทันได้กล่าวคำลา สุนัยก้มลงมองห่อของเล็กๆ ที่อยู่ในมืออีกครั้งด้วยใจระทึก แล้วรอยยิ้มที่เย็นเยือกก็ค่อยๆ ปรากฏที่มุมปากของเขา

หลังเหตุการณ์วันนั้น สุนัยต้องลืมเรื่องที่จะแก้แค้นเพื่อนของเขาไว้แค่นั้น เนื่องจากต้องทุ่มเทเวลาเพื่อฝึกซ้อมให้กับชมรมฟุตบอล ที่ต้องเข้าแข่งขันชิงแชมป์ระดับภูมิภาค สุนัยเอาความแค้นนั้นมาแปรเป็นพลังในการฝึกซ้อมสมาชิกในทีม จนสามารถคว้าแชมป์ในระดับภาคมาครองได้ นับว่าเป็นข่าวดีที่ไม่ได้มีมานานของชมรมฟุตบอล

ทางโรงเรียนจัดเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้ชมรมฟุตบอล นักกีฬาจากชมรมฟุตบอลขึ้นรับรางวัลจากอาจารย์ใหญ่ โดยมีสุนัยได้รับมอบรางวัลตามมา แต่ที่ทำให้สุนัยรู้สึกไม่พอใจก็คือพลวิทย์ในฐานะหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายพลศึกษาก็พลอยได้หน้าขึ้นมารับรางวัลกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่สุนัยต่างหากที่ควรจะเป็นดาวเด่นของงานในคืนนี้แต่เพียงผู้เดียว หลังจบงานสุนัยจึงเดินเข้าไปหาพลวิทย์เพื่อนสนิท

“ไอ้วิทย์ ชมรมฟุตบอลของข้าจะเลี้ยงฉลองกันเป็นการภายในวันมะรืนนี้ ข้าอยากจะให้เอ็งไปร่วมด้วย จะได้ฉลองตำแหน่งใหม่ให้เอ็งด้วย”

“ขอบใจมากว่ะนัยที่นึกถึง ข้าไปร่วมด้วยแน่นอน อยากแสดงความยินดีกับเอ็งด้วย”พลวิทย์จับมือเพื่อนสนิทเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะผละจากไปแสดงความยินดีกับเด็กๆ ในชมรม

สุนัยยิ้มเยือกเย็นที่มุมปาก ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า

“เอ็งได้ยินดีจนถึงใจแน่ไอ้วิทย์”

เขามองเด็กๆ ในชมรมของเขา ตั้งแต่รุ่นแชมป์เยาวชนระดับประเทศเรียนจบออกไป ทีมที่เหลือก็แทบไม่มีผลงานที่ดีออกมาให้เห็นอีกเลย สมาชิกที่เหลือส่วนใหญ่ไม่ค่อยตั้งใจฝึกซ้อม ชมรมนี้กลายเป็นชมรมของพวกเด็กเก ที่สมัครเข้ามาเพื่อเป็นข้ออ้างในการโดดเรียน เด็กแต่ละคนก็แสบๆ ทั้งนั้น มีหลายคนที่โดนหมายหัวเรื่องความประพฤติ จนเขาไม่อยากสนใจและปล่อยปละละเลยจนทีมอ่อนแอลงทุกวัน ที่อุตส่าห์ชนะระดับภาคในครั้งนี้มาได้เพราะความเอาจริงของสุนัย ที่ไม่ยอมปล่อยและเข้มงวดกับการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง

สุนัยคิดว่าเขาจะใช้เด็กๆ เหลือขอเหล่านี้นี่แหล่ะ ในการสร้างความอับอายให้กับพลวิทย์

พลวิทย์กำลังคุมสมาชิกในชมรมว่ายน้ำอยู่อย่างขมักเขม่น ชมรมว่ายน้ำของเขาเคยเป็นชมรมที่ไม่มีนักเรียนคนไหนอยากสมัคร เพราะผลงานที่ตกต่ำต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี เพราะอาจารย์ที่คุมชมรมไม่ถนัดกีฬาชนิดนี้ และเอาเวลาไปทุ่มให้อีกชมรมที่ดูแลซึ่งทำผลงานได้ดีกว่า เมื่อเขาได้รับการชักชวนจากเพื่อนสนิทให้มาสอนที่นี่ พร้อมรับหน้าที่ดูแลชมรมนี้ จึงเป็นงานที่ท้าทายที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้

เพียงเวลาไม่นานที่พลวิทย์เข้ามาคุมชมรมก็สามารถสร้างผลงานที่ดีขึ้นมาได้ และสามารถปั้นนักกีฬาของชมรมให้เป็นตัวแทนทีมชาติได้อีกด้วย หลังจากนั้นชมรมว่ายน้ำก็ไม่ใช่ชมรมที่โดนเมินอีกต่อไป และเพราะผลงานที่ดีชมรมของเขาจึงได้รับเงินอุดหนุนจากโรงเรียนมากที่สุดอีกด้วย

พลวิทย์ไม่ได้มีดีที่ความสามารถเท่านั้น รูปร่างหน้าตาเขาก็ดีกว่าอาจารย์คนไหนๆ ในโรงเรียน ถ้าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนสหศึกษาคงมีนักเรียนหญิงจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบเขา แต่แม้จะเป็นโรงเรียนชายล้วน แต่ก็มีนักเรียนแอบสาวมาชื่นชอบเขาไม่น้อย บางคนลงทุนมาสมัครเข้าชมรมว่ายน้ำด้วยจุดประสงค์เดียวคือจะได้เห็นเขาใส่ชุดว่ายน้ำทุกวัน แต่พลวิทย์ก็พยายามเลี่ยงที่จะใส่ชุดว่ายน้ำมาคุมชมรม นอกจากบางครั้งที่ต้องลงไปในสระเท่านั้น เมื่อไม่ได้ลงน้ำเขาก็เซฟตัวเองด้วยการสวมเสื้อทับปิดส่วนที่ควรสงวนเอาไว้ ทำให้ลูกศิษย์ที่ตั้งใจจะมาหาเศษหาเลยกับเรือนร่างของเขาต้องผิดหวังไปตามๆ กัน

ไม่ใช่แค่ในหมู่นักเรียนที่พลวิทย์ที่ชื่นชอบเขาเท่านั้น บรรดาอาจารย์เองก็ชื่นชมในความรู้ ความสามารถ และอุปนิสัยใจคอของเขาไม่น้อย อาจารย์สาวๆ พอรู้ว่าเขายังโสดก็พยายามทอดสะพานให้ หรือบางครั้งก็ให้สุนัยช่วยเป็นพ่อสื่อ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสมหวัง เพราะพลวิทย์ไม่เคยสนใจใครอย่างจริงจัง จนบรรดาอาจารย์แอบเอาไปนินทาด้วยความสงสัยว่าพลวิทย์อาจจะไม่แมนแท้ จึงให้อาจารย์เพชรลองไปหยั่งเชิงดู แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา นานๆ เข้าแต่ละคนจึงล้มเลิกความตั้งใจไป เหลือเพียงอาจารย์เพชรที่ยังคอยป้วนเปี้ยนหาเศษหาเลยทุกครั้งที่มีโอกาส

“อาจารย์วิทย์ครับ อาจารย์เพชรให้มาตามอาจารย์ครับ” เด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาบอกเขาขณะกำลังยืนคุมเด็กๆ ในชมรมฝึกซ้อมอยู่

“มีเรื่องอะไรเหรอ” พลวิทย์ถามด้วยความสงสัย

“ไม่ทราบครับ อาจารย์บอกแค่ว่าเรื่องด่วน ให้อาจารย์ไปทันทีตอนนี้เลย”

พลวิทย์จึงเรียกเรียกหัวหน้าชมรมมาฝากฝังการซ้อม แล้วรีบเดินไปหาอาจารย์เพชรซึ่งเป็นอาจารย์แม่บ้าน ชายหนุ่มเห็นว่าห้องของอาจารย์เพชรอยู่ตึกถัดไปไม่ไกลนัก แล้วเด็กก็กำชับว่ารีบ เขาจึงไปทั้งชุดกางเกงว่ายน้ำที่มีเสื้อโปโลคุมทับอีกตัวเท่านั้น

เมื่อมาถึงเขาเห็นอาจารย์เพชรยืนรออยู่แล้ว พอเห็นพลวิทย์เดินเข้ามาในชุดว่ายน้ำอาจารย์เพชรก็ตาวาวทันที ใครๆ ก็รู้ว่าอาจารย์เพชรไม่ใช่ชายแท้ แม้กระทั่งเด็กนักเรียนยังเรียกแกลับหลังว่าป้าเพชรา และที่ทุกคนไม่ต้องสงสัยก็คือ แกมีใจปฏิพันธ์ต่ออาจารย์พลวิทย์อย่างปิดไม่มิด แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เรียกได้ว่าไม่น่าดู แล้วอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ จึงไม่มีใครแปลกใจที่ความสนใจของอาจารย์เพชรจะเป็นไปอยู่ฝ่ายเดียว และไม่เคยได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าอาจารย์เพชรจะไม่เคยหมดหวังในตัวอาจารย์พลวิทย์เลย

“คือจะขอแรงอาจารย์วิทย์ให้มาช่วยยกของพวกนี้ขึ้นไปบนชั้นด้านบนหน่อยฮ่ะ จะวานเด็กๆ ก็ไม่มีใครตัวสูงถึงสักคน” อาจารย์เพชรบอกวัตถุประสงค์ออกไป

“อ้อ แค่นี้เอง ไม่เป็นไรครับ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง” พลวิทย์แสดงน้ำใจเช่นเคย

“งั้นอาจารย์ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้นะฮะ เดี๋ยวพี่จะคอยหยิบของส่งให้”

พลวิทย์ก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ รับของที่อาจารย์เพชรส่งให้ แล้วยกขึ้นไปวางบนชั้นที่อยู่สูงจนเกือบสุดความยาวแขน

“อาจารย์วิทย์ช่วยจัดเรียงให้เป็นระเบียบด้วยนะฮะ”

พลวิทย์ทำตาม เขาค่อยๆ เรียงกล่องของเหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบทีละชิ้น และตอนที่เขายกแขนขึ้นจักของนี่เองที่ชายเสื้อโปโลของเขาก็ยกสูงตามไปด้วย อาจารย์เพชรได้ทีจ้องมองเป้ากางเกงว่ายน้ำที่ตุงโด่งของชายหนุ่มทันที นอกจากนี้ชายเสื้อที่เลิกสูงขึ้นมากยังทำให้เห็นขนที่หน้าท้องอันดกดำของชายหนุ่ม ที่ตัดกับผิวขาวจัดของเขาด้วย จากที่เห็นอาจารย์เพชรประเมินว่าพลวิทย์ต้องเป็นหนุ่มขนดกไม่น้อย เพราะนอกจากไรจนที่หน้าท้องแล้ว ที่ขอบกางเกงว่ายน้ำทั้ง 2 ข้างยังมีขนแพลมออกมาให้เห็นด้วย

กว่าจะเสร็จสิ้นการจัดของ กางเกงว่ายน้ำของอาจารย์พลวิทย์ก็แทบมอดไหม้จากประกายไฟในดวงตาของอาจารย์เพชร ไม่ใช่ว่าพลวิทย์จะไม่รู้ตัวว่าถูกอาจารย์เพชรใช้ให้ทำงานนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะล่วงล้ำเขาเกินกว่าที่ควรจะเป็น เขาจึงไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะไปต่อว่าอีกฝ่าย เพราะคิดว่าแค่ดูยังไงก็ไม่สึกหรอ

งานเลี้ยงภายในของชมรมฟุตบอลกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน สมาชิกของชมรมต่างมีความสุขกันอย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่ได้มีงานฉลองแบบนี้มานานแล้ว เนื่องจากเป็นงานที่จัดกันภายใน สุนัยจึงอนุญาตให้มีเครื่องดื่มมึนเมาได้ ในปริมาณที่เหมาะสม โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเก็บกวาดอย่างดี ไม่ให้มีหลักฐานหลงเหลือ

สุนัยกำลังรอคอยการมาถึงของพลวิทย์ คืนนี้เขาตั้งใจจะให้เป็นคืนชำระความแค้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงวอร์มที่ใส่หยิบซองกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุยาเม็ดหนึ่งขึ้นมาดู ก็พอดีกับที่พลวิทย์เดินเข้ามาในห้องพอดี สุนัยจึงรีบเก็บมันลงกระเป๋าตามเดิม

สุนัยกล่าวเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ก่อนจะจัดการมอบรางวัลให้นักกีฬาดีเด่น 3 คน คือไกรภพ กัปตันทีม ยอด ศูนย์หน้าตัวฉกาจ และพัลลภ กองกลางจอมเลื้อย โดยให้พลวิทย์ทำหน้าที่เป็นผู้มอบรางวัลให้ทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นคนที่สุนัยเลือกแล้วว่าจะมีบทบาทในแผนการแก้แค้นของเขา

หลังจากนั้นสมาชิกชมรมก็ตักอาหาร เครื่องดื่มมานั่งกินกัน สุนัยทำหน้าที่ตักอาหารมาให้เพื่อนสนิท ระหว่างนั้นเขาทำหน้าที่นำการสนทนา ด้วยการเล่าเรื่องต่างๆ ระหว่างเขาและพลวิทย์ให้เด็กๆ ฟัง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าขำขันปนลามกทะลึ่งตึงตัง เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ ในชมรมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการรับน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่พวกเขาถูกรุ่นพี่ตัดเกรดขนาดความเป็นชาย

“พวกเอ็งเชื่อไหมว่าใครที่เป็นผู้ชนะในรุ่นข้า” สุนัยใช้สรรพนามกับเด็กอย่างสนิทสนม ซึ่งเป็นสิ่งที่พลวิทย์ไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมันลดช่องว่างระหว่างความเป็นศิษย์-อาจารย์ แต่เมื่อเห็นว่างานคืนนี้เป็นงานรื่นเริง เขาก็ไม่อยากจะขัดอะไร คิดเพียงว่าจะหาโอกาสพูดกับสุนัยนอกรอบสักครั้ง

ทุกคนต่างตะโกนชื่ออาจารย์สุนัย แต่เขากลับโบกมือแล้วส่ายหน้าช้าๆ

“พวกเอ็งสอบตกยกทีม ที่ถูกคือคนที่นั่งข้างๆ ข้านี่ต่างหาก”

เด็กๆ ต่างฮือฮา ไม่คิดว่าผู้ชายบุคลิกเรียบๆ นิ่งๆ อย่างอาจารย์พลวิทย์จะมีควยที่ใหญ่โตอะไร

“อาจารย์วิทย์ ลุกขึ้นโชว์หน่อย” สุนัยลองทดสอบว่ายาที่เขาใส่ในเครื่องดื่มของพลวิทย์ออกฤทธิ์แล้วหรือยัง ถ้าออกฤทธิ์แล้วเขาจะได้เริ่มกระบวนการแก้แค้นครั้งนี้เสียที

พลวิทย์นั้นไม่ค่อยพอใจนักที่สุนัยนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพราะเห็นว่าไม่เหมาะสม และกำลังจะขอให้เพื่อนเลิกพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายที่สุนัยเอ่ยขึ้นมา เขากลับลุกขึ้นยืนแอ่นเป้าไปข้างหน้าเพื่ออวดท่อนลำที่เริ่มแข็งตุงกางเกงวอร์มขึ้นมาให้สมาชิกในชมรมฟุตบอลได้ดู เรียกเสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งห้อง

“พอแล้วครับอาจารย์วิทย์”

พอได้ยินประโยคนี้พลวิทย์จึงกลับมายืนในท่าปกติ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงควบคุมร่างกายตัวเองไม่อยู่ แล้วพร้อมจะทำอะไรตามแต่ที่สุนัยสั่งการ

“ไหนอาจารย์วิทย์ก็ยืนขึ้นแล้ว วันนี้ข้าก็เลยจะขอแจ้งเรื่องหนึ่งให้ได้รับทราบโดยทั่วกัน คือก่อนหน้าการแข่งขัน ข้ากับอาจารย์วิทย์ได้พนันกันว่า ชมรมฟุตบอลของเราจะสามารถคว้าแชมป์มาได้หรือไม่ โดยมีกติกาว่าคนที่แพ้จะต้องยอมทำทุกอย่างตามที่คนชนะสั่งตลอดงานคืนนี้” คำพูดของสุนัยเรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาสมาชิกชมรมฟุตบอลได้อีกครั้ง ขณะที่พลวิทย์เองยืนตะลึงกับคำพูดของสุนัยเพราะเขามั่นใจว่าไม่เคยไปพนันอะไรแบบนั้นมาก่อน แต่ไม่สามารถค้านคำพูดของสุนัยได้เลย

“ใช่ไหมครับอาจารย์วิทย์”

พลวิทย์พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

“และแน่นอนว่าข้าต้องพนันข้างพวกเอ็งแน่นอน แล้วผลที่ออกมาก็เป็นฝ่ายอาจารย์วิทย์แพ้พนันในครั้งนี้ เพราะฉะนั้นอาจารย์วิทย์ต้องยอมรับการลงโทษทุกอย่างในคืนนี้ แต่ในเมื่อชัยชนะของทีมในครั้งนี้พวกเอ็งมีส่วนมากกว่าข้า ข้าจึงขอยกสิทธิ์ทั้งหมดให้พวกเอ็งได้ใช้อย่างเต็มที่ อาจารย์วิทย์มีอะไรจะขัดไหมครับ”

“ไม่ครับ” พลวิทย์ตอบเสียงดังฟังชัด ขัดกับคำตอบจริงๆ จากภายในใจ

“ดีมาก งั้นคืนนี้พวกเอ็งต้องการให้อาจารย์วิทย์ทำอะไรก็ได้ อาจารย์จะไม่ขัด ไม่ถือว่าเป็นความผิด และไม่มีลิมิตใดๆ ทั้งสิ้น ข้อแม้เดียวคือเหตุการณ์ทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ และจะไม่อนุญาตให้นำเรื่องในคืนนี้ไปเล่าต่อข้างนอกเด็ดขาด เพื่อเป็นการให้เกียรติอาจารย์วิทย์ ทุกคนรับทราบ”

“ทราบ” เสียงสมาชิกดังฟังชัด ทุกคนต่างตื่นเต้นและคิดหาเรื่องที่จะมาเล่นสนุกกับอาจารย์วิทย์

“เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย แต่ละคนจะสั่งได้ครั้งเดียว เรียงกันไป แต่ในกรณีที่มีคำสั่งที่จะต้องใช้บุคคลอื่นมาเกี่ยวข้อง อาจารย์ขอให้ผู้ที่ได้รับรางวัลทั้ง 3 ของเราในคืนนี้เป็นตัวแทนผลัดกันออกมาทำหน้าที่ ทุกคนเข้าใจกติกานะ”

สมาชิกส่งเสียงรับทราบโดยทั่วกัน

“อาจารย์วิทย์พร้อมรับการลงโทษนะครับ ถ้าพร้อมขอให้ยืนในท่าตามระเบียบพัก เตรียมรับฟังคำสั่งครับ” สุนัยสั่งการเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนมหกรรมการลงโทษจะเริ่มต้นขึ้น

สุนัยเริ่มต้นให้กลุ่มเด็กๆ ชั้นม.ต้นเป็นคนเริ่มออกคำสั่งก่อน เด็กต่างยังไม่มั่นใจนักว่าอาจารย์ของพวกเขาจะยอมรับการโดนลงโทษจากพวกเขา แต่ละคนจึงออกคำสั่งที่ไม่รุนรงอะไรมากนัก เช่นให้พลวิทย์หันหลังแล้วถูกฟาดก้นซึ่งไกรภพเป็นคนลงมือ แต่หลังจากผ่านบทลงโทษจากสมาชิกชั้นม.ต้น บทลงโทษต่างๆ ก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

“เอ้า ผ่านไป 12 คนแล้ว เหลืออีก 14 คน อาจารย์วิทย์ยังไหวไหมครับ”

“มาเลยเด็กๆ อย่าได้ออมมือ” พลวิทย์ตอบออกมา

“เห็นไหมเด็กๆ บทลงโทษของพวกเอ็งนี่ไม่ทำให้อาจารย์วิทย์สะทกสะท้านเลย ต้องขอแรงๆ กว่านี้ให้อาจารย์วิทย์สักหน่อยนะ เอ้า คนต่อไป ชวิน”

ชวินเด็กชายชั้นม.4 ยืนขึ้น ออกคำสั่ง “เมื่อกี๊อาจารย์วิทย์ถูกฟาดก้นแล้ว ยังสะใจไม่พอ ผมขอให้ฟาดอีกรอบครับ”

“อ้าว จะฟาดทำไมกันหลายรอบล่ะ” สุนัยถามด้วยความสงสัย

“คือครั้งก่อนยังไม่สะใจครับ ครั้งนี้ผมขอออกคำสั่งเพิ่มด้วยการให้ถกกางเกงอาจารย์วิทย์ลงด้วยครับ”

คราวนี้ทุกคนร้องฮือฮาด้วยความสะใจในคำสั่ง สุนัยหันมาหาพลวิทย์ให้พร้อมรับคำสั่ง พลวิทย์จึงหันหลังกลับ เอามือกอดอกไว้ ไกรภพเดินถือไม้ทีตรงเข้ามาหาพลวิทย์ แล้วดึงกางเกงชายหนุ่มลง ก้นกลมกลึงขาวเนียนที่มีรอยทางสีแดงปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน หลายคนหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นก้นของอาจารย์ พลวิทย์โก้งโค้งแอ่นก้นรอรับการลงโทษ ไกรภพเงื้อไม้ทีสุดแรง ก่อนที่จะฟาดลงไปที่ก้นของพลวิทย์เสียงดังสนั่น มีรอยแดงขึ้นเป็นทาง หลายคนทำหน้าหวาดเสียวและรู้สึกเจ็บแทน พลวิทย์ค่อยยืดตัวขึ้น เอามือค่อยๆ ดึงกางเกงขึ้นมาที่เดิม เขาหันหน้ากลับมาทางเด็กนักเรียน สีหน้าแสดงความเจ็บปวด

เด็กหนุ่มคนต่อไปยืนขึ้นเตรียมออกคำสั่งต่อทันที

“ไหนอาจารย์ก็ถอดกางเกงให้เราเห็นตูดแล้ว คราวนี้ผมขอออกคำสั่ง ให้ช่วยกันถอดเสื้อผ้าอาจารย์ออกให้หมดทั้งตัว จะได้โชว์ควยยักษ์ให้พวกเราเห็นเป็นบุญตา หวังว่าอาจารย์คงไม่ขัดนะครับ”

“พวกเอ็งนี่มันลามกได้โล่ห์จริงๆ จะให้อาจารย์มาแก้ผ้าให้ดูได้ยังไง แต่เอาเถอะ ในเมื่อมันเป็นกติกา เป็นคำสั่งที่ออกมาแล้ว อาจารย์วิทย์ก็ต้องปฏิบัติตาม งั้นไอ้ 3 หน่อมาช่วยกันจับอาจารย์วิทย์แก้ผ้าหน่อยเร็ว”

ไกรภพ ยอด และพัลลภเดินตรงเข้ามาหาพลวิทย์ เตรียมทำตามคำสั่ง สมาชิกในทีมด้านหลังต่างลุกขึ้นยืนเพื่อรอลุ้นวินาทีที่จะได้เห็นอาจารย์พลวิทย์แก้ผ้าต่อหน้า พลวิทย์มีอาการขัดขืนเป็นครั้งแรกตอนที่เด็กหนุ่มทั้ง 3 ตรงเข้าไปจับตัวเขา แต่สุดท้ายก็ไม่มีแรงพอที่จะต้านทานแรงของเด็กหนุ่มๆ ได้ ไกรภพเริ่มถอดเสื้อเชิ้ตออกจากตัว ยอดก้มลงถอดรองเท้าทีละข้าง

ตอนนี้พลวิทย์ยืนเปลือยท่อนบนต่อหน้าทุกคน เมื่อยอดถอดรองเท้าเรียบร้อย พัลลภที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ทำหน้าที่ดึงกางเกงวอร์มของอาจารย์หนุ่มลง ตอนนี้ทั้งตัวพลวิทย์เหลือเพียงกางเกงชั้นในสีขาวติดกายเพียงตัวเดียว เป้ากางเกงในนั้นพองขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพัลลภดึงกางเกงวอร์มออกไปจนหมดแล้ว เขาจึงกลับมาดึงกางเกงชั้นในลงอีกครั้ง

ทันทีที่กางเกงชั้นในถูกดึงลงมา ควยขนาดมหึมาที่ค่อยๆ ตื่นตัวของอาจารย์หนุ่มก็ดีดตัวออกมา ปรากฏต่อทุกสายตาในห้อง เสียงเป่าปากโห่ร้องด้วยความสะใจของกลุ่มนักเรียนแถวหลังที่เป็นกลุ่มเด็กโตดังขึ้น พวกเขาเรียนกับพลวิทย์มาหลายปี ไม่นึกว่าวันนี้อาจารย์สุดหล่อจะต้องมาแก้ผ้าโชว์ควยให้พวกเขาดูเช่นนี้

ท่อนลำของพลวิทย์ยาวใหญ่สมกับที่ได้รางวัลตัดเกรดตอนรับน้อง สีของมันขาวไม่ต่างจากผิวกายของเขา ที่ปลายหัวยังไม่เปิดดี แต่ที่เห็นตอนนี้มีมันสีแดงอมชมพูสวย พวกไข่ที่ห้อยอยู่กลมกลึงได้รูป ขนที่ขึ้นตั้งแต่หน้าท้อง มากระจุกตัวดกดำที่หัวเหน่า ลามมาถึงขาหนีบทั้ง 2 ข้าง นับว่าอาจารย์พลวิทย์เป็นผู้ชายที่มีเครื่องเคราที่สวยงามจนน่าอิจฉาจริงๆ

เด็กหนุ่มคนต่อไปลุกขึ้นตามมา เขาออกคำสั่งต่อว่า

“ผมว่าอาจารย์วิทย์ผิวขาวเกินไป ไม่เหมาะกับขนที่ขึ้นตามตัว ผมเลยจะขอออกคำสั่งให้ช่วยกันจัดการโกนขนอาจารย์ออกให้หมดทั้งตัวเดี๋ยวนี้”

พลวิทย์ถูกไกรภพและพัลลภพาไปนั่งที่ยาวสำหรับวางอาหาร ที่ตอนนี้ว่างโล่งเตรียมรอท่าอยู่แล้ว ยอดเดินถือมีดโกนหนวดตรงเข้ามา โดยมีไกรภพช่วยจับยกแขนข้างหนึ่งชูขึ้น ยอดค่อยๆ ใช้มีดโกนหนวดโกนขนของอาจารย์หนุ่มไปเรื่อยๆ ปากเขาก็พร่ำบอกว่า “อาจารย์อย่าดิ้นนะครับ เดี๋ยวโดนมีดบาดผมไม่รับผิดชอบนะ”

พอโกนที่รักแร้จนหมด ก็ค่อยๆ ลากปลายมีดมาที่หน้าท้อง จนมาถึงดงหมอยอันดกดำ ยอดค่อยๆ ลากปลายมีดโกนขึ้นลงช้าๆ แต่ขนที่ดกดำหนาทำให้เกิดความยากลำบากในการโกน จนเขาต้องใช้มือหนึ่งจับที่ควยของพลวิทย์ไว้เพื่อความสะดวก แต่นั่นทำให้ควยของอาจารย์หนุ่มที่กำลังสงบอยู่ ค่อยๆ ตื่นตัวชูคอหราขึ้นมาเรื่อยๆ

“ควยอาจารย์นี่ไวต่อการสัมผัสจริงๆ นะครับ” ยอดหัวเราะขบขันอาการตื่นตัวของอาจารย์หนุ่ม หลังโกนจนขนหมอยอันดกดำหมดแล้วยอดก็เดินไปเก็บมีดโกน แต่เสียงของอาจารย์สุนัยดังขึ้นมาซะก่อนว่า “ไอ้ยอด มึงยังโกนไม่หมดเลย ขนที่ตูดอาจารย์วิทย์ก็ต้องโกนด้วย เพราะมันอยู่ในกติกา”

ยอดจึงต้องเดินกลับมาอีกครั้ง แล้วจัดการแหกขาของอาจารย์หนุ่มให้แยกออกจากกัน จนเห็นรูตูดของชายหนุ่ม ที่ดกดำไปด้วยขนขึ้นเต็มไปหมด

“อาจารย์วิทย์ครับ ขนตูดอาจารย์โคตรเซ็กซี่เลย รูตูดอาจารย์ก็สีชมพูสดเชียว คงไม่เคยผ่านการใช้งาน เห็นแล้วของผมแข็งขึ้นมาเลย ท่าทางจะฟิตตอดดีแน่ๆ ไว้เจอกันตอนรอบของผมนะครับ” ยอดกระซิบบอกพลวิทย์ ทำให้อาจารย์หนุ่มรู้สึกตกใจมาก เขารู้สึกว่าเกมส์อุบาทว์นี่เริ่มเกินการควบคุมไปแล้ว

หลังจากนั้นนักเรียนคนต่อมาขอให้เขาก้มลงใช้ปากเก็บขนตามตัวที่ร่วงอยู่ที่พื้น เอาไปทิ้งถังขยะให้หมด พลวิทย์เริ่มสะท้อนใจ เขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นอาจารย์ถูกนักเรียนกลุ่มนี้ทำลายจนสิ้น เด็กคนต่อมาขอให้เขาชักว่าวโดยให้น้ำแตกให้ได้ภายใน 3 นาที สุดท้ายเมื่อไม่สามารถทำได้ เขาก็ถูกลงโทษด้วยการให้กลืนน้ำว่าวของตัวเองที่แตกหลังจากนั้นให้หมด ชายหนุ่มแทบจะพ่นมันออกมาตอนที่ถูกจับเทกรอกปาก ยอดต้องปิดปากเขาแล้วบังคับให้เขากลืนมันลงไปให้หมด

“ไม่ต้องรังเกียจน้ำว่าวตัวเองขนาดนั้นก็ได้ครับอาจารย์วิทย์”

น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มรินไหล ต่างจากกลุ่มเด็กๆ ที่สนุกสนานกับการได้เห็นอจารย์ที่สอนตัวเองมาถูกทรมานกับมือ