เรื่องโตนกับพ่อ

บทเริ่ม

พริษฐ์ ชูเกียรติวงศ์ตระกูล หรือ โตน เด็กหนุ่มวัย 15 ปี เขากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพฯ โรงเรียนที่เขาเรียนเป็นโรงเรียนคาธอลิคที่นักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกคนมีเงิน มีนักเรียนส่วนน้อยที่เป็นนักเรียนทุนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งทั้งหมดเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดใกล้บริเวณที่ตั้งของโรงเรียน ซึ่งอธิการเล็งเห็นว่าการรับเด็กเหล่านี้เข้าเรียน ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของโรงเรียนเป็นอย่างมาก และเป็นผลดีต่อเงินบริจาคที่เข้ามาในโรงเรียนด้วย แต่ขณะเดียวกันการรับเด็กที่มีพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกันนี้ ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนด้วย เนื่องจากมีการแบ่งกลุ่มระหว่างเด็กรวยและเด็กทุนยากจนกันอย่างชัดเจนในหลายชั้นเรียน

แต่กับ โตน สิ่งนี้กลับไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะแม้เขาจะมาจากครอบครัวที่มีพื้นฐานดีมีฐานะ แต่เพื่อนสนิทของเขากลับเป็นกลุ่ม ๆ เด็กทุนทั้งนั้น โดยเฉพาะ หมีก เพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา โตนไม่รู้สึกว่าเพื่อนสนิทที่มาจากชุมชนแออัด ที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมจะมีอะไรที่แตกต่างจากเพื่อน ๆ ที่มีฐานะ พวกเขาไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง และไม่เคยชวนไปทำอะไรที่จะนำไปสู่เรื่องเสื่อมเสียตามมา อาจจะมีทำตัวทะลึ่งทะเล้นซึ่งก็เป็นไปตามวัยชองเด็กหนุ่ม ๆ ที่ แต่พวกเขาก็ตั้งใจเรียนเพราะอยากยกฐานะตัวเองและครอบครัวให้หลุดพ้นจากชุมชนที่มีปัญหานั้นเสียที โตนจึงมีความสุขที่ได้เรียนในโรงเรียนแห่งนี้

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ โตน มีความคิดผิดแผกจากเด็กนักเรียนกลุ่มคนรวยคนอื่น ๆ ก็น่าจะมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดีของเขา พ่อและแม่ที่คอยสั่งสอนให้เขาเป็นเด็กที่ดี มีความคิดดีต่อผู้อื่นนั่นเอง

“โตน อยู่ไหนแล้วลูก พ่อกำลังจะออกไปปั่นจักยาน”

คุณพ่อยังหนุ่มเฟสไทม์ถึงลูกชายวัยรุ่นอวดชุดปั่นจักรยานแบบเต็มยศที่เขาสวมใส่อยู่

“ปั่นก่อนอีกแล้ว ไม่รอโตนเลยนะพ่อ” แม้คำพูดจะเหมือนตัดพ้อ แต่น้ำเสียงและใบหน้าของลูกชายออกอาการทีเล่นทีจริงมากกว่า

“มัวแต่รอโตน พ่อคงไม่ได้ไปปั่น” กลายเป็นผู้เป็นพ่อที่เป็นฝ่ายตัดพ้อแทน จนลูกชายอดทำหน้ามุ่ยไม่ได้

“โตนมีงานกลุ่มที่ต้องทำนี่ครับ” ว่าแล้วลูกชายก็แพนกล้องไปรอบ ๆ โต๊ะให้เห็นเพื่อน ๆ สมาชิกที่ทำงานกลุ่มเดียวกับเขาอีกสี่คน ทุกคนเมื่อเห็นพ่อของเพื่อนต่างก็รีบยกมือไหว้

“ไม่ต้องมาทำหน้ามุ่ย พ่อแค่แซวเล่น ทำงานเสร็จก็รีบกลับบ้านนะ แม่เขาทำกับข้าวของโปรดโตนไว้รอเต็มโต๊ะเลย พ่อไปปั่นจักยานก่อนนะ”

“ครับพ่อ” โตนกดปิดโปรแกรมเฟสไทม์ แล้วกลับมาทำงานกลุ่มกับเพื่อน ๆ ต่อ

“โตน พ่อมึงนี่พอเย็ดเป็นก็มีมึงเลยรึเปล่าวะ” หมึกพูดล้อเพื่อนสนิทของเขา

“อะไรของมึง ไอ้หมึก” โตนเอ่ยถามกลับด้วยความสงสัย

“ก็พ่อมึงทำไมยังดูเด็ก ดูวัยรุ่น ดูไม่แก่เหมือนพ่อพวกกูเลย เห็นแล้วไม่อยากเชื่อว่าจะมีลูกชายโตจนหมาเลียหำไม่ถึงขนาดนี้แล้ว”

“ไอ้สัตว์หมึก มึงก็ช่างเปรียบ” ตุ่น เพื่อนในกลุ่มอีกคนพูดขึ้น เพื่อน ๆ ในกลุ่มจึงหัวเราะขบขันการเปรียบเทียบของหมึก ตัวชงประจำกลุ่ม

“ก็มันจริงนี่นา นอกจากจะหน้าเด็กแล้ว พ่อไอ้โตนแม่งทั้งหล่อ ทั้งสมาร์ท รูปร่างก็ดี ไม่มีพุงเผละเหมือนพ่อพวกมึงหรอก”

“พ่อกูก็แค่ดูแลตัวเองดี เลือกกิน ขยันออกกำลังกาย โตไปกูก็อยากจะเป็นแบบพ่อกู”

“เออ ๆ หวังว่าจะไม่เผลอดีแตกทีหลังนะ”

“ไม่มีทางหรอกไอ้หมึก” โตนพูดอย่างภูมิใจและมั่นใจในตัวพ่อของเขา จนเพื่อน ๆ อดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพราะพ่อของโตนก็มีดีควรจะอวดจริง ๆ

พ่อของโตน คือ นายพิสุทธิ์ ชูเกียรติวงศ์ตระกูล นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 42 ปี เขากำลังเป็นที่จับตามองของคนในวงการธุรกิจ เพราะเพิ่งเป็นเจ้าของรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี แม้จะไม่ได้เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่เดินทางสายนี้ เพราะพ่อของเขาเป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวง และแม่เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนหญิงล้วน แต่เขาก็ได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวเป็นอย่างดีในการก้าวมาเดินในเส้นทางนี้ และสิ่งที่พิสุทธิ์ทำได้ดีกว่าที่ครอบครัวคาดหวังคือนอกจากการเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว ธุรกิจของเขายังมีแนวคิดที่ห่วงใยสังคม ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจที่เขาทำดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

หลังเรียนจบปริญญาตรี พิสุทธิ์เข้าไปฝึกงานในบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ขณะที่งานกำลังไปได้สวย เขาตัดสินใจละทิ้งโอกาสความก้าวหน้า ลาออกไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาพร้อมดีกรีนักศึกษาปริญญาโทและความพร้อมในการทำธุรกิจอย่างเต็มตัว และในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวกับ พิริยา ผู้หญิงที่เขารักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพียงไม่นานทั้งคู่ก็มี โตน เด็กชายตัวน้อย ๆ มาเป็นโซ่ทองคล้องใจ เติมเต็มให้ครอบครัวมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ด้วยความที่โตนเป็นลูกคนเดียว เขาจึงถูกเลี้ยงดูด้วยความรัก ความทะนุถนอมจากทุกคน ทั้งพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลุงป้าน้าอา หรือลูกพี่ลูกน้อง เขาจึงเป็นเด็กชายที่ไม่เคยขาดแคลนความรัก และด้วยความที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีความพร้อม โตนจึงแทบไม่มีความกดดันใด ๆ เพราะทุกคนต่างให้อิสระในการใช้ชีวิตกับเขา ทำให้เขาเป็นเด็กที่จิตใจดี มองโลกในแง่ดี มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และชอบช่วยเหลือคนรอบข้างอยู่เสมอ

หากจะมีอะไรที่เป็นความกดดันของโตนที่คนอื่น ๆ มักไม่ค่อยรู้ ก็คงจะเป็นการที่เขามีความคาดหวังว่าจะเป็นผู้ชายที่ทั้งเก่งและดีให้ได้แบบที่พ่อของเขาเป็น โตนมักจะอวดพ่อเขากับคนอื่น ๆ ด้วยความภูมิใจเสมอ ๆ ว่าพ่อไม่ได้แค่เก่ง แต่พ่อยังเป็นคนดี ไม่ได้รักแค่ครอบครัว แต่ยังรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกด้วย เด็กหนุ่มวัย 15 ปีอย่างโตน จึงพยายามเป็นให้ได้ทุกอย่างแบบที่พ่อของเขาเป็น

“ยินดีกับตำแหน่งนักธุรกิจดีเด่นแห่งปีด้วยนะครับคุณพิสุทธิ์”

วศิน บรรณาธิการนิตยสาร GENT หนังสือที่นำเสนอเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้ชายยุคใหม่เอ่ยทักทายกับพิสุทธิ์ ในขณะที่กำลังเริ่มต้นการคุยงานที่วศินตั้งใจจะทำสกู๊ปเจาะลึกชีวิตนักธุรกิจดีเด่นแห่งปีเพื่อลงในนิตยสารฉบับใหม่ของเขา

“ขอบคุณครับคุณวศิน รู้สึกยินดีที่หนังสือ GENT ให้เกียรติทำสกู๊ปให้ผมมาก ๆ ผมเป็นแฟนหนังสือของคุณวศินมานานแล้ว และพิริยาก็เคยพูดถึงคุณบ่อย ๆ”

“ต้องขอบคุณพี่ยาด้วยครับ ถ้าไม่ได้พี่รหัสผมคนนี้เป็นสะพานให้ ก็ไม่รู้ว่าผมจะได้คิวคุณพิสุทธิ์ทันปิดต้นฉบับหนังสือฉบับหน้าหรือเปล่า”

“ครับ ยินดีมาก ๆ ครับ ออฟฟิศของคุณวศินอยู่แถวนี้เหรอครับ”

“ใช่ครับ ผมจึงนัดคุณพิสุทธิ์มาเจอที่นี่ ร้านนี้บรรยากาศดี ผมชอบเปลี่ยนที่ทำงานจากออฟฟิศมานั่งทำงานที่นี่บ่อย ๆ บรรยากาศแบบนี้มันทำให้หัวผมแล่นดีมาก ๆ เลยครับ”

“ใช่ครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

“ครับ งั้นเราเข้าเรื่องงานที่จะคุยกันเลยดีกว่านะครับ”

แล้วพิสุทธิ์ก็เริ่มต้นการคุยงานกับวศิน ที่ได้เล่าให้ฟังคร่าว ๆ ถึงเนื้อหาในสกู๊ปที่เขาจะทำว่าจะนำเสนออะไร และขอความร่วมมือจากพิสุทธิ์ในการให้คิวในการสัมภาษณ์และการถ่ายทำต่าง ๆ รวมถึงอาจจะสัมภาณ์คนใกล้ตัว คือภรรยาและลูกชายด้วย ซึ่งพิสุทธิ์ก็ตอบรับทุกอย่างเป็นอย่างดี ทำให้การพูดคุยราบรื่นและจบลงด้วยดี

ขณะนั่งรถกลับ พิสุทธิ์ต่อสายถึงเตชิต เลขานุการของเขาให้ช่วยจัดคิวและประสานงานกับทีมงานของวศินต่อจากนี้

“รับทราบและพร้อมปฏิบัติงานครับคุณพิสุทธิ์”

เลขานุการกนุ่มตอบรับคำหลังได้รับคำสั่งจากเจ้านายของเขา

“วันนี้ผมไม่กลับเข้าออฟฟิศแล้วนะ จะแวะไปรับโตนที่โรงเรียน พอดีอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง”

ทันทีที่วางสาย พิสุทธิ์ก็ขับรถทยายไปสู่เป้าหมายของเขาทันที

เสียงออดสัญญาณบอกเวลาหมดคาบเรียนดังขึ้น ด้วยความเป็นคาบสุดท้ายของวัน เด็กนักเรียนจึงรีบเก็บกระเป๋ากันมือเป็นระวิง เพราะกำลังจะได้กลับบ้านแล้ว

“เอ้า ไม่ต้องรีบ ๆ บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอกนะ แล้วก็อย่าลืมนะ คาบหน้าขอให้ทุกคนอย่าขาดเรียน เพราะอาจารย์จะสั่งงานสำหรับเก็บคะแนนปลายภาค”

“ครับ มาสเตอร์ปราชญ์”

เสียงเด็ก ๆ ขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจุลุกขึ้นเก็บโต๊ะเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

“โตน วันนี้กูมีเวร มึงกลับบ้านไปก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไร ๆ กูรอได้ มีงเสร็จแล้วมาที่เดิมละกัน เดี๋ยวกูแกล้งถ่วงเวลาแม่ไว้ก่อน”

“เออ ๆ ขอบใจเพื่อน”

ว่าแล้วโตนก็เดินออกมาจากห้องเรียน ไปที่ลานจอดรถที่แม่ของเขาจะมาจอดรอรับเป็นประจำ

พิริยา แม่ของโตนนั้น หลังเรียนจบได้ทำงานประจำอยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงช่วงที่แต่งงานและมีลูกก็ยังทำงานอยู่ มีคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายของโตนผลัดกันมาช่วยเลี้ยงหลานที่ยังแบเบาะ จนเมื่อธุรกิจของพิสุทธิ์เริ่มมั่นคง เธอจึงลสออกจากงานที่ทำ และมารับหน้าที่เป็นแม่บ้านต็มตัว พร้อมทั้งทำหน้าที่มารับลูกชายหลังเลิกเรียน ส่วนการไปส่งนั้นเป็นหน้าที่ของพิสุทธิ์

แต่วันนี้โตนต้องประหลาดใจเมื่อเดินมาถึงที่ประจำกลับพบรถของผู้เป็นพ่อจอดรอรับเขาแทน

“ทำไมวันนี้พ่อมารับโตนได้ล่ะครับ”

“พ่อมาคุยงานแถวนี้ เห็นว่าใกล้เวลาโตนเลิกเรียนพอดีเลยโทรบอกแม่เขาว่าจะมารับโตนเอง โตนจะได้ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ไปปั่นจักรยานกับพ่อไง” เสียงผู้เป็นพ่อเหมือนชนะอยู่ในที

“พ่ออย่าเพิ่งออกรถนะครับ นั่นเพื่อนโตนกำลังวิ่งมา”

โตนเปิดกระจกรถตะโกนเรียกหมึกที่หันรีหันขวางมองไม่เจอรถที่เขาเคยขึ้นเป็นประจำ

“หมึก นี่พ่อเราเอง” สรรพนามระหว่างเพื่อนถูกเปลี่ยนให้ดูสุภาพโดยฉับพลันทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ หมึกไหว้พ่อของเพื่อน และพิสุทธิ์เองก็ทักเพื่อนของลูกชายกลับอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะออกรถจากตรงนั้น

“บ้านหมึกอยู่ทางผ่านไปบ้านเราน่ะครับ โตนเลยชวนหมึกกลับด้วย จะได้ไม่ต้องไปโหนรถเมล์”

“แล้วจะให้พ่อไปส่งหมึกที่ไหนล่ะ”

“ชุมชนบ้านแดงครับ”

ผู้เป็นพ่อชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อชุมชนที่เพื่อนลูกชายอาศัยอยู่ หมึกเองก็รู้สึกได้เช่นกันว่าพ่อของเพื่อนคงรู้สึกอะไรบางอย่างเมื่อได้ยินชื่อชุมชนบ้านแดง

ชุมชนบ้านแดงหรือที่แต่ก่อนเรียกกันว่าสลัมบ้านแดง เป็นสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม แม้ตอนหลังทางการจะเข้ามากวาดล้างและปรับปรุงพื้นที่ รวมทั้งเปลี่ยนชื่อเรียกเสียใหม่ แต่ภาพจำของคนส่วนใหญ่ต่อสถานที่แห่งนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป และแน่นอนว่าการที่บุตรชายมีเพื่อนสนิทเป็นเด็กที่อาศัยในชุมชนแห่งนี้ ผู้เป็นพ่อจึงอดที่รู้สึกห่วงไม่ได้

แม้ในใจจะห่วง แต่พิสุทธิ์ก็ไม่อยากทำให้ลูกชายรู้สึกไม่ดี เขาจึงชวนเพื่อนลูกชายคุยต่อไปตลอดทาง แต่ยิ่งคุยกลับยิ่งกลายเป็นว่าเหมือนกำลังซักประวัติเพื่อนลูกชายเสียมากกว่า จนทำให้บรรยากาศในรถเกิดความอึดอัด ดีที่ชุมชนบ้านแดงอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก เพียงไม่นานหมึกก็ลงจากรถพร้อมมวลความอึดอัดทั้งหลายที่ดูจะคลี่คลายลงไปได้บ้าง

พิสุทธิ์ขับรถต่อไป โดยไม่ได้พูดอะไรอีก จนโตนรู้สึกทนไม่ไหวจึงพูดกับผู้เป็นพ่อ

“พ่อครับ โตนรู้ว่าพ่อห่วงโตนเรื่องการคบเพื่อน แต่โตนอยากให้พ่อรู้ว่าหมึกเป็นเพื่อนที่ดีมากนะครับ เขาช่วยโตนเรื่องเรียนทุกอย่าง โตนไม่อยากให้พ่อตัดสินหมึกจากแค่ที่ที่เขาอาศัยอยู่ คนเราเลือกเกิดไม่ได้นะครับพ่อ”

แววตาที่แสดงความกังวลของพิสุทธิ์อ่อนลงทันทีที่ฟังลูกชายพูดจบ

“พ่อภูมิใจในตัวโตนมากนะ ยังไงพรุ่งนี้พ่อฝากขอโทษหมึกด้วยแล้วกัน”

“ครับพ่อ” โตนยิ้มด้วยความยินดี ทั้งการที่เขาสามารถทำให้พ่อยอมรับในตัวเพื่อนสนิทขึ้นมาได้บ้าง และคำชมที่พ่อมีให้กับเขา

ขณะที่หมึกก้าวลงจากรถด้วยความหงุดหงิดใจ เขาไม่นึกเลยว่าพ่อของโตนที่ฉากหน้าดูเป็นคนดี กลับตัดสินตัวเขาจากสิ่งที่เขาไม่สามารถเลือกได้ มวลความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในใจเด็กหนุ่มไม่อาจสลัดหลุดไปได้

“ถ้าเลือกเกิดได้ กูก็อยากเกิดมารวย มีชีวิตสุขสบายแบบพวกมึงนั่นแหล่ะ ไว้รอให้โอกาสในการตัดสินชีวิตพวกมึงเป็นของกูบ้างนะ แล้วพวกมึงจะรู้สึก”

น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจเอ่ออยู่ที่ขอบตาของเด็กหนุ่ม

วันหยุด บรรยากาศที่โรงเรียนดูเงียบเหงา ต่างจากวันธรรมดาโดยสิ้นเชิง ส่วนที่ดูจะคึกคักหน่อยน่าจะเป็นสนามฟุตบอล เพราะเด็ก ๆ ชมรมฟุตบอลถูกโค้ชนัดให้มาซ้อมเพราะมีแมทช์การแข่งขันรออยู่จากนี้ไม่กี่สัปดาห์

วันนี้มาสเตอร์ปราชญ์เป็นเวรเข้ามาดูลความเรียบร้อยของโรงเรียน เมื่อบริเวณอื่น ๆ ไม่มีนักรียนเท่าไรนัก แกจึงเดินมาดูความเรียบร้อยแถวสนามฟุตบอล

“วันไหนมีซ้อมทีไร เป็นต้องเจอมาสเตอร์ปราชญ์เป็นครูเวรทุกที มีวระซ่อนเร้นอะไรรึเปล่าวะ”

เด็กคนหนึ่งเปิดประเด็นจากการสังเกตส่วนตัว

มาสเตอร์ปราชญ์นั้น เป็นชายวัยกลางคนที่มจริตออกสาวอย่างชัดเจน แตกต่างจากมาสเตอร์คนอื่น ๆ ในโรงเรียน จึงทำให้เด็กหนุ่ม ๆ ไม่ค่อยสนิทกับเขานัก

“นั่นสิ จริง ๆ โรงเรียนของเราไม่มีความจำเป็นต้องมีอาจารย์ที่เป็นแบบนี้เลยนะ กูว่าเพราะแกเป็นญาติท่านอธิการ ถึงสอบผ่านคุณสมบัติมาสอนที่นี่ได้ แต่กูไม่ชอบแกเลยจริง ๆ มึงดูสายตาที่มองพวกเราสิ แม่งดูหื่นฉิบหาย”

“เออ ๆ กูก็ว่าอย่างนั้น แต่ตอนนี้แยกย้ายกันก่อนดีกว่า แกทำท่าจะเดินเข่ามาตรงนี้แล้ว”

ว่าแล้วเด็กหนุ่มชมรมฟุตบอลก็แยกย้ายกันไปวอร์มร่างกายกันคนละจุด มาสเตอร์ปราชญ์เห็นดังนั้นจึงเดินแยกออกไปอีกทางอื่น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พิสุทธิ์มาส่งโตนซึ่งเป็นสมาชิกชมรมฟุตบอลพอดี อาจารย์ปราชญ์ที่เห็นสองพ่อลูกจึงเดินตรงเข้าไปหาทันที

ครั้งนี้พิสุทธิ์ไม่ได้มาส่งลูกชายด้วยรถยนต์เช่นทุกครั้ง แต่ปั่นจักรยานกันมาคนละคัน โตนนั้นสวมชุดทีมฟุตบอลโรงเรียนมาจากบ้าน ขณะที่พิสุทธิ์สวมชุดปั่นจักรยานสีเขียวขี้ม้าแบบฟิตเข้ารูป รูปร่างของพิสุทธิ์จึงปรากฏเด่นชัดต่อสายตาของผู้พบเห็นเพราะความกระชับของชุดนั่นเอง รวมทั้งเป้าที่นูนตุงออกมาอย่างปิดไม่มิด

“สวัสดีฮ่า คุณพิสุทธิ์ อาจารย์ปราชญ์นะฮ้า ดีใจที่วันนี้มีโอกาสได้เจอตัวเป็น ๆ ไปปั่นจักรยานที่ไหนกันมาฮ้า”

พิสุทธิ์งงงง ที่อยู่ ๆ ก็มีอาจารย์มาทักเขา แต่ก็ยิ้มตอบรับไป

“ปั่นจักรยานจากบ้านตรงมาที่นี่เลยครับ มาส่งเจ้านี่ เดี๋ยวคงต้องฝากอาจารย์ดูแล เดี๋ยวผมจะไปปั่นจักรยานทำธุระต่อ”

“ได้เลยฮ่า หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะฮ้า”

โตนรู้สึกแปลก ๆ กับทั้งคำพูดและสายตาที่อาจารย์ปราชญ์มองพ่อของเขา แต่เขาก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ วิ่งเข้าไปยังสยนามฟุตบอล รวมกลุ่มกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในชมรมทันที

ขณะที่อาจารย์ปราชญ์จ้องมองพิสุทธิ์ในชุดปั่นจักรยานที่หนั่นแน่น นั่งอยู่บนอานจักรยานด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านด้วยไฟอห่งกิเลสตัณหา ในหัวเขากำลังประมวลความคิดอะไรบางอย่างอยู่

“คุณพิสุทธิ์ เราต้องได้เจอกันอีกแน่ ๆ”

พิสุทธิ์ปั่นจักรยานมาถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของลูกชายมากนัก วันนี้เขามีนัดกับทีมงานนิตยสาร GENT ที่จะมาถ่ายเกี่ยวกับงานอดิเรกสุดโปรดของเขา ซึ่งพิสุทธิ์เสนอการปั่นจักรยานออกกำลังกายกับวศินไป และวศินตอบรับและนัดวันถ่ายทำสกู๊ปดังกล่าวทันที

ทันทีที่มาถึง เขาเห็นเตชิตกำลังอำนวยความสะดวกให้กับทีมงานหนังสืออยู่ก่อนแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปหากลุ่มทีมงานหนังสือทันที

“สวัสดีทุก ๆ คนครับ ขอโทษที่มาสายไปนิด พอดีแวบไปส่งลูกชายที่โรงเรียนมา”

“ไม่เป็นไรครับ พวกเราเพิ่งเซ็ตอัพอุปกรณ์เสร็จพอดี และแสงต่อจากนี้น่าจะกำลังสวย เรียนเชิญคุณพิสุทธิ์เมคอัพสักนิดนะครับ จะได้ถ่ายรูปออกมาเพอร์เฟค”

พายัพ ตากล้องหนุ่มใหญ่กล่าวกับพิสุทธิ์ ก่อนที่จีจี้ ช่างแต่งหน้าประจำกองจะมาพาพิสุทธิ์ไปยืนในร่มเพื่อเติมหน้าเติมตาก่อนจะเริ่มถ่ายทำ

นี่เป็นครั้งแรกที่เตชิตเห็นเจ้านายของเขาอยู่ในชุดที่รัดรูปแนบเนื้อขนาดนี้ ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ

ก่อนมาทำงานที่นี่ เตชิตมีประวัติการเป็นเลขานุการมาอย่างยาวนาน ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นเลขานุการของผู้อำนวยการบริษัทการค้ายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งมาก่อน จนกระทั่งเขามีโอก่าสได้เจอตัวจริงของพิสุทธิ์ในงานสัมมนาคู่ค้านักลงทุนงานหนึ่ง และเห็นการแสดงวิสัยทัศน์ของพิสุทธิ์ ที่ทำให้เขารู้สึกทึ่งในตัวชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ หลังจากนั้นเขาติดตามข่าวสารของพิสุทธิ์ตลอดเวลา แล้เมื่อทราบว่าพิสุทธิ์เปิดรับสมัครตำแหน่งเลขานุการ เขาไม่รีรอที่จะลาออกจากงานที่เก่าเพื่อมาสมัครงานที่นี่ทันที และมั่นใจว่าจะได้งานนี้มาเป็นของตน แล้วเขาก็ทำได้จริง ๆ

ตลอเวลาปีกว่า ๆ ที่ทำงานใกล้ชิดพิสุทธิ์ เขายิ่งยกย่องบูชาเจ้านายคนนี้ ทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องการวางตัว และการแสดงออกกับคนใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวเขาที่เป็นลูกน้อง พิสุทธิ์แทบไม่เคยแสดงอำนาจเหนือใด ๆ ใส่เขาเลย

จากความยกย่องบูชา มันค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความปรารถนาในตัวของเจ้านาย แม้รู้ว่ามิอาจจะได้มาครอบครอง แต่เตชิตก็ไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าเขาไม่ได้ใฝ่ฝันถึงพิสุทธิ์มากกว่าในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง

สายตาของเตชิตมองเรือนร่างที่แข็งแกร่งกำยำของเจ้านายหนุ่มอย่างไม่อาจละสายตาได้ ยิ่งพิสุทธิ์ถูกสั่งให้โพสต์ท่านั้น ท่านี้ อยู่บนจักรยานคู่ใจ ก็ยิ่งทำให้ไฟร้อนในกายของเลจานุการหนุ่มโชคอช่วงขึ้นมา ภายใต้ชุดที่แนบเนื้อขนาดนั้น เขาเห็นเป้ากางเกงของพิสุทธิ์เป็นก้อนตุงคับแน่น เห็นบั้นท้ายอันฟิตเปรี๊ยะนั้น ค่อย ๆ คล่อมไปบนอานจักรยานที่เรียวรับร่องก้น เตชิตทนแทบไม่ไหว ต้องควักยาดมออกมาดมเพื่อเรียกสติทันที

หลังเสร็จงาน ไฟล์รูปทั้งหมดของวันนี้ถูกส่งไปให้วศินดูเพื่อเลือกภาพสำหรับใช้ลงในหนังสือ วศินเปิดฟลเดอร์ที่โหลดมาเพื่อเข้าดูรูปที่ละรูป จากภาพที่เน้นแค่ใบหน้าของพิสุทธิ์ ค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่เน้นรูปร่างของหนุ่มใหญ่ พิสุทธิ์ในชุดปั่นจักยานฟิตเปรี๊ยะแนบเนื้อนั้น ทำให้วศินยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“คุณนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ นะ คุณพิสุทธิ์”


บทกลาง

คาบเรียนวิชาศิลปะศึกษาวันนี้ มาสเตอร์ปราชญ์สอนนักเรียนให้เข้าใจเรื่อง “โครงสร้างร่างกายของมนุษย์เพศผู้”

โดยนำตัวอย่างภาพสรีระของผู้ชายในหลาย ๆ แบบมาให้นักเรียนในห้องช่วยกันพิจารณา เด็ก ๆ ในห้องต่างตกใจกับภาพตัวอย่างที่เห็น เพราะถึงแม้พวกเขาจะเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กันแล้ว แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ภาพสรีระร่างกายของผู้ชายแบบที่ไม่อะไรปกปิดเลยมาประกอบการเรียนการสอน

ในครั้งแรกเด็ก ๆ ต่างหัวเราะขบขันและเอาภาพตัวอย่างนั้นมาเล่นหยอกล้อกันไปมา จนสักพักเมื่ออาจารย์ปราชญ์เริ่มเข้าสู่บทเรียนที่จริงจังขึ้น ความสนุกสนานนั้นก็ค่อย ๆ หายไป แต่เด็ก ๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าการเรียนเรื่องสรีระร่างกายนี้จะเกี่ยวข้องกับงานศิลปะอย่างไร

“เอาล่ะ เพื่อให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องร่างกายของเรา อาจารย์ก็เลยมีงานที่จะให้พวกเธอทุกคนไปทำ อย่างที่บอกว่าวันนี้จะสั่งงานเพื่อเก็บคะแนนก่อนสอบปลายภาค เอ้า ฟังดี ๆ นะ ให้พวกเธอจับกลุ่มกัน กลุ่มละ 5 คน แล้วให้ทุก ๆ คนในกลุ่มช่วยกันนึก ช่วยกันคิด ช่วยกันเลือกผู้ชายสักคนหนึ่ง ที่พวกเธอเห็นพ้องต้องกันว่า เขามี“โครงสร้างร่างกายของมนุษย์เพศผู้” ที่ในแบบที่พวกเธออยากเป็น การเลือกนี้ไม่มีผิด ไม่มีถูก ว่าร่างกายแบบไหนที่เป็นตามอุดมคติ เพียงแต่พวกเธอต้องตอบให้ได้ว่าทำไมจึงเลือกเขามาเป็นแบบ”

“เป็นแบบ?”

เสียงเด็ก ๆ เซ็งแซ่ หันมองหน้าตากันเลิ่กลั่กด้วยไม่ค่อยเข้าใจประโยคนี้ที่มาสเตอร์ปราชญ์กล่าวทิ้งท้าย

“ใช่ เป็นแบบ นี่ไม่ใช่การเลือกเฉย ๆ เลือกจากหนังสือ เลือกจากทีวี หรือเลือกจากสื่อไหน ๆ แต่อาจารย์จะให้พวกเธอเลือกคนเป็น ๆ คนจริง ๆ คนที่แวดล้อมอยู่ภายในชีวิตพวกเธอ แล้วให้ลองพิจารณาเรือนร่างความเป็นชายของเขาอย่างตั้งใจ โดยการ ขอให้เขามาเป็นแบบสำหรับวาดภาพส่งอาจารย์ เป็นภาพที่เห็นสรีระของแบบทั้งตัว เน้นย้ำนะว่า “ทั้งตัว” แบบที่ไม่มีเสื้อผ้าหรือมีอะไรปิดกั้น”

“เรียกง่าย ๆ ว่าแก้ผ้าเป็นแบบนู้ดใช่มั้ยครับอาจารย์”

หมึกยกมือขึ้นถามทันที

“เธอเข้าใจไม่ผิด ตามนั้น มีคะแนนสำหรับงานนี้ 30 คะแนนเต็ม เพราะฉะนั้น ไม่ใช่งานที่เธอจะทำเล่น ๆ ทำส่ง ๆ นะ เข้าใจใช่มั้ย”

เด็ก ๆ ต่างรับคำ แต่ก็ยังไม่วายบ่นออดแอดว่าเป็นงานที่ยาก โดยเฉพาะกับการหาคนที่จะมี โครงสร้างร่างกายของมนุษย์เพศผู้แบบในฝัน และต้องขอให้เขามาเป็นแบบให้อีกต่างหาก

“อาจารย์ปราชญ์แม่งสั่งงานเหี้ยอะไรวะเนี่ย ยากฉิบหาย”

หมึกบ่นอุบทันทีเมื่อนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่จะทำงานส่งด้วยกัน ซึ่งกนึ่งในนั้นมีโตนรวมอยู่ด้วย

“นั่นสิวะ เรียนเรื่อง Body ก็เลยสั่งให้หาคนต้นแบบที่มีร่างกายในแบบที่เราอยากเป็น แล้ววาดภาพร่างกายของเขามาส่ง ไอ้นึกว่าอยากมีรูปร่างแบบไหนนี่ไม่เท่าไร แต่จะไปขอวาดรูปเขาตอนแก้ผ้านี่ใครจะไปยอมให้วาดวะ”

“งั้นก็ต้องหาคนที่รูปร่างดี แล้วน่าจะยอมแก้ผ้าเป็นแบบให้เราวาดได้สิวะ”

“มึงว่าใครจะยอมวะไอ้หมึก”

“ก็ต้องเป็นคนใกล้ตัวที่สนิทกับเรา กูว่าเขาไม่น่าอาย ยิ่งมันเป็นงานที่เราต้องทำส่งอาจารย์ เขาน่าจะเข้าใจ”

“พูดแบบนี้กูว่ามึงมีคนที่คิดไว้ในใจแล้วใช่มั้ยวะ”

เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งถามขึ้นมา หมึกปรายสายตาไปที่โตน ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้ออกความเห็นในเรื่องนี้เลย

“มึงว่าพ่อไอ้โตนพอจะเป็นไอดอลของพวกเราได้มั้ยวะ”

ทุกเสียงหยุดนิ่ง ทุกคนหันมามองที่โตนเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่จะขานรับกับข้อเสนอของหมึกกันอย่างเซ็งแซ่

“เห้ย พวกมึงล้อกันเล่นใช่มั้ยเนี่ย ไม่ได้นะ ไปหาคนอื่นเหอะ พ่อกูเขาไม่ยอมหรอก”

“มึงถามพ่อมึงแล้วเหรอถึงได้รู้ว่าเขาไม่ยอม ที่พ่อมึงไปปั่นจักรยาน ฟิตหุ่นมาจนได้ขนาดนี้ มันจะมีประโยชน์กับตัวมึงก็งานนี้นะไอ้โตน”

“นั่นสิ ยิ่งเป็นการทำเพื่อให้ลูกได้คะแนนดี ๆ กูว่ายังไงพ่อมึงก็เต็มใจทำให้”

“ถ้าพ่อกูมีรูปร่างดีแบบนี้ เขาต้องยอมทำเพื่อให้กูได้คะแนนดี ๆ แน่ ๆ”

“ใช่ พ่อกูก็ด้วย”

เสียงเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างสนับสนุนความคิดเห็นนี้จนโตนรู้สึกน้ำลายท่วมปาก พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“มึงลองไปคุยกับพ่อมึงก่อน หรือไม่อย่างนั้นนะไอ้โตน มึงก็ลองหาคนอื่นมาเป็นแบบให้ได้”

โตนเหงื่อตกเมื่อเห็นเพื่อน ๆ หันมามองเขาเป็นตาเดียว งานนี้สำหรับเขาทุกทางออกดูจะเป็นเรื่องยากไปหมด

โตนมองพ่อของเขาในชุดปั่นจักยานแนบเนื้ออย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ จริง ๆ เขาเห็นพ่อในชุดแบบนี้บ่อยครั้ง แต่ในความรู้สึกก่อนหน้านี้มันคือชุดออกกำลังกายธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ ก็ใส่กัน ตัวเขาเองก็มีอยู่หลายชุด แต่ครั้งนี้สายตาที่เขามองพ่อมันเปลี่ยนไป

ชุดที่พ่อของเขาใส่นั้นมันช่างรัดรึงเรือนร่างจนแทบจะเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย เขามองไปที่กล้ามแขน กล้ามหน้าอก ไล่ลงมาจนถึงกล้ามท้อง มันดูสมบูรณ์แบบในแบบที่ไม่ค่อยได้พบนักในหมู่ผู้ชายวัยนี้

โตนมองลงมายังช่วงกลางลำตัวของพ่อเขา อยู่ ๆ เขาก็เกิดอาการหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จนสุดท้ายหนุ่มน้อยต้องละสายตาจากพ่อของตัวเอง

“หายเหนื่อยรึยังโตน พร้อมจะแข่งกับพ่ออีกสักรอบมั้ย” โดนคำท้าทายโตนก็รีบตอบรับทันที เขามองพ่อของเขาที่หันหลังแล้วก้าวขึ้นคร่อมจักรยานคันเก่ง มันทำให้เขาหวนกลับไปคิดถึงคำพูดของไอ้หมึกขึ้นมาอีกครั้ง

“ที่พ่อมึงไปปั่นจักรยาน ฟิตหุ่นมาจนได้ขนาดนี้ มันจะมีประโยชน์กับตัวมึงก็งานนี้นะไอ้โตน”

บั้นท้ายที่ฟิตเปรี้ยะ ที่กำลังคร่อมอยู่บนอานจักรยาน มันทำให้เลือดในกายของโตนสูบฉีดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กหนุ่มรู้สึกถึงการเติบโตและมีอารมณ์ทางเพศของเขาเป็นครั้งแรก เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเพศเดียวกัน และคน ๆ นั้นคือ พ่อของเขาเอง

โตนรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกจากหัว แล้วก้าวขึ้นคร่อมอานจักรยานแล้วปั่นตามพ่อของเขาไปทันที

เมื่อกลับมาถึงบ้าน พิสุทธิ์ขอตัวแยกไปอาบน้ำ ขณะที่โตนก็แยกกลับไปที่ห้องของตัวเอง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าใจของเขาสั่นผิดปกติ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เขารีบถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้แรงที่สุด เพื่อให้สายน้ำฉีดรดร่างให้คลายความร้อนรุ่ม โตนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยเห็นเรือนร่างที่ปราศจากเสื้อผ้าของพ่อเขามาก่อนเลย แม้แต่การเปลือยท่อนบน โตนก็ยังไม่เคยเห็น เขาไม่เคยรู้ว่าพ่อเขามีไฝฝ้า มีแผลเป็น หรืออาจมีรอยสักที่ตรงไหน และเขาก็ไม่เคยสนใจที่จะอยากรู้มาก่อน แต่ไม่รู้ทำไมตั้งแต่วันที่ไอ้หมึกเปิดประเด็นเรื่องพ่อเขา เขากลับหยุดคิดถึงมันไม่ได้เลย

แต่เขาก็ยังไม่รู้จะเปิดประเด็นสิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องการจากเขากับพ่อได้อย่างไร

“โตน เป็นอะไรรึเปล่า”

เสียงของพ่อทำให้โตนตื่นจากภวังค์

“โทษทีครับ โตนคิดอะไรเพลินไปหน่อย นี่แม่ไปไหนครับ”

“ออกไปคุยโทรศัพท์ คุณยายโทรมาน่ะ”

“อย่างนี้คงคุยไม่ต่ำกว่าชั่วโมง” ทั้งพ่อและลูกชายต่างหัวเราะกันสนุก

“พ่อถามว่าเราเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมนั่งเหม่อ พ่อเรียกตั้งหลายครั้ง”

“คิดเรื่องงานกลุ่มวิชาของอาจารย์ปราชญ์นิดหน่อยครับ พอดีวิชานี้เป็นคิวโตนที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักของกลุ่ม”

“แล้วมีอะไรที่จัดการไม่ได้ มีอะไรที่พ่อช่วยได้มั้ยล่ะ”

“เอ่อ....”

โตนเสียงสั่นอย่างปิดไม่มิด

“มีอะไรก็บอกพ่อได้นะ เผื่อพ่อจะช่วยได้”

“ต้องส่งงานรูปวาดครับพ่อ”

“วาดอะไรล่ะ”

“บอดี้ของคนที่เป็นไอดอลของพวกเรา ร่างกายที่เราฝันอยากจะเป็น”

“แล้วบอดี้แบบไหนที่โตนกับเพื่อน ๆ อยากจะได้เป็นแบบล่ะ ให้พ่อช่วยหามั้ย”

โตนเงียบไปพักใหญ่ ใจของเขาเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เพื่อน ๆ โตนมันเลือกกันมาแล้วครับ แต่โตนไม่แน่ใจ...”

“ใครล่ะ”

“พ่อไงครับ”

พิสุทธิ์หลุดหัวเราะออกมาตอนที่ได้ยินคำตอบจากลูกชาย

“โตนหนักใจเรื่องนี้เหรอลูก ไม่เป็นไร ถ้าพ่อช่วยโตนได้ พ่อก็จะทำให้ บอกเพื่อน ๆ ได้เลยว่าพ่อรับปากจะเป็นแบบให้กับกลุ่มของโตน”

“พ่อพูดจริง ๆ เหรอครับ พ่อจะมาเป็นแบบให้โตนจริง ๆ เหรอครับ”

“จริงสิ ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น”

โตนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องต่าง ๆ มันจะง่ายขนาดนี้

หลังจากคุยกับพ่อเรียบร้อย โตนรีบส่งข้อความเข้าทางไลน์กลุ่มเพื่อแจ้งกับเพื่อน ๆ ทันที

โตน ; กูคุยกับพ่อแล้วนะ พ่อกูโอเคที่จะเป็นแบบให้

หมึก ; 5555 กูบอกแล้วว่าพ่อมึงฟิตหุ่นมาขนาดนี้ มีโอกาสได้โชว์ทำไมเขาจะไม่อยากโชว์

ตุ่น ; ไม่แน่นะโตน พ่อมึงอาจค้นพบรสนิยมที่ตัวเองชื่นชอบก็งานนี้

อั้ม ; พวกมึงเบา ๆ หน่อย เดี๋ยวไอ้โตนโมโหมันจะพาลไม่ให้พ่อมันมาโชว์ เดี๋ยวพวกเราจะซวยกันโดยถ้วนหน้า

หมึก ; โตนมันไม่ทำอย่างนั้นหรอก เลือดพ่อมันแรง พ่อมันคนดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ใช่มั้ยโตน 5555

โตน ; พ่อกูน่ะคนดี แต่กูไม่แน่ใจว่ากูจะดีแบบพ่อกูได้ไหม กูแค่มาแจ้งข่าว พวกมึงจะได้สบายใจ ยังไงวิชานี้กูเป็นผู้รับผิดชอบ กูจะไม่ยอมให้มันพังเพราะน้ำมือกูแน่ ๆ อีกสองวันพ่อกูนัดให้พวกเราไปหาที่ออฟฟิศหลังพวกเราเลิกเรียน

โตนทิ้งท้านในไลน์กลุ่มไว้เท่นั้น เช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่น ๆ หากแต่ข้อความการพูดคุยเรื่องนี้ กลับไปโผล่ในไลน์กลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่มีโตนอยู่ในนั้นด้วย

หมึก ; แผนการสำเร็จ 5555

ตุ่น ; ไม่นึกเลย ยังคุยกันเมื่อวันก่อนว่าพ่อไอ้โตนแม่งโคตรเพอร์เฟก ดูดีไปทุกอย่าง โคตรอิจฉาไอ้โตนเลย ไม่นึกเลยว่าผ่านมาไม่กี่วัน พ่อมันจะมาแก้ผ้าเป็นแบบให้พวกเราดู 555

หมึก ; กูอยากหาอะไรสนุก ๆ มาลองเล่นกับพ่อไอ้โตนสักหน่อย มีเวลาอีกสองวัน เดี๋ยวกูขอเวลาคิดก่อนนะพวกมึง 555

อั้ม ; เรื่องเหี้ย ๆ เนี่ยงานถนัดมึงอยู่แล้วนี่ ไอ้โตนมันพลาด พลาดตั้งแต่มาขออยู่กลุ่มเดียวกับเราแล้ว

หมึก ; หมั่นไส้มันนัก เดี๋ยวกูจะจัดหนัก ๆ ให้เลย พวกมึงเตรียมรับชมกันนะ 5555

ข้อความในกลุ่มจบลงเท่านั้น หากแต่หมึกยังคงไม่เลิกคุยในประเด็นนี้ แต่คนที่เขาทักไลน์ไปคุยเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่เพื่อน ๆ คนไหน แต่กลับกลายเป็น มาสเตอร์ปราชญ์แทน

วันนัดหมายสำคัญ

ช่วงบ่าย ๆ พิสุทธิ์มีนัดหมายกับทีมนิตยสาร GENT เพื่อมาเก็บภาพและบทสัมภาษณ์ชิ้นสุดท้าย

พิสุทธิ์อยู่ในชุดสูทโก้หรูแต่เรียบง่าย มันเป็นชุดที่ช่วยขับเน้นให้ภาพลักษณ์นักธุรกิจที่ทำงานเพื่อสังคมของเขาชัดเจนและเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น ซึ่งพิริยาภรรยาคนสวยของเขาเป็นคนจัดการให้ วันนี้ วศิน บรรณาธิการของนิตยสาร GENT เดินทางมาทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์พิสุทธิ์ด้วยตัวเอง ขณะกำลังสัมภาษณ์ พายัพช่างภาพมือหนึ่งของนิตยสารก็ตามเก็บภาพไปเป็นระยะ ส่วนจีจี้ก็เข้ามาดูแลเรื่องภาพลักษณ์ของพิสุทธิ์ให้ดูดีทุกอย่าง แต่ทั้งหมดนั้นมีเตชิต เลขานุการหนุ่มของพิสุทธิ์คอยช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทุกคน

หลังเสร็จการถ่ายทำและการสัมภาษณ์ เตชิตเดินเข้ามาหาพิสุทธิ์เพื่อส่งข่าว

“น้องโตนมาถึงแล้วนะครับ ผมให้รอที่ห้องรับรอง”

“OK บอกโตนว่าเดี๋ยวผมถ่ายรูปเสร็จจะรีบตามไป แล้วห้องที่ผมสั่งให้คุณจัดการเรียบร้อยดีไหม”

“เรียบร้อยครับ ผมจัดห้องสันทนาการไว้สำหรับงานนี้แล้ว จัดโตณะให้คุณพิสุทธิ์นั่งเป็นแบบ และพื้นที่เพื่อให้น้องโตนและเพื่อน ๆ ใช้วาดรูปแล้ว ตอนมาถึงผมพาน้องโตนไปดูห้องมาแล้วครับ”

“ดี ๆ ผมขอให้คุณอยู่ช่วยจัดการดูแลความเรียบร้อยตอนทำกิจกรรมด้วยนะ เดี๋ยวผมอนุมัติค่าล่วงเวลาให้”

“ด้วยความยินดีครับ”

เตชิตรับคำ เขารู้สึกดีที่จะได้อยู่ดูการทำกิจกรรมของพิสุทธิ์กับลูกชาย แม้เจ้านายจะไม่ร้องขอ เขาก็จะหาข้ออ้างอยู่ต่อเพื่อดูกิจกรรมนี้ให้ได้ ไม่มีใครรู้ว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ทำงานอยู่ที่นี่ เตชิตรู้สึกหลงไหล คลั่งไคล้เจ้านายของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาพยายามหาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดพิสุทธิ์แบบถึงเนื้อถึงตัว แต่ดูเหมือนจะไม่เคยมีโอกาสนั้นเลย เมื่อวันก่อนตอนที่เห็นเจ้านายสวมชุดปั่นจักรยานสุดฟิตนั้น เขาแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เกือบจะเผลอไผลทำอะไรบางอย่างเพราะสัญชาตญาณดิบในตัวมันสั่งให้ทำ ครั้งนี้พอเขาได้รับรู้ว่าเจ้านายจะเป็นแบบในการวาดรูปให้กลุ่มของลูกชายเพื่อส่งอาจารย์ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเพราะคิดว่ามันน่าจะมีอะไรให้เขาได้ลุ้นจากกิจกรรมนี้แน่ ๆ

ขณะที่ วศิน เมื่อได้ยินบทสนทนาของเจ้านายกับลูกน้อง ก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

“จะมีกิจกรรมอะไรกันเหรอครับ”

“อ้อ ลูกชายผมกับเพื่อน ๆ เขาจะมาทำงานส่งอาจารย์กันครับ เขามาขอให้ผมช่วย ผมก็เลยให้เขามาทำงานกันที่นี่”

“งานแบบไหนครับ ผมขอเข้าไปเก็บภาพมาใช้ลงประกอบบทสัมภาษณ์ได้ไหมครับ”

“ยินดีครับ ผมจะเป็นแบบให้ลูกชายและเพื่อน ๆ วาด Body ในแบบที่เขาอยากได้อยากเป็นครับ ก็อาจจะต้องมีถอดเสื้อโชว์กล้ามกันสักนิดครับ”

“แต่คุณพิสุทธิ์ดูฟิตมากนะครับ ผมเห็นตอนที่คุณสวมชุดปั่นจักรยาน มันคือร่างกายในอุดมคติจริง ๆ ก็สมแล้วที่จะถูกยกให้เป็น Body ในฝันของเด็ก ๆ”

“ก็มีโอกาสได้ใช้ Body ที่เราดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เพื่อช่วยลูกชายและเพื่อน ๆ ลูก ผมยินดีมาก ๆ ครับ”

“งั้นเรามาถ่ายรูปชุดสุดท้ายกันก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปต่อที่ห้องทำกิจกรรมกันครับ”

พิสุทธิ์พยักหน้า แล้วปล่อยให้ทีมนิตยสารจัดการงานของเขาต่อไป

เมื่อเสร็จงานนิตยสาร พิสุทธิ์พากลุ่มทีมงาน GENT มาที่ห้องสันทนาการที่ถูกจัดไว้สำหรับการทำกิจกรรมงานกลุ่มของลูกชายเขา เขาเห็นโตนมารออยู่ในห้องก่อนแล้ว

“เป็นไงบ้างโตน โอเคมั้ยลูก”

โตนหันมาเห็นพ่อของเขาเดินนำกลุ่มทีมงานนิตยสาร GENT ก็ส่งสายตามองด้วยความแปลกใจจนผู้เป็นพ่อสังเกตได้จึงรีบบอกลูกชาย

“คุณวศินไงโตน จพได้ใช่มั้ยที่ไปที่บ้านเรา สัมภาษณ์แม่กับโตนลงนิตยสาร GENT พอดีวันนี้พ่อนัดทีมงานมาสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายที่ออฟฟิศพอดี เขาได้ยินว่าจะมีกิจกรรมกันต่อ ก็เลยขอมาสังเกตการณ์และบันทุกภาพด้วย”

โตนตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากผู้เป็นพ่อ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป ผู้เป็นพ่อก็ถามกลับมาเสียก่อน

“แล้วเพื่อน ๆ ลูกล่ะ”

“กำลังจะมาครับ โตนเดินทางมาเตรียมความพร้อมก่อน เอ่อ ขอโตนคุยกับพ่อส่วนตัวได้ไหมครับ”

โตนพาพิสุทธิ์ไปที่มุมห้องด้านหนึ่ง

“ทำไมพ่อให้หนังสือมาถ่ายด้วยครับ แค่มีคุณเตชิตอยู่ด้วยโตนก็แปลกใจจะแย่แล้ว”

“ก็พ่อให้เตชิตอยู่ช่วยดูแลความเรียบร้อย ทำไมต้องแปลกใจ แล้วที่ให้นักข่าวมาเก็บภาพ เพราะพ่ออยากให้พ่อคนอื่น ๆ เห็นว่าการทำกิจกรรมร่วมกับลูกมันสำคัญมากนะ มีโอกาสที่ดีในการสื่อสารเรื่องแบบนี้ พ่อไม่ยอมพลาดหรอก”

“แล้วพ่อไม่อายเหรอที่ใครก็ไม่รู้จะมาเห็น...”

“อายอะไร แค่ถอดเสื้อโชว์กล้าม ที่อยู่นี่ก็มีแต่ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น”

“ไม่ใช่แล้วพ่อ ไม่ใช่แค่ถอดเสื้อโชว์กล้าม”

“ไม่ถอดเสื้อแล้วจะเห็น Body ได้ยังไง แล้วโตนกับเพื่อน ๆ จะวาดรูปไปส่งอาจารย์ได้เหรอ”

“ที่โตนจะบอกคือไม่ใช่แค่ถอดเสื้อครับ แต่....”

ยังไม่ทันที่โตนจะบอกทุกอย่างกับพ่อของเขา กลุ่มเพื่อน ๆ ของโตนก็เดินเข้ามาเสียก่อน โตนเริ่มหน้าเสียทำอะไรไม่ถูก แต่ขณะที่กำลังประมวลความคิดว่าจะแก้ไขสถานกาณณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร หัวใจของโตนก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นคนที่เดินเข้ามารั้งท้าย

“มาสเตอร์ปราชญ์!!!!”


บทท้าย

“มาสเตอร์ปราชญ์!!!”

โตนตกใจมากตอนที่เห็นคุณครูของเขาเดินตามหลังเพื่อน ๆ เข้ามาในห้องด้วย เขาเหงื่อแตกแม้ว่าอากาศในห้องจะเย็นกำลังดีก็ตาม โตนรู้สึกว่าครั้งแรกเมื่อเพื่อน ๆ มาถึง เขารู้สึกว่าการแก้ปัญหามันยากแล้ว แต่ทุกอย่างดูจะทวีคูณความยากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออาจารย์ปราชญ์ตามมาด้วย

“แปลกใจล่ะสิไอ้โตน ที่เห็นอาจารย์ปราชญ์ตามมาด้วย” ตุ่นเข้ามากระซิบบอกโตน หมึกจึงช่วยขยายความ

“พอดีก่อนมาเจออาจารย์ปราชญ์ กูเลยบอกว่าวันนี้จะมาทำการบ้านวิชาอาจารย์กันที่ออฟฟิศพ่อมึง โดยพ่อมึงจะแก้ผ้าเป็นแบบให้ อาจารย์แกรีบขอตามมาดูด้วยทันที โตน มึงนี่แน่จริง ๆ มึงรับปากและทำได้ตามที่บอกไว้จริง ๆ”

เสียงหัวเราะของหมึกดังนำขึ้น เพื่อนคนอื่น ๆ เลยผสมโรงหัวเราะตาม ขณะที่มาสเตอร์ปราชญ์เดินเลี่ยงจากเด็ก ๆ ตรงไปหาพิสุทธิ์ที่กำลังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

“สวัสดีฮ่าคุณพิสุทธิ์ จำกันได้มั้ยฮ่ะ ผมอาจารย์ปราชญ์ เราเจอกันที่สนามฟุตบอลที่โรงเรียนเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ รู้สึกยินดีมาก ๆ ที่วันนี้ได้มาเจอคุณพิสุทธิ์อีก แถมยังเป็นการเจอแบบไม่ธรรมดาด้วย ไม่นึกเลยนะฮ้าว่าการบ้านที่ผมให้ จะได้รับความสนใจจากคุณพิสุทธิ์และยอมให้เกียรติมาเป็นแบบให้กับนักเรียนของผม สมแล้วที่คุณพิสุทธิ์เป็นนักธุรกิจตัวอย่างที่ทำงานเพื่อสังคม ผมเชื่อว่าเด็ก ๆ จะทำผลงานออกมาได้ดีไม่ทำให้คุณพิสุทธิ์ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

อาจารย์ปราชญ์พูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยที่พิสุทธิ์ไม่ทันได้ตอบโต้อะไร แต่คนที่พูดแทรกขึ้นมากลับกลายเป็นวศินแทน

“สวัสดีครับ ผมวศิน บรรณาธิการของนิตยสาร GENT ครับ วันนี้มาทพสกู๊ปพิเศษเรื่องของคุณพิสุทธิ์พอดี เห็นว่าจะมีกิจกรรมต่อจากนี้ เลยจะเข้ามาบันทึกภาพกิจกรรมในครั้งนี้สำหรับลงประกอบคอลัมน์ด้วย อาจจะต้องขออนุญาตน้อง ๆ และอาจารย์ด้วยนะครับ หากจะต้องขอบันทึกภาพเพื่อไปใช้ลงหนังสือนะครับ”

“ยินดีมาก ๆ เลยฮ่า” มาสเตอร์ปราชญ์รีบเอ่ยปากอนุญาต ไม่นึกไม่ฝันว่างานนี้นอกจากจะได้มาดูของดีของคนดังแล้ว ยังได้มีรูปตัวเองลงหนังสือหรืออาจจะถูกัมภาษณ์ด้วย อะไรจะโชคดีสองเด้งขนาดนี้

“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีมั้ยฮ้า ให้คุณพิสุทธิ์ไปเตรียมตัว ส่วนพวกเธอก็เตรียมอุปกรณ์ไว้รอเลย ถ้าวันนี้ไม่ได้งาน คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ประโยคหลังมาสเตอร์ปราชญ์ปรายตาไปมองที่โตน ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มสติแตกไปกันใหญ่ เขาส่งสายตามองไปที่พ่อของเขา เห็นพิสุทธิ์ส่งยิ้มมาให้ลูกชาย ก่อนจะเดินผลุบหายไปที่อีกห้องหนึ่งที่อยู่ทางด้านหลังห้องเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ขณะที่กลุ่มเด็ก ๆ ก็แยกย้ายไปจัดเตรียมอุปกรณ์ด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานที่จะได้ทำกิจกรรมนี้ มีเพียงโตนเท่านั่นที่มีแต่ความรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจและกังวลกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

ไม่นานหลังจากนั้น พิสุทธิ์ก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว เขาเดินมาถึงจุดที่ถูกจัดไว้สำหรับให้เขายืนเป็นแบบ มันเป็นพื้นเวทีขนาดย่อมที่ถูกยกสูงขึ้น ความสูงของมันคือทำให้คนที่อยู่เบื้องล่างมองขึ้นมาเห็นได้ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงตำแหน่งไหน บนเวทียกสูงนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ ข้าง ๆ กันมีเสาเหล็กที่ถูกออกแบบไว้สำหรับตั้งวางแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ ในแจกันนั้นมีดอกไม้หลากสีจัดตกแต่งอย่างสวยงาม ด้านหลังป็นฉากที่ขึงไว้ด้วยผ้ามัสลินสีชมพูอ่อนเพื่อเพิ่มความสวยงาม ทั้งหมดเป็นฝีมือการจัดวางของเตชิต

ด้านล่างเวที ทีมเด็กนักเรียนอยู่ห่างออกไปพอประมาณ ด้านหน้าพวกเขาเป็นที่ฉากสำหรับตั้งวาดกระดาษวาดเขียนผืนใหญ่ที่จะใช้วาด และมีเครื่องมือสำหรับรังสรรค์งานศิลปะวางเรียงรายอยู่ มาสเตอร์ปราชญ์อยู่ไม่ไกลจากกลุ่มเด็ก ๆ นัก ส่วนทีมงานนิตยสาร GENT อยู่ทางด้านหลังถัดจากกลุ่มเด็ก ๆ ลงไปเล็กน้อย

พิสุทธิ์หันมามองทางกลุ่มเด็ก ๆ ที่เหมือนจะพร้อมรออยู่แล้ว เขาจึงปลดเสื้อคลุมอาบน้ำออก โดยมีเตชิดเดินเข้าไปรับเสื้อคลุมอาบน้ำจากมือเจ้านาย ตอนนี้ร่างของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่เปลือยท่อนบนอยู่ ทำให้เห็นกล้ามแกร่งทั่วตัวอย่างชัดเจน ทั้งส่วนบริเวณหน้าอกที่มีกล้ามขึ้นเป็นไตบริเวณหัวนมอมชมพูทั้งสองข้าง ไล่มาจนถึงบริเวณหน้าท้องที่แบนเรียบ แต่ก็มีลอนกล้ามขึ้นให้เห็นอยู่รำไร ผิวของพิสุทธิ์นั้นออกขาวแบบลูกคนจีน ทำให้เห็นส่วนมัดกล้ามไม่ชัดนักเมื่อผิวของเขาต้องแสงไฟนีออนในห้อง ขณะที่ท่อนล่างพิสุทธิ์สวมกางเกงปั่นจักรยานแนบเนื้อสีเขียวขี้ม้าตัวโปรดของเขาอยู่ กางเกงนั้นกระชับแนบเนื้อจนเห็นสัดส่วนภายในร่มผ้าได้ชัดเจน

“ก่อนเริ่มวาด ขอคุณจีจี้ช่วยเมคอัพไฮไลต์ส่วนกล้ามเนื้อคุณพิสุทธิ์ให้เห็นชัดกว่านี้ได้มั้ยฮ่า เด็ก ๆ ของผมจะได้วาดได้ง่าย ๆ”

อาจารย์ปราชญ์เสนอ จีจี้ไม่รอช้ารีบหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางค์คู่ใจตรงไปหาพิสุทธิ์ทันที แล้วหยิบแปรงมาไฮไลต์ที่ตัวของนายแบบตามที่มาสเตอร์ปราชญ์แนะนำ ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนก็เห็นความเด่นชัดของกล้ามแกร่งบนตัวของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่

แรกเริ่มเหมือนพิสุทธิ์จะดูเก ๆ กัง ๆ อยู่บ้าง จนมาสเตอร์ปราชญ์ต้องช่วยแนะนำการโพสต์ท่าให้กับเขา เพราะเป็นคนที่มองเห็นว่าการโพสต์ท่าในลักษณะไหนที่จะช่วยขับเน้น Body ได้อย่างที่ต้องการ ไม่นานความเกร็งของพิสุทธิ์ก็คลายลง ส่วนคนที่ดูจะไม่คลายความเกร็งลงง่าย ๆ คงจะเป็นโตน ที่ยืนมองพ่อของเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง จนเขาลืมที่จะเข้าไปช่วยงานกลุ่ม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครในกลุ่มสนใจ เพราะคิดว่างานนี้หน้าที่ของโตนจบลงเมื่อได้พ่อของเขามาเป็นแบบแล้ว

ส่วนเตชิตยืนมองภาพตรงหน้าด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เขาเพิ่งมีโอกาสได้เห็นความขาวและกล้ามแกร่งของเจ้านายเป็นครั้งแรก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าถูกประมวลไว้ในกล่องความทรงจำของเขาเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ทีมนิตยสาร GENT ก็ให้ความสนใจกับกิจกรรมนี้ไม่แพ้กัน วศินให้พายัพเก็บภาพเบื้องหลังกิจกรรมอยู่ห่าง ๆ

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่ง...

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เด็ก ๆ เริ่มร่างภาพออกมาได้เป็นรูปเป็นร่าง เห็นโครงร่างท่อนบนของพิสุทธิ์ชัดเจนแล้ว มาสเตอร์ปราชญ์จึงสั่งหยุดพักการวาดลงเพื่อให้ทุก ๆ คนได้พัก

พิสุทธิ์ระบายลมหายใจออกจากปาก คลายความเกร็งที่ต้องทนยืนเป็นแบบอยู่เป็นเวลานาน โตนอาศัยจังหวะนั้นเดินตรงเข้าไปหาพ่อของเขา

“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ”

“ยังได้อยู่ไอ้ลูกชาย แล้วเราล่ะเป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ ก็ได้โครงร่างท่อนบนของพ่อแล้วครับ”

“อ้าว แล้วไม่วาดทั้งตัวพร้อมกันเหรอ”

พิสุทธิ์ถามด้วยความสงสัย แต่ก็คิดว่าเป็นกระบวนการขั้นตอนการทำงานที่ต้องลงรายละเอียดไปทีละส่วน ไม่ได้คิดสงสัยอะไร

“ยังวาดท่อนล่างไม่ได้ครับ”

โตนเสียงสั่นตอบไม่เต็มคำนัก

“ทำไมล่ะ”

“เพราะคุณพิสุทธิ์ยังใส่กางเกงอยู่น่ะสิฮ้า”

อาจารย์ปราชญ์รีบเดินตรงเข้ามาหาคู่พ่อลูกแล้วรีบแจงเหตุผล

“โจทย์ของการวาดครั้งนี้คือการวาด Body ทั้งตัว แบบไม่มีอะไรกั้นฮ่า”

“อะไรนะครับ”

พิสุทธิ์เอ่ยถามแบบแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“คุณพิสุทธิ์ไปเปลี่ยนชุดได้แล้วฮ่า คะแนนของลูกชายคุณอยู่ในกำมือของคุณเองนะฮ้า มันไม่มีอะไรเสียหายหรอก เพราะเรื่องวันนี้ มันจะจบแค่ในห้องนี้ รูปที่เด็ก ๆ ส่งมาจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่เผยแพร่ว่าใครที่เป็นนายแบบ แล้วรูปที่เด็ก ๆ วาดก็ไม่ได้วาดหน้าตาชัด เพราะโจทย์ของเราคือ Body เท่านั้น”

มาสเตอร์ปราชญ์เดินผละจากไป ปล่อยให้การตกลงใจเป็นของสองพ่อลูก สุดท้าย พิสุทธิ์ยอมเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัวในที่สุด

ผ่านไปนานเป็นสิบนาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าพิสุทธิ์จะออกมาจากห้องแต่งตัว ขณะที่กลุ่มเด็กนักเรียนต่างเตรียมรอพร้อมอยู่แล้ว จนสุดท้ายเตชิตต้องเดินไปเคาะประตูห้องเพื่อบอกกับเจ้านายของเขา

“ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วนะครับหัวหน้า” เลขานุการหนุ่มรู้สึกงงว่าทำไมครั้งนี้หัวหน้าจึงไม่ยอมออกมาจากห้องแต่งตัว แต่หลังจากที่เขาเรียกไม่นานเสียงคลายล็อกประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับตัวพิสุทธิ์ที่เดินออกจากห้องมาในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเหมือนเดิม

เสียงปรบมือของอาจารย์ปราชญ์ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องต่างปรบมือตาม กลุ่มเด็ก ๆ ส่งเสียงผิวปากแซว เพราะรู้ดีว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ขณะที่พิสุทธิ์ไม่หันมาสบตาหรือแสดงความรู้สึกใด ๆ กับใคร การปรากฏตัวของเขาในครั้งนี้แตกต่างจากในครั้งก่อนหน้านี้มาก

พิสุทธิ์เดินมาหยุดตรงที่เดิม เขายืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ จนมาสเตอร์ปราชญ์ต้องตะโกนขึ้นมาว่า

“เชิญคุณพิสุทธิ์ปลดผ้าได้เลยฮ่า เด็ก ๆ รอพร้อมอยู่แล้ว รวมทั้งทีมสื่อที่คุณเชิญเขามาบันทึกภาพเองด้วย”

เสียงมาสเตอร์ปราชญ์เน้นย้ำที่ประโยคท้ายอย่างจั้งใจ พิสุทธิ์หันมองสบตาคุณครูหนุ่มแต่ใจสาว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง แล้วหลับตาลง เขาค่อย ๆ ใช้มือคลายปมผ้าที่ผูกคาดชุดคลุมอาบน้ำที่ใส่มาออก แล้วจึงค่อย ๆ ถอดชุดคลุมอาบน้ำออกจากตัว

แล้วร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของเขาก็ถูกเผยต่อหน้าทุกสายตาในห้องนั้น

“เห้ย แก้ผ้าเลยเหรอเนี่ย”

พิสุทธิ์แว่วเสียงอุทานมาจากกลุ่มทีมสื่อ มันคือเสียงของวศินที่อุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่รอช้าที่จะรีบสั่งงานทีมงานทันที

“เห้ย ถ่ายไว้รึยัง ๆ เอาให้เห็นทั้งตัวเลยนะ หลาย ๆ มุมเลย ไอ้เหี้ย ไม่นึกว่าแม่งจะชวนเรามาดูตัวเองแก้ผ้าโชว์เด็ก 555”

แม้วศินจะพยายามพูดเสียงเบาเพียงไร แต่ด้วยความแคบและปิดทึบของห้องคำพูดนั้นจึงดังไปถึงหูของทุกคนอยู่ดี

“เด็ก ๆ รอเดี๋ยวนะ ขออาจารย์ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของคุณพิสุทธิ์ชัดกว่านี้อีกหน่อย พวกเธอจะได้วาดต่อกันง่าย ๆ ทำงานกันสะดวก”

ว่าแล้วมาสเตอร์ปราชญ์ก็เดินถือขวดน้ำมันที่ใช้สำหรับชโลมผิวตรงไปหาพิสุทธิ์

“คุณเตชิตอยากจะมาช่วยผมทามั้ยฮ้า”

อยู่ ๆ มาสเตอร์ปราชญ์ก็มีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์ เตชิตที่ตอนนี้ยืนอ้าปากค้างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหน้าเหมือนจะได้สติ เขาหันไปมองมาสเตอร์ปราชญ์ที่ส่งสีหน้าเจ้าเล่ห์มาทางเขาอยู่

“ได้ครับได้”

เตชิตไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือ รีบตามมาสเตอร์ปราชย์ตรงไปหาเจ้านายของเขาทันที

ขณะที่ทีมงาน Gent รีบตรงเข้าไปเก็บภาพเช่นกัน

“บันทึกช๊อตนี้เป็นวิดีโอเลยนะ ซูมให้ชัด ๆ ไปเลย” วศินเอ่ยปากสั่งทีมงาน

ทุกคนชุลมุนกับร่างเปล่าเปลือยของพิสุทธิ์ ขณะที่กลุ่มเด็ก ๆ ต่างหัวเราะคิกคักชอบใจโดยไม่ได้สนใจเลยว่าโตนจะรู้สึกอย่างไรอยู่

“คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ไปบอกให้อาจารย์ปราชญ์มาสนุกกับเราด้วย รับรองวิชานี้เกรด 4 ไม่ไปไหน 555”

คำพูดของหมึกทำให้โตนหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท หมึกตอนนี้สายตากำลังมองไปที่เวที ขณะที่ปากก็เอ่ยแซวพ่อของเขาอย่างสนุกสนานคะนองปาก แต่ในสายตาที่มองนั้นโตนรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่สายตาที่แสดงออกถึงความสนุก แต่เป็นแววตาที่แสดงความสะใจ ที่เห็นพ่อของเขากำลังถูกกระทำย่ำยีจนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นผู้ชาย

โตนขนลุกชันด้วยความกลัว

บรรยากาศในห้องที่พิสุทธิ์จัดเตรียมไว้ให้ลูกชายและเพื่อนเขียนงานส่งอาจารย์ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด มาสเตอร์ปราชญ์เดินถือขวดน้ำมันขึ้นไปหาพิสุทธิ์ที่ยืนเปลือยร่างอล่างฉ่างอวดทุกส่วนสัดของร่างกายอยู่ต่อหน้าคนนับสิบ เตชิต ลูกน้องของเขาเดินกล้า ๆ กลัว ๆ ขึ้นไปตามคำเชิญชวนของอาจารย์ปราชญ์ ขณะที่กลุ่มเพื่อน ๆ ของโตนนั้น หัวเราะคิกคักกันอย่างออกรส ส่วนกลุ่มคนที่ดูจะกระตือรือร้นทำงานที่สุดคงหนีไม่พ้นทีมงานหนังสือ GENT ที่ดันมาได้ภาพเด็ดเอาไปใช้โดยไม่ได้คาดคิด

“ขออนุญาตนะฮ้าคุณพิสุทธิ์ ขอชโลมน้ำมันทาตัวสักหน่อย ผมทาด้านหน้าละกัน ส่วนคุณเตชิตเชิญชโลมด้านหลังให้ทั่วเลยฮ่า”

เตชิดพยักหน้ารับแล้วรีบเดินไปด้านหลังของพิสุทธิ์ทันที เขารู้สึกปลอดภัยกว่าที่จะอยู่นอกสายตาการจับจ้องของเจ้านาย เตชิตรับขวดน้ำมันมาหยดที่ฝ่ามือ ก่อนที่จะเอามืออีกข้างมาประกบแล้วถูมือไปมาให้น้ำมันชโลมทั่วฝ่ามือ ก่อนที่จะทาบมือลงไปที่ผิวเนื้อเนียนของพิสุทธิ์ พอผิวเนื้อโดนฝ่ามือที่อาบน้ำมันทาทาบทับร่าง พิสุทธิ์ถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เพราะความร้อนจากตัวน้ำมันที่กระทบร่าง ทำให้ชายหนุ่มถึงกับขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“คุณพิสุทธิ์ ทำไมผิวกายคุณถึงเนียนเรียบขนาดนี้ฮ้า” ปากก็พูดไป ส่วนมือของมาสเตอร์ปราชญ์ก็ลูบไล้เรือนร่างของนักธุรกิจหนุ่มคนดังไปด้วย มือนั้นโลมไล้น้ำมันตามเนื้อตัวจนถึงจุดสำคัญของความเป็นชาย

ทำไมตัวคุณเกลี้ยงเกลาไม่มีขนขึ้นให้เห็นเลยแม้กระทั่งขนตรงนั้น มันเนียนเรียบแบบที่ไม่น่าเพราะการถูกโกน คุณแว็กซ์มันเหรอฮ้าคุณพิสุทธิ์”

เสียงมาสเตอร์ปราชญ์กระซิบที่ข้างหูพิสุทธิ์ ขณะที่มือนั้นก็ลูบไล้ลงมาจนถึงจุดที่อาจารย์ตั้งคำถาม เขาไล้มือไปที่บริเวณหัวหน่าวของพิสุทธิ์ พยายามสัมผัสถึงตอขนหมอยที่น่าจะยังคาอยู่แต่กลับพบแต่สัมผัสของเนื้อเรียบ ๆ ไร้ตอ แต่มาสเตอร์ปราชญ์ไม่ได้ยินเสียงพูดตอบจากพิสุทธิ์ แต่กลับได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นรัวแรงแทน

“แว็กซ์เป็นปกติอยู่แล้ว หรือเพื่อมาเป็นแบบให้เด็ก ๆ ของผมกันแน่”

มาสเตอร์ปราชญ์ยังไม่หยุดกระซิบถาม ขณะที่ฝ่ามือก็ค่อย ๆ ถูที่ท่อนลำแท่งงามของพิสุทธิ์ มันเป็นสีขาวสวยไม่ต่างจากสีผิวของเข้าเลย มาสเตอร์ปราชญ์แอบหัวเราะในลำคอ

“ขาวขนาดนี้ คงไม่ค่อยได้ใช้งานสินะฮ้า มิน่ามีลูกชายนายโตนแค่คนเดียว”

มือที่ลูบคลำลำควย และคำพูดที่เหมือนแทงใจดำของมาสเตอร์ปราชญ์นั้น กลับส่งผลให้ท่อนลพของพิสุทธิ์ค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นสู้มือที่รุกล้ำ พอมันแข็งตัวมาสเตอร์ปราชญ์ก็ค่อย ๆ รูดหนังหุ้มทปลายที่ยังปิดอยู่ให้เปิดออก หัวควยสีชมพูสวยของพิสุทธิ์จึงโผล่ออกมาท้าทายสายตาของทุกคนในห้อง กลุ่มคนที่จ้องมองอยู่ด้านล่างอดรู้สึกเสียวตามไปกับการกระทำของมาสเตอร์ปราชญ์ไม่ได้

“ดีมากฮ่า ควยคุณต้องแข็งแบบนี้ตลอดนะ ไม่อย่างนั้นเด็ก ๆ จะวาดมันลำบาก”

ด้านหน้า มาสเตอร์ปราชญ์กำลังรุกพิสุทธิ์อย่างหนักหน่วง ส่วนด้านหลังนั้นเตชิตก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน มือของเลขานุการหนุ่มค่อย ๆ ลูบไล้เรือนร่างด้านหลังของเจ้านายอย่างเบามือ เพราะความเกร็งและความกลัวยังมีอยู่มาก แต่พอลูบไล้ผิวกายของพิสุทธิ์มาจนถึงสะโพก เขาก็อดที่จะจ้องลงไปมองบั้นท้ายกลมกลึงฟิตเปรี๊ยะนั้นไม่ได้ บั้นท้ายที่เมื่อสองวันก่อน เขาเห็นมันเป็นก้อนจากการแค่มองผ่านชุดกางเกงปั่นจักรยานแนบเนื้ออยู่เลย ไม่คิดว่าวันนี้เจ้านายจะใจกล้ามาแก้ผ้าให้เห็นมันเต็ม ๆ ตาแบบนี้

คิดได้อย่างนั้น เตชิตก็เหมือนจะบังคับควบคุมมือของตัวเองไม่อยู่ มันไล้ไปตามร่องก้นของเจ้านายหนุ่มทันที เขาไล้มือนั้นขึ้นลง ๆ ตามร่องก้นของเจ้านาย จนได้ยินเสียงของพิสุทธิ์ที่เผลอครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน เตชิตถือโอกาสนี้นั่งลงยอง ๆ ในระดับที่สายตาอยู่ตรงหน้าก้นของพิสุทธิ์ทันที เขาใช้นิ้วกลางค่อย ๆ แหย่เข้าไปในรูตูดของเจ้านาย ทีละนิด ๆ ๆ ก่อนจะเพิ่มจากนิ้วเดียวเป็นสองนิ้ว แล้วเริ่มคว้านเข้าไปด้านในรูตูดนั้น จนพิสุทธิ์เขยิบตัวแอ่นสะโพกหนี แต่หนีไปไม่ได้เพราะด้านหน้าก็ถูกรุกล้ำด้วยมือของมาสเตอร์ปราชญ์เช่นเดียวกัน พอหนีไม่พ้นสุดท้ายรูตูดของพิสุทธิ์กลับเปลี่ยนมาตอดรัดนิ้วของเตชิตแทน ตอนนี้บนเวทีเหมือนทุกคนจะอารมณ์เตลิดเปิดเปิงไปกันหมด

“นี่มันอะไรของมันวะเนี่ย มีชักให้กันจนควยแข็งด้วย”

วศินเผลออุทานด้วยความงงงวยกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่เขาก็สั่งให้พายัพบันทึกภาพต่อไป ขณะที่ตัวเองก็หยิบสมาร์ทโฟนส่วนตัวออกมาเก็บภาพที่เกิดขึ้นเอาไว้

“นักธุรกิจคนดัง แก้ผ้าเป็นแบบให้ลูกชายและเพื่อน ๆ วาดภาพเปลือยส่งอาจารย์ อยากรู้จังว่าการลงทุนนี้จะได้รับคำชมจากสังคมมั้ย”

ขณะที่กลุ่มเด็ก ๆ ที่จะต้องวาดภาพต่อให้เสร็จ ดูเหมือนจะลืมไปเลยว่ามีงานที่ต้องทำอยู่ เพราะมัวแต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่วางตา มีเพียงโตนที่ไม่กล้าจ้องมองภาพที่พ่อของเขากำลังถูกกระทำ เพราะความรู้สึกอับอายแทน

“ไอ้โตน มึงไม่ดูหน่อยเหรอ อาจารย์ปราชญ์แม่งคลึงไข่พ่อมึงเล่นสนุกมือเลย แถมลูกน้องพ่อมึงก็เอานิ้วแทงตูดพ่อมึงใหญ่เลย ถ้าแม่มึงมาเห็นจะรู้สึกยังไงวะเนี่ย 5555”

หมึกได้โอกาสที่จะข่มโตน มันไม่รอช้ารีบทำให้เพื่อนสนิทได้อายทันที

เหมือนมาสเตอร์ปราชญ์จะนึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ เขาจึงหยุดมือที่กำลังจัดการนักธุรกิจหนุ่มใหญ่เพียงเท่านั้น

“เด็ก ๆ และเอ่อ ทีมงานหนังสือฮ้า ที่กำลังทำอยู่นี่ก็เพราะอยากให้เห็นความทุ่มเทและตั้งใจที่จะมาเป็นแบบของคุณพิสุทธิ์ พอรู้ว่าโจทย์ของเราในวันนี้คือ Body คุณพิสุทธิ์จึงจัดการแว็กซ์ขนที่ตัวออกจนหมด เพื่อให้เด็ก ๆ ได้วาดรูปกล้ามเนื้อได้อย่างชัด ๆ เน้น ๆ แม้แต่ขนใต้วงแขนที่เป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นชาย คุณพิสุทธิ์ยังโกนจนเกลี้ยงเกลาเลย”

ว่าแล้วมาสเตอร์ปราชญ์ก็เอามือจับแขนทั้งสองข้างของพิสุทธิ์ชูขึ้น และมันเป็นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ใต้วงแขนของพิสุทธิ์เนียนเรียบไม่มีขนขึ้นให้รกสายตาเลยสักเส้น

เป็นครั้งแรกที่โตนหันไปมองที่พ่อของเขา เขาเห็นใต้วงแขนที่ขาวเนียน ถ้าจะบอกว่าพ่อของเขาจัดการขนจนหมดเพื่ออำนายความสะดวกในการวาดรูปของพวกเขา ก็อาจเป็นได้ แต่นี่ขนหมอยของพ่อเขาก็ยังเนียนเรียบ ทั้งที่พ่อไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องเปลือยท่อนล่างด้วย อย่างนี้ก็หมายความว่ายังไง โตนรู้สึกไม่แน่ใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

พ่อของเขาจัดการกับขนบนร่างกายตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว

ทำไมพ่อต้องทำอย่างนั้น

เป็นครั้งแรกที่โตนมองพ่อด้วยสายตาแห่งความเคลือบแคลงและสงสัย

หลังจัดการทำให้ควยของพิสุทธิ์แข็งเต็มที่อย่างที่ต้องการแล้ว มาสเตอร์ปราชญ์ก็หันไปหลิ่วตาให้เตชิตที่ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันทันที ตอนนี้สภาพของพิสุทธิ์พร้อมสำหรับการเป็นแบบเปลือยให้เด็ก ๆ วาดเรือนร่างในฝันให้สมบูรณ์ได้แล้ว ทั้งสองคนจึงก้าวลงจากเวที

เพื่อน ๆ ของโตนเมื่อเห็นดังนั้นก็วาดรูปต่อทันที แต่พอวาดไปได้ไม่นาน หมึกก็ตะโกนขึ้นมาว่า

“อาจารย์ครับ ควยพ่อไอ้โตนมันเหี่ยวลงแล้วครับ ผมยังวาดไม่เสร็จเลย”

ทุก ๆ คนมองขึ้นไปบนเวที เห็นตามที่หมึกบอก มาสเตอร์ปราชญ์จึงเดินเข้าไปหาโตน

“พริษฐ์ ขึ้นไปบอกพ่อเธอทีสิว่าช่วยทำให้อวัยวะเพศกลับมาแข็งตัวที นายธำรงค์เขายังวาดส่วนนั้นค้างอยู่ เดี๋ยวมันจะไม่ต่อเนื่อง”

โตนมองหน้ามาสเตอร์ปราชญ์ด้วยความตกใจ เหมือนจะไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินคำสั่งแบบนี้ออกมา แต่สายตาที่เป็นเชิงออกคำสั่งที่มองสบกลับมานั้น ทำให้โตนมั่นใจว่ามันไม่ใช่คำพูดเล่น ๆ เอาสนุก แต่เขาต้องทำมันจริง ๆ

“ไปเร็ว ๆ สิวะไอ้โตน กูวาดต่อไม่ได้”

เสียงไอ้หมึกเร่งตามมา ทำให้โตนละล้าละลัง ทำตัวไม่ถูก เขาหันไปมองเพื่อน ๆ ที่อยู่รอบตัว ทุกสายตามองมาที่เขา มันเป็นสายตาที่กดดันให้เขาต้องทำตามคำสั่งของอาจารย์ปราชญ์

“ยิ่งมึงช้าพ่อมึงยิ่งต้องแก้ผ้านานนะ มึงเห็นกล้องมั้ย กล้องมันถ่ายพ่อมึงแก้ผ้าอยู่นะ”

โตนเหงื่อตก เขารู้ว่ายิ่งเขานิ่งนาน พ่อเขายิ่งตกเป็นเป้าของทุก ๆ คนในนี้นาน ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้า ลุกขึ้นเดินไปหาพ่อ ทั้งที่ตัวสั่นเทา และเพราะความสั่นทำให้ตอนก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายเขาดันก้าวพลาด ร่างถลาไปที่ตัวของพ่อเขาที่อยู่ตรงหน้า ด้วยสัญชาตญาณโตนคว้าร่างพ่อของเขาเอาไว้ และส่วนที่คว้าเอาไว้คือช่วงกลางลำตัว และนั่นทำให้หน้าของโตนแนบไปท่อนลำของพิสุทธิ์ทันที พอได้สติเด็กหนุ่มรีบถอยตัวออกมา แต่กลับใช้มือคว้าท่อนลำของผู้เป็นพ่อไว้แทน เพื่อน ๆ ของโตนต่างขบขันกับภาพที่เห็นตรงหน้า แต่ตอนนี้สองพ่อลูกเกิดความอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปแทรกแผ่นดินไหนอยู่

“พ่อครับ โตนขอโทษนะครับ ที่ทำให้พ่อต้องมาอยู่ในสภาพนี้”

โตนเงยหน้าขึ้นมองพ่อเขา แต่พิสุทธิ์ไม่ได้หันลงมามองสบตาลูกชาย ไม่รู้ว่าเพราะความละอายหรือเพราะเขาไม่มีสติรับรู้อะไรแล้ว โตนเมื่อเห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนสายตามาจ้องมองมือของคนเองที่กำลังจับที่ท่อนลำของผู้เป็นพ่อ เขาเริ่มใช้มือรูดท่อนลำของผู้เป็นพ่อ อย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เร็วขึ้น ๆ จนในที่สุดควยของพิสุทธิ์ก็กลับมาแข็งตระหง่านตามเดิม ท่อนควยนั้นตั้งชันอย่างเต็มที่ อยู่ต่อหน้าของผู้เป็นลูกชาย

“ไอ้โตน มีงจะชักจนพ่อมึงน้ำแตกเลยหรือไงวะ ควยพ่อมึงขึ้นลำตั้งนานแล้ว มึงออกมาได้แล้ว กูจะได้วาดต่อ”

โตนรีบผละจากตัวพ่อของเขาเดินคอตกลงมาที่ด้านล่างเวที เขาเดินไปสุดมุมหนึ่งของห้อง แล้วน้ำตาของเขาก็ไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้ทีมหนังสือ GENT พวกเพื่อน ๆ ของเขา รวมทั้งมาสเตอร์ปราชญ์ และเตชิต ลูกน้องของพ่อเขาเอง ต่างแสดงสีหน้าหื่นกระหาย แสดงความสะใจที่ได้เห็นพ่อของเขา กลายเป็นวัตถุทางเพศ และทุกคนกำลังหาประโยชน์จากเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของพ่อเขาอย่างเต็มที่

โตนหันมองไปทางวศิน กับรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียม โตนยังไม่รู้ว่าในใจของวศินตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

ในความคิดของวศิน : รูปภาพและคลิปวิดีโอคนดังแก้ผ้า งานนี้กูมีแต่กำไร 555 คุณพิสุทธิ์ คุณกล้ามากจริง ๆ ที่ชวนพวกเรามาดูคุณแก้ผ้าแบบนี้ รับรองผมจะตอบสนองความกล้าของคุณอย่างเต็มที่เลย

ในความคิดของเตชิต : คุณพิสุทธิ์ ต่อไปนี้ผมจะมีอำนาจเหนือคุณ ผมจะยอมให้คุณใช้อำนาจสั่งการผมได้เฉพาะตอนทำงานเท่านั้น แต่นอกจากนี้ คผมจะต้องอยู่เหนือคุณ เราจะได้เล่นเกมสนุก ๆ กันอีกแน่นอนหลังจากนี้

ในความคิดอาจารย์ปราชญ์ : คุณพิสุทธิ์ ในที่สุดผมก็เจอต้นแบบนายแบบในฝันแล้ว ผมจะผลักจะดันให้คุณได้ใช้ประโยชน์จากเรือนร่างคุณอย่างเต็มที่ เตรียมตัวสนุกกับผมไว้ได้เลยนะฮ้า

ในความคิดของหมึก : สะใจจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้แก้คืนพ่อไอ้โตนเร็วขนาดนี้ ไอ้โตนเพื่อนรัก รับรองว่ามึงกับพ่อมึงจะไม่ได้อายแค่ในห้องนี้แน่นอน

เหตุการณ์หลังจากนี้เป็นสิ่งที่เกินจะคาดเดาว่านักธุรกิจดีเด่นแห่งปีจะต้องประสบพบเจอชะตากรรมอย่างไรบ้าง แล้วลูกชายของเขาจะพลอยต้องโดนกระทำอะไรหลังจากนั้นไปด้วยหรือไม่

สิ่งเดียวที่โตนได้เรียนรู้ในครั้งนี้คือ บางทีศัตรูก็แฝงมาในคราบของเพื่อนสนิทเราได้เช่นกัน