ฝันร้าย

แสงแดดยามเช้าทอประกายสาดส่องยอดปราสาททองคำแห่งกรุงมิถิลานคร เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ผู้คนล้วนอยู่เย็นเป็นสุขด้วยพระบารมีของสมเด็จพระราชาสิงหลผู้ปรีชา

เสียงแตรสังข์ดังก้องไปทั่วเมือง เหล่าไพร่ฟ้าต่างออกจากบ้านมารวมตัวกันที่กำแพงพระราชวังชั้นนอกซึ่งขณะนี้ได้ตั้งเป็นลานพระราชพิธีเพื่อสถาปนาพระมหาอุปราช รัชทายาทองค์ต่อไปของมิถิลานคร “เจ้าฟ้าชัยยันต์” พระราชโอรสองค์โตผู้ประสูติจากพระอัครมเหสีผู้ล่วงลับนั่งอยู่บนตั่งทองเคียงข้างพระบิดาในชุดฉลองพระองค์แขนยาวทอด้วยผ้าไหมชั้นดีปักด้วยทองคำอย่างงดงาม โจงกระเบนที่ทำด้วยผ้าไหมสีเข้มเงาวับ พร้อมเครื่องทองประดับพระเศียร พระศอและพระกร สร้อยสังวาลย์ประดับอัญมณีล้วนแต่เป็นเครื่องแสดงพระราชอำนาจที่ล้นฟ้าของวงศ์กษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา

ถัดไปเป็นพระที่นั่งของพระราชโอรสและธิดาองค์ถัดมาอีกหลายพระองค์ ก่อนจะเป็นพระที่นั่งของเหล่ากษัตริย์และเจ้าฟ้าเมืองพระเทศราชต่างๆ อีก 7 เมืองที่ถูกเชิญมาร่วมงานพระราชพิธีสำคัญของกรุงมิถิลาตามธรรมเนียม ห้องล้อมด้วยเหล่าพราหมณ์และเสนาอำมาตย์ในชุดเต็มยศ

เมื่อได้ฤกษ์ พระมหาราชครูได้เชิญเจ้าฟ้าชายชัยยันต์ซึ่งขณะนี้มีพระชนมายุครบ 18 ชันษา ลุกจากพระที่นั่งมาที่แท่นพิธีก่อนที่จำนำเหล่าพราหมณ์อ่านบทสวดเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ทันใดนั้นเอง จากเมฆดำก็เข้าปกคลุมท้องฟ้าทั่งเขตมณฑลพระราชพิธีพร้อมด้วยเสียงคำรามกึกก้องของท้องฟ้าราวกับมีพายุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีทีท่าของเมฆฝนเลยด้วยซ้ำ สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมพัดแรงจนธงชัยบริเวณพระราชพิธีปลิวหลุดจากเสา ผ้าม่านต่างๆ ที่ใช้ตกแต่งทั่วบริเวณปลิวหลุดลอยล่องไปตามลม ผู้คนเริ่มแตกตื่น ทันใดนั้นเองสายอนุนีบาตก็ฟาดจากฟ้าลงมาที่ฉัตรเจ็ดชั้นประจำองค์ของเจ้าชาย ก่อนที่จะหักหล่นจากแท่นพิธีบนกำแพงเมืองลงไปยังประชาชนที่มาร่วมชมพระบารมีเบื้องล่าง บังเกิดเพลิงไหม้ลุกท่วม เสียงโวยวายกรีดร้องของคนที่โดนเปลวเพลิงดังระงม

“ไปเอาน้ำมา ทหาร เอาน้ำมาดับไฟ เร็ว!”

พระอุปราชหนุ่มสะดุ้งตัวขึ้นบนเตียงนอน เหงื่อโทรมพระวรกายท่อนบนที่กำยำอย่างนักรบ ผิวขาวสะท้อนแสงจันทร์วันเพ็ญด้านนอกปราสาทดั่งภาพวาด

“ทรงฝันร้ายอีกแล้วเหรอพะย่ะค่ะ” พระราชมนู ราชองครักษ์คู่พระทัยรีบรุดเข้ามาเฝ้าในห้องบรรทม

“เจ้าไปนอนเถอะ เราแค่ฝันไป” พระอุปราชหนุ่มตอบแต่สีหน้าเป็นกังวลไม่สู้ดี

“อย่าทรงกังวลพระทันไปเลยพระเจ้าค่ะ เรื่องมันก็ผ่านมาสามปีแล้ว มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้น” พระราชมนูทูล

“เจ้าก็ได้ยินมิใช่หรือ ที่ท่านราชครูทำนายครานั้น ว่าเราจะเป็นผู้นำความอัปยศมาสู่กรุงมิถิลา แล้วนี่มันก็ใกล้ครบเวลาตามที่พระราชครูทำนายไว้แล้ว เจ้าจะไม่ให้ข้ากังวลได้เยี่ยงไร”

“หม่อมฉันหาเชื่อคำทำนายไม่ พระองค์เป็นทั้งนักรบผู้ปรีชา ต่อสู้เคียงข้างพระราชบิดามาตั้งแต่พระชนมายุ 15 ชันษา แต่ละครั้งล้วนแต่ได้ชัยชนะกลับมาทั้งสิ้น ฝีมือเพลงดาบเพลงมวยและความสามารถในพิชัยสงครามของพระองค์ก็ไม่เป็นสองรองใคร อย่างนี้จะให้หม่อมฉันเชื่อคำทำนายได้อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

“แต่เจ้าก็เห็นว่าศึกครานี้มิเหมือนครั้งก่อนๆ หาเคยมีกองทัพของเมืองใด ตีฝ่าหัวเมืองต่างๆ เข้ามาล้อมกรุงมิถิลาอยู่ได้นานถึง 7 เดือนเช่นกองทัพเมืองมัณฑ์ในครานี้ไม่ มิเคยมีศึกใดที่ข้าวิตกเช่นนี้”

“เจ้าชายเมืองมัณฑ์ผู้นี้ว่ากันว่าป่าเถื่อนและโหดร้ายก็จริงอยู่ แต่ก็เป็นแค่เมืองบ้านป่าทางใต้ที่ไม่เคยได้รู้พิชัยสงครามหรือการต่อสู้ชั้นสูงเช่นทหารเมืองมิถิลาของเรา การรบบนหลังช้างวันพรุ่ง หม่อมฉันมั่นใจว่าพระองค์และสมเด็จพระบิดาคงได้ชัยเป็นแน่นอน พักผ่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

พระราชมนูทูลลาออกจากห้องบรรทม แต่ความกังวลหาได้คลายไปจากใจพระอุปราชหนุ่มไม่ พระองค์ได้แต่ภาวนาให้ศึกสุดท้ายในวันพรุ่ง ชัยชนะจะตกเป็นของพระองค์ และสามารถขับไล่อริราชศัตรูออกไปให้พ้นมิถิลานครเสียที

ยุทธหัตถี

เสียงกลองรบดังกึกก้อง พระมหาอุปราชชัยยันต์ในชุดเกราะสีเงินเสด็จขึ้นประทับช้างทรงคู่บารมีที่ทรงใช้ชนะมาแล้วทุกศึกทั่วสิบทิศ รายล้อมด้วยแถวทหารกล้านับหมื่นนายแห่งมิถิลานคร แตรสังข์กังวาลเป็นการอวยพรให้ศึกในครั้งนี้มีแต่ชัยชนะ

กรุงมิถิลาถูกปิดล้อมด้วยกองทัพของเมืองมัณฑ์ เมืองนักรบจากแดนใต้มาร่วมเจ็ดเดือนแล้ว ไม่ว่ากษัตริย์แห่งมิถิลาจะส่งนักรบออกไปต่อสู้สักกี่นายก็ล้วยแต่ต้องสละชีพในสนามรบ ครั้งนี้องค์ราชาสิงหลและพระมหาอุปราชจึงจักต้องออกไปจบศึกนี้ด้วยตนเองโดยการส่งพระราชสาส์นท้าให้ “เจ้าชายนรชิต” พระอุปราชแห่งเมืองมัณฑ์ผู้นำทัพมาในครานี้ มากระทำการรบบนหลังช้างตัวต่อตัวตามธรรมเนียมกษัตริย์เพื่อตัดสินแพ้ชนะให้เด็ดขาด หากชนะกองทัพเมืองมัณฑ์ต้องถอยกลับในทันที แต่หากแพ้ก็มีเอกราชของกรุงมิถิลาเป็นเครื่องเดิมพันอันสูงค่า

ระหว่างเคลื่อนทัพสู่ประตูเมือง ประชาชนต่างออกมาดูขบวนทัพกันอย่างเนืองแน่น พระอุปราชทรงกำดอกจำปาดอกหนึ่งที่ทรงได้จาก "แม่สอาด" ไว้แน่น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ แม้ว่าพระองค์จะเป็นนักรบรูปงาม มีหญิงมากมายที่เข้ามาถวายตัวแต่พระองค์ก็ไม่เคยรู้สึกชอบพอกับใครเท่ากับลูกสาวเจ้าพระยาพระคลังนางนี้เลย

เมื่อถึงจุดนัดหมายที่ทุ่งโล่งนอกเมือง ทหารทั้งสองฝ่ายต่างประจันหน้า พระอุปราชชัยยันต์มองไปที่กองทัพของอีกฝั่ง ปรากฏช้างสีดำเชือกใหญ่พร้อมชายใส่หน้ากากสีขาวและเกราะเหล็กสีดำทะมึน

“ลูกไปเองเสด็จพ่อ” เจ้าชายชัยยันต์ทูลพระราชาสิงหลเพื่ออาสาทำยุทธหัตถี ถ้าเป็นศึกอื่นพระองค์ทรงไม่วิตกเพราะเชื่อในพระปรีชาด้านการรบของพระบิดา แต่ครั้งนี้คู่ต่อสู่เป็นเจ้าชายจากเมืองนักรบที่พระองค์ไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน ได้ยินแต่ว่าเป็เจ้าชายที่ป่าเถื่อน ทำการรบจนได้เมืองน้อยใหญ่ทางใต้เป็นเมืองขึ้นมาหมดแล้วก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือมายังมิถิลา หากเมืองใดไม่ยอมแต่โดยดีก็เผาเมืองจนไม่เหลือซาก แม้แต่ผู้หญิงและเด็กในเมืองก็ถุกชำเราและฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม แต่พระราชชาธิบดีสิงหลทรงไม่ยินยอมเพราะการรบนี้จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพเท่านั้นที่เข่าร่วม

ช้างของทั้งสองฝ่ายประจันหน้า พระราชาธิบดีสิงหลถึงจะพระชนมายุเกือบห้าสิบแล้วแต่ยังทรงแข็งแรง การเงื้อง้าวในมือเพื่อต่อสู้กับเจ้าชายต่างเมืองฝ่ายตรงข้าม ช้างของทั้งสองฝ่ายต่างประสานงากันส่งเสียงดังสนั่น แต่ในที่สุดแล้ว ง้าวในมือของเจ้านรชิตก็ฟันลงที่บ่าของพระราชาธิบดีแห่งมิถิลาจนเลือดสาดกระเซ็น ทรงตกลงมาจากหลังช้างและนอนนิ่งอยู่บนพื้นท่ามกลางความตื่นตระหนกของทหารกรุงมิถิลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหาอุปราชชัยยันต์ผู้เป็นพระราชโอรส

เพลิงพิโรธในใจก่อตัวขึ้นทันที ทำให้ทรงตะโกนลั่นเป็นสัญญาณและไสช้างพระที่นั่งเข้าไปหาเจ้าชายนรชิตเพื่อหวังปลิดชีพล้างแค้นให้พระบิดา แต่ไม่ทันได้ถึงตัว พระอุปราชนรชิตก็ทรงยิงปืนไปมาที่เศียรของช้างพระที่นั่งจนช้างพระที่นั่ล้มลง ร่างพระมหาอุปราชชัยยันต์และทหารบนหลังช้างร่วงลงกลิ้งกับพื้นอย่างเสียท่า พร้อมทหารเมืองมัณฑ์ที่เข้ามาล้อมร่างของพระองค์เอาไว้

“ทรงเอาร่างพระบิดากลับไปเสียเถิด ทรงรู้ดีมิใช่หรือว่าว่าศึกนี้รู้ผลแพ้ชำนะแล้ว จะทรงต่อสู้ให้ผิดธรรมเนียมกษัตริย์ไปไยเล่า”

เจ้าชายต่างเมืองบนหลังช้างตรัสภายใต้หน้ากากขาว เจ้าชายไชยัยต์ทรงกำมือแน่น ตั้งแต่ออกศึกมาพระองค์ไม่ทรงเคยพ่ายแพ้ต่อราชศัตรูใดมาก่อนเยี่ยงครั้งนี้

“กลับเมืองเถิดพระเจ้าข้า อย่างไรเราก็ต้องทำตามธรรมเนียมการยุทธหัตถี เราแพ้แล้วพระองค์” แม่ทัพผู้ใหญ่ของมิถิลาที่ร่วมออกศึกด้วยกล่าว

“ข้าและคนของข้าจะเข้าเมืองในยามรุ่งพรุ่งนี้ บอกคนของพระองค์ให้เปิดประตูเมืองต้อนรับทหารเมืองมัณฑ์ของเราด้วย ทหารของข้าลำบากอยู่นอกเมืองกว่าครึ่งปี ถึงเวลที่พวกมันจะได้เข้าไปหาความสุขในเมืองเสียที”

เมื่อพระมหาอุปราชชัยยันต์ตั้งสติได้ และรู้ว่าอย่างไรตอนนี้เมืองมิถิลาก็ได้ตกเป็นเมืองประเทศราชของเมืองมัณฑ์แล้วด้วยข้อตกลงของการทำยุทธหัตถี จึงทรงยื่นข้อต่อรองยอมเป็นเมืองประเทศราช หากแต่ทรงขอว่าอย่าได้ทำร้ายหรือข่มเข่งประชาชนแห่งกรุงมิถิลาของพระองค์ซึ่งพระอุปราชนรชิตก็ตกปากรับคำด้วยเกียรติของกษัตริย์ชาตินักรบ และส่งสั่งให้ทหารเมืองมัณฑ์ที่ล้อมอยู่ถอยออกไป ให้พระมหาอปราชชัยยันต์ได้ขึ้นม้าทรงและนำร่างไร้วิญญาณของพระบิดากลับสู่ประตูเมืองด้วยความอัปยศและชอกช้ำพระทัยเป็นที่สุด

ผลัดแผ่นดิน

ค่ำวันนั้น มิถิลานครราวถูกกลืนด้วยความมืดมิด ทุกที่มีแต่เสียงร้องไห้หวาดหวั่น นับแต่สถาปนานครแห่งนี้มา มิถิลามีกษัตริย์สืบต่อราชวงศ์ยาวนานนับร้อยปีหลายสิบพระองค์ ทุกพระองค์ต่างชาญฉกาจด้านการรบกรำทำศึก ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมามิถิลามีเมืองประเทศราชน้อยใหญ่ถึงเจ็ดแว่นแคว้นที่ต้องคอยส่งส่วยภาษีมาบรรณาการเป็นเงินทอง ข้าทาสบริวารนางสนมอยู่ทุกปี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เมืองใหญ่อย่างมิถิลาแพ้ศึกและตกเป็น “เมืองขึ้น” ของเมืองอื่นที่มาบุกยึดถึงประตูเมือง สร้างความหวาดกลัวให้กลับชาวมิถิลาเป็นอันมาก

แม้เจ้าฟ้าชายชัยยันต์พระมหาอุปราชจะทรงโศกเศร้าจากการจากไปของพระบิดาสักเพียงใด แต่พระองค์รู้ดีว่าตอนนี้พระองค์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพระบิดาสิ้น พระองค์ในฐานะพระมหาอุปราชจักต้องขึ้นสืบเป็นพระราชาธิบดีองค์ต่อไป แม้จะเป็นพระราชาธิบดีองค์แรกในฐานะ “เมืองประเทศราช” ก็ตาม หากพระองค์ไม่ทรงเข้มแข็ง เหล่าทหารและราษฎรก็คงจะอยู่กันไม่ได้

หลังจากที่พระองค์ทรงนำพระศพของพระบิดาไปไว้ที่วัดประจำพระนครเพื่อเตรียมจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติแล้ว พระองค์จึงสั่งให้ทหารเตรียมเปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพของเมืองมัณฑ์ในรุ่งเช้า ถือเป็นพระราชบัญชาแรกหลังพระบิดาสิ้นพระชนม์ที่ยากลำบากพระทัยที่สุด แต่ก็ทรงจำเป็นต้องทำตามธรรมเนียมศึก เมื่อการยุทธหัตถีได้สิ้นสุดลงแล้ว ก็ทรงต้องยอมรับความพ่ายแพ้ตามข้อตกลง มหากษัตริย์ทุกพระองค์จะตรัสแล้วคืนคำมิได้เป็นอันขาด ทรงหวังเพียงว่าเจ้าชายนรชิตแห่งเมืองมัณฑ์พระองค์นี้ จะทรงรักษาสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายข่มเหงประชาชนของพระองค์เช่นกัน

ประตูด้านทิศตะวันออกของเมืองเปิดออก แสงอาทิตย์สาดเข้ามาพร้อมกองทัพเมืองมัณฑ์ที่ยาตราเข้าสู่พระนคร ผู้คนต่างแอบดูในบ้านด้วยความหวาดกลัว

เมื่อกองทัพเคลื่อนถึงพระราชวังหลวง พระอุปราชชัยยันต์ก็ให้อำมาตย์เชิญเจ้าชายนรชิตเข้ามาในท้องพระโรงใหญ่ เจ้าชายนรชิตยังทรงอยู่ในชุดนักรบสีดำทะมึนน่าเกรงขาม หากแต่ได้ใส่หน้ากากสีขาวเช่นคราวที่แล้วที่พบกัน จึงเป็นครั้งแรกที่พระอุปราชชัยยันต์ได้เห็นใบหน้าของผู้สังหารพระราชบิดา ทรงเป็นเจ้าชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน หากแต่ใบหน้าดุดันปกคลุมด้วยหนวดเครา

เจ้าชายชัยยันต์ทรงเชิญให้ประทับที่ที่นั่งด้านขวาของพระราชบัลลังก์ ส่วนพระองค์เองนั่งที่ด้านซ้าย เนื่องจากยังทรงนั่งบัลลังก์ไม่ได้เพราะต้องรอพิธีบรมราชาภิเษกเสียก่อนตามราชประเพณี ซึ่งเจ้าชายนรชิตแห่งเมืองมัณฑ์ เมืองนักรบจากแดนใต้ก็มิได้ขัดข้อง

จากนั้นจึงเป็นการเจรจา ซึ่งเจ้าชายนรชิตทรงให้มหาอำมาตย์แห่งเมืองมัณฑ์ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนเป็นผู้เจรจา โดยทรงยื่นขอเสนอให้มิถิลานครส่งส่วยภาษีแก่เมืองมัณฑ์ในฐานะเมืองขึ้น เป็นข้าวสาร ผลไม้ อย่างละ 1 พันเล่มเกวียน ทองคำ เครื่องประดับ อย่างละ 500 หีบ แรงงานชายและทหารอย่างละ 500 นาย และนางกำนัลหญิง 300 คน โดยต้องส่งให้ทุกๆ หกเดือนโดยไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้บรรดาเมืองขึ้นทั้งเจ็ดที่เคยขึ้นกับมิถิลา เปลี่ยนการส่งส่วยภาษีที่เคยส่งให้มิถิลาทั้งหมดไปที่เมืองมัณฑ์แทน

เมื่อพระอุปราชชัยยันต์ได้ฟังก็ทรงเจ็บแค้นเป็นอันมาก เพราะนี่เป็นการขูดรีดมิถิลาอย่างที่สุด แต่ก็ทรงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่จำพระทัยยอมรับข้อเสนอที่มหาอำมาตย์เมืองมัณฑ์เสนอมาอย่างอัปยศ

“ข้าและทหารของข้าจะขอพักผ่อนอยู่ที่มิถิลาและอยู่เพื่อร่วมพิธีพระศพของพระบิดาของพระองค์ รวมถึงพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์มิถิลาหลังจากนั้นด้วย เมืองมัณฑ์เป็นเมืองนักรบ บ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างที่พระองค์รู้ ไม่ได้มีพิธีรีตรองอะไรมากมายอย่างเช่นเมืองใหญ่อย่างมิถิลา หากข้าและทหารของข้าจะอยู่ดูพิธีใหญ่ๆ แบบนี้ให้เป็นบุญตาสักครั้ง หวังว่าพระองค์จะไม่ขัดข้อง อีกอย่างข้าก็อยากเห็นว่าบ้านเมืองที่เป็นเมืองประเทศราชของข้าจะเรียบร้อยดีทุกอย่างก่อนที่ข้าจะไป คิดว่าพระองค์จะทรงเข้าพระทัย”

เจ้าชายนรชิตตรัวด้วยเสียงเรียบแต่แฝงนัยยะอย่างประหลาด แม้พระอุปราชชัยยันต์จะรู้สึกไม่พอพระทัยอย่างมากที่ศัตรูผู้สังหารพระราชบิดาและขูดรีดบ้านเมืองจะมาอาศัยอยู่ในบ้านเมืองเป็นเวลานานและยังจะอยู่ร่วมราชพิธีสำคัญของมิถิลา แต่ก็ทรงปฏิเสธไม่ได้ จำใจต้องตกปากรับคำให้กองทัพเมืองมัณฑ์ได้พักอยู่ในที่พักอย่างดีในเขตพระราชวังพร้อมทั้งจัดหาอาหารเลิศรสและสตรีเพื่อปรนิบัติรับใช้เหล่าทหารของศัตรูด้วย

แขกบ้านแขกเมือง

งานพระราชพิธีพระบรมศพมีกำหนดหนึ่งร้อยวันก่อนพระราชพิธีถวายพระเพลิง ในระหว่างนี้จะมีการทำบุญและมหาสพสมโภชน์อย่างยิ่งใหญ่ให้สมพระเกียรติบูรพกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา และต่อด้วยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหาอุปราชขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ในการนี้กษัตริย์และเจ้าฟ้าของเมืองพระเทศราชทั้งเจ็ดของกรุงมิถิลาจะถูกเชิญมาร่วมงานพระราชพิธีด้วยตามธรรมเนียม ถึงแม้ครั้งนี้พระมหาอุปราชชัยยันต์จะไม่ทรงโปรดที่จะเชิญมาเพราะสถานการณ์บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในระหว่างการเป็นเมืองขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อน แต่เจ้าชายนรชิตผู้กุมชะตามิถิลานครไว้ก็ทรงโปรดให้ส่งสาน์สไปเชิญบรรดากษัตริย์เมืองต่างๆ ทั้งเมืองที่เป็นเมืองขึ้นทั้งเจ็ดของมิถิลา และนครน้อยใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ อีกหลายเมืองให้มาร่วมงานพระราชพิธี ใครๆ ก็ดูออกว่าทรงมีพระประสงค์ที่จะหักหน้าพระมหาอุปราชชัยยันต์ให้ทรงได้อายที่บัดนี้มิถิลาอันยิ่งใหญ่ตกเป็นเมืองขึ้นเสียเองและพระมหาอุปราชกำลังจะได้เป็นกษัตริย์องค์แรกของมิถิลาที่ตกอยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์เมืองมัณฑ์โดยสมบูรณ์

เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนบรรดากษัตริย์และเจ้าฟ้าจากเมืองต่างๆ ก็ทะยอยกันเดินทางมาถึงมิถิลานคร พร้อมขบวนเกียรติยศ และเครื่องราชบรรณาการ แต่แทนที่จะนำขึ้รถวายแด่พระมหาอุปราชชัยยันต์ตามธรรมเนียมที่เป็นมา คราวนี้แทบทุกเมืองต่างพร้อมใจกันถวายให้เจ้าชายนรชิตทั้งๆ ที่พระมหาอุปราชชัยยันต์เองก็ยังนั่งอยู่ในท้องพระโรง ถือเป็นการหักหน้าว่าที่ษัตริย์องค์ต่อไปแห่งมิถิลาเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนั้นแล้ว ครานี้กษัตริย์และเจ้าฟ้าจากเมืองต่างๆ ก็มิได้เกรงพระราชอำนาจของว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลาดั่งเดิม ขนาดงานพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพที่วัดใหญ่ประจำเมืองที่จัดขึ้นในทุกเช้า ซึ่งตามปกติแล้วกษัตริย์จากทุกเมืองจะต้องไปร่วมตามธรรมเนียม แต่กลับแทบไม่มีกษัตริย์หรือเจ้าฟ้าจากเมืองใดเดินทางออกนอกกำแพงวังไปร่วมงานที่วัด เพราะมัวแต่เสพย์สุขกับสุรานารีแห่งเมืองมิถิลาที่เจ้าชายนรชิตทรงจัดหามาให้

จากเดิมที่กษัตริย์เมืองอื่นเคยมีแต่หมอบราบคาบแก้ว แต่บัดนี้หากพบหน้ากันก็จะทรงได้รับแต่การถายบังคมตามธรรมเนียมพร้อมด้วยสายตาเย้ยหยันจากบรรดาเจ้าฟ้าและกษัตริย์จากเมืองที่เป็นเมืองขึ้นของพระองค์เอง ทำให้ทรงเจ็บแค้นพระทัยเป็นอันมาก แต่ก็ทรงทำอะไรไม่ได้นอกจากคิดว่าสักวันหนึ่งเมื่อพระองค์มีพระราชอำนาจกลับคืนมา พระองค์จะต้องทรงชำระแค้นอย่างสาสมเป็นแน่

“อย่าทำอะไรลูกสาวกระหม่อมเลยนะขอรับ” ชาวบ้านชราผู้หญิงคุกเข่ากับพื้นที่ตลาดของเมืองมิถิลาอ้อนวอนขอให้นายทหารคืนลูกสาววัยแรกแย้มของเขามาให้

“มึงไม่ต้องกลัวไป รู้หรือไม่ว่าที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงนี่คือใคร” นายทหารหนุ่มในชุดผ้าสีแดงพูด ทำให้ชายชราค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผิวขาวร่างผอมในชุดไหมประดับเครื่องเงินที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงคนหามในขบวนเกียรติยศตรงหน้า

“ลูกสาวมึงกำลังจะมีบุญได้เป็นข้ารองบาทของเจ้าชายอินทร พระอุปราชแห่งเมืองเชียงขอม มึงควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำ”

จากนั้นเจ้าชายหนุ่มก็สั่งให้เอาตัวหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ด้วยความกลัวขึ้นมานั่งบนเสลี่ยงคู่กับพระองค์แล้วลงมือลวนลามจับล้วงภายใต้ผ้าแถบของนางพร้อมซุกไซร้ดอมดมกลิ่นแห่งสตรีวัยแรกแย้มอย่างไม่อายสายตาผู้คนในตลาดกลางเมืองที่กำลังจับจ้องอยู่อย่างเวทนา

“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!!”

เสียงตะโกนอย่างพญาราชสีห์ดังมาจากขบวนเกียรติยศอีกขบวนที่เพิ่งเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ พระมหาอุปราชชัยยันต์บนเสลี่ยงทองที่พึ่งเดินทางกลับจากพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพของพระบิดาที่วัดในตอนเช้ามีสีหน้าขมึงมึงและจ้องมายังเจ้าชายแห่งเชียวขอมอย่างไม่พอพระทัย

“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยด้วยที่มิได้ไปร่วมที่พระราชพิธีที่วัดเสียหลายวัน วันนีตอนแรกเกล้ากระหม่อมตั้งใจจะไป แต่นี่พระองค์ก็กำลังทรงเดินทางกลับเข้าวังเสียแล้ว คงจะต้องเป็นวันอื่นเสียกระมัง” พระอุปราชอินทรตรัสด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวพระราชอำนาจ

“ปล่อยประชาชนของเราบัดเดี๋ยวนี้อินทร เจ้าไม่มีสิทธิมารังแกประชาชนในบ้านเมืองของเรา” พระอุปราชหนุ่มพูดย้ำ

“ยังกล้าพูดว่าเป็นบ้านเมืองพระองค์หรือพระเจ้าข้า อ่อ เกล้ากระหม่อมลืมไปว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของมิถิลามาเสียนาน พระองค์คงยังไม่ชินกับการเป็นเมืองขึ้นของเมืองอื่นเยี่ยงเมืองเล็กๆ ของเชียงของของเกล้ากระหม่อม ถ้ายังไม่ชิน จะให้เกล้ากระหม่อมสอนให้ก็ได้นะพระเจ้าข้า ว่าควรปฏิบัติองค์เยี่ยงไร”

“มันจะมากไปแล้วนะเว้ยไอ้เจ้าเชียงของ” พระราชมนูผู้ยืนอยู่หน้าเสลี่ยงของพระอปราชชัยยันต์ทนฟังคำหยามเหยียดของอีกฝ่ายไม่ไหวจึงชักดาบขึ้นมาชี้ไปที่เจ้าชายอินทร ทำให้ทหารของอีกฝ่ายต่างก็ชักดาบออกมาเช่นกัน

“อย่างไรเมืองเล็กๆ ของเจ้าก็ยังเป็นเมืองขึ้นของมิถิลา เจ้าไม่มีสิทธิมาพูดจาจาบจ้วงองค์พระมหาอุปราชผู้เป็นนายเหนือหัวของเจ้าเยี่ยงนี้ กราบขอพระราชทานอภัยและปล่อยผู้หญิงมาเสีย มิเช่นนั้นหัวของเจ้าจะหลุดจากบ่า”

“กูไม่ให้ ไอ้ทหารชั้นต่ำ มึงกล้าพูดกับกูแบบนี้ได้เยี่ยงไร ทหาร! จัดการมัน!”

สิ้นคำสั่ง ทหารอารักขาในขบวนเกียรติศของเจ้าฟ้าเมืองเชียงขอมนำโดย “ขุนแสงเมือง” ราชองครักษ์คู่ใจก็เข้าปะทะกับทหารอารักขาของพระมหาอุปราชชัยยันต์อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยฝีมือที่ห่างชั้น ยังไม่ทันที่พระมหาอุปราชจะสั่งห้าม ทหารเมืองเชียงของก็ลงไปกองอยู่กับพื้น และดาบของพระราชมนูก็ฟันลงไปที่ต้นแขนของขุนแสงเมืองจนเลือดกระเซ็นก่อนที่ขุนแสงเมืองจะถูกถีบลงไปนอนกองกับพื้นและถูกปลายดาบของพระราชมนูจ่อที่คอหอยจนต้องยกมือไหว้ตัวสั่นด้วยความกลัวตาย

“พอได้แล้วพระราชมนู ปล่อยมัน” เจ้าชายชัยยันต์สั่ง ขณะที่เจ้าชายอินทรทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่บนเสลี่ยง

“ปล่อยตัวผู้หญิงคืนพ่อนางไป แล้วเราจะไม่ถือโทษเอาความ”

เจ้าชายอินทรทรงแค้นใจอย่างหนักที่ทรงพ่ายแพ้แก่พระมหาอุปราชแห่งมิถิลา แต่ขณะที่ทรงกำลังจะปล่อยผู้หญิงไป โชคก็ดูเหมือนจะเข้าข้างพระองค์เมื่อ “ออกญาราชณรงค์” มหาอำมาตย์แห่งเมืองมัณฑ์ผู้ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมืองจากเจ้าชายนรชิตได้ปรากฏตัวขึ้นบนหลังอาชาสีน้ำตาล

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นพระเจ้าค่ะ เหตุใดจึงได้มีทหารบาดเจ็บมากมายที่นี่” ออกญาราชณรงค์ถาม

“ท่านออกญา ช่วยข้าด้วยเถิด พระมหาอุปราชใช้กำลังข่มเหงทหารของข้า” เจ้าชายแห่งเชียงขอมเอ่ยปากอย่างคนขลาด

“ยังไม่เลิกพูดจาเพ้อเจ้ออีก” พระยาราชมนูกำลังจะชักดาบออกมาจากฝักแต่ถูกพระอุปราชชัยยันตห์ห้ามไว้ก่อน

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่เท่าที่ข้าเห็นก็น่าเชื่ออย่างที่เจ้าชายอินทรตรัสว่าทหารของพระองค์ใช้กำลังข่มเหงทหารของเชียงขอมจริงดังว่า ในฐานะที่ข้ารับพระราชบัญชามาจากองค์เหนือหัวนรชิต ข้าก็ต้องทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและให้ความเป็นธรรม พระองค์มีอันใดจะแก้ตัวหรือไม่” ออกญาราชณรงค์ถามพระมหาอุปราชแห่งมิถิลา

“ข้ามิมีความจำเป็นต้องตอบคำถามอันใดแก่ท่าน ท่านออกญาราชณรงค์ บ้านเมืองนี้เป็นของข้าก่อนที่พวกท่านจะเข้ามาบุกรุก ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องอยู่แล้ว ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่แล้วมิจำเป็นต้องให้ผู้ใดมาช่วยดูแลอีก” พระมหาอุปราชตอบ

“บังอาจ!! พระองค์เห็นหรือไม่ว่าในมือข้าคือดาบอาญาสิทธิ์ที่องค์นรชิตทรงพระราชทาน ดังนั้นข้าก็เปรียบเช่นตัวแทนขององค์นรชิต นายเหนือหัวของพระองค์เช่นกัน ในเมื่อพระองค์ไม่มีอะไรจะแก้ตัว และยังพูดจาจาบจ้วงองค์นรชิต ข้าพระองคก็คงต้องทำหน้าที่ที่ข้าพระองค์ได้รับมา ทหาร! ไปจับกุมตัวพระมหาอุปราลงจากเสลี่ยงบัดเดี๋ยวนี้”

หลังได้รับคำสั่งทหารฝีมือดีแห่งเมืองมัณฑ์ที่ติดตามออกญาราชณรงค์มาด้วยก็วิ่งเข้าไปที่เสลี่ยงหลวงของพระมหาอุปราชแห่งมิถิลา การปะทะกันระหว่างราชองค์รักษ์และทหารเมืองมัณฑ์จึงเกิดขึ้น ส่วนพระราชมนูก็ตรงเข้าไปต่อสู้กับออกญาราชณรงค์อย่างดุเดือดสูสีกันด้วยฝีมือ แต่ในที่สุดพระราชมนูก็พลาดถูกฟันเข้าที่ต้นขาจนทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนที่ออกญาราชณรงค์จะเงื้อมือขึ้นหมายลงดาบเพื่อปลิดชีวิตของพระราชมนูเสีย แต่พระอุปราชชัยยันต์ทรงจากเสลี่ยงและชักพระแสงดาบเข้างัดขวางไว้พร้อมกับงัดจนดาบในมือของออกญาราชณรงค์กระเด็นหลุดมือ และทรงใช้พระแสงดาบของพระองค์จ่อที่คอของออกญาแห่งเมืองมัณฑ์

“สั่งให้ทหารของเจ้าหยุดบัดเดี๋ยวนี้” พระอุปราชทรงสั่งสียงแข็ง มองหน้าออกญาราชณรงค์ด้วยความโกรธ

“เอาเลยพระเจ้าค่ะ สังหารข้าพระองค์เสีย ข้อตกลงของพระองค์กับองค์นรชิตจักได้เป็นอันจบสิ้น วิญญาณของข้าคงได้เห็นซากเมืองมิถิลาในกองไฟ และเห็นเหล่าชาวเมืองนี้ถูกจับไปเป็นทาสของเมืองมัณฑ์ดังเช่นเมืองอื่นๆ ที่ผ่านมา เอาเลยพระเจ้าค่ะ ทรงช้าอยู่ด้วยเหตุใด”

พระอุปราชทรงกัดฟันกำพระแสงดาบแน่นก่อนจะทิ้งพระแสงดาบลงกับพื้นด้วยความคับแค้นพระราชหฤทัย ออกญาราชณรงค์เห็นดังนั้นก็ยิ้มพร้อมสั่งให้ทหารเข้ามาจับตัวพระมหาอุปราชไว้และให้หาเชือกมัดกระสอบเส้นใหญ่มามัดไว้ที่ข้อพระกรทั้งสองข้างของพระองค์ให้รวบติดกนเพื่อป้องกันการต่อสู้ขัดขืน

พะราชมนูองครักษ์พยายามลากสังขารที่ถูกฟันขาเข้าขัดขวางไม่ให้เหล่าทหารเมืองมัณฑ์ทำการหยามพระเกียรติพระมหาอุปราชที่กำลังจะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปต่อหน้าประชาชนชาวมิถิลากลางตลาดเช่นนี้แต่ก็ถูกจับตัวไว้

จากนั้นออกญาราชณรงค์ก็สั่งให้ทหารเลวของเมืองมัณฑ์ปลดพระมหามงกุฏ รวมทั้งสังวาลย์และเครื่องประดับที่พระมหาอุปราชทรงสวมใส่ในพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพของพระบิดาในตอนเช้าออกจนหมด ซ้ำยังให้ทหารเลวใช้ดาบตัดฉลองพระองค์ซึ่งเป็นเสื้อผ้าไหมทอสีขาวและโจงกระเบนชั้นนอกออก จนเหลือแต่โจงกระเบนผ้าเตี่ยวสีน้ำตาลที่ยาวเพียงต้นขาด้านใน เผยให้เห็นพระวรกายของกษัตริย์ชาตินักรบที่มีมัดกล้ามแน่นสมชายชาตรีต่อหน้าทั้งเหล่าทหารของทั้งสามเมืองและประชาชนชาวมิถิลาที่ต่างมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางตลาด

ระหว่างนั้นออกญาราชณรงค์ก็ให้ทหารเมืองเชียงขอมไปเอาเขียงแล่เนื้อที่ทำจากขอนไม้ท่อนใหญ่มาวางไว้กลางถนนที่ด้านหน้าขบวนเกียรติยศของเจ้าชายอินทร แล้วให้ทหารเลวลากเอาพระวรกายที่เกือบเปลือยของพระมหาอุปราชชัยยันต์ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นด้านหลังขอนไม้ขนาดใหญ่นั้นที่ด้านหน้าเสลี่ยงและเหล่าทหารในขบวนเกียรติยศของเจ้าชายอินทร ซึ่งตอนแรกพระมหาอุปราชชัยยันต์ทรงไม่ยอมจึงถูกทหารเลวที่คุมตัวอยู่เตะตัดขาจนทรุดลงไปหน้าเกือบทิ่มขอนไม้ ก่อนที่จะถูกให้เอาพระกรที่ถูกมักไว้มาวางบนของไม้และมัดให้พระกรติดอยู่กับแท่นขอนไม้นั้นเพื่อป้องกันการหนี ซ้ำยังถูกทหารเลวของเมืองมัณฑ์จับพระเศียรกดลงไปให้อยู่ในท่านั่งคุกเข่าก้มตัวไปกับแท่นขอนไม้เพื่อเตรียมรับราชทัณฑ์อีกด้วย

“ทุกคนฟังให้ดี เมื่อครู่นี้ เจ้าฟ้าชายชัยยันต์ พระมาอุปราชแห่งมิถิลา ทรงออกคำสั่งให้ทำร้ายข่มเหงทหารแห่งเมืองเชียงของ และใช้วาจาาบจ้วงองค์นรชิตเจ้าชายแห่งเมืองมัณฑ์ซึ่งเป็นองค์เหนือหัวของพวกเจ้าทุกคน ข้า ออกญาราชณรงค์ผู้ได้รับพระราชบัญชาให้ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองนี้ จึงขอใช้พระราชอำนาจแห่งองค์นรชิต สั่งให้ลงโทษเจ้าฟ้าชายชัยยันต์พระองค์นี้ ด้วยการโบยหนึ่งยก จำนวนสามสิบหวาย เพื่อมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

จากนั้นออกญาราชณรงค์ก็อนุญาตให้ขุนแสงเมือง องครักษ์ของเจ้าชายอินทรแห่งเชียงของทำหน้าที่เป็นผู้ลงหวาย

“ฟั่บ!! ฟั่บ!! ฟั่บ!!”

เสียงหวายแหวกอากาศลงไปที่หลังอันแข็งแรงของพระมหาอุปราชหนุ่มจนเกิดเป็นรอยเลือดยาวครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะออกรบมาไม่รู้กี่ครั้ง ได้แผลจากการรบไม่ไม่รู้กี่แผล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เลือดเนื้อกษัตริย์อย่างเจ้าชายทรงต้องลิ้มรสการถูกโบยด้วยหวาย การถูกดาบฟันในสนามรบอาจเจ็บเจียนตาย แต่การโดนให้คุกเข่าต่อหน้าศัตรูและถูกโบยหลังกลางตลาดต่อหน้าประชาชนนชาวมิถิลาของพระองค์เองเยี่ยงในเวลานี้ มันทำให้พระองค์ทั้งทรงเจ็บและทั้งอายจนไม่อยากมองหน้าใคร

เจ้าชายอินทรทรงมองดูการลงโทษที่เกิดขึ้นอย่างสาพระทัยและหัวเราะร่าพร้อมกับลงมือลวนลามหญิงสาวชาวบ้านคนเดิมที่ถูกจับมานั่งอยู่ข้างๆ ไปด้วยอย่างสบายพระอารมณ์

พอโบยไปถึงหวายที่สิบแปด ขุนแสงเมืองก็เริ่มลงหวายได้แผ่วลงเพราะเจ็บแผลที่พึ่งถูกพระราชมนูฟันมา เจ้าชายอินทรซึ่งดูอยู่จึงบอกให้หยุด แล้วทรงโปรดให้เปลี่ยนคนลงหวายเสีย

“ไอ้หนุ่มคนนั้นน่ะ ออกมานี่ซิวะ” เจ้าชายอินทรทรงชี้ไปที่เด็กหนุ่มชาวบ้านร่างกำยำคนหนึ่งซึ่งชาวเมืองมิถิลารู้จักกันดีในชื่อ “ไอ้แดง” เป็นทาสในเรือนของพ่อค้าไม้ในกรุงมิถิลาซึ่งทำหน้าที่ขนไม้มาขายที่ตลาดเป็นพระจำทำให้มันมีรูปร่างที่กำยำล่ำสันอย่างมาก

ไอ้แดงก้มหน้านิ่งแต่ก็ถูกทหารของเจ้าชายอินทรไปลากตัวออกมาแล้วยื่นหวายให้

“มึงโบยมันต่อให้ครบสามสิบที! ถ้ามึงไม่กล้าโบยหรือโบยไม่เต็มแรง กูจะสั่งโบยมึงแทน”

ไอ้แดงรับหวายมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ในที่สุดมันก็คิดได้ว่ามันคงไม่มีทางเลือกอื่น ไอ้แดงจึงเงื้อหวายในมือขึ้นเตรียมเหนี่ยวสุดแรง

“อย่านะเว้ย นี่มึงขี้ขลาดถึงขนาดยอมฟังคำสั่งศัตรเลยเหรอวะ นั่นพระมหาอุปราชชัยันต์ อีกไม่กี่เดือนพระองค์ก็จะทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นนนายเหนือหัวของพวกมึง มึงกล้าโบยพระองค์ตามคำสั่งของศัตรูเชียวหรือไอ้ขายชาติ!” พระราชมนูที่ถูกจับตัวอยู่ตะโกน

“กูไม่ได้ขายชาติ กูแค่ไม่อยากหลังลายโว้ย” ไอ้แดงตะโกนตอบพร้อมกับกลั้นใจเงื้อหวายขึ้นลงและฟาดลงเต็มไปแรงที่แผ่นหลังของว่าที่กษัตริย์ของมัน เจ้าชายชัยยันต์ถึงกับสะดุ้ง แม้พระองค์จะพยายามกัดฟันไม่ให้ร้องออกมา แต่คามเจ็บปวดจากการถูกโบยก็ได้แสดงออกผ่านนัยตาที่เบิกโพลง ใบหน้าที่กัดกรามเกร็งแน่น และเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นท่วมพระวรกายจนชุ่ม

ทางฝั่งไอ้แดงเองเมื่อเฆี่ยนไปถึงหวายที่สี่ หวายที่ห้า มันก็เริ่มรู้สึกมันมือ ความกลัวค่อยๆ กลับกลายเป็นความสะใจและตื่นเต้น มันไม่เคยนึกเลยว่าทาสในเรือนชั้นต่ำอย่างมันจะได้มีโอกาสลงหวายบนแผ่นหลังของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแห่งมิถิลานครเยี่ยงวันนี้ มันค่อยๆ ออกแรงมากขึ้นๆ จนพระวรกายที่รับหวายของเจ้าชายทรงสั่นเกร็งและพระเนตรเหลือกด้วยคามเจ็บปวด สร้างความปิติให้กับเจ้าชายอินทรและเหล่าทหารเมืองเชียงขอมที่มองอยู่เป็นอันมาก

ไอ้แดงลงหวายอย่างสะใจจนมันเกือบจะโบยเกิยจำนวนสามสิบที ดีที่ออกญาราชณรงค์ออกปากเตือนว่าครบแล้ว ให้พอได้แล้ว ก่อนที่จะให้ทหารมาแก้มัดพระมหาอุปราชชัยยันต์ออกจากท่อนไม้และจับยืนขึ้น แต่ยังไม่แก้มัดเชือกที่ผูกข้อพระกรไว้ให้ติดกัน ซึ่งพอให้ยืนก็ทรงแทบจะยืนไม่ไหวเนื่องจากพิษบาดแผล จึงต้องให้ทหารเลวของเมืองมัณฑ์หิ้วปีกทั้งสองข้าง ไปที่หน้าสุดของขบวนเกียรติยศของเมืองเชียงขอมตามคำสั่งของเจ้าชายอินทร

“หิ้วปีกให้มันเดินนำขบวนกูไปจนกว่าจะเข้าประตูวัง กูจะประจานมันไปตามถนนให้ชาวเมืองมันดูว่าที่องค์เหนือหัวของพวกมันว่ามันทุเรศขนาดไหน ส่วนไอ้ราชมนูกับทหารราชองครักษ์พวกนี้ จับไปขังคุกไว้ให้หมด ไป ออกขบวน!”

ขบวนเกียรติยศของเจ้าชายเมืองเชียงขอมเคลื่อนไปตามถนนของเมืองมอถิลา โดยที่เข้าชายอินทรนั่งบนเสลี่ยงคู่กับหญิงสาวเมืองมิถิลาที่กำลังร้องไห้เพราะถูกจับมาเป็นนาบำเรอ แต่นั่งคงไม่ดึงดูดสายตาของชาวเมืองทุกคนที่ขบวนเคลื่อนผ่านได้เท่ากับ ที่ด้านหน้าสุดของขบวน ซึ่งมีพระมหาอุปราชหนุ่ม ว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลาซึ่งบัดนี้ทั้งพระวรกายมีเพียงผ้าเตี่ยวที่ดูเผินๆ แทบไม่ต่างจากพวกทาส พระวรกายมีเหงื่อผุดชุ่ม ที่หลังเต็มไปด้วนรอยแผลถูกโบยเป็นแนวยาว ซ้ำยังถูกเชือกกระสอบมัดมือและถูกทหารเมืองเชียงขอมหิ้วปีกเดินประจานอยู่หน้าขบวนเสลี่ยงของเจ้าชายเมืองขึ้น ทุกคนต่างออกมาดูกันและพากันวิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ

พระมหาอุปราชหนุ่มทรงสัมผัสได้เพียงความเจ็บและความอับอายแต่ไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อสู้ขัดขืน ปล่อยให้เลือดกษัตริย์หยดลงจากบาดแผลที่หลังลงสู่ท้องถนนเมืองมิถิลาเป็นแนวยาวไปตั้งแต่กลางตลาดจนถึงพระตูเข้าพระราชวัง!

แม้ไม้มิถิราชา

พระมหาอุปราชทรงถูกนำตัวกลับมาประทับรักษายังพระตำหนักกลางของพระองค์ โดยมีหมอหลวง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และแม่สะอาดลูกเจ้าพระยาพระคลังดูแลไม่ห่างพระวรกาย

“จำคำพี่ไว้เถิดแม่สะอาด ครานี้เราตกเป็นข้าเขาตึงต้องยอมให้เขาเหยียบย่ำหัดหาญได้ถึงเพียงนี้ แต่อีกไม่นานดอก มิถิลาจะกลับเป็นไท และพวกมันจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับพี่และแผ่นดินนิ้อย่างสาสม”

พระมหาอุปราชรำพึงขณะที่ทรงนอนคว่ำหน้าบนพระแท่นให้แม่สอาดหญิงคู่พระทัยประคบยาสมุนไพรลงบนรอยหวายที่ทอดเป็นอนวยาวบนแผ่นหลังจากน้ำมือของทหารต่างเมืองและทาสคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวมิถิลา ประชาชนของพระองค์เอง

ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าพระตำหนัก

“บังอาจ ที่นี่คือที่ประทับของพระหน่อเจ้ามหาอุปราชแห่งมิถิลา พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับพระราชานุญาต” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งพูดหลังทหารขิงเมืองมัณฑ์สี่นายเดินบุกเข้ามาถึงพระทวารชั้นใน

“เจ้าชายนรชิตทรงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชชัยยันต์เสด็จไปเข้าเฝ้า ณ เพลานี้พระเจ้าค่ะ” ทหารเมืองมันฑ์กล่าว ก่อนที่จะถูกขุนนางผู้ใหญ่บอกไปว่าพระมหึปราชทรงเจ็บอยู่ หากเจ้าชายนรชิตมรพระประสงค์จะพบเหตุใดไม่เสด็จาด้วยพระองค์เอง แต่ก็ถูกทหารเมืองมัณฑ์ตอบกลับว่า หากไม่ยอมเสด็จ มีรับสั่งให้คุมตัวไป พระมหุปราชจึงต้องยอมเสด็จตามรับสั่ง ทรงให้แม่สะอาดช่วยจัดแจงแต่งพระองค์ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเสด็จขึ้นเสลี่ยงไปเข้าเฝ้าเจ้าชายนรชิตที่ลานฝึกกำลังพลในเขตพระราชฐานชั้นนอก

เมื่อเสด็จไปถึงก็ทรงพบว่าที่ลานฝึกมีการจัดการประลองของทหารกันขึ้นโดยคู่ที่กำลังต่อสู้กันอยู่เป็นทหารเมืองมัณฑ์ในชุดเสื้อยันต์สีแดง และทหารมิถิลาของพระองค์ในชุดโจงกระเบนและเสื้อสีน้ำตาลแก่ ซึ่งทหารฝ่ายมิถิลานั้นเป็นฝ่ายโดยซ้อมจนนาวมพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ในขณะที่คนดูรอบๆ ทั้งเจ้าชายนรชิต เจ้าชายองค์ต่างๆ ที่มาร่วมงานพระราชพิธีอยู่ตอนนี้พร้อมทั้งทหารผู้ติดตามกำลังโห่ร้องตะฌกนเชียร์อย่างสะใจ

“หยุด” พระมหาอุปราชทรงออกพระบัญชาให้ทหารเมืองมัณฑ์หยุดเมื่อทรงเห็นว่าทหารเมืองมัณฑ์ผู้นั้นกำลังจะใช้มือควักลูกตาของทหารมิถิลาออกมา

“เสด็จมาได้เวลาพอดีพระย่ะค่ะ ข้านึกว่าพระองค์จะไม่เสด็จมาตามคำเชิญของข้าเสียแล้ว เห็นเจ้าชายอินทรแห่งเชียงขอมบอกข้าว่าพระองค์ทรงไม่ค่อยสบาบเท่าไหร่”

พระมหาอุปราชทรงมองที่เจ้าชายอินทรซึ่งนั่งอยู่บนตั่งพร้อมยิ้มเยาะอย่างสะใจแล้วก็ทำได้แต่สงบพระอารมณ์แล้วตอบไปว่า “ข้าไม่เป็นอะไรมากดอก แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเหมือนถูกสุนัขกัดเท่านั้น

“งั้นดีเลยพระย่ะค่ะ ข้าก็หวังจะได้ยินเยี่ยงนี้อยู่พอดี ข้าจัดการประลองมาตั้งแต่เช้าจนเพลานี้เกือบเที่ยงวัน ก็ยังหาทหารมิถิลาคนใด สู้ทหารเมืองมัณฑ์ของข้าได้ไม่ ข้าตึได้สอบถามเจ้าพระยากลาโหมถึงการฝึกทหารของมิถิลา เลยได้รู้ว่ามีเพลงมวยชั้นสูงซึ่งถูกสอนและถ่ายทอดกันแต่ในหน่อเชื้อกษัตริย์แห่งมิถิลาเท่านั้น ข้าและเหล่าเจ้าฟ้าชายจากเมืองต่างๆ จึงใคร่อยากเห็นเพลงมวยนี้เป็นบุญตาสักครั้ง จึงต้องให้เชิญพระองค์มาในครานี้”

“แม่ไม้มิถิราชา เป็นเพลงมวยชั้นสูง สืบทอดจากกษัตริย์สู่กษัตริย์สำหรับป้องกันอริราชศัตรูและใช้ในพระราชพิธีประลองยุทธระหว่างสายพระโลหืตแห่งกษัตริย์มิถิลาเท่านั้น หาใช่เพื่อการแสดงให้ใครดูไม่”

ถึงแม้พระมหาอุปราชจะตอบไปแบบนั้น หากแต่ก็ทรงไม่สามารถขัดพระประสงค์ของเจ้าชายนรชิตผู้กุมชะตาบ้านเมืองอยู่ได้ จึงจำพระทัยให้ทหารไปอัญเชิญชุดมวยมิถิราชามาก่อนจะไปผลัดเปลี่ยนชุดและกลับมาที่ลานฝึกกำลังพลอีกครั้งในชุมวยมิถิราชาสำหรับกษัตริย์ซึ่งเป็นเสื้อคอวีแขนกุดสีแดงขลิบไหมทองคำมีกระดุมผ่าหน้า ลงอักขระเพื่อความป็นศิริมงคล โจงกระเบนสีน้ำตาลเข้มยาวครึ่งน่อง มีผ้าสีขสวพันมือทั้งสองข้าง ผ้าประเจียดสีแดงเลือดนกลงอาคมที่สืบทอดกันมาแต่องค์ปฐมกษัตริย์ถูกรัดที่ต้นแขนล่ำทั้งสองข้างของพระมหาอุปราช พร้อมด้วยมงคลผ้าสีขาวรัดบนศีรษะอย่างสง่างาม

จากนั้นเจ้าชายนรชิตทรงให้พระมหาอุปราชเลือกคู่ประลองด้วยตนเอง ซึ่งพระมหาอุปราชขอเลือก “เจ้าชายอินทร แห่งเชียงขอม” ผู้ที่ทำให้ทรงต้องอับอายต่อหน้าประชาชนในเมืองมาเป็นคู่ประลองเพื่อหวังจะล้างแค้น

“ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ข้าและเหล่าหน่อพระวงศ์แห่งเมืองต่างๆ เหล่านีรวมถึงเจ้าชายอินทรจะเป็นเพียงแต่ผู้ชมในวันนี้เท่านั้น ที่ข้าให้ทรงเลือก ข้าหมายถึงพระองค์ติ้งทรงเลือกคู่ประลองจากเหล่าทหารเลวของเมืองมัณฑ์ที่อยู่ด้านหลังพระองค์นู่น”

เจ้าชายนรชิตชี้ไปที่เหล่าทหารเลวเมืองมัณฑ์ที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ทางฝั่งตรงข้ามของสนามประลองราวกับพยัคฆ์มองเหยื่อ หากแต่พระมหาอุปราชไม่ทรงยอมเพราะเพลงมวยแม่ไม้มิถิราชาสงวนเอาไว้ใช้ในการประลองระหว่างเชื้อกษัตริย์เท่านั้น หารนำมาประลองกับทหารเลวถือว่าเป็นเรื่องผิดราชประเพณีอย่างรุนแรงซึ่งพระองค์ยอมไม่ได้

“ราชประเพณีล้าหลังเก่าแก่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ยิ่งในตอนนี้มิถิลากลายเป็นเมืองขึ้นในปกครองของข้า ข้า เจ้าชายนรชิตแห่งเมืองมัณฑ์ ขอประกาศให้สามารถใช้แม่ไม้มิถิราชาประลองกับทหารเลวหรือใครก็ได้ โดยไม่ผิดราชประเพณีแต่อย่างใด”

“บังอาจนัก ถึงบัดนี้มิถิลาจะเป็นประเทศราช แต่เจ้าก็เป็นคนนอก หามีสิทธิมาเปลี่ยนแปลงโบราณราชประเพณีของเมืองนี้ตามใจชอบไม่”

“ทรงคิดผิดแล้วพระย่ะค่ะ ข้าสามารถเปลี่ยนอะไรได้มากกว่าที่พระองค์คิดแน่นอน อย่างที่สอง ข้าว่าในเมื่อจะให้ประองค์ประลองกับพวกทหารเลวแล้ว ฉลองพระองค์ชุดมวยที่หรูหราแบบนี้คงไม่เหมาะ .... หมื่นกระทิง หมื่นสิงห์ผงาด ช่วยออกแบบฉลองพระองค์ชุดมวยใหม่ให้พระมหาอุปราชแห่งมิถิลาหน่อยซิวะ”

“พระพุทธเจ้าค่ะ”

นายทหารขั้นหมื่นทั้งสองแห่งเมืองมัณฑ์รับพระบัญชาโดยพร้อมเพรียงและตรงไปที่พระมหาอุปราชชัยยันต์ทันที พระมหาอุปราชทรงใช้เชิงมวยต่อสู้ขัดขืนทำให้หมื่นทั้งสองถูกหมัดล้มกลิ้งไม่สามารถเตะต้องพระวรกายได้

“เฮ้ย พวกมึง เข้าไปช่วยจับมันไว้ เร็ว” เจ้าชายเมืองอื่นจึงออกพระบัญชาให้ทหารของตัวเองเข้าไปช่วยจับตัวพระมหาอุปราชไว้กันอย่างโกลาหล

เหล่าทหารเมืองมิถิลาที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะเข้าไปช่วยนายเหนือหัวของพวกเขาแต่ก็ถูกทหารอีกจำนวนหนึ่งของเมืองมัณฑ์และเมืองอื่นๆ สกัดเอาไว้

“พระอาญาไม่พ้นเกล้า อย่าทำเช่นนี้เลยพระพุทธเจ้าค่ะ องค์พระมหุปราชทรงเจ็บอยู่นัก และการทำเช่นนี้เป็นเสมือนการลบลู่ราชประเพณีและบูรพกษัตริย์แหงมิถิลา ขอพระองค์ทรงพิจารณาด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า” เจ้าพระยากลาโหมแห่งมิถิลาถวายบังคมทูล แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนพระทัยได้ เจ้าชายนรชิตทรงตอบว่า “พระมหาอุปราชของเจ้าจะได้เรียนรู้ว่าการตกเป็นเมืองประเทศราชไม่มีสิทธิมาต่อรอง หรือทำอำนาจบาดใหญ่เช่นเดิมที่เคยเป็น”

ด้วยทรงกำลังมีแผลจากการถูกโบย และจำนวนของศัตรูมีมาก พระมหาอุปราชแห่งมิถิลาจึงไม่ทรงสามารถรับมือไหม ทรงถูกเหล่าทหารจับพระวรกายกดให้นอนคว่ำกับพื้นกลางสนามประลอง ก่อนที่เหล่าทหารจะเข้าไปรุมกันยึดประวรกายไว้ไม่ให้ดิ้นเป็นสิบนายจนคนข้างนอกไม่สามารถมองเห็นร่างของพระมหาอุปราชซึ่งอยู่กลางวงล้อมของเหล่าทหารได้ ได้ยินแต่เสียงหัวเราะและเสียงเฮของเหล่าทหารเลวพวกนั้นเท่านั้น

“มงคลผ้า” คือสิ่งแรกที่ถูกถอดจากพระเศียรและโยนออกมานอกวง ตามด้วยฉลองพระองค์เสื้อมวยสีแดงที่ถูกโยนออกมาพร้อมถูกทหารเลวใช้เท้าเตะไปให้ทหารที่ข้างลานประลองได้เล่นกันอย่างสนใจ ต่อมาเสียงเฮก็ดังขึ้นอีกพร้อมกับผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาลซึ่งถูกใช้เท้าเตะออกมานอกวง ท่ามกลางเสียงเฮของพวกทหาร หากฟังดีๆ จะมีเสียงจของพระมหาอุปราชแห่งมิถิลาตะโกนร้องห้ามอย่างไร้หวังและโกรธแค้น

ไม่นานวงล้อมของทหารกลางลานก็คลายออก ที่ด้านในสุดของวง หมื่นกระทิงทองและหมื่นสิงห์ผงาดกำลังใช้มือจิกพระเกศาของพระมหุปราชให้ยืนขึ้นท่ามกลางเสียงเฮดังสนั่นของทหารทุกนายที่อยู่บริเวณนั้นนอกจากทหารมิถิลาซึ่งบางคนถึงกับร้องไห้กับภาพที่เห็น

พระมหาอุปราชแห่งมิถิลาในตอนนี้เปลือยทั้งท่อนบนและท่อนล่าง เนื้อตัวมอมแมมด้วยดินในลานประลอง รอยหวายที่หลังยิ่งประจานความพ่ายแพ้ทุกคนได้เห็นกันชัด ผ้าประเจียดอาคมสีแดงเลือดนมอันศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งบูรพกษัตริย์ที่เคยใช้รัดที่ต้นแขน บัดนี้มันได้ถูกนำมาใช้เป็ยวิ่งเดียวที่ช่วยปกปิดเครื่องเพศของว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลา โดยหมื่นทั้งสองแกะมาคลี่ออกแล้วจับมัดนุ่งใหม่ในลักษณะคล้ายผ้าเตี่ยวญี่ปุ่นที่หุ้มแค่ลำลึงค์และอัณฑะอย่างจำกัดจำเขี่ย ปล่อยให้พงหญ้าสีดำรกรอบๆ และด้านบนหัวเหน่าโผล่ฟูออกมาอย่างน่าอุจาดตา แถมด้านหลังนั้น ผ้าประเจียดอาคมยังถูกม้วนเป็นเกลียวแล้วยัดแนบผ่านร่องพระทวารหนักขึ้นไปรั้งกับเส้นที่ผูกไว้รอบเอว

“ชาวมิถิลาทุกคนดูและจงจำไว้ ต่อแต่นี้ไป นี่คือชุดฉลองพระองค์มวยแม่ไม้มิถิราชาใหม่ ซึ่งข้า เจ้าชานรชิตแห่งเมืองมัณฑ์เป็นผู้ประทานให้ด้วยไมตรี นับจากนี้หากพระราชวงศ์พระองค์ใดของมิถิลาจะใช้เพลงมวยแม่ไม้มิถิราชาในการประลอง ก็ขอให้ใส่ฉลองพระองค์นี้สืบต่อกันไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลานเถิด”

สู่ลานประลอง

หลังจากที่ทรงได้รับพระราชทานฉลองพระองค์มวยแบบใหม่จากเขาชานนรชิตแล้ว เจ้าชายนรชิตก็ทรงส่งสัญญาณจะให้เริ่มการประลอง แต่เจ้าชายเอกรัตน์แห่งเมืองไพศาลี พระอุปราชแห่งเมืองประเทศราชทางตะวันออกของมิถิลาเสนอขึ้นมาว่า

“ช้าก่อนพระย่ะค่ะ ข้าพระองค์คิดว่า ไหนๆ พระมหาอุปราชไชยันตร์ เจ้าชายรัชทายาทแห่งมิถิลาก็จะทรงแสดงแม่ไม้มิถิราชา ซึ่งเป็นแม่ไม้เพลงมวยชั้นสูงให้ชมแล้ว ข้าพระองค์คิดว่าชาวเมืองมิถิลาคงจะอยากเห็นเพลงมวยนี้เป็นบุญตาเช่นกัน”

“ดำริน่าสนใจนัก เชิญว่าต่อไป” เจ้าชายนรชิตตอบ

“ข้าพระองค์คิดว่าควรจัดการประลองนี้ขึ้นที่ลานหน้าพระเมรุของพระราชาธิบดีสิงหลที่ตั้งอยู่กลางเมืองมิถิลาพระย่ะค่ะ”

เมื่อข้อเสนอได้รับความเห็นชอบ เจ้าชายนรชิตจึงสั่งให้ทหารรีบล่วงหน้าไปจัดสถานที่ประลองขึ้นที่ลานหน้าพระเมรุของพระราชาธิบดีสิงหลที่ขณะนี้กำลังตั้งบำเพ็ญพระกุศลอยู่ที่วัดกลางเมืองให้เรียบร้อย จากนั้นทั้งเจ้าชายนรชิต และบรรดาเจ้าชายองค์อื่นๆ ก็เสด็จขึ้นเสลี่ยงหลวงตามไป รวมถึงข้าราชบริพารและเหล่าทหารก็ตามกันไปเป็นขบวน เสียงแตนสังข์และกลองดังก้องตลอดขบวนเสด็จตั้งแต่ออกจากประตูเมืองจนถึงลานพระเมรุ ส่วนพระอุปราชชัยยันต์นั้นก็ทรงได้รับอนุญาตให้ขึ้นเสลี่ยงตามไปเช่นกันในสภาพชุดผ้าประเจียดคาดควย

เมื่อถึงลานหน้าพระเมรุซึ่งมีทั้งเจ้าชายองค์ต่างๆ ทหาร ข้าพราชบริพารและประชาชนชาวมิถิลามารอดูการประลองอยู่เต็มไปหมด เจ้าชายนรชิตก็รับสั่งให้พระมหาอุปราชชัยยันต์ออกมาประทับยืนตรงกลางลานประลองชั่วคราวที่ตั้งขึ้นแล้วให้เสนาบดีประกาศว่าที่ทุกคนเห็นอยู่นี้คือฉลองพระองค์สำหรับเพลงมวยแม่ไม้มิถิราชาซึ่งเป็นเพลงมวยชั้นสูงของกษัตริย์มิถิลาที่ยากจะหาชมได้ ขอให้ทุกคนจงดูและจดจำเอาไว้

จากนั้นก่อนการประลองเจ้าชายนรชิตก็ทรงพระบัญชาให้พระมหาอุปราชทำการรำไหว้ครูถวายเพื่อเป็นการสักการะพระศพพระราชบิดาก่อนการประลอง ซึ่งคงจะสมพระเกียรติหากทรงได้รำมวยในฉลองพระองค์ตามโบราณราชประเพณีที่แท้จริง มิใช่รำมวยกึ่งเปลือยเปิดเผยพระวรกายมีแค่ผ้าประเจียดโบราณคาดหุ้มของสงวนให้เสื่อมเสียพระเกียรติราวกับทรงถูกนำมาประจานต่อหน้าพระบรมศพของสมเด็จพระราชบิดาและประราชนของพระองค์เช่นนี้

แถมที่แผ่นหลังยังมีรอยหวายสดๆ ไม่กี่วันเป็นเครื่องซ้ำเติมอีก เหล่าทหารและประชาชนผู้ภักดีดูไปก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความสลดในพระชะตากรรมของมหาอุปราชที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขา ต่างจากพวกราชนิกูลและทหารจากเมืองอื่นที่ดูไปยิ้มไปอย่างสาแก่ใจที่ได้เหยียบย่ำว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลาอันยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองของพระองค์และต่อหน้าประชาชนของพระองค์เอง

ในที่สุดเวลาแห่งการประลองก็มาถึง คู่ประลองของพระอุปราชคือไอ้ยักษ์ ทหารเลวตัวดำมะเมื่อมร่างใหญ่สมชื่อแห่งเมืองมัณฑ์ผู้ก้าวเข้ามาในลานประลองในชุดเสื้อยันต์สีแดงหม่น ทันทีเสียงฆ้องสัญญาณไดเริ่มขึ้น

ไอ้ยักษ์ก็กระโจนเข้าใส่พระมหาอุปราชทันดี แต่ก็ทรงหลบเลี่ยงได้และใช้เชิงมวยมิถิราชาต่อยสวนได้อย่างว่องไวราวสายฟ้าจนต่อยได้ยักษ์ได้หลายหมัดจนมันเซ แต่ไอ้ยักษ์ก็เล่นสกปรกโดยมันเล็งที่จะโจมตีแต่ที่แผ่นหลังซึ่งพึ่งทรงถูกโบยมาหมาดๆ ทำให้แผลที่ยังไม้แห้งดีขึ้นมีเลือดไหลออกมาอีก

แม้พระอุปราชจะมีฝีมือมากกว่าไอ้ยักษ์มาก แต่ด้วยพิษบาดแผลก็ทำให้ทรงอ่อนกำลังลงอย่างมาก จนในที่สุดก็เสียท่าถูกไอ้ยักษ์ทหารสกปรกหนีบพระเศียรเข้าใต้รักแร้ของมันก่อนที่มันจะเอาเล็บยาวและสกปรกของมันตะกุยพระขนอง(หลัง) จนแผลรอยหวายเปิดเหวอะหวะเละเทะ พระมหาอุปราชทรงแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวดลั่นลานประลอง จากนั้นไอ้ยักษ์ก็เอามือจับที่เกลียวผ้าประเจียดที่สอดอยู่ในร่องก้นของพระองค์รั้งขึ้นจนผ้าประเจียดนั้นรัดพระอัณฑะจนพรพักตร์เขียว ตามด้วยการเตะป๊าปเข้าไปที่หว่างพระอุรุ (หว่างขา) ของพระมหาอุปราชแห่งมิถิลาจนทรงเกิดลมจุกลงไปกองตาเหลือกกับพื้น

จากนั้นไอ้ยักษ์ก็เตะซ้ำอีกสองครั้งที่พระลำตัวและเตะเข้าที่ปลายคางจนพระองค์ล้มหงายพระโลหิตกลบปากนอนกุมพระอัณฑะด้วยความเจ็บปวดทรมานอยู่กลางลานประลอง แต่ไอ้ยักษ์ยังไม่พอแค่นั้น มันไปหยิบเชือกที่ข้างๆ ลานประลองมาแล้วเอามามัดพระกรของพระมหอุปราชไพล่หลังเอาไว้ ก่อนที่จะจิกพระเศียรลากร่างแห่งราชาออกจากลานประลองขึ้นไปบนบันไดพระเมรจนถึงขั้นบนสุดต่อหน้าทุกคนก่อนที่มันจะจิกพระเศียรของพระอุปราชหนุ่มจนลุกขึ้นมาประทับยืนตรงและใช้มือของมันจิกเข้าที่ขนพระคุยหฐาน (ขนหมอย) ที่โผล่ฟูออกมาจากผ้าประเจียดแล้วดึงถอนอย่างเมามันจนหลุดร่วงเป็นกระจุก ก่อนที่มันจะโยนโปรยขนพระหมอยที่ถอนออกมานั้นไปในอากาศให้ปลิวเกลื่อนทั่วพระเมรุของสมเด็จพระราชบิดาของพระองค์เอง

พระมหารอุปราชทรงร้องด้วยความเจ็บปวดจนขนที่โผล่ออกมาจากผ้าประเจียดนั้นถูกถอนจนเกลี้ยงไอ้ยักษ์ก็เอาตีนของมันถีบร่างของว่าที่กษัตริย์แห่งมิถิลาจนกลิ้งขลุกๆ ลงมาตามขั้นบันไดพระเมรุของสมเด็จพระราชบิดาอย่างน่าเวทนาใจต่อหน้าสักขีพยานนับพัน ถือเป็นความพ่ายแพ้อย่างน่าทถเรศที่สุดในพระชนม์ชีพของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ที่จะต้องถูกจารึกไปจนชั่วลูกชั่วหลาน


ยุทธวิธี

ไอ้ยักษ์ลงมาลากองค์พระมหาอุปราชที่ถูกเชือกมัดพระกรไพล่หลังไว้มานั่งคุกเข่าต่อหน้าพระที่นั่งของเจ้าชายนรชิตท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารและประชาชนชาวมิถิลานคร ส่วนตัวมันยืนค่ำพระเศรียรของพระมหาอุปราชอยู่ด้านหลังแล้วใช้มือสกปรกของมันจิกพระเกศาของพระองค์เอาไว้ให้เงยพระพักตร์ขึ้นสู้กับความเสื่อมพระเกียรติที่พระองค์พึ่งได้รับ

เจ้าชายนรชิตและเจ้าชายองค์อื่นๆ ทรงปรบมือพอพระทัยกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก ทรงตบรางวัลเป็นเงินทองให้ไอ้ยักษ์เป็นการใหญ่ และมีเจ้าชายบางคนเสนอให้จับพระมหาอุปราชโบยซ้ำต่อหน้าประชาชนเป็นการลงโทษสำหรับผู้พ่ายแพ้การประลอง แต่พระสังฆราชาเจ้าอาวาสของวัดประจำกรุงมิถิลาเสด็จมาขอบิณฑบาตไว้ก่อน

“มหาบพิตร อาตมาขอบิณฑบาตเถิด อย่าได้ทำร้ายกันอีกเลย ที่นี่เป็นเขตวัด เขตอภัยทานและยังเป็นเขตพระราชพิธีพระศพของพระมหาราชาธิบดีแห่งมิถิลา ขอให้พอแค่นี้เถิด”

เจ้าชายนรชิตจึงทรงยกเว้นมิให้โบยพระมหาอุปราชแห่งมิถิลาดังที่เจ้าชายต่างเมืองเสนอ แต่ทรงมีพระราชดำรัสว่า

“วันนี้ข้าได้เห็นแล้วว่าฝีมือการต่อสู้และการทหารของชาวมิถิลาช่างอ่อนหัดนัก แม้แต่ว่าที่ราชาแห่งมิถิลาก็หาได้สู้แม้ทหารเลวแงเมืองทัณฑ์ได้ไม่ ข้ามิอาจให้เมืองภายใต้การปกครองของข้าอ่อนแอเยี่ยงนี้ ข้าจึงขอสั่งให้นำตัวพระมหาอุปราชชัยยันตร์แห่งมิถิลาไปฝึกยุทธวิธีทางทหารร่วมกับเหล่าทหารเลวในกองทัพโดยให้หัวหมู่ทหารเมืองมัณฑ์และเมืองต่างๆ ทั้งเจ็ดเมืองมาเป็นผู้ควบคุมการฝึกให้ทรงอยู่ในระเบียบไม่ต่างกับทหารเลวเป็นเวลาเจ็ดทิวาราตรี”

นับจากนั้นพระมหาอุปราชจึงถูกนำพระองค์ไปฝึกทหารร่วมกับเหล่าทหารเลวของพระองค์เองเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ต่างตรงที่ทหารเลวคนอื่นๆ เวลาฝึกจะใส่เครื่องแบบคือโจงกระเบนสั้นสีน้ำตาลและเสือแขนกุดผ่าหน้าสีน้ำตาล แต่สำหรับพระมหาอุปราชนั้น ไม่มีคนนำฉลองพระองค์มาถวายให้ทรงเปลี่ยน จึงต้องรับการฝึกอยู่ในชุดผ้าประเจียดเตี่ยวสีแดงกึ่งเปลือยเช่นนั้นตลอดทั้งเจ็ดวัน และยังทรงมืได้รับอนุญาตจากหัวหมู่ทหารต่างเมืองผู้มาควบคุมการฝึกให้สรงน้ำเลยแม้แต่วันเดียว ทั้งๆ ที่ทรงได้รับการฝึกอย่างหนักร่วมกับทหารเลวจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ทำให้พระวรกายของพระองค์ส่งกลิ่นสาปและเหม็นยิ่งกว่าทหารเลวชั้นต่ำคนใดๆ ในกองทัพ เวลาเสวยพระกระยาหารก็ทรงถูกสั่งให้เสวยร่วมกับเหล่าทหารเลว พวกทหารเลวก็จะรู้สึกทำตัวไม่ถูกและกินไม่ลงเมื่อต้องร่วมกินอาหารกับพระมหาอุปราชผู้เป็นเจ้าเหนือหัว (แต่เหตุผลที่แท้จริงอาจจะเป็นเหม็นสาปจากพระวรกายที่ไม่ได้ชำระล้างของพระองค์จนกินไม่ลงเสียมากกว่า)

ตอนแรกๆ พระองค์ทรงไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร แต่ก็ทรงถูกสั่งให้ทหารเลวจับพระองค์ไว้แล้วนำอาหารมากรอกปากให้เสวย พระองค์จึงยอมเสวยแต่โดยดีเพราะไม่อยากโดนหยามพระเกียรติโดยการถูกทหารชั้นต่ำจับกรอกอาหารใส่ปากอีก

ส่วนการฝึกนั้นก็จะประกอบด้วยการฝึกเชิงมวยและเชิงดาบ รวมไปถึงการฝึกประหลาดๆ ที่พระองค์ถูกนำไปฝึกเดี่ยวเช่นการถูกนำไปผูกชูแขนไว้กับขื่อกลางแดดแล้วให้พระองค์ดึงข้อขึ้นให้ตัวลอยพร้อมกับบังคับให้ทรงนับจำนวนด้วยพระองค์เองเป็นจำนวนหลายร้อยครั้ง หากทรงหมดแรงหรือทำไม่ได้ก็จะถูกหัวหมู่ทหารเอาหวายลงหลังเพื่อกระตุ้นให้ทรงทำต่อไป ซึ่งทุกวันก็จะมีเจ้าชายจากเมืองต่างๆ วนเวียนกันมานั่งทอดพระเนตรการฝึกและยิ้มเยาะเย้ยองค์พระมหุปราชผู้ตกต่ำรวมถึงมีส่วนร่วมในการสั่งให้ลงโทษพระองค์ เช่น สั่งให้เฆี่ยนแรงขึ้น ให้นำน้ำเกลือมาราด สั่งให้คลานสี่ขาให้ทอดพระเนตร เป็นต้น ซึ่งพระองค์ต้องกัดพระทนต์ทำด้วยความเจ็บช้ำน้ำพระทัยและอับอายอย่างหาที่สุดมิได้

ยิ่งไปกว่านั้นในทุกๆ เช้าพระองค์จะได้รับอนุญาตจากหัวหมู่ทหารผู้ฝึกให้ไปร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลพระบรทศพของสมเด็จพระราชบิดาที่อารามหลวงกลางเมืองได้ แต่แทนที่จะได้ทรงฉลองพระองค์ผ้าไหมที่ใช้สำหรับพระราชพิธีและนั่งเสลี่ยงทองคำไป กลับต้องทรงใส่เพียงชุดฝึกคือผ้าเตี่ยวที่ทำจากผ้าประเจียดสีแดงที่สั้นราวเปลือยพระวรกายก็ไม่ปาน พร้อมมีโซ่น้ำหนักพันรอบข้อพระบาททั้งสองข้างแล้วทรงถูกสั่งให้วิ่งออกจากประตูเมืองผ่านตลาดและบ้านเมืองของประชาชนไปยังพระอารามหลวงกลางเมืองเพื่อเป็นการประจานพระองค์ ว่าที่กษัตริย์ในฉลองพระองค์ที่ทุเรศลูกตายิ่งกว่าทาสชั้นต่ำ พระวรกายเหม็นเยี่ยงไพร่ข้างถนน และรอยหวายยาวที่หลัง ฃให้ชาวเมืองมิถิลาดูทุกวัน

เมื่อไปถึงที่ลานพระเมรุที่หน้าพระอาราม หากพระองค์ทรงวิ่งมาทันเวลา หัวหมู่ทหารผู้ฝึกผู้ขี่ม้าคุมมาก็จะอนุญาตให้พระองค์ไปนั่งที่พระที่นั่งประจำสำหรับกษัตริย แต่ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนฉลองพระองค์ แต่หากวันใดทรงวิ่งช้า ก็จะทรงถูกลงโทษทางทหารที่กลางลานหน้าพระเมรุ เช่น ให้ทรงนั่งคุกเข่ากับพื้นกลางลานแล้วนำพระหัตถ์มาประสานที่ท้ายทอยและโดยลงหวายที่หลังไปจนจบพระราชพิธีบำเพ็ญกุศล ให้ทรงคลานสี่ขารอบลานพระเมรุในขณะพิธีดำเนินไปจนจบ หรือเอาขื่อมาตั้งแล้วจับพระองค์มัดแล้วให้ดึงข้อพร้อมรับเสียงดังกลางลานพระเมรุในพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระบรมศรของพระราชบิดาของพระองค์เอง

เสร็จแล้วจึงให้วิ่งกลับไปยังค่ายฝึกทหารที่เขตพระราชฐานชั้นนอกแล้วทำการฝึกทหารประจำวันต่อไป

แผนเอาคืน

เมื่อการฝึกเยี่ยงทหารเลวของพระมหาอุปราชแห่งมิถิลาดำเนินไปจนคำรบทิวาที่เจ็ดดังพระบัญชาแห่งเจ้าชายนรชิตเจ้าต่างเมืองแล้ว เหล่าแม่ทัพของมิถิลาก็สั่งให้ทหารนำเสลี่ยงหลวงมารับพระวรกายอันอิดโรยแต่ปูดโปนด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจากการฝึกอย่างหนักต่อเนื่องตลอดเจ็ดวันไม่ต่างกับทหารเลว ซ้ำยังเปรอะเปื้อนด้วยเศษฝุ่นดินและกลิ่นสาปเหงื่อไคลยิ่งกว่าทาสในพระนครเนื่องจากพวกหัวหมู่ทหารจากเมืองต่างๆ ที่วนเวียนกันมาทำการฝึกพระองค์ไม่มีใครยอมให้พระองค์ทรงสรงน้ำระพระวรกายตลอดเจ็ดวัน หากไม่มีใครบอกคงไม่รู้ว่าร่างอันโสมมนี้คือพระวรกายของพระมหาอุปราชว่าที่มหาราชอันชอบธรรมแห่งมิถิลานครแม้พระวรกายจะสกปรกน่ารังเกียจเพียงใด แต่ด้วยความจงรักภักดี เหล่าแม่ทัพหลวงของมิถิลาจึงได้ช่วยกันเข้าไปพยุงพระองค์ขึ้นเสลี่ยงกลับพระตำหนักหลวงอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะและใบหน้าอันสาแก่ใจของเหล่าทหารต่างเมือง

พระมหาอุปราชชัยยันต์ทรงใช้เวลาพักฟื้นตัวอยู่เพียงสองวัน พระวรกายของนักรบในวัยหนุ่มก็กลับมาแข็งแรงดังเก่า อาจจะด้วยความรักของแม่สะอาดที่อยู่ดูแลข้างพระวรกาย และความที่ทรงกระหายจะล้างแค้นเหล่าอริราชศัตรูผู้บังอาจเดินเข้ามาหยามเกียรติของพระองค์ถึงในแผ่นดินของพระองค์เอง พระองค์ทรงวางแผนให้ทหารลอบเข้าไปช่วยพระราชมนู องครักษ์คนสนิทที่ถูกจับตัวไว้ในคุกหลวง จนพระราชมนูสามารถหนีแหกคุกออกไปได้และพระมหาอุปราชยังทรงมีพระบัญชาให้พระราชมนูออกไปรวบรวมไพร่พลและสรรพกำลังชาวบ้านผู้จงรักภักดีภายนอกพระราชวังและฝึกฝนทักษะการต่อสู้เพื่อ “กู้แผ่นดินมิถิลาคืน” จากพวกต่างแคว้นต่างเมืองผู้รุกราน

“เรื่องใหญ่แล้วเพคะพระองค์” แม่สะอาดบุตรีแห่งเจ้าพระยาพระคลังรีบรุดเข้ามาในพระตำหนัก แล้วทูลพระมหาอุปราชว่านางได้รับจดหมายจากพระสนมรัญจวน พระสนมในพระราชิบดีสิงหลผู้ล่วงลับว่าบัดนี้ “กรมหมื่นพิทยา” และ “กรมหมื่นเจ้าสระแก้ว” พระอนุชาต่างพระราชมารดาของพระมหาอุปราชทำการเข้ายึดตำหนักของเหล่าสนมและบังคับขืนใจให้พวกนางบำเรอตามใจชอบซึ่งเป็นการขัดต่อกฏมณเฑียรบาลอย่างร้ายแรง

พระมหาอุปราชทรงได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก รีบถือดาบรุดไปยังตำหนักนางสนมในพระราชบิดา จนเข้าไปเจอกับกรมหมื่นทั้งสอง พร้อมกับขุนนางคู่ใจอีกสองคน คือ “หลวงโยธาเทพ” และ “หลวงนฤบาล” กำลังร่ำสุราโดยมีเหล่านางสนมสาวๆ ซึ่งถูกส่งเข้ามาถวายตัวในวังกำลังถูกบังคับให้รับใช้อยู่รายรอบ

เมื่อทั้งสี่เห็นพระมหาอุปราชก็ตกใจเป็นอันมาก สั่งให้มโหรีดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่หยุดเล่นเพื่อเจรจากับพระมหาอุปราช

“เสด็จพี่ เสด็จมาถึงที่นี่ มีอะไรให้พวกกระหม่อมรับใช้หรือพะย่ะค่ะ”

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าที่เจ้าทำอยู่มันผิดกฎมณเฑียรบาล การยุ่งกับเหล่าสนมของพ่อเจ้าอยู่หัวแห่งมิถิลามีโทษถึงตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร”

“อย่างนั้นพระองค์จะต้องโดนตัดหัวด้วยหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า”

“อย่ามาปากเก่งกับข้า กรมหมื่นพิทยา ถ้าข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นน้อง ถ้าสั่งตัดหัวเจ้าไปแล้ว”

“เอาเลยสิพระย่ะค่ะ สั่งตัดหัวพวกกระหม่อมเลย พวกกระหม่อมมันก็แค่ลูกในพระสนม คงไม่ถือดีไปตีตัวเป็นน้องของพระมหาอุปราชชัยยันต์โอรสในพระอัครมเหสีได้ ขนาดขอความสุขเล็กๆ น้อยๆ แค่ผู้หญิงไม่กี่คนยังมิได้ สนมพวกนี้เสด็จพ่อแทบไม่เคยแตะต้อง จะเก็บไว้ทำไมล่ะพระย่ะค่ะ พวกหม่อมฉันก็แค่ขอเชยชมมิให้เสียของเพียงเท่านั้น เสด็จพี่จะลองนางพวกนี้ดูด้วยก็ได้นะพระย่ะค่ะ อาจจะช่วยให้บรรเทาความเหนื่อยล้าจากการถูกนำพระองค์ไปฝึกกับพวกทหารเลวได้บ้าง”

“บังอาจ!!” พระมหาอุปราชทรงใช้ด้ามพระแสงดาบตบเข้าที่พระพักตร์ของกรมหมื่นพิทยาผู้กล้าหมิ่นพระองค์จนล้มลงไปเลือดกลบปาก

“ข้าเห็นว่าตอนนี้บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ ข้าจึงมิอยากให้เสียเลือดชาวมิถิลาด้วยกันเอง แต่อย่างไรพวกเจ้าก็ต้องถูกลงโทษจากการกระทำอันโอหังของพวกเจ้า”

ว่าแล้วก็ทรงมีพระบัญชาให้นำตัวกรมหมื่นทั้งสองไปจับคว่ำแล้วโบยด้วยหวายที่ระเบียงหน้าตำหนักสนมคนละสามสิบที และให้กักบริเวณอยู่ในพระตำหนักหนึ่งเดือน ส่วนหลวงนฤบาลและหลวงโยธาเทพผู้สนับสนุนถูกลดบรรดาศักดิ์เป็น “ขุน” และถูกนำไปเฆี่ยนต่อหน้ากองทหารด้วยหวายแช่เยี่ยวคนละสองยก ยกละสามสิบที เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง สร้างความคับแค้นใจให้กับกรมหมื่นทั้งสองและขุนนางทั้งสองเป็นอันมาก ทั้งสี่จึงวางแผนกันส่งสาวใช้คนหนึ่งผู้มีรูปโฉมงดงามไปอาศัยเป็นบ่าวและใช้เสน่ห์ยั่วยวนจนได้เป็นเมีนบ่าวคนโปรดในเรือนของพระยาพลเทพ แม่ทัพคนสนิทของพระมหาอุปราชชัยยันต์เพื่อสืบเรื่องราวต่างๆ ที่อาจจะนำมาเป็นประโยชน์เพื่อชำระแค้นได้ จนในที่สุด บ่าวนางนั้นก็ได้สืบจนรู้ว่าพระราชมนูราชองครักษ์ที่แหกคุกออกไปยังติดต่อกับพวกพระมหาอุปราชและกำลังซ่องสุมไพร่พลเพื่อเข้าลอบสังหารเจ้าชายนรชิตถึงในพระตำหนักโดยใช้วิธีแบบกองโจร

เมื่อรู้ดังนั้นกรมหมื่นทั้งสองจึงแอบให้บ่าวนางนั้นแอบเก็บจดหมายที่พระราชมนูส่งมาหาพระยาพลเทพ มิให้พระยาพลเทพได้จดหมาย แล้วเอาจดหมายนั้นมามอบให้ขุนโยธาเทพและขุนนฤบาลแล้วให้แกล้งตอบจดหมายส่งกลับไปในนามของพระยาพลเทพว่าได้เตรียมพร้อมพื้นที่ภายในพระบรมหาราชวังไว้แล้ว ให้ไพร่พลของพระราชมนูบุกเข้าสังหารเจ้าชายนรชิตได้ในแรมสิบห้าค่ำที่จะถึงนี้โดยทันที

นักโทษกบฏ

“เสียงเอะอะอะไรกันข้างนอกกันรึหลวงสรอรรถ” พระมหาอุปราชพร้อมเหล่าทหารคนสนิทที่กำลังประชุมกันอยู่รุดออกมาด้านนอกพระราชตำหนักด้วยยินเสียงปะดาบและปืนไฟที่ระงมอยู่ด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่พระยาพลเทพทหารใหญ่วิ่งมาเข้าเฝ้าพอดี

“ทรงรีบหนีเถิดพระพุทธเจ้าข้า” พระยาพลเทพถวายบังคมพร้อมถวายรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“เมื่อครู่กองกำลังของพระราชมนูได้ลอบบุกเข้าพระตำหนักของเจ้าชายนรชิตเพื่อลอบสังหาร แต่กลับถูกทหารเมืองมัณฑ์จับได้และฆ่าทิ้งเสียแทบสิ้น”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน เหตุใดพระราชมนูจึงลอบนำกำลังเข้ามาก่อน มิรอบัญชาจากข้า แล้วนี่พระราชมนูเป็นอย่างไรบ้าง” พระมหาอุปราชตรัสถามด้วยความร้อนใจ

พระยาพลเทพจึงทูลต่อว่าเท่าที่รู้คือมีคนเห็นพระราชมนูนั้นถูกธนูยิงตกลงไปในแม่น้ำ โอกาสรอดนั้นน้อยนัก แต่ตอนนี้มีกองกำลังที่ถูกจับตัวได้ส่วนหนึ่งให้การซักทอดว่าพระมหาอุปราชทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบเข้าปลงพระชนม์ครั้งนี้ หากไม่รีบหนีจักทรงอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน

พูดยังมิทันขาดคำก็มีกองทหารจากเมืองมัณฑ์เดินเข้ามาปิดล้อมพระราชตำหนักหลวงแห่งองค์อุปราช เหล่าทหารราชองครักษ์น้อยใหญ่แห่งมิถิลาต่างพร้อมใจกันหยิบดาบเตรียมสู้เพื่ออารักขาเจ้าฟ้าว่าที่กษัตราธิราชเจ้าแห่งมิถิลาอย่างถวายชีวิต

“พวกเจ้าหลีกไป องค์นรชิตทรงมีพระบัญชาให้พระมหาอุปราชชัยยันต์แห่งมิถิลาไปเข้าเฝ้าที่พระราชตำหนักบัดเดี๋ยวนี้” หัวหน้าทหารเมืองมัณฑ์กล่าวอย่างมิยำเกรง

“กลับไปเสีย หากองค์นรชิตของเจ้าประสงค์จะเข้าเฝ้าพระมหาอุปราชก็ให้ทรงมาด้วยพระองค์เองสิวะ” หลวงสรอรรถตะโกนตอบทำให้อีกฝ่ายโกรธจนชี้หน้าแล้วเข้าปะดาบกันที่หน้าพระตำหนักอย่างไม่มีใครยอมใคร ในระหว่างนั้นพระยาพลเทพก็ทูลให้พระมหาอุปราชทรงอาศัยจังหวะนี้ในการหลบหนี แต่หาทรงยอมหนีไม่

"หยุดบัดเดี๋ยวนี้” พระมหาอุปราชส่งเอ่ยด้วยพระสุรเสียงห้าวหาญ “ข้าจะไป บ้านเมืองนี้คือบ้านเมืองของข้า แผ่นดินของข้า ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ข้าหากลัวอันใดไม่ท่านออกญา ข้าหาใช้คนขี้ขลาดที่จะหนีหัวซุกหัวซุนออกจากแผ่นดินของตัวเองไม่ ผู้รุกรานต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายออกไปจากแผ่นดินเรา”

ว่าแล้วจึงทรงยอมเสด็จตามพวกทหารเมืองมัณฑ์ไปโดยมีเหล่าขุนนางทหารน้อยใหญ่ผู้ภักดีเกือบสิบนายขอตามติดไปอารักขาพระองค์ด้วย

เมื่อทรงพระดำเนินถึงประตูพระตำหนักก็ต้องทรงประหลาดใจที่ทรงพบกับพระราชอนุชาต่างมารดาทั้งสองพระองค์คือกรมหมื่นเจ้าสระแก้วและกรมหมื่นพิทยาพร้อมกับขุนโยธาเทพและขุนนฤบาลขุนนางโฉดทั้งสองยืนรอท่าอยู่ด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

“ข้าจะคุมตัวเสด็จพี่ของข้าเข้าไปเฝ้าองค์นรชิตเอง พวกเจ้าทั้งหมดจงรออยู่ที่นี่”

กรมหมื่นพิทยาตรัสสั่ง ว่าแล้วจึงให้ขุนโยธาเทพยึดพระแสงดาบที่คาดเอวของพระมหาอุปราชไว้ แล้วเดินคุมตัวพระมหาอุปราชชัยยันต์ผู้เป็นพี่เข้าไปเฝ้าเจ้าชานนรชิตศัตรูผู้บุกยึดบ้านเมือง

เมื่อเข้าไปถึงท้องพระโรงของพระตำหนัก กรมหมื่นทั้งสองก็ถูกเชิญให้นั่งบนพระแท่นด้านข้างส่วนพระมหาอุปราชนั้นถูกขุนนฤบาลและขุนโยธาเทพจับให้ทรงนั่งคุกเข่าคงต่อหน้าเจ้าชายนรชิต ก่อนที่จะมีการตั้งกระทู้ซักถามเกี่ยวกับแผนการบุกเข้าลอบปลงพระชนม์ของกองกำลังของพระราชมนูในคืนนี้ว่าทรงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แล้วมีขุนนางคนใดที่สมคบคิดกับพระองค์บ้าง โดยในระหว่างนั้นกรมหมื่นทั้งสองก็คอยให้ข้อมูลที่ตนเองได้ไปสืบรู้มาอยู่เป็นระยะ ทำให้พระมหาอุปราชทรงรู้แจ้งในทันทีว่าทรงโดนพระอนุชาทรยศเข้าให้เสียแล้ว ซึ่งตลอดการซักถามนั้นพระมหาอุปราชทรงมิยอมตรัสตอบอันใดแม้สักคำ จนถูกขุนนางคนสนิทของเจ้าชายนรชิตขู่ว่า “หากยอมรับมาเสียดีๆ องค์นรชิตผู้มีพระเมตตาอาจพระทัยดีผ่อนโทษให้ แต่หากดื้อดึงไม่ยอมรับพระองค์ก็คงจะรู้ว่าโทษของการเป็นกบฏแผ่นดินนั้นจะมีโทษเยี่ยงไร”

พระมหาอุปราชทรงได้ฟังก็หัวเราะและตรัสตอบว่า “มิถิลานี้เป็นบ้านเกิด เป็นแผ่นดินของข้า ของบรรพบุรุษข้า หากเจ้าจะจับกบฏแผ่นดินในที่นี้ ก็คงจะเป็นน้องชายทั้งสองของข้าเสียกระมังที่ยอมขายชาติขายญาติวงศ์พงษาเพื่อความพอใจของตนเอง” พร้อมทรงจ้องไปที่กรมหมื่นทั้งสองที่อยู่บนพระแท่นที่ด้านข้างด้วยความแค้นและผิดหวังเพราะพระองค์ไม่นึกว่ากรมหมื่นทั้งสองที่เป็นพระโอรสร่วมพระราชบิดาจะทรยศแผ่นดินได้เพียงนี้

“เอาล่ะ ในเมื่อทรงไม่ยอมรับในสิ่งที่พระองค์ทำผิด ข้าก็คงมิต้องเกรงพระทัยพระองค์อีกต่อไปแล้ว เอาเป็นว่าในการนี้ข้าเห็นควรให้กรมหมื่นพิทยาและกรมหมื่นเจ้าสระแก้วพร้อมด้วยท่านขุนทั้งสองผู้ที่ข้าจะปูมยศให้เป็นหลวงดังเดิมทำหน้าที่ในการตั้งกระทู้สอบสวนพระมหาอุปราชชัยยันต์อย่างเต็มที่จนกว่าจะได้แจ้งแก่ความจริงทั้งหมด ในระหว่างนี้ให้เชิญเสด็จพระมหาอุปราชไปประทับที่คุกหลวงจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า” กรมหมื่นและขุนนางทั้งสี่ถวายบังคมรับพระบัญชาโดยพร้อมเพรียง

จากนั้นกรมหมื่นเจ้าสระแก้วจึงมีพระบัญชาให้หลวงนฤบาลและหลวงโยธาเทพเข้าไปช่วยกันปลดเครื่องทรงของพระมหาอุปราชออกจนหมด แล้วนำผ้าเตี่ยวสีน้ำตาลมอซออย่างทาสมานุ่งให้ ซึ่งในระหว่างที่เปลี่ยนเครื่องทรง หลวงทั้งสองก็นึกสนุกใช้มือทั้งดึงทั้งดีดพระองคชาติพร้อมพูดจาเยาะเย้ยให้ทรงอับอาย เช่น “พระกระเจี๊ยวทรงยังไม่เปิดดีนี่พระพุทธเจ้าข้า เห็นพวกทหารมันว่าทรงแต่งานการทหารจนมิค่อยได้ร่วมรักกับนางสนม อย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าจะช่วยให้เศียรพระกระเจี๊ยวทรงเปิดดีในระหว่างการสอบสวนพระองค์เอง”

พวกขุนนางเมืองมัณฑ์ในตำหนักและกรมหมื่นทั้งสองได้ยินก็ตบตักหัวเราะกันเป็นการใหญ่ พอพระมหาอุปราชทรงถูกนุ่งเตี่ยวเสร็จก็ทรงถูกกรมหมื่นพิทยาสั่งให้จำห้าประการหรือ “จำครบ” เสีย

ซึ่งการจองจำเช่นนี้ตามธรรมเนี่ยมปฏิบัติแล้วจะใช้กับนักโทษหนักเช่นนักโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิตเท่านั้น เนื่องจากเป็นการจองจำที่แน่นหนาและทรมานและทำให้นักโทษอับอายไร้ศักดิ์ศรีอย่างมาก ประกอบด้วย ๑. โซ่ตรวนใส่ข้อเท้าสองข้างหนักสิบห้ากิโล ๒. ตรวนเหล็กใส่ข้อมือทั้งสองข้างหนักสิบกิโล ๓. ห่วงเหล็กใส่คอและโซ่จูง ๔. คาไม้ใส่คอทับโซ่ ๕. มือทั้งสองข้างกางออกเกือบสุดแล้วสอดเข้าไปในคา

“นักโทษกบฏเยี่ยงพระองค์โดนแบบนี้ก็สาสมแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ข้าจะได้มีบุญเห็นพระมหาอุปราชชัยยันต์ผู้เกรียงไกรต้องมาอยู่ในสภาพนักโทษถูกจำห้าประการ มันสาแก่ใจข้าเสียจริง ฮ่าๆๆ” กรมหมื่นเจ้าสระแก้วหัวเราะชอบใจ

“เร็วเข้าเสด็จพี่ เดินออกไปให้พวกขุนนางทหารผู้จงรักภักดีของพระองค์ได้เห็นเจ้าเหนือหัวของมันในสภาพเยี่ยงนี้ได้แล้ว... หลวงนฤบาล ลากมันออกไปหน้าประตูพระตำหนักให้ไอ้พวกข้าทหารมันดูสภาพนายของมันบัดเดี๋ยวนี้”

ว่าแล้วหลวงนฤบาลก็จับปลายโซ่ที่ติดอยู่กับห่วงเหล็กใส่คอพระมหาอุปราชแล้วกระตุกดึงลากพระมหาอุปราชจนโซซัดโซเซให้เดินออกไปข้างหน้า ด้วยความหนักของโซ่ตรวนและคาใส่คอและมือทำให้พระองค์ทรงทรงตัวและพระดำเนินได้อย่างยากลำบาก พระองค์ทรงถูกลากออกไปถึงที่หน้าประตูที่มีเหล่าทหารและขุนนางที่ตามเสด็จมาตั้งแต่ทีแรกรออยู่ เมื่อพวกนั้นเห็นภาพตรงหน้าก็ต่างตกใจกันเป็นอันมาก หลวงนฤบาลก็แกล้งกระตุกโซ่ล่ามคอพระอุปราชให้ล้มลงกับพื้นต่อหน้าเหล่าขุนนางทหารนั้นให้ได้อับอาย

“ไอ้ขุนนฤบาล เจ้ากล้าดีอย่างไรทำเยี่ยงนี้ ปล่อยพระมหาอุปราชบัดเดี๋ยวนี้” พระยาพลเทพออกคำสั่งด้วยโทสะ

“เห็นทีจะมิได้ดอกท่านออกญา เพราะบัดนี้องค์นรชิตได้มอบหมายให้กรมหมื่นทั้งสองรวมทั้งพวกข้าเป็นผู้สอบสวนเอาความจริงเรื่องโทษกบฏจากพระองค์ ดังนั้นเพลานี้พระมหาอุปราชชัยยันต์ก็คือนักโทษในความควบคุมของข้า”

“บังอาจ! เหาจะกินหัว นรกจะกินกบาลมึงที่มึงกล้าทำกับเจ้ากับนายเยี่ยงนี้ ไอ้จัญไรขายชาติ อย่าอยู่เลยมึง” หลวงสรอรรถบันดาลโทสะหยิบดาบเข้าหมายสังหารหลวงนฤบาล หลวงนฤบาลเองก็จับดาบขึ้นป้องกันตัว ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างตะลุมบอนเข้าสู้กันวุ่นวาย เมื่อกรมหมื่นพิทยาเห็นท่าว่าทหารฝ่ายตนเองจะพ่ายแพ้เพราะทหารฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นทหารฝีมือชั้นหนึ่งที่รับใช้ใกล้ชิดเสด็จพี่ของพระองค์ทั้งนั้น กรมหมื่นพิทยาจึงเดินไปจับที่เตี่ยวของพระมหาอุปราชไว้แล้วออกคำสั่งให้ทหารของพระมหาอุปราชทุกคนหยุดสู้

“วางดาบของพวกเจ้าลงให้หมด มิเช่นนั้นข้าจะดึงผ้าเตี่ยวผืนนี้ออกให้เจ้านายของพวกมึงเดินเปลือยล่อนจ้อนให้ผีเมืองและบรรดาพวกข้าไทได้ดูกันไปตลอดทางจนถึงคุกหลวง ถ้าพวกมึงไม่อยากให้นายของพวกมึงต้องอับอายทุเรศผิดผีไปมากกว่านี้ก็จงวางดาบลงเสียก่อนที่นายของพวกมึงจะเดือดร้อน”

พวกขุนนางทหารจึงได้วางดาบลงแล้วกัดฟันด้วยความแค้นก่อนที่จะหลีกทางให้ขบวนทหารของกรมหมื่นทั้งสองนำพระมหาอุปราชแห่งมิถิลาผู้ถูกใส่ตรวนและคาจองจำเดินเท้าจากหน้าพระตำหนักไปจนถึงคุกหลวง โดยระหว่างทางหลวงนฤบาลเป็นผู้ทำหน้าที่จูงโซ่ที่คอของพระองค์ในขณะที่หลวงโยธาเทพใจโฉดเป็นผู้ถือแซ่หางกระเบนแล้วโบยตีพระขนอง (แผ่นหลัง) ด้วยความสาแก่ใจเร่งให้พระองค์ทรงพระดำเนินไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส โดยตลอดทางก็ได้มีเหล่าทหารและนางกำนัลที่ได้ยินเสียงแหวกอากาศของแซ่หางกระเบนที่หวดลงกระทบแผ่นพระขนองออกมาดูกันด้วยความรู้สึกตกใจกับภาพที่เห็นไปตลอดทาง และหากเงี่ยหูฟังดีๆ คืนนี้ชาววังอาจได้ยินเสียงร้องคำรามในลำพระศอ (ลำคอ) ขององค์มหาอุปราชชัยยันต์ โอรสแห่งพระราชาธิบดีสิงหล สายเลือดอันชอบธรรมแห่งบัลลังก์มิถิลาที่ตอนนี้กลับถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏบนแผ่นดินพระองค์เองท่ามกลางความเงียบของคืนเดือนมืด เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดในแต่ละรอยแซ่ที่ทรงพยายามสกัดกั้นไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมาเพื่อให้เหล่าศัตรูผู้ทรยศได้ใจ กว่าจะถึงคุกหลวงทั้งเลือดและเหงื่อก็ท่วมพระวรกายแต่พระองค์ก็ยังยืนอยู่ได้ด้วยพระวรกายที่แข็งแกร่งของบุรุษชาตินักรบ หลวงโยธาเทพได้มาปลดคาที่สอดพระศอและพระกรออกให้เหลือแต่ตรวจและห่วงล่ามคอก่อนที่หลวงนฤบาลจะลากคอของพระองค์เข้าสู่ประตูคุก........

การสอบสวนได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้

คุกหลวง

เสียงหวายดังแหวกอากาศฟาดลงบนแผ่นหลังตามด้วยเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของเจ้าชายหนุ่มดังจากชั้นใต้ดินของคุกหลวงแห่งมิถิลาออกมาจนทหารที่เฝ้าด้านหน้าคุกได้ยิน

“นี่ยังไม่หยุดโบยอีกหรือท่าน เข้าวันที่สามแล้วกระมัง” มหาดเล็กคนหนึ่งที่เดินตรวจเวรยามมาถึงที่หน้าคุกหลวงกล่าวถามมหาดเล็กที่เป็นเวรยามหน้าคุกด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ทรงยังมิยอมรับสารภาพใดๆ เลยท่านมหาดเล็ก วันนี้ทรงถูกโบยไปสามยกช่วงเวลาเพล จากนั้นกรมหมื่นทั้งสองได้เสด็จเข้าไปตั้งกระทู้ซักถามให้รับผิดแต่ก็ทรงไม่ยอมรับ ตรัสว่าทรงยอมตายดีกว่าถูกหาว่าเป็นกบฏในแผ่นดินของพระองค์เอง กรมหมื่นท่านจึงโปรดให้เอาเครื่องบีบนิ้วและเครื่องตอกเล็บมาลงโทษเพิ่มอีกจนทรงสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็ทรงถูกท่านหลวงทั้งสองจับโยงแล้วโบยยาวจนมาถึงช่วงหัวค่ำนี่ล่ะท่าน ที่ได้ยินอยู่นี่คงได้ยกที่ห้าแล้วกระมัง”

มหาดเล็กยามหน้าคุกหลวงตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“นี่ต้องทำกันขนาดนี้เลยรึ ข้าอยากจะตัดหัวไอ้หลวงนฤบาลกับไอ้หลวงโยธาเทพคนทุรยศเซ่นแผ่นดินเสียจริง มันช่างไม่รู้จักข้าวแดงแกงร้อนที่ทรงรดหัวมันมาตั้งแต่สมัยพระราชาธิบดีสิงหล มันถึงกล้าทำร้ายพระราชโอรสผู้เป็นนายเหยื่อหัวของมันถึงเพียงนี้ได้ กรมหมื่นทั้งสองก็กระไร กระหายอำนาจถึงขนาดทรยศพระเชษฐาไปเข้าข้างศัตรู”

พูดไม่ทันขาดคำมหาดเล็กที่เป็นยามหน้าคุกก็ส่งสัญญาณให้หยุดพูดเนื่องจากมีขบวนเสด็จของกรมหมื่นเจ้าสระแก้วและกรมหมื่นพิทยาเสด็จมาพร้อมกับเจ้าชายต่างเมืองอีกสองพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายอินทร อุปราชแห่งเมืองเชียงขอม และเจ้ามังจาเร พระราชโอรสองค์รองแห่งกษัตริย์เมืองค้องซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของมิถิลา

“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ” มหาดเล็กทั้งสองพร้อมทหารยามหน้าคุกถวายบังคมให้การต้อนรับ ก่อนจะเชิญเสด็จเจ้าชายทั้งสี่พระองค์ผ่านห้องขังนักโทษต่างๆ ไปยังห้องขังใต้ดินภายในคุกหลวงที่ร้อนอบอ้าวและเหม็บอับ ที่ซึ่งร่างกึ่งเปลือยมีเพียงผ้าเตี่ยวที่ชุ่มไปด้วยพระเสโท (เหงื่อ)และพระโลหิต (เลือด) ของพระมหาอุปราชชัยยันต์แห่งมิถิลานครถูกจองจำและพันธนาการด้วยโซ่ที่ล่ามข้อพระกรทั้งสองโยงขึ้นกับเพดานคุก มีโซ่ล่ามคอ และโซ่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้างให้ทรงยืนกางขาแยกออกจากกันเพื่อรับทัณฑ์ทรมานสอบสวนด้วยหวายในมือหลวงโยธาเทพและหลวงนฤบาลขุนนางโฉดที่ผลัดกันฟาดหวายใส่แผ่นหลังของเจ้านายที่เคยเป็นเจ้าชีวิตของพวกเขาอย่างสะใจ

เมื่อขุนนางโฉดทั้งสองเห็นกรมหมื่นทั้งสองพร้อมกับเจ้าชายซึ่งเป็นพระอาคันตุกะเสด็จมาก็หยุดมือแล้วนั่งลงถวายบังคมต้อนรับ ซึ่งทั้งเจ้าชายอินทรและเจ้ามังจาเรทรงมีสีหน้าที่พอพระทัยอย่างมากเมื่อได้เห็นสภาพของพระมหาอุปราชชัยยันต์ที่ทรงถูกล่ามและทรมานเยี่ยงนักโทษชั้นต่ำแบบนี้

“ถวายบังคมพระย่ะค่ะ หม่อมฉันมาเยี่ยม เห็นว่าทรงอดข้าวอดน้ำมาเกือบสามวันแล้วหม่อมฉันเลยให้พวกนางบ่าวในตำหนักของหม่อมฉันจัดสำรับมาให้ด้วยความจงรักภักดีต่อพระองค์ เอ้าพวกมึงเอาเข้ามาถวายเร็ว กูมิอยากให้องค์พระอุปราชทรงหิวนานไปกว่านี้นะเว้ย” เจ้าชายอินทรทรงสั่ง บ่าวหญิงที่เป็นนางกำนัลร่างท้วมคนหนึ่งที่ตามเสด็จมาด้วยก็ยกโถเบญจรงค์ลายงามเข้ามาต่อหน้าพระพักตร์พระอุปราชแล้วเปิดฝาครอบโถออก เผยให้เห็นภายในที่เป็นเม็ดข้าวสวยสีแดงฉานแทนที่จะเป็นสีขาว

“นี่เป็นข้าวคลุกระดู (ประจำเดือน) ของอีพวกนางบ่าวในตำหนักของหม่อมฉันที่พวกมันบรรจงรีดน้ำเลือดจากของสงวนของมันเอามาคลุกข้าวเพื่อถวายด้วยความภักดีโดยเฉพาะ ทรงเสวยเยอะๆ นะพระย่ะค่ะ เอ... แต่ทรงถูกล่ามเยี่ยงสุนัขอยู่แบบนี้คงจะเสวยไม่ถนัด เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้นางบ่าวมันป้อนให้ก็แล้วกัน”

ทันใดนั้นเจ้าชายอินทรก็สั่งให้ทหารเลวที่เฝ้าประตูคุกเข้ามาจิกพระเกศาของพระมหาอุปราชให้เงยพระพักตร์ขึ้น และจับพระพักตร์ให้อยู่นิ่งๆ พร้อมบีบแก้มให้ทรงอ้าพระโอษฐ์ (ปาก) ออก ก่อนที่จะให้นางบ่าวคนนั้นใช้ช้อนตักข้าวคลุกระดูในโถยัดป้อนเข้าปากของพระองค์อย่าทารุณแล้วบังคับให้พระองค์กลืนเข้าไป แม้จะทรงไม่ยอมกลืนจนสำลักข้าวคลุกรอบเดือนออกปากออกจมูก แต่ก็ยังทรงถูกป้อนเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่องท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจอย่างยิ่งของเจ้าชายทั้งสี่ที่ยืนทอดพระเนตรอยู่

เมื่อป้อนไปได้ครึ่งโถ เจ้าชายอินทรก็สั่งให้หยุดแล้วสั่งให้นางบ่าวจนนั้นนั่งคร่อมโถแล้วปัสสาวะลงไปในโถข้าวก่อนที่จะนำมาป้อนให้กับพระมหาอุปราชต่อจนหมด แล้วยังทรงสั่งให้เอาข้าวที่ร่วงอยู่ที่พื้นขึ้นมายีพระเกศา (ยีหัว) โดยตั้งใจจะให้วิชาอาคมชั้นสูงชั้นครูต่างๆ ที่ทรงร่ำเรียนมาเสื่อมลง เนื่องจากโบราณถือว่าประจำเดือนหรือระดูสตรีนั้นเป็นของต่ำ หากโดยบุรุษที่มีวิชาแล้ววิชาจะเสื่อมทันที แต่นี่พระมหาอุปราชทรงถูกทั้งยีหัวและบังคับให้เสวยเข้าไป วิชาอาคมต่างๆ คงเสื่อมจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน ทั้งพระเกียรติของพระองค์ยังถูกย่ำยีด้วยระดูของนางบ่าวทำให้ทรงโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

“คนอย่างมันต้องโดนเยี่ยงนี้แหละท่านกรมหมื่น ไปโบยไปเฆี่ยนมันก็เสียเปล่า พระเชษฐาของท่านทรงอึดไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว มันต้องถูกทำให้ต่ำศักดิ์อับอายเยี่ยงนี้แหละ ถึงจะสาสมกับความอวดดีของมัน ฮ่าๆ”

“เจ้าคนชั่ว สักวันกรรมจะตามสนองเจ้า ข้าขอสาบานจะฆ่าเจ้าด้วยมือข้าเอง ไอ้อินทร!!”

พระมหาอุปราชทรงตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมกับพยายามกระชากโซ่ที่พันธนาการพระองค์ไว้แต่ไม่เป็นผล ซ้ำยิ่งทำให้เจ้าชายอินทรและเจ้าชายองค์อื่นๆ ทรงสรวลอย่างพอพระทัยที่เห็นพระอุปราชทรงเดือดดาลเยี่ยงนี้

“พระองค์ทรงเอาตัวเองให้รอดก่อนเถิดพระย่ะค่ะ ค่อยคิดเรื่องสังหารหม่อมฉัน หากพระองค์สามารถกลับมาจับดาบอีกครั้งได้เมื่อไหร่ หม่อมฉันจะยืนรอให้พระองค์มาเอาชีวิตไปเลยทีเดียว” เจ้าชายอินทรทรงเยาะเย้ยยั่วโทสะของพระมหาอุปราชให้เดือดดาลจนถึงกับทรงกระชากโซ่ไปมาอย่างบ้าคลั่ง

“ทรงทำพระทัยเย็นๆ เถิดพระย่ะค่ะ”

เจ้ามังจาเรแห่งเมืองค้องตรัสขึ้นบ้าง พร้อมทรงเดินเข้าไปตบพระพักตร์ของพระอุปราชผู้เกรี้ยวกราดและไร้ทางสู้เบาๆ เป็นการยั่วโทสะ ที่ทรงทำได้เพียงแค่พ่นพระเขฬะ (ถุยน้ำลาย) ใส่พระพักตร์ของเจ้ามังจาเรเป็นการตอบโต้เท่านั้น แต่ก็ทรงถูกเจ้ามังจาเรต่อยเข้าที่หน้าท้องอย่างไม่ทันตั้งตัวจนทรงจุกตัวงอก่อนที่จะถูกจับคางให้เงยหน้าขึ้นมามองพระพักตร์แล้วพูดเยาะเย้ยในสภาพของพระองค์ต่อ

“ทรงสำเหนียกไว้ด้วยว่า ตอนนี้พระองค์ไม่ใช่พระมหาอุปราชชัยยันต์ผู้เกรียงไกรพระองค์เดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นแค่นักโทษกบฏที่ถูกล่ามโซ่ไม่ต่างกับหมาอัปปรีย์ตัวนึงที่กินระดูนางบ่าวเป็นอาหารเท่านั้น ทรงมองพระองค์เองเถิดพระย่ะค่ะ ว่าต่างกับพี่หม่อมฉันพูดอย่างไรหรือไม่ ฮ่าๆๆ”

ก่อนจากไปเจ้ามังจาเรยังได้ถวายเครื่องประดับชิ้นหนึ่งแก่พระมหาอุปราชนั่นคือ “ส้อมเหล็กทรมาน” อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ทรมานนักโทษกบฏของเมืองค้อง ลักษณะเป็นส้อมเหล็กปลายแหลมสองด้าน มีสายรัดผูกบริเวณพระศอ (ลำคอ) ไว้ โดยทรงถูกมัดโยงไว้ในท่ายืนทั้งคืน แล้วให้ส่วนที่เป็นส้อมแหลมค้ำอยู่ที่บริเวณใต้คางและลำคอ ทำให้ทรงไม่สามารถก้มหน้าหรือหลับได้ ต้องทรงเงยหน้าอย่างทรมานตลอด เนื่องจากถ้าหลับหรือสัปหงกส้อมก็จะเสียบทะลุลำคอทันที (มีรูปในคอมเม้นตอบกลับข้างใต้)

“ท่านหลวงนฤบาลและท่านหลวงโยธาเทพไปพักผ่อนก่อนเถิด วันนี้ให้พี่ข้าได้สนุกกับส้อมเหล็กทรมานบรรณาการจากเมืองค้องไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะย้ายสถานที่สอบสวนจากคุกหลวง ไปสอบสวนที่ลานโยธาทัพต่อหน้าเหล่าทหารเลวแห่งมิถิลาแทน เผื่อสายตาของพวกทหารเลวจะทำให้พี่ข้าจะสำนึกถึงความผิดข้อหากบฏแผ่นดินที่ตัวเองก่อไว้ได้ง่ายขึ้น”

“ไอ้น้องชั่ว ต่อไปนี้เราขาดจาดความเป็นพี่น้องกัน ไม่ต้องมานับว่าเป็นญาติพงศ์วงษากันอีก” พระอุปราชัยยันต์ทรงตะโกนไล่หลังกรมหมื่นทั้งสองด้วยความพิโรธ

“เราขาดกันนานแล้ว!... เฝ้ามันไว้ให้ดีๆ อย่าให้ใครเข้ามาได้ ไม่งั้นหัวพวกมึงหลุดจากบ่า” กรมหมื่นพิทยาตอบเบาๆ ก่อนหันไปสั่งทหารเลวที่เฝ้าชั้นใต้ดินของคุกหลวงแล้วพระดำเนินขึ้นเสลี่ยงกลับพระตำหนัก

ลานโยธาทัพ

เช้าวันขึ้นห้าค่ำ เดือนยี่ มะโรงศก กรมหมื่นเจ้าสระแก้วและกรมหมื่นพิทยาพระราชโอรสในพระสนมเอกแห่งเมืองมิถิลาทรงโปรดให้สร้างพลับพลาขึ้นที่ลานโยธาทัพซึ่งเป็นลานหลวงสำหรับฝึกกำลังพลในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทรงขึ้นนั่งบนตั่งทองพร้อมด้วยเจ้าชายจากเมืองประเทศราชแห่งมิถิลาผู้เป็นพระอาคันตุกะอีกเจ็ดเมือง และเหล่าเสนาอำมาตย์อันประกอบด้วยพระมหาเสนาบดีแห่งมิถิลา เจ้าพระยาพระคลัง และเจ้ากรมวัง รวมทั้งทรงโปรดให้เรียกรวมพลแม่ทัพนายกองและเหล่าทหารเลวแห่งมิถิลาในหน่วยราชองครักษ์กว่าหนึ่งพันนายมายืนให้เต็มลานฝึกพล และเรียกให้เหล่าขุนนางผู้สวามิภักดิ์แก่องค์มหาอุปราชชัยยันตร์ผู้ต้องโทษเข้าเฝ้าโดยพร้อมเพรียง ณ ลานโยธาทัพตั้งแต่ช่วงสาย

เมื่อมาพร้อมกันแล้วกรมหมื่นทั้งสองจึงให้มหาดเล็กไปเชิญตัวพระมหาอุปราชจากที่คุมขังในคุกหลวงแห่งมิถิลาออกมาที่ลานโยธาทัพแห่งนั้น โดยให้ทรงผ้าเตี่ยว ใช้เชือกล่ามสัตว์มัดข้อพระกรทั้งสองข้างไพล่พระขนอง (มัดมือไพล่หลัง) และใช้รัดเป็นห่วงรอบพระศอ (รอบคอ) แล้วให้มหาดเล็กลากจูงเชือกที่ติดกับห่วงนั้นพาเดินพระบาทเปล่าจากคุกหลวงมายังลานโยธาทัพราวกับวัวควายก็ไม่ปาน

เมื่อมาถึงลานโยธาเหล่าทหารต่างเมืองที่ตามเสด็จเจ้าฟ้าทั้งเจ็ดมาด้วยก็โห่ร้องแสดงความสะใจกับภาพพระอุปราชในคราบนักโทษขบถที่ถูกมหาดเล็กพาเดินเข้ามา ในขณะที่มหารมิถิลามีสีหน้าไม่สู้ดีนักที่เห็นเจ้าเหนือหัวของตนอยู่ในสภาพนี้

เจ้าพระยาพระคลังนั่งลงกราบทูลกรมหมื่นทั้งสองให้ทรงทบทวนสิ่งที่จะทรงทำอีกครั้ง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาตามธรรมเนียมการสอบสวนความกับเชื้อพระวงศ์นั้นต้องทำในที่ลับ การสอบสวนต่อหน้าสามัญชนนั้นยังไม่เคยมรปรากฏและผิดธรรมเนียมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วผู้ที่จะถูกสอบสวนในครั้งนี้คือพระมหาอุปราชวังหน้าผู้มีกำหนดขึ้นพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์แห่งมิถิลานครอีกเพียงไม่กี่วันข้างหน้า การกระทำเช่นนี้จะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติต่อทั้งองค์พระอุปราชและราชวงศ์ได้ แต่กรมหมื่นพิทยาทรงตรัสตอบว่า “ข้ามีความเห็นว่า หากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินกระทำความผิด ยิ่งควรจะมีโทษหนักกว่าสามัญชนทั่วไป พี่ชายของข้าดำรงพระยศเป็นถึงพระมหาอุปราช แต่ทรงคิดขบถ แล้วยังไม่ทรงยอมรับผิดที่ได้ก่อขึ้น สมควรแล้วที่ข้าจะจัดให้มีการสอบสวนขึ้นต่อหน้าเหล่าเสนาทหารเยี่ยงนี้ เพื่อให้พระองค์ทรงรู้สำนึกและรู้สึกผิดบาปต่อสิ่งที่พระองค์ได้ก่อแก่บ้านเมือง”

จากนั้นมีรับสั่งให้นำตัวพระมหาอุปราชไปผูกไว้กับขื่อไม้บนแท่นยกสูงที่สามารถมองเห็นได้จากทั่วลาน ในท่าชูพระพาหา (แขน) กางขึ้นแล้วแยกพระเพลา (ขา) ออกจากกัน จากนั้นจึงโปรดให้หลวงโยธาเทพและหลวงนฤบาลตั้งกระทู้สอบสวนความต่อหน้าเหล่าเสาทหารทุกคน ณ ที่นั้น

เมื่อทรงไม่ยอมตอบใดๆ จึงรับสั่งให้โบยต่อหน้าธารกำนัลด้วยหวายยี่สิบครั้ง จากนั้นเจ้าผาแดงแห่งเมืองพระโคกเชียงฟ้าได้รับอาสาเป็นผู้ตั้งกระทู้สอบสวนเป็นคนถัดไป โดยทรงตรัสถามว่า “ทรงคิดการกบฏจริงหรือไม่ หากไม่ทรงตอบจะต้องทรงถูกลงโทษให้ได้อับอายยิ่งขึ้นไปอีก” แต่พระมหาอุปราชก็ไม่ตรงตอบคำใด เจ้าฟ้าผาแดงจึงตรัสแก่กรมหมื่นทั้งสองว่า

“ข้าเจ้าขอพระอนุญาตสอบสวนนักโทษปากแข็งโดยใช้ธรรมเนียมการสอบสวนของเมืองข้าเจ้า”

“อย่างไรรึท่านเจ้าฟ้า” กรมหมื่นพิทยาตรัสถาม

“หากนักโทษเป็นบุรุษผู้หยิ่งผยองในศักดิ์ศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแล้วนั้น การจับให้ถอดผ้าต่อหน้าธารกำนัล เป็นวิธีที่จะทำให้ทรงสำนึกได้เป็นอย่างดี”

เมื่อกรมหมื่นทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ตบตักชอบพระทัยและอนุญาตให้เจ้าฟ้าผาแดงทำตามธรรมเนียมการสอบสวนนักโทษของเมืองพระโคกเชียงฟ้าได้ เจ้าฟ้าผาแดงจึงส่งให้ทหารจัดการไปถอดผ้าเตี่ยวที่พระอุปราชทรงนุ่งอยู่ออก แม้จะมีเหล่าขุนนางของมิถิลาทูลคัดค้านเพียงใดก็มิทรงสนพระทัย

แต่ในขณะที่ผ้าเตี่ยวที่เอวของพระมหาอุปราชกำลังจะถูกถอดออก กรมหมื่นเจ้าสระแก้วก็ตรัสให้หยุดก่อน และรับสั่งว่า “ข้ายังอยากให้โอกาสพระเชษฐาของข้าอยู่” จึงรับสั่งให้จับพระเชษฐามัดหันหลังไปก่อน แล้วจึงให้ถอดผ้าเตี่ยวออกต่อหน้าบรรดาธารกำนัลจนเผยให้เห็นพระที่นั่ง (ก้น) ที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดเยี่ยงกษัตริย์นักรบ ส่วนหลวงทั้งสองที่อยู่ใกล้ๆ องค์พระอุปราชก็อ้อมไปมองดูที่ด้านหน้าแล้วยิ้มหัวเราะเยาะเย้ยพระองค์กันใหญ่

“สารภาพมาเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น ทรงได้หันไปร่อนพระกระเจี๊ยวให้พวกไพร่นับพันได้ดูกันแน่”

แต่พระมหาอุปราชก็ทรงมิคอบอันใด ทรงได้แต่งกัดฟันกำหนัดจนพระพักตร์แดงก่ำ ก่อนท่จะถูกสั่งให้เอาหวายโบยลงที่ก้นที่เปลือยเปล่าของพระองค์ต่อหน้าบรรดาเสนาทหารที่ยืนมองก้นแน่นๆของพระองค์ค่อยๆ ขึ้นแนวหวายอีกสาบสิบที แล้วให้เอาเกลือทาลงไปที่ก้นนั้นจนทรงดิ้นพล่านคาขื่อและร้องออกมาด้วยความแสบ สร้างความสะใจให้บรรดาอริของพระองค์เป็นอันมาก

“จะยอมรับหรือยังพระพุทธเจ้าค่ะ ว่าทรงคิดคดเป็นกบฏต่อบ้านเมือง”

หลวงนฤบาลถามต่อ พระองค์ก็ทรงไม่ยอมตอบ

“ในเมื่อไม่อายที่จะทรงปกปิดการทำชั่วของพระองค์เอง ก็ทรงต้องไม่อายที่จะให้ไอ้ไพร่พวกนี้ได้เห็นพระคุยหฐานที่ลับ (อวัยวะเพศ) ของพระองค์เช่นกัน”

กรมหมื่นพิทยาตรัสแล้วจึงมีรับสั่งให้จับพระองค์หันกลับมาผูกหันหน้าเข้าหาเหล่าทหารและบรรดสเสนาขุนนางทั้งหมดในท่าเดิม

ครานี้พระมหาอุปราชทรงดิ้นขัดขืนพร้อมทรงตะโกนออกมาว่า

“ปล่อยกู พวกมึงหามีสิทธิทำกับกูเยี่ยงนี้ ไอ้จัณฑาล ปล่อยกู ปล่อยกู อย่าทำกูเยี่ยงนี้”

จนหลวงทั้งสองต้องให้พวกไพร่ทหารถึงห้าคนมาจับพระองค์หันหน้าไปผูกไว้กับขื่นเพื่อประจันหน้ากับเหล่าธารกำนัล

จนในที่สุดพระมหาอุปราชชัยยันต์ รัชทายาทแห่งมิถิลานครก็ได้ถูกมัดยืนกางแขนกางขากับขื่อต่อหน้าบรรดาเสนาทหารรับพันคน โดยที่ไม่มีผ้าคลุมพระวรกายแม้สักชิ้น พระคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ของพระราชโอรสสายเลือดราชาแห่งมิถิลานครถูกเผยออกกลางลานฝึก เผยต่อหน้าศัตรูต่างบ้านต่างเมือง เสนาบดี และบรรดาทหารเลวผู้อยู่ใต้เพระราชอำนาจของพระองค์เอง แล้วมีรับสั่งให้เฆี่ยนต่ออีกสองยกจนสลบคาหวาย ก่อนที่จะทิ้งร่างชุ่มเหงื่อของพระองค์ให้เปลือยเปล่าประจานไว้บนขื่อเยี่ยงนั้นในช่วงเที่ยงเป็นเวลาสองชั่วยามขณะที่ทรงพักเสวยพระกระยาหารเที่ยง โดยให้เหล่าทหารเลวผลัดกองกันมาตั้งแถวยืนมองร่างของพระมหาอุปราชที่อยู่บนขื่อนั้นตลอดเวลา ส่วนทหารต่างเมืองบางคนก็ขึ้นไปจับพระคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ขององค์พระอุปราชที่ทรงสลบคาขื่ออยู่เล่น รวมทั้งดีด บีบ ดึงจนพระคุยหฐานนั้นค่อยๆ แข็งตัวขึ้นมา แล้วพวกมันก็หัวเราะกันใหญ่ เป็นที่น่าเวทนาของเหล่าเสนาทหารผู้จงรักภักดีเป็นอันมาก แต่ก็ไม่มีแม้สักคนที่กล้าขึ้นไปปกป้องเจ้าเหนือหัวของตน ได้แต่มองดูอย่างเวทนาและกลัวกันหัวหด พร้อมกับภาวนาว่าการสอบสวนต่อในช่วงบ่ายนี้ขออย่าให้มรอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้เกิดขึ้นกับพระมหาอุปราชผู้เป็นศูนย์รวมในของเหล่าทหารมิถิลาอีกเลย

บรรณาการแห่งพนารัตน์นคร

ในขณะที่เวลาพักกำลังจะสิ้นสุดลง เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นท่ามกลางเหล่าทหารโดยเฉพาะเหล่าทหารจากต่างเมือง ทำให้ทุกคนรวมถึงเหล่าเจ้าฟ้าขุนนางทั้งหลายมองหาเหตุของเสียงฮือฮานั้น

“ทรงพระควยแข็งแล้วว่ะเฮ้ย พวกมึงดูกันเร็ว”

“เกิดมาก็พึ่งได้มีวาสนาได้เห็นควยเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ช่างใหญ่โตเกินสามัญชนราวกับกระบองของทศกัณฐ์เลยทีเดียว”

เมื่อทุกคนมองไปที่ขื่อมัดนักโทษที่หน้าลาน ก็พบว่าบัดนี้ทหารเลวของเมืองมัณฑ์ได้จัดการจับพระคุยหฐาน (ควย) ของพระมหาอุปราชชัยยันต์ผู้ถูกพันธนาการทั้งดีดและปั่นจนของลับของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์แห่งมิถิลานั้นขยายตัวจนแข็งชี้ฟ้า สัญฐานใหญ่โตกว่าสิบนิ้ว ชูชันท้าสายตาเจ้าฟ้าต่างเมือง เหล่าขุนนาง และเหล่าทหารนับพันกลางลานโยธาทัพ

“ทรงพระควยแข็ง ทรงพระควยแข็ง ทรงพระควยแข็ง”

เหล่าทหารต่างเมืองช่วยกันตะโกนล้อเลียนซ้ำไปซ้ำมา สร้างความอับอายให้กับพระมหาอุปราชเป็นอย่างมาก

ขุนนางเมืองมิถิลาผู้ภักดีเห็นดังนั้นก็นั่งลงคุกเข่าช่วยกันกราบขอร้องให้กรมหมื่นทั้งสองเอาผ้านุ่งนุ่งคืนให้พระอุปราชเพื่อไม่ให้เป็นที่อุจาดตาและเสื่อมเสียพระเกียรติมากไปกว่านี้

“ให้พี่ข้าได้อายผีบ้านผีเมืองไปเยี่ยงนี้ก็ดีเหมือนกัน จักได้สาสมกับที่พระองค์เป็นกบฏทำให้บ้านเมืองฉิบหายดั่งเช่นทุกวันนี้”

จากนั้นก็ทรงโปรดให้ทำการสอบสวนต่อ โดยถามก่อนว่าจะทรงรับสารภาพว่าเป็นกบฏหรือไม่

แต่พระอุปราชก็ไม่ทรงตอบอันใด ยังทรงเบือนหน้าหนีควยชี้ฟ้าอย่าน่าเวทนา จึงถูกสั่งโบยด้วยหวายอีกหนึ่งยก จากนั้นเจ้าสมิงแดง พระอุปราชแห่งเมืองพนารัตน์ ก็ลุกขึ้นแล้วให้ทหารคนสนิทนำโถแก้วที่ห่อผ้าสีแดงมาต่อหน้าพระที่นั่ง

“ในโถนี้ คือน้ำผึ้งป่าหายากแห่งเมืองพนารัตน์ ขึ้นชื่อเรื่องความหอมหวานไม่มีน้ำผึ้งของเมืองใดจะเปรียบได้ ทุกๆ ปี พนารัตน์นครของข้าจะส่งน้ำผึ้งป่านี้มาเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระราชวงศ์เมืองมิถิลา ดังนั้นในวันนี้ข้าในฐานะพระอุปราชแห่งพนารัตน์นคร จึงยินดีอย่างยิ่งที่จะมอบเครื่องบรรณาการล้ำค่านี้ แก่พระมหาอุปราชชัยยันต์ รัชทายาทผู้สืบบัลลังก์แห่งมิถิลานคร ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”

จากนั้นเจ้าสมิงแดงจึงให้ทหารของเมืองพนารัตน์นำโถน้ำผึ้งไปที่ขื่อมัดนักโทษ ก่อนจะเปิดโถแล้วใช้มือควักน้ำผึ้งออกมาแล้วละเลงทาไปที่ของลับของพระมหาอุปราชที่กำลังแข็งโด่อยู่ พระมหาอุปราชทรงดิ้นแต่ก็ถูกพวกทหารเลวเข้ามาช่วยกันจับตัวให้นิ่งและจับแหกขาให้ทหารเมืองพนารัตน์ชโลมน้ำผึ้งไปที่อวัยวะสืนพันธ์ของพระองค์จนทั่ว ก่อนจะล้วงมือลอกใต้หว่างขาเข้าไปชโลมทาถึงรูพระทวารสร้างความเสียวให้กับพระองค์จนของลับยิ่งแข็งกระดกหงกหัวขึ้นไปอีก สร้างความขบขันให้กับเหล่าทหารเลวที่ดูอยู่อย่างยิ่ง

“ปล่อยกูไอ้พวกชั่ว” พระมหาอุปราชทรงสบถด่า แต่ก็ถูกทหารเมืองพนารัตน์นำมือที่เลอะน้ำผึ้งและพึ่งล้วงเข้าไปทาในรูทวารเข้ามายัดพระโอษฐ์ (ปาก) ของพระองค์

“เสวยเข้าไปซะพระพุทธเจ้าข้า จักได้ไม่ทรงหยาบคาย” ทหารเลวนายนั้นได้เอามือล้วงโภน้ำผึ้งแล้วเอามาล้วงเข้าไปในพระโอษฐ์ของพระมหาอุปราชซ้ำแล้วซ้ำอีกสลับกับล้วงเข้าไปในรูพระทวารและเอามาล้วงพระโอษฐ์จนน้ำผึ้งหมดโถ ก่อนที่จะเอาน้ำผึ้งที่เหลือติดมือทาไปที่หัวนมทั้งสองข้างของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ผู้ถูกพันธนาการอย่างน่าเวทนา

จากนั้นเจ้าสมิงแดงก็ทรงโปรดให้นำโถอีกโถหนึ่งมา แล้วทรงตรัสว่า

“นอกจากมนุษย์แล้วสัตว์ที่ชอบกินน้ำผึ้งผ่าแห่งพนารัตน์มากที่สุดคือสิ่งนี้ “มดแดงบินแห่งพนารัตน์””

พอตรัสแล้วก็เปิดฝาโถออก ทันใดนั้น มดแดงมีปีกนับร้อยตัวก็บินออกจากโถในพระหัตถ์แล้วตรงไปยังร่างของพระมหาอุปราชที่ถูกมัดกางแขนขาอยู่ที่ขื่อหน้าลานทัพ ไม่นานพวงพระคุยหฐาน หัวนม พระโอษฐ และรูพระทวารของพระอุปราชแห่งมิถิลาก็เต็มไปด้วยฝูงมดแดงบินที่บินเข้าไปกัดกินน้ำผึ้งที่ชโลมอยู่บนอวัยวะต่างๆ ของพระองค์ พระมหาอุปราชทรงร้องโหยหวนไม่สมประดีราวกับคนเสียสติด้วยควมเจ็บปวดแสนสาหัสจากพิษของมดแดงนรก ยิ่งทรงแหกปากร้อง มดแดงเหล่านั้นก็บินเข้าไปกัดในพระโอษฐ์สร้างความเจ็บปวดทรมานให้พระองค์มากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ เหล่าทหารและขุนนางแห่งมิถิลาผู้พักดีต่างมองกันอย่างสยดสยองต่างจากพวกต่างเมืองที่หัวเราะตบตักชอบใจ โดยเฉพาะเมื่อพิษของมดแดงบินแห่งพนารัตน์เริ่มออกฤทธิ์ พระอุปราชก็ทรงเริ่มหูตาเหลือกจนเห็นแต่ตาขาวก่อนจะปล่อยพระอุจจาระเหลืองลงมาเป็นก้อนที่พื้น ตามด้วยพระปัสสาวะที่พวยพุ่งลงมาจนถูกทหารของมิถิลาที่ยืนมองอยู่ด้านหน้าอย่างน่าทุเรศก่อนที่จะทรงสลบไป