ฝันร้าย

แสงแดดยามเช้าทอประกายสาดส่องยอดปราสาททองคำแห่งกรุงมิถิลานคร เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ผู้คนล้วนอยู่เย็นเป็นสุขด้วยพระบารมีของสมเด็จพระราชาสิงหลผู้ปรีชา

เสียงแตรสังข์ดังก้องไปทั่วเมือง เหล่าไพร่ฟ้าต่างออกจากบ้านมารวมตัวกันที่กำแพงพระราชวังชั้นนอกซึ่งขณะนี้ได้ตั้งเป็นลานพระราชพิธีเพื่อสถาปนาพระมหาอุปราช รัชทายาทองค์ต่อไปของมิถิลานคร “เจ้าฟ้าชัยยันต์” พระราชโอรสองค์โตผู้ประสูติจากพระอัครมเหสีผู้ล่วงลับนั่งอยู่บนตั่งทองเคียงข้างพระบิดาในชุดฉลองพระองค์แขนยาวทอด้วยผ้าไหมชั้นดีปักด้วยทองคำอย่างงดงาม โจงกระเบนที่ทำด้วยผ้าไหมสีเข้มเงาวับ พร้อมเครื่องทองประดับพระเศียร พระศอและพระกร สร้อยสังวาลย์ประดับอัญมณีล้วนแต่เป็นเครื่องแสดงพระราชอำนาจที่ล้นฟ้าของวงศ์กษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา

ถัดไปเป็นพระที่นั่งของพระราชโอรสและธิดาองค์ถัดมาอีกหลายพระองค์ ก่อนจะเป็นพระที่นั่งของเหล่ากษัตริย์และเจ้าฟ้าเมืองพระเทศราชต่างๆ อีก 7 เมืองที่ถูกเชิญมาร่วมงานพระราชพิธีสำคัญของกรุงมิถิลาตามธรรมเนียม ห้องล้อมด้วยเหล่าพราหมณ์และเสนาอำมาตย์ในชุดเต็มยศ

เมื่อได้ฤกษ์ พระมหาราชครูได้เชิญเจ้าฟ้าชายชัยยันต์ซึ่งขณะนี้มีพระชนมายุครบ 18 ชันษา ลุกจากพระที่นั่งมาที่แท่นพิธีก่อนที่จำนำเหล่าพราหมณ์อ่านบทสวดเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ทันใดนั้นเอง จากเมฆดำก็เข้าปกคลุมท้องฟ้าทั่งเขตมณฑลพระราชพิธีพร้อมด้วยเสียงคำรามกึกก้องของท้องฟ้าราวกับมีพายุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีทีท่าของเมฆฝนเลยด้วยซ้ำ สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมพัดแรงจนธงชัยบริเวณพระราชพิธีปลิวหลุดจากเสา ผ้าม่านต่างๆ ที่ใช้ตกแต่งทั่วบริเวณปลิวหลุดลอยล่องไปตามลม ผู้คนเริ่มแตกตื่น ทันใดนั้นเองสายอนุนีบาตก็ฟาดจากฟ้าลงมาที่ฉัตรเจ็ดชั้นประจำองค์ของเจ้าชาย ก่อนที่จะหักหล่นจากแท่นพิธีบนกำแพงเมืองลงไปยังประชาชนที่มาร่วมชมพระบารมีเบื้องล่าง บังเกิดเพลิงไหม้ลุกท่วม เสียงโวยวายกรีดร้องของคนที่โดนเปลวเพลิงดังระงม

“ไปเอาน้ำมา ทหาร เอาน้ำมาดับไฟ เร็ว!”

พระอุปราชหนุ่มสะดุ้งตัวขึ้นบนเตียงนอน เหงื่อโทรมพระวรกายท่อนบนที่กำยำอย่างนักรบ ผิวขาวสะท้อนแสงจันทร์วันเพ็ญด้านนอกปราสาทดั่งภาพวาด

“ทรงฝันร้ายอีกแล้วเหรอพะย่ะค่ะ” พระราชมนู ราชองครักษ์คู่พระทัยรีบรุดเข้ามาเฝ้าในห้องบรรทม

“เจ้าไปนอนเถอะ เราแค่ฝันไป” พระอุปราชหนุ่มตอบแต่สีหน้าเป็นกังวลไม่สู้ดี

“อย่าทรงกังวลพระทันไปเลยพระเจ้าค่ะ เรื่องมันก็ผ่านมาสามปีแล้ว มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้น” พระราชมนูทูล

“เจ้าก็ได้ยินมิใช่หรือ ที่ท่านราชครูทำนายครานั้น ว่าเราจะเป็นผู้นำความอัปยศมาสู่กรุงมิถิลา แล้วนี่มันก็ใกล้ครบเวลาตามที่พระราชครูทำนายไว้แล้ว เจ้าจะไม่ให้ข้ากังวลได้เยี่ยงไร”

“หม่อมฉันหาเชื่อคำทำนายไม่ พระองค์เป็นทั้งนักรบผู้ปรีชา ต่อสู้เคียงข้างพระราชบิดามาตั้งแต่พระชนมายุ 15 ชันษา แต่ละครั้งล้วนแต่ได้ชัยชนะกลับมาทั้งสิ้น ฝีมือเพลงดาบเพลงมวยและความสามารถในพิชัยสงครามของพระองค์ก็ไม่เป็นสองรองใคร อย่างนี้จะให้หม่อมฉันเชื่อคำทำนายได้อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

“แต่เจ้าก็เห็นว่าศึกครานี้มิเหมือนครั้งก่อนๆ หาเคยมีกองทัพของเมืองใด ตีฝ่าหัวเมืองต่างๆ เข้ามาล้อมกรุงมิถิลาอยู่ได้นานถึง 7 เดือนเช่นกองทัพเมืองมัณฑ์ในครานี้ไม่ มิเคยมีศึกใดที่ข้าวิตกเช่นนี้”

“เจ้าชายเมืองมัณฑ์ผู้นี้ว่ากันว่าป่าเถื่อนและโหดร้ายก็จริงอยู่ แต่ก็เป็นแค่เมืองบ้านป่าทางใต้ที่ไม่เคยได้รู้พิชัยสงครามหรือการต่อสู้ชั้นสูงเช่นทหารเมืองมิถิลาของเรา การรบบนหลังช้างวันพรุ่ง หม่อมฉันมั่นใจว่าพระองค์และสมเด็จพระบิดาคงได้ชัยเป็นแน่นอน พักผ่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

พระราชมนูทูลลาออกจากห้องบรรทม แต่ความกังวลหาได้คลายไปจากใจพระอุปราชหนุ่มไม่ พระองค์ได้แต่ภาวนาให้ศึกสุดท้ายในวันพรุ่ง ชัยชนะจะตกเป็นของพระองค์ และสามารถขับไล่อริราชศัตรูออกไปให้พ้นมิถิลานครเสียที