งานพระราชพิธีพระบรมศพมีกำหนดหนึ่งร้อยวันก่อนพระราชพิธีถวายพระเพลิง ในระหว่างนี้จะมีการทำบุญและมหาสพสมโภชน์อย่างยิ่งใหญ่ให้สมพระเกียรติบูรพกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา และต่อด้วยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหาอุปราชขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ในการนี้กษัตริย์และเจ้าฟ้าของเมืองพระเทศราชทั้งเจ็ดของกรุงมิถิลาจะถูกเชิญมาร่วมงานพระราชพิธีด้วยตามธรรมเนียม ถึงแม้ครั้งนี้พระมหาอุปราชชัยยันต์จะไม่ทรงโปรดที่จะเชิญมาเพราะสถานการณ์บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในระหว่างการเป็นเมืองขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อน แต่เจ้าชายนรชิตผู้กุมชะตามิถิลานครไว้ก็ทรงโปรดให้ส่งสาน์สไปเชิญบรรดากษัตริย์เมืองต่างๆ ทั้งเมืองที่เป็นเมืองขึ้นทั้งเจ็ดของมิถิลา และนครน้อยใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ อีกหลายเมืองให้มาร่วมงานพระราชพิธี ใครๆ ก็ดูออกว่าทรงมีพระประสงค์ที่จะหักหน้าพระมหาอุปราชชัยยันต์ให้ทรงได้อายที่บัดนี้มิถิลาอันยิ่งใหญ่ตกเป็นเมืองขึ้นเสียเองและพระมหาอุปราชกำลังจะได้เป็นกษัตริย์องค์แรกของมิถิลาที่ตกอยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์เมืองมัณฑ์โดยสมบูรณ์
เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนบรรดากษัตริย์และเจ้าฟ้าจากเมืองต่างๆ ก็ทะยอยกันเดินทางมาถึงมิถิลานคร พร้อมขบวนเกียรติยศ และเครื่องราชบรรณาการ แต่แทนที่จะนำขึ้รถวายแด่พระมหาอุปราชชัยยันต์ตามธรรมเนียมที่เป็นมา คราวนี้แทบทุกเมืองต่างพร้อมใจกันถวายให้เจ้าชายนรชิตทั้งๆ ที่พระมหาอุปราชชัยยันต์เองก็ยังนั่งอยู่ในท้องพระโรง ถือเป็นการหักหน้าว่าที่ษัตริย์องค์ต่อไปแห่งมิถิลาเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนั้นแล้ว ครานี้กษัตริย์และเจ้าฟ้าจากเมืองต่างๆ ก็มิได้เกรงพระราชอำนาจของว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลาดั่งเดิม ขนาดงานพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพที่วัดใหญ่ประจำเมืองที่จัดขึ้นในทุกเช้า ซึ่งตามปกติแล้วกษัตริย์จากทุกเมืองจะต้องไปร่วมตามธรรมเนียม แต่กลับแทบไม่มีกษัตริย์หรือเจ้าฟ้าจากเมืองใดเดินทางออกนอกกำแพงวังไปร่วมงานที่วัด เพราะมัวแต่เสพย์สุขกับสุรานารีแห่งเมืองมิถิลาที่เจ้าชายนรชิตทรงจัดหามาให้
จากเดิมที่กษัตริย์เมืองอื่นเคยมีแต่หมอบราบคาบแก้ว แต่บัดนี้หากพบหน้ากันก็จะทรงได้รับแต่การถายบังคมตามธรรมเนียมพร้อมด้วยสายตาเย้ยหยันจากบรรดาเจ้าฟ้าและกษัตริย์จากเมืองที่เป็นเมืองขึ้นของพระองค์เอง ทำให้ทรงเจ็บแค้นพระทัยเป็นอันมาก แต่ก็ทรงทำอะไรไม่ได้นอกจากคิดว่าสักวันหนึ่งเมื่อพระองค์มีพระราชอำนาจกลับคืนมา พระองค์จะต้องทรงชำระแค้นอย่างสาสมเป็นแน่
“อย่าทำอะไรลูกสาวกระหม่อมเลยนะขอรับ” ชาวบ้านชราผู้หญิงคุกเข่ากับพื้นที่ตลาดของเมืองมิถิลาอ้อนวอนขอให้นายทหารคืนลูกสาววัยแรกแย้มของเขามาให้
“มึงไม่ต้องกลัวไป รู้หรือไม่ว่าที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงนี่คือใคร” นายทหารหนุ่มในชุดผ้าสีแดงพูด ทำให้ชายชราค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผิวขาวร่างผอมในชุดไหมประดับเครื่องเงินที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงคนหามในขบวนเกียรติยศตรงหน้า
“ลูกสาวมึงกำลังจะมีบุญได้เป็นข้ารองบาทของเจ้าชายอินทร พระอุปราชแห่งเมืองเชียงขอม มึงควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำ”
จากนั้นเจ้าชายหนุ่มก็สั่งให้เอาตัวหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ด้วยความกลัวขึ้นมานั่งบนเสลี่ยงคู่กับพระองค์แล้วลงมือลวนลามจับล้วงภายใต้ผ้าแถบของนางพร้อมซุกไซร้ดอมดมกลิ่นแห่งสตรีวัยแรกแย้มอย่างไม่อายสายตาผู้คนในตลาดกลางเมืองที่กำลังจับจ้องอยู่อย่างเวทนา
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!!”
เสียงตะโกนอย่างพญาราชสีห์ดังมาจากขบวนเกียรติยศอีกขบวนที่เพิ่งเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ พระมหาอุปราชชัยยันต์บนเสลี่ยงทองที่พึ่งเดินทางกลับจากพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพของพระบิดาที่วัดในตอนเช้ามีสีหน้าขมึงมึงและจ้องมายังเจ้าชายแห่งเชียวขอมอย่างไม่พอพระทัย
“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยด้วยที่มิได้ไปร่วมที่พระราชพิธีที่วัดเสียหลายวัน วันนีตอนแรกเกล้ากระหม่อมตั้งใจจะไป แต่นี่พระองค์ก็กำลังทรงเดินทางกลับเข้าวังเสียแล้ว คงจะต้องเป็นวันอื่นเสียกระมัง” พระอุปราชอินทรตรัสด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวพระราชอำนาจ
“ปล่อยประชาชนของเราบัดเดี๋ยวนี้อินทร เจ้าไม่มีสิทธิมารังแกประชาชนในบ้านเมืองของเรา” พระอุปราชหนุ่มพูดย้ำ
“ยังกล้าพูดว่าเป็นบ้านเมืองพระองค์หรือพระเจ้าข้า อ่อ เกล้ากระหม่อมลืมไปว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของมิถิลามาเสียนาน พระองค์คงยังไม่ชินกับการเป็นเมืองขึ้นของเมืองอื่นเยี่ยงเมืองเล็กๆ ของเชียงของของเกล้ากระหม่อม ถ้ายังไม่ชิน จะให้เกล้ากระหม่อมสอนให้ก็ได้นะพระเจ้าข้า ว่าควรปฏิบัติองค์เยี่ยงไร”
“มันจะมากไปแล้วนะเว้ยไอ้เจ้าเชียงของ” พระราชมนูผู้ยืนอยู่หน้าเสลี่ยงของพระอปราชชัยยันต์ทนฟังคำหยามเหยียดของอีกฝ่ายไม่ไหวจึงชักดาบขึ้นมาชี้ไปที่เจ้าชายอินทร ทำให้ทหารของอีกฝ่ายต่างก็ชักดาบออกมาเช่นกัน
“อย่างไรเมืองเล็กๆ ของเจ้าก็ยังเป็นเมืองขึ้นของมิถิลา เจ้าไม่มีสิทธิมาพูดจาจาบจ้วงองค์พระมหาอุปราชผู้เป็นนายเหนือหัวของเจ้าเยี่ยงนี้ กราบขอพระราชทานอภัยและปล่อยผู้หญิงมาเสีย มิเช่นนั้นหัวของเจ้าจะหลุดจากบ่า”
“กูไม่ให้ ไอ้ทหารชั้นต่ำ มึงกล้าพูดกับกูแบบนี้ได้เยี่ยงไร ทหาร! จัดการมัน!”
สิ้นคำสั่ง ทหารอารักขาในขบวนเกียรติศของเจ้าฟ้าเมืองเชียงขอมนำโดย “ขุนแสงเมือง” ราชองครักษ์คู่ใจก็เข้าปะทะกับทหารอารักขาของพระมหาอุปราชชัยยันต์อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยฝีมือที่ห่างชั้น ยังไม่ทันที่พระมหาอุปราชจะสั่งห้าม ทหารเมืองเชียงของก็ลงไปกองอยู่กับพื้น และดาบของพระราชมนูก็ฟันลงไปที่ต้นแขนของขุนแสงเมืองจนเลือดกระเซ็นก่อนที่ขุนแสงเมืองจะถูกถีบลงไปนอนกองกับพื้นและถูกปลายดาบของพระราชมนูจ่อที่คอหอยจนต้องยกมือไหว้ตัวสั่นด้วยความกลัวตาย
“พอได้แล้วพระราชมนู ปล่อยมัน” เจ้าชายชัยยันต์สั่ง ขณะที่เจ้าชายอินทรทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่บนเสลี่ยง
“ปล่อยตัวผู้หญิงคืนพ่อนางไป แล้วเราจะไม่ถือโทษเอาความ”
เจ้าชายอินทรทรงแค้นใจอย่างหนักที่ทรงพ่ายแพ้แก่พระมหาอุปราชแห่งมิถิลา แต่ขณะที่ทรงกำลังจะปล่อยผู้หญิงไป โชคก็ดูเหมือนจะเข้าข้างพระองค์เมื่อ “ออกญาราชณรงค์” มหาอำมาตย์แห่งเมืองมัณฑ์ผู้ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมืองจากเจ้าชายนรชิตได้ปรากฏตัวขึ้นบนหลังอาชาสีน้ำตาล
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นพระเจ้าค่ะ เหตุใดจึงได้มีทหารบาดเจ็บมากมายที่นี่” ออกญาราชณรงค์ถาม
“ท่านออกญา ช่วยข้าด้วยเถิด พระมหาอุปราชใช้กำลังข่มเหงทหารของข้า” เจ้าชายแห่งเชียงขอมเอ่ยปากอย่างคนขลาด
“ยังไม่เลิกพูดจาเพ้อเจ้ออีก” พระยาราชมนูกำลังจะชักดาบออกมาจากฝักแต่ถูกพระอุปราชชัยยันตห์ห้ามไว้ก่อน
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่เท่าที่ข้าเห็นก็น่าเชื่ออย่างที่เจ้าชายอินทรตรัสว่าทหารของพระองค์ใช้กำลังข่มเหงทหารของเชียงขอมจริงดังว่า ในฐานะที่ข้ารับพระราชบัญชามาจากองค์เหนือหัวนรชิต ข้าก็ต้องทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและให้ความเป็นธรรม พระองค์มีอันใดจะแก้ตัวหรือไม่” ออกญาราชณรงค์ถามพระมหาอุปราชแห่งมิถิลา
“ข้ามิมีความจำเป็นต้องตอบคำถามอันใดแก่ท่าน ท่านออกญาราชณรงค์ บ้านเมืองนี้เป็นของข้าก่อนที่พวกท่านจะเข้ามาบุกรุก ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องอยู่แล้ว ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่แล้วมิจำเป็นต้องให้ผู้ใดมาช่วยดูแลอีก” พระมหาอุปราชตอบ
“บังอาจ!! พระองค์เห็นหรือไม่ว่าในมือข้าคือดาบอาญาสิทธิ์ที่องค์นรชิตทรงพระราชทาน ดังนั้นข้าก็เปรียบเช่นตัวแทนขององค์นรชิต นายเหนือหัวของพระองค์เช่นกัน ในเมื่อพระองค์ไม่มีอะไรจะแก้ตัว และยังพูดจาจาบจ้วงองค์นรชิต ข้าพระองคก็คงต้องทำหน้าที่ที่ข้าพระองค์ได้รับมา ทหาร! ไปจับกุมตัวพระมหาอุปราลงจากเสลี่ยงบัดเดี๋ยวนี้”
หลังได้รับคำสั่งทหารฝีมือดีแห่งเมืองมัณฑ์ที่ติดตามออกญาราชณรงค์มาด้วยก็วิ่งเข้าไปที่เสลี่ยงหลวงของพระมหาอุปราชแห่งมิถิลา การปะทะกันระหว่างราชองค์รักษ์และทหารเมืองมัณฑ์จึงเกิดขึ้น ส่วนพระราชมนูก็ตรงเข้าไปต่อสู้กับออกญาราชณรงค์อย่างดุเดือดสูสีกันด้วยฝีมือ แต่ในที่สุดพระราชมนูก็พลาดถูกฟันเข้าที่ต้นขาจนทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนที่ออกญาราชณรงค์จะเงื้อมือขึ้นหมายลงดาบเพื่อปลิดชีวิตของพระราชมนูเสีย แต่พระอุปราชชัยยันต์ทรงจากเสลี่ยงและชักพระแสงดาบเข้างัดขวางไว้พร้อมกับงัดจนดาบในมือของออกญาราชณรงค์กระเด็นหลุดมือ และทรงใช้พระแสงดาบของพระองค์จ่อที่คอของออกญาแห่งเมืองมัณฑ์
“สั่งให้ทหารของเจ้าหยุดบัดเดี๋ยวนี้” พระอุปราชทรงสั่งสียงแข็ง มองหน้าออกญาราชณรงค์ด้วยความโกรธ
“เอาเลยพระเจ้าค่ะ สังหารข้าพระองค์เสีย ข้อตกลงของพระองค์กับองค์นรชิตจักได้เป็นอันจบสิ้น วิญญาณของข้าคงได้เห็นซากเมืองมิถิลาในกองไฟ และเห็นเหล่าชาวเมืองนี้ถูกจับไปเป็นทาสของเมืองมัณฑ์ดังเช่นเมืองอื่นๆ ที่ผ่านมา เอาเลยพระเจ้าค่ะ ทรงช้าอยู่ด้วยเหตุใด”
พระอุปราชทรงกัดฟันกำพระแสงดาบแน่นก่อนจะทิ้งพระแสงดาบลงกับพื้นด้วยความคับแค้นพระราชหฤทัย ออกญาราชณรงค์เห็นดังนั้นก็ยิ้มพร้อมสั่งให้ทหารเข้ามาจับตัวพระมหาอุปราชไว้และให้หาเชือกมัดกระสอบเส้นใหญ่มามัดไว้ที่ข้อพระกรทั้งสองข้างของพระองค์ให้รวบติดกนเพื่อป้องกันการต่อสู้ขัดขืน
พะราชมนูองครักษ์พยายามลากสังขารที่ถูกฟันขาเข้าขัดขวางไม่ให้เหล่าทหารเมืองมัณฑ์ทำการหยามพระเกียรติพระมหาอุปราชที่กำลังจะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปต่อหน้าประชาชนชาวมิถิลากลางตลาดเช่นนี้แต่ก็ถูกจับตัวไว้
จากนั้นออกญาราชณรงค์ก็สั่งให้ทหารเลวของเมืองมัณฑ์ปลดพระมหามงกุฏ รวมทั้งสังวาลย์และเครื่องประดับที่พระมหาอุปราชทรงสวมใส่ในพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพของพระบิดาในตอนเช้าออกจนหมด ซ้ำยังให้ทหารเลวใช้ดาบตัดฉลองพระองค์ซึ่งเป็นเสื้อผ้าไหมทอสีขาวและโจงกระเบนชั้นนอกออก จนเหลือแต่โจงกระเบนผ้าเตี่ยวสีน้ำตาลที่ยาวเพียงต้นขาด้านใน เผยให้เห็นพระวรกายของกษัตริย์ชาตินักรบที่มีมัดกล้ามแน่นสมชายชาตรีต่อหน้าทั้งเหล่าทหารของทั้งสามเมืองและประชาชนชาวมิถิลาที่ต่างมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางตลาด
ระหว่างนั้นออกญาราชณรงค์ก็ให้ทหารเมืองเชียงขอมไปเอาเขียงแล่เนื้อที่ทำจากขอนไม้ท่อนใหญ่มาวางไว้กลางถนนที่ด้านหน้าขบวนเกียรติยศของเจ้าชายอินทร แล้วให้ทหารเลวลากเอาพระวรกายที่เกือบเปลือยของพระมหาอุปราชชัยยันต์ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นด้านหลังขอนไม้ขนาดใหญ่นั้นที่ด้านหน้าเสลี่ยงและเหล่าทหารในขบวนเกียรติยศของเจ้าชายอินทร ซึ่งตอนแรกพระมหาอุปราชชัยยันต์ทรงไม่ยอมจึงถูกทหารเลวที่คุมตัวอยู่เตะตัดขาจนทรุดลงไปหน้าเกือบทิ่มขอนไม้ ก่อนที่จะถูกให้เอาพระกรที่ถูกมักไว้มาวางบนของไม้และมัดให้พระกรติดอยู่กับแท่นขอนไม้นั้นเพื่อป้องกันการหนี ซ้ำยังถูกทหารเลวของเมืองมัณฑ์จับพระเศียรกดลงไปให้อยู่ในท่านั่งคุกเข่าก้มตัวไปกับแท่นขอนไม้เพื่อเตรียมรับราชทัณฑ์อีกด้วย
“ทุกคนฟังให้ดี เมื่อครู่นี้ เจ้าฟ้าชายชัยยันต์ พระมาอุปราชแห่งมิถิลา ทรงออกคำสั่งให้ทำร้ายข่มเหงทหารแห่งเมืองเชียงของ และใช้วาจาาบจ้วงองค์นรชิตเจ้าชายแห่งเมืองมัณฑ์ซึ่งเป็นองค์เหนือหัวของพวกเจ้าทุกคน ข้า ออกญาราชณรงค์ผู้ได้รับพระราชบัญชาให้ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองนี้ จึงขอใช้พระราชอำนาจแห่งองค์นรชิต สั่งให้ลงโทษเจ้าฟ้าชายชัยยันต์พระองค์นี้ ด้วยการโบยหนึ่งยก จำนวนสามสิบหวาย เพื่อมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
จากนั้นออกญาราชณรงค์ก็อนุญาตให้ขุนแสงเมือง องครักษ์ของเจ้าชายอินทรแห่งเชียงของทำหน้าที่เป็นผู้ลงหวาย
“ฟั่บ!! ฟั่บ!! ฟั่บ!!”
เสียงหวายแหวกอากาศลงไปที่หลังอันแข็งแรงของพระมหาอุปราชหนุ่มจนเกิดเป็นรอยเลือดยาวครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะออกรบมาไม่รู้กี่ครั้ง ได้แผลจากการรบไม่ไม่รู้กี่แผล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เลือดเนื้อกษัตริย์อย่างเจ้าชายทรงต้องลิ้มรสการถูกโบยด้วยหวาย การถูกดาบฟันในสนามรบอาจเจ็บเจียนตาย แต่การโดนให้คุกเข่าต่อหน้าศัตรูและถูกโบยหลังกลางตลาดต่อหน้าประชาชนนชาวมิถิลาของพระองค์เองเยี่ยงในเวลานี้ มันทำให้พระองค์ทั้งทรงเจ็บและทั้งอายจนไม่อยากมองหน้าใคร
เจ้าชายอินทรทรงมองดูการลงโทษที่เกิดขึ้นอย่างสาพระทัยและหัวเราะร่าพร้อมกับลงมือลวนลามหญิงสาวชาวบ้านคนเดิมที่ถูกจับมานั่งอยู่ข้างๆ ไปด้วยอย่างสบายพระอารมณ์
พอโบยไปถึงหวายที่สิบแปด ขุนแสงเมืองก็เริ่มลงหวายได้แผ่วลงเพราะเจ็บแผลที่พึ่งถูกพระราชมนูฟันมา เจ้าชายอินทรซึ่งดูอยู่จึงบอกให้หยุด แล้วทรงโปรดให้เปลี่ยนคนลงหวายเสีย
“ไอ้หนุ่มคนนั้นน่ะ ออกมานี่ซิวะ” เจ้าชายอินทรทรงชี้ไปที่เด็กหนุ่มชาวบ้านร่างกำยำคนหนึ่งซึ่งชาวเมืองมิถิลารู้จักกันดีในชื่อ “ไอ้แดง” เป็นทาสในเรือนของพ่อค้าไม้ในกรุงมิถิลาซึ่งทำหน้าที่ขนไม้มาขายที่ตลาดเป็นพระจำทำให้มันมีรูปร่างที่กำยำล่ำสันอย่างมาก
ไอ้แดงก้มหน้านิ่งแต่ก็ถูกทหารของเจ้าชายอินทรไปลากตัวออกมาแล้วยื่นหวายให้
“มึงโบยมันต่อให้ครบสามสิบที! ถ้ามึงไม่กล้าโบยหรือโบยไม่เต็มแรง กูจะสั่งโบยมึงแทน”
ไอ้แดงรับหวายมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ในที่สุดมันก็คิดได้ว่ามันคงไม่มีทางเลือกอื่น ไอ้แดงจึงเงื้อหวายในมือขึ้นเตรียมเหนี่ยวสุดแรง
“อย่านะเว้ย นี่มึงขี้ขลาดถึงขนาดยอมฟังคำสั่งศัตรเลยเหรอวะ นั่นพระมหาอุปราชชัยันต์ อีกไม่กี่เดือนพระองค์ก็จะทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นนนายเหนือหัวของพวกมึง มึงกล้าโบยพระองค์ตามคำสั่งของศัตรูเชียวหรือไอ้ขายชาติ!” พระราชมนูที่ถูกจับตัวอยู่ตะโกน
“กูไม่ได้ขายชาติ กูแค่ไม่อยากหลังลายโว้ย” ไอ้แดงตะโกนตอบพร้อมกับกลั้นใจเงื้อหวายขึ้นลงและฟาดลงเต็มไปแรงที่แผ่นหลังของว่าที่กษัตริย์ของมัน เจ้าชายชัยยันต์ถึงกับสะดุ้ง แม้พระองค์จะพยายามกัดฟันไม่ให้ร้องออกมา แต่คามเจ็บปวดจากการถูกโบยก็ได้แสดงออกผ่านนัยตาที่เบิกโพลง ใบหน้าที่กัดกรามเกร็งแน่น และเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นท่วมพระวรกายจนชุ่ม
ทางฝั่งไอ้แดงเองเมื่อเฆี่ยนไปถึงหวายที่สี่ หวายที่ห้า มันก็เริ่มรู้สึกมันมือ ความกลัวค่อยๆ กลับกลายเป็นความสะใจและตื่นเต้น มันไม่เคยนึกเลยว่าทาสในเรือนชั้นต่ำอย่างมันจะได้มีโอกาสลงหวายบนแผ่นหลังของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแห่งมิถิลานครเยี่ยงวันนี้ มันค่อยๆ ออกแรงมากขึ้นๆ จนพระวรกายที่รับหวายของเจ้าชายทรงสั่นเกร็งและพระเนตรเหลือกด้วยคามเจ็บปวด สร้างความปิติให้กับเจ้าชายอินทรและเหล่าทหารเมืองเชียงขอมที่มองอยู่เป็นอันมาก
ไอ้แดงลงหวายอย่างสะใจจนมันเกือบจะโบยเกิยจำนวนสามสิบที ดีที่ออกญาราชณรงค์ออกปากเตือนว่าครบแล้ว ให้พอได้แล้ว ก่อนที่จะให้ทหารมาแก้มัดพระมหาอุปราชชัยยันต์ออกจากท่อนไม้และจับยืนขึ้น แต่ยังไม่แก้มัดเชือกที่ผูกข้อพระกรไว้ให้ติดกัน ซึ่งพอให้ยืนก็ทรงแทบจะยืนไม่ไหวเนื่องจากพิษบาดแผล จึงต้องให้ทหารเลวของเมืองมัณฑ์หิ้วปีกทั้งสองข้าง ไปที่หน้าสุดของขบวนเกียรติยศของเมืองเชียงขอมตามคำสั่งของเจ้าชายอินทร
“หิ้วปีกให้มันเดินนำขบวนกูไปจนกว่าจะเข้าประตูวัง กูจะประจานมันไปตามถนนให้ชาวเมืองมันดูว่าที่องค์เหนือหัวของพวกมันว่ามันทุเรศขนาดไหน ส่วนไอ้ราชมนูกับทหารราชองครักษ์พวกนี้ จับไปขังคุกไว้ให้หมด ไป ออกขบวน!”
ขบวนเกียรติยศของเจ้าชายเมืองเชียงขอมเคลื่อนไปตามถนนของเมืองมอถิลา โดยที่เข้าชายอินทรนั่งบนเสลี่ยงคู่กับหญิงสาวเมืองมิถิลาที่กำลังร้องไห้เพราะถูกจับมาเป็นนาบำเรอ แต่นั่งคงไม่ดึงดูดสายตาของชาวเมืองทุกคนที่ขบวนเคลื่อนผ่านได้เท่ากับ ที่ด้านหน้าสุดของขบวน ซึ่งมีพระมหาอุปราชหนุ่ม ว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลาซึ่งบัดนี้ทั้งพระวรกายมีเพียงผ้าเตี่ยวที่ดูเผินๆ แทบไม่ต่างจากพวกทาส พระวรกายมีเหงื่อผุดชุ่ม ที่หลังเต็มไปด้วนรอยแผลถูกโบยเป็นแนวยาว ซ้ำยังถูกเชือกกระสอบมัดมือและถูกทหารเมืองเชียงขอมหิ้วปีกเดินประจานอยู่หน้าขบวนเสลี่ยงของเจ้าชายเมืองขึ้น ทุกคนต่างออกมาดูกันและพากันวิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ
พระมหาอุปราชหนุ่มทรงสัมผัสได้เพียงความเจ็บและความอับอายแต่ไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อสู้ขัดขืน ปล่อยให้เลือดกษัตริย์หยดลงจากบาดแผลที่หลังลงสู่ท้องถนนเมืองมิถิลาเป็นแนวยาวไปตั้งแต่กลางตลาดจนถึงพระตูเข้าพระราชวัง!