เรื่องคุณพ่อดีเด่น

ตอนที่ 1 คลื่นลมที่แสนสงบ

ณ โรงแรมหรูใจกลางเมือง ที่ห้องจัดเลี้ยงมีการจัดงานเลี้ยงรุ่นของศิษย์เก่าโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่ง แม้พวกเขาจะจบการศึกษามานานกว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสานสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น เมื่อมีงานเลี้ยงรุ่นเมื่อไร มักจะไม่มีใครยอมพลาด เพราะนอกจากจะได้เจอะหน้า อัพเดตชีวิต และรำลึกความหลังร่วมกันแล้ว การมาพบกันในแต่ละครั้ง ยังหมายถึงการได้กระชับสายสัมพันธ์ในด้านอื่น ๆ ด้วย

พิสุทธิ์เองก็ไม่เคยพลาดการมาร่วมงานเลี้ยงรุ่น ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นโสด จนมาถึงตอนนี้ที่เขามี พิริยา ภรรยาคนสวยมาร่วมงานด้วย เมื่อมาถึงเพื่อน ๆ ที่มาถึงงานก่อนหน้าต่างกรูกันเข้าไปต้อนรับเขา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พิสุทธิ์ก็ยังเป็นคนดังของรุ่นอยู่เสมอ

“ไอ้พิสุทธิ์น่ะ เรียนก็ดี กีฬาก็เป็นเก่ง แถมมันยังหล่อกว่าใครในรุ่น จบไปมันก็ได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก กลับมาทำธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ ได้เป็นนักธุรกิจดีเด่นแห่งปีอีก นอกจากนี้มันยังมีภรรยาสวยอย่างคุณพิริยาอีก จะไม่ให้เพื่อน ๆ อิจฉามันได้ยังไงครับ”

“ไม่เท่านั้นนะเว้ย มันยังได้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นคนแรกของรุ่นเราอีก กูว่าถ้ามีรางวัลสามีดีเด่น มันคงได้รางวัลนี้ด้วยแน่นอน”

เพื่อน ๆ ที่รายล้อมพิสุทธิ์กับพิริยาต่างส่งเสียงแซวพวกเขาอย่างเซ็งแซ่ เรื่องที่แซวก็เหมือนแผ่นเสียงตกร่องที่พูดซ้ำ ๆ กันแบบเดิมทุกที

พิริยาได้แต่อมยิ้มไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรกลับไป หญิงสาวหันไปมองหน้าสามี เห็นเขาทำหน้านิ่งไม่ได้แซวกลับไปเหมือนทุกทีก็รู้สึกแปลกใจ แต่ดูเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ จะไม่ได้รู้สึกอะไรเหมือนที่เธอรู้สึก มิหนำซ้ำยังเอ่ยปากแซวเรื่องอื่น ๆ ต่อไปแม้พิสุทธิ์จะไม่ตอบโต้อะไรก็ตาม

กว่าจะหลุดจากเพื่อนกลุ่มนั้นมาได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร พิสุทธิ์พาพิริยาเดินเลี่ยงจากเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ จนในที่สุดก็มาเจอกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนรวมตัวกันอนู่ 5 – 6 คน หนึ่งในนั้นมีหมอกรณ์รวมอยู่ด้วย

กรณ์ เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของพิสุทธิ์ แต่จริงๆ แล้วทั้งคู่ไม่ได้สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน เพราะพวกเขามีบุคลิกและนิสัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พิสุทธิ์เป็นหนุ่มที่ป๊อปปูล่าร์ในทุก ๆ ด้าน แต่กรณ์แม้จะเป็นเด็กที่เรียนเก่ง แต่เขาเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อาจเพราะไม่มั่นใจในตัวเองเพราะรูปร่างที่อ้วน และการพูดที่ตะกุกตะกักเหมือนคนพูดติดอ่าง

หลังเรียนจบ เพื่อน ๆ ทุกคนแทบจะลืมกรณ์กันไปจนหมด เพราะกรณ์ไม่เคยติดต่อเพื่อนคนไหน ไม่เคยมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นแม้สักครั้งเดียว จนผ่านไปหลายปี จากวันที่พิสุทธิ์เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ถึงวันที่เขาเรียนจบ กลับมาทำธุรกิจ และแต่งงานสร้างครอบครัว พิสุทธิ์ได้พบกรณ์อีกครั้ง ตอนที่เขาพาภรรยาไปฝากครรภ์

กรณ์ตอนนี้ช่างแตกต่างจากกรณ์ตอนนั้นโดยสิ้นเชิง แม้กรณ์จะยังดูตัวใหญ่ แต่ไม่ใช่ตัวใหญ่เพราะอ้วน แต่ตัวใหญ่เพราะไขมันเปลี่ยนสภาพไปเป็นกล้ามเนื้อ ทำให้เขาดูล่ำสันบึกบึน ดูเป็นหนุ่มรักสุขภาพ ใบหน้าของเขาแม้จะยังใส่แว่นตาแต่ไม่ได้เป็นแว่นตาหนาเตอะแบบเมื่อก่อน แต่เป็นแว่นที่ทันสมัย รับกับใบหน้า ทำให้เขาดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก

พิสุทธิ์เห็นความเปลี่ยนแปลงของกรณ์ที่ไม่ได้มีแค่เพียงภายนอก แต่เมื่อลองได้พูดคุยเขารู้ว่าเพื่อนเก่าเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ภายใน การพูดจาชัดถ้อยชัดคำ ไม่ติดอ่างเหมือนสมัยเรียนอีกแล้ว พิสุทธิ์แทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือกรณ์เพื่อนคนเก่าที่สมัยเรียนเป็นคนไม่เอาสังคมเลย

การเป็นหมอที่ดูแลการตั้งครรภ์ให้พิริยา ทำให้ทั้งพิสุทธิ์และกรณ์มาสนิทกัน และเป็นพิสุทธิ์นั่นเองที่พากรณ์กลับไปเจอเพื่อนคนอื่น ๆ ในงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนทุกคนต่างแปลกใจในตัวกรณ์คนใหม่ แต่เพียงไม่นานก็ยอมรับในตัวเพื่อนคนนี้ และตั้งแต่นั้นกรณ์ก็ไม่เคยพลาดงานเลี้ยงรุ่นอีกเลย เขาได้รับการยอมรับจากเพื่อน ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นคนดังอีกคนของรุ่น เพราะหน้าที่การงานที่เป็นที่ยอมรับนั่นเอง

สิ่งที่ทำให้พิสุทธิ์กับกรณ์สนิทกันมากยิ่งขึ้นไปอีกคือ ต่างก็มีลูกในช่วงเวลาไล่ ๆ กัน และเป็นลูกชายเหมือน ๆ กันอีกด้วย และเด็กทั้งสองต่างก็เข้าเรียนที่เดียวกัน ชั้นเดียวกัน เพียงแต่เด็กทั้งสองอาจไม่ได้สนิทกันเหมือนรุ่นพ่อ เพราะต่างมีเพื่อนกันคนละกลุ่มตามความชอบที่แตกต่างกันด้วย

หมอกรณ์เห็นพิสุทธิ์เดินมาแต่ไกล เขารีบโบกมือทักทายเรียกเพื่อนสนิท

“สวัสดีครับคุณพิริยา ทำไมวันนี้มาเลทนักวะ”

ประโยคแรกทักทายภรรยาเพื่อนสนิท ก่อนจะหันมาเอ่ยถามพิสุทธิ์ที่ปกติมักจะรักษาเวลาและมาตั้งแต่งานเริ่มเสมอ

“รถมันติดน่ะ กำลังคุยอะไรกันอยู่”

พิสุทธิ์ถามเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ขณะที่พิริยานั้นขอตัวแยกไปคุยกับภรรยาของหมอกรณ์ในฐานะคุณแม่ที่มีลูกวัยเดียวกัน

“กำลังขอเคล็ดลับการดูแลหุ่นจากไอ้กรณ์มันอยู่ มึงดูสิว่ามันล่ำขึ้นเยอะเลยจากที่เจอกันคราวก่อน”

“ใช่สิ ส่วนมึงก็เผละขึ้นเยอะจากที่เจอกันครั้งก่อน”

“แหม แล้วมึงไม่เผละเลยใช่มั้ย ไอ้สัตว์ตู่”

“เห้ย พวกมึงไม่ต้องทะเลาะกัน กูก็ดูแลรูปร่าง ออกกำลังกาย แล้วก็กินอาหารตามที่เทรนเนอร์เขาจัดตารางมาให้”

“โอ้โห ต้องถึงขนาดจ้างเทรนเนอร์เลยเหรอวะ”

“วัยขนาดเราถ้าไม่มีตัวช่วย ไม่มีทางที่มึงจะจัดการตัวเองให้ได้แบบนี้หรอก ของแบบนี้ยังไงก็ต้องลงทุนเว้ย”

“เออ สงสัยต้องยอมลงทุนมั่งแล้ว เผื่อมีเอ๊าะ ๆ มาติดสักคนสองคน”

“เออ ฟังมึงพูดแล้วกูนึกถึง เมื่อสักเดือนก่อน เจ้าเป้ลูกชายกูมันมาเล่าให้กูฟังเรื่องการบ้านส่งอาจารย์ของมัน”

พิสุทธิ์ที่ยืนฟังเพื่อนในกลุ่มคุยกันนิ่ง ๆ ไม่ได้เสริมหรือขัดอะไร อยู่ ๆ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินหมอกรณ์เปิดประเด็นนี้

“การบ้านอะไรวะ”

“ก็อาจารย์ศิลปะให้โจทย์เด็ก ๆ วาดภาพนู้ดหุ่นผู้ชายในฝันแบบที่เด็ก ๆ ต้องการเป็น แล้วเพื่อน ๆ ในกลุ่มเจ้าเป้มันก็นึกถึงหุ่นกูกันน่ะสิ”

“อ้าว แล้วมึงได้ไปเป็นแบบให้ลูกมึงมั้ยล่ะ”

“มึงจะบ้าเหรอ ใครจะหน้าด้านไปทำแบบนั้น แก้ผ้าให้ลูกตัวเองเห็นไม่พอ ต้องแก้ผ้าต่อหน้าเพื่อน ๆ ลูกด้วยนะ กูจิตไม่แข็งพอจะทำหรอก แล้วที่สำคัญ เรื่องมันมาไม่ถึงกูหรอก เพราะเจ้าเป้มันจัดการบอกปัดเพื่อน ๆ มันไปตั้งแต่ต้นแล้ว”

“แหม กูก็นึกว่าจะแน่ 555”

เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะกันสนุกสนาน มีเพียงพิสุทธิ์คนเดียวที่หัวเราะไม่ออก เพราะรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ หลังเหตุกาณณ์นั้นผ่านมาเดือนกว่า ๆ ทุกอย่างในชีวิตกลับมาเข้ารูปเข้ารอยตามเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเขาเองยังรู้สึกผิดสังเกต แต่วันนี้ เรื่องอันน่าอัปยศอดสูมันย้อนกลับมาอีกครั้ง

“เออ แล้วมึงล่ะคุณพิสุทธิ์ ลูกมึงก็เรียนที่เดียว ชั้นเดียวกับลูกไอ้กรณ์นี่ มึงไม่โดนลูกมึงมาขอให้แก้ผ้าโชว์บ้างเหรอ หุ่นมึงก็ดีใช่ย่อยนะพ่อนักปั่นจักรยาน”

เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปากแซว ทำให้ทุกสายตาหันมาหาพิสุทธิ์ ตอนนี้นักธุรกิจดีเด่นกำลังยืนเหงื่อตกทั้งที่อากาศในห้องแสนจะเย็นจัด

“โห ลูกไอ้พิสุทธิ์ยิ่งกว่าลูกกูอีก น้องโตนมันไม่มาขออะไรพ่อมันแบบนี้หรอก กูว่าไม่แน่มันอาจจะเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ก็ตอนนี้แหล่ะ ใช่มั้ยวะ”

หมอกรณ์ช่วยออกหน้าให้เมื่อเห็นพิสุทธิ์เงียบไปไม่ตอบ เพื่อนคนอื่น ๆ เมื่อฟังเหตุผลของหมอกรณ์ก็ต่างเออออ แล้วหันไปคุยเรื่องอื่น ๆ กันต่อ มีแต่หมอกรณ์ที่ใช้หางตามองที่เพื่อนสนิทที่คืนนี้ดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไม่ซักถามอะไรให้เพื่อนสนิทลำบากใจมากไปกว่านี้

หลังจบงานคืนนั้น พิริยายิ่งเห็นความผิดปกติของสามี จนหญิงสาวอดรนทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาระหว่างที่นั่งรถกลับบ้านกันสองคน

“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะพิสุทธิ์ ทำไมช่วงนี้คุณดูแปลก ๆ โตนก็ด้วย คุณแปลกไปทั้งคู่เลย มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า บอกชั้นได้ไหม”

“ไม่มีอะไรหรอกที่รัก คุณคิดมากไปเอง”

คำตอบแบบนี้ ไม่มีทางที่พิริยาจะได้รับในยามปกติแน่ ๆ เธอรู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร และมั่นใจว่าไม่มีทางได้คำตอบจากสามีแน่นอน พิริยาคิดว่าเธอคงต้องหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง


ตอนที่ 2 รางวัลเกียรติยศ

โตนนั่งอยู่ตรงหน้าท่านอธิการ ในมือของเขามีซองจดหมายสีขาวถืออยู่

เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจตอนที่มาสเตอร์ปราชญ์มาแจ้งเขาว่าท่านอธิการต้องการพบเขา ระหว่างทางที่เดินไปห้องอธิการในหัวของโตนคิดเรื่องมากมายร้อยแปดพันประการว่าเรื่องอะไรที่ท่านอธิการต้องเรียกเขามาพบ

เมื่อมาถึงท่านก็ยื่นซองจดหมายให้เขา

“จดหมายถึงท่านพิสุทธิ์ ทางโรงเรียนอยากจะมอบรางวัล คุณพ่อดีเด่น ให้กับท่าน และอยากเชิญท่านมารับรางวัลในงานวันพ่อปีนี้ นี่คือจดหมายเชิญ ฝากเธอเอาไปให้พ่อหน่อย แล้วตอบกลับครูทีว่าท่านพิสุทธิ์สะดวกที่จะมาร่วมงานไหม”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงดีใจและรีบนำจดหมายเชิญนี้ไปส่งให้พ่อเขาแน่ ๆ แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่สุดแสนอัปยศ ที่เขาพยายามจะลืมไม่นึกถึงมันนั้น ไม่มีทางที่โตนจะเอาจดหมายฉบับนี้ไปยื่นให้พ่อได้โดยสะดวกใจ เขานึกภาพที่พ่อต้องกลับมาเจอกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาและอาจารย์ปราชญ์ ความรู้สึกสงสารก็แล่นขึ้นมาจับหัวใจเด็กหนุ่ม

หลังเหตุการณ์วันนั้น พ่อเปลี่ยนไปมาก เงียบขรึม ไม่คุยเล่นหัวสนุกสนานแบบเดิม ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้งานที่ส่งไปจะไม่มีใครรู้ว่าคนที่เป็นแบบเป็นใคร แถมงานยังได้รับคำชม ได้คะแนนเต็ม แถมได้เป็นตัวแทนโรงเรียนส่งเข้าประกวดงานศิลปะร่วมกับงานของนักเรียนโรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศ แต่เขาไม่เคยดีใจกับผลที่ได้รับเลย ดีที่หลังจากนั้น เพื่อน ๆ ในกลุ่มรวมถึงอาจารย์ปราชญ์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องวันนั้นมันติดตาจนเขาคิดว่าคงไม่อาจลืมมันได้ง่าย ๆ ในช่วงเวลานี้

เขาภาวนาทุกวันไม่อยากให้พ่อต้องกลับไปคิดอะไรถึงมัน ปละหวังว่าความรู้สึกของพ่อจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่จดหมายฉบับนี้กลับจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง เขาจะทำอย่างไรดี

สุดท้ายเด็กหนุ่มตัดสินใจเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้กับตัวไม่ให้พ่อรู้ แล้วพรุ่งนี้เขาจะตอบปฏิเสธกับท่านอธิการด้วยตัวของเขาเอง

เช้าวันถัดมา พิริยาขับรถมาส่งโตนที่โรงเรียนเหมือนทุกวัน พอรถแล่นเข้ามาที่ลานจอดรถที่ประจำ หมึกก็รีบถลาเข้ามาทั้งที่รถยังไม่จอดสนิทด้วยซ้ำ โตนมองหมึกด้วยแววตาแสดงความสงสัย ก่อนรีบก้าวลงจากรถ

“มีอะไรเหรอหมึก”

“พ่อมึงขึ้นป้ายใหญ่ในโรงเรียนเลยนะเว้ย รางวัลพ่อดีเด่นปีนี้ ไปดูกันเร็ว คุณอาด้วยนะครับ”

หมึกหันมาบอกพิริยาที่งุนงงกับประโยคที่หมึกสื่อสาร แต่ก็ลงจากรถแล้วเดินตามเพื่อนของลูกชายไป

หมึกพาโตนและพิริยาเดินไปตามทางเดิน ตลอดทางที่เดินไปมีนักเรียนคนอื่น ๆ ยืนมองพวกเขาอยู่ตลอดทาง พอมาถึงยังลานกลางแจ้งที่โอบล้อมด้วยตัวอาคารเรียน โตนก็เห็นป้ายคัตเอ้าท์ขนาดใหญ่เป็นรูปพ่อของเขาตั้งเด่นเป็นสง่า บนป้ายนั้นขึ้นข้อความว่า

“ขอต้อนรับ นายพิสุทธิ์ ชูเกียรติวงศ์ตระกูล รับรางวัล คุณพ่อดีเด่น ประจำปี 2563”

โตนรู้สึกตกใจ ตัวชาไปทั้งตัว นี่เขาอุตส่าห์เก็บเรื่องนี้ไม่บอกให้ใครรู้ เพราะไม่ต้องการให้พ่อมารับรางวัลนี้ ไม่อยากให้มาที่โรงเรียน แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่น่าเป็นความลับอีกต่อไปแล้ว

“จริง ๆ เลยนะพ่อเรา ไม่เห็นบอกแม่สักคำว่าได้รางวัลคุณพ่อดีเด่น เย็นนี้ต้องจัดการสักหน่อยแล้ว มีข่าวดีแต่แอบอุบไว้เนี่ย เราด้วยนะโตน”

พิริยาพูดไปยิ้มไปด้วยความปลาบปลื้ม

ขณะที่หมึกแอบกระซิบที่ข้างหูโตน

“ยินดีด้วยนะไอ้โตน งานนี้พ่อมึงได้ชูเกียรติวงศ์ตระกูลสมใจแน่ ๆ 5555”

หมึกพูดจบก็เดินปลีกตัวออกไป ปล่อยให้เพื่อนคนอื่น ๆ ที่ยืนมองอยู่เข้ามาแสดงความยินดีโตน ที่ตอนนี้ไม่มีความดีใจให้เห็นนอกจากความกังวล กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้


ตอนที่ 3 ลุงยาม

“จะลางานอีกแล้วเหรอลุง”

“พอดีมีธุระด่วนที่ต้องไปจริง ๆ ครับ”

ลุงดำ พนักงานรักษาความปลอดภัยของสำนักงานกล่าวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลด้วยท่าทีนอบน้อมจนแทบจะก้มลงไปกราบ

“ตามสิทธิลุงก็ยังมีวันลาเหลืออยู่หรอกนะ แต่เล่นลาบ่อย ๆ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ แต่เอาเถอะ ผมจะส่งเรื่องให้คุณพิสุทธิ์อนุมัติก่อน แล้วเดี๋ยวแจ้งอีกทีนะ”

“ขอบคุณครับ ๆ”

ลุงดำยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินผละจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเดินกลับลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่จุดประจำตำแหน่งของเขา

จริง ๆ ลุงดำอายุเพียง 50 กว่า ๆ เท่านั้น แต่การผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยากลำบาก และการทำงานแบบหาเช้ากินค่ำมานาน ทำให้แกมีสภาพแก่กว่าวัยจนใคร ๆ ต่างก็เรียกแกว่าลุงจนติดปาก ซึ่งด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าทุกคนในสำนักงาน ทำให้แกไม่สามารถปริปากพูดได้ว่าพอใจหรือไม่พอใจกับคำนำหน้านามแบบนี้

ลุงดำเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สำนักงานแห่งนี้มาปีกว่า ๆ แล้ว แกยอมรับว่าที่อยู่ที่นี่ได้นาน เพราะเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีกว่าที่อื่น ๆ งานที่ทำก็ไม่ได้ลำบากยากเข็นอะไร แถมเจ้านายก็ดูเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ตลอดเวลาที่ทำงานแกจึงพยายามไม่สร้างปัญหาอะไร จะมีก็แต่เรื่องลาหยุดบ่อย ๆ ที่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถเลี่ยงได้จริง ๆ เท่านั้น

ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลถือแฟ้มเอกสารมายื่นให้เตชิตดูก่อนที่นำเข้าไปให้พิสุทธิ์เซ็นอนุมัติ เตชิตพลิกดูเร็ว ๆ จนมาถึงเอกสารแผ่นหนึ่ง เขาก็ร้องขึ้นมาทันที

“ลุงดำลางานอีกแล้วเหรอ เดือนนี้แกลาไปสองวันแล้วนะ ไม่ต้องเอาเข้าไปให้คุณพิสุทธิ์ดูแล้ว เอาไปกลับไปได้เลย บอกเลยว่าไม่ให้ลาแล้ว” เตชิตเอาใบลาของลุงดำออกจากแฟ้มเอกสารที่จะให้เจ้านายเซ็น สุดที่เจ้าหน้าที่รายนั้นจะทัดทานได้ ทำได้เพียงยืนมองตาปริบ ๆ สุดท้ายเขาจึงต้องถือใบลานั้นกลับไป

ลุงดำยืนมองใบลาที่ไม่ถูกอนุมัติด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ การลาครั้งนี้มีความสำคัญกับเขาจริง ๆ เมื่อถูกปฏิเสธโดยไม่คาดฝันเช่นนี้ แกจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แทนที่จะเดินกลับไปทำงานที่จุดประจำตำแหน่งตามเดิม แกเลือกเดินไปที่ร้านขายของชำที่แกเป็นลูกค้าประจำ ซื้อเหล้าติดมือก่อนจะเดินกลับไปที่ทำงาน

ทุ่มกว่า ๆ ตอนที่พิสุทธิ์ขับรถจะกลับบ้าน พอมาถึงจุดที่ลุงดำเฝ้ายามอยู่ เขาพบว่าไม้กั้นเพื่อเปิดทางเข้า-ออกไม่ทำงาน พิสุทธิ์เปิดกระจกมองหาคนที่อยู่ประจำตำแหน่งก็ไม่พบใคร ทำให้หนุ่มใหญ่รู้สึกหัวเสียเล็กน้อย เขาเปิดประตูลงไปจุดที่น่าจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่ก็ไม่พบใครอีก เขายืนวนมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เจอใครก็เดินไปกดไม้กั้นให้ยกขึ้นเพื่อรถของเขาจะได้ออกจากลานจอดรถไปได้

ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถ อยู่ ๆ ลุงดำก็เดินมาประชิดตัวเขา ในสภาพเมาอ้อแอ้มีกลิ่นเหล้าเหม็นคละคลุ้ง

“ขอผมลางานเถอะนะครับเจ้านาย ผมต้องหยุดจริง ๆ ครับ เพราะมันสำคัญกับลูกชายผมมาก ๆ ขอผมลางานเถอะนะครับ”

ลุงดำพูดวนไปวนมา ในสิ่งที่พิสุทธิ์ไม่เข้าใจ สุดท้ายแกก็นอนฟุบลงไปตรงนั้น พิสุทธิ์โทรหาเตชิดทันที และหลังจากเหคุการณ์นั้น ลุงดำโดนสั่งพักงานอย่างไม่มีกำหนด

ผ่านไปสองวัน ลุงดำได้สติกลับมา วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานเพราะถูกพักงาน แกจึงเดินทางมาที่โรงพยาบาลแทน แกขึ้นไปยังห้องผู้ป่วยรวม มันแออัดด้วยผู้ป่วยจำนวนมากที่ต่างก็อยู่ในสภาพที่ชวนหดหู่ใจ แกเดินผ่านเตียงอื่น ๆ มาหยุดยืนที่เตียงคนไข้หญิงวัยกลางคนที่นอนหลับอยู่ ใบหน้านั้นดูอิดโรย หายใจเหนื่อยหอบ แกยืนมองอยู่เงียบ ๆ ได้สักพักหญิงคนดังกล่าวก็ขยับตัวลืมตาตื่นขึ้นมามอง เมื่อเห็นลุงดำยืนอยู่ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“กี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่ทำงานทำการเหรอวันนี้”

“วันหยุดน่ะ”

“อ้อ แล้วได้ชุดไปงานลูกรึยัง มีเวลาก็ไปหาดูให้เสร็จ ๆ ซะ อีกไม่กี่วันแล้ว แต่งตัวดี ๆ ไปงานลูกมันจะได้ไม่อายใคร”

ลุงดำได้ยินประโยคนั้นก็น้ำตาซึมออกมาที่หางตาโดยไม่รู้ตัว แกพนักหน้าช้า ๆ ก่อนจะนั่งลงกุมมือหญิงที่นอนอยู่บนเตียง ทุกอย่างตรงนั้นเงียบงัน ช่างขัดแย้งกับบรรยากาศรอบ ๆ ที่มีแต่ความวุ่นวาย


ตอนที่ 4 มีอะไรในกอไผ่

สองทุ่มครึ่ง รถของพิสุทธิ์แล่นเข้ามาในบ้าน พิริยานั่งรอสามีอยู่ที่โต๊ะทานข้าว พอพิสุทธิ์เดินเข้ามา เขาก็ตรงมาที่ห้องทานอาหารทันทีเหมือนทุก ๆ ครั้ง

“ทำไมกลับค่ำจังเลยคะ”

“งานติดพันจนลืมดูเวลา แถมตอนจะกลับเกิดเรื่องนิดหน่อยด้วย”

“มีเรื่องอะไรคะ”

“เรื่องของพนักงานน่ะ แต่ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว วันนี้มีอะไรทานบ้าง”

พิสุทธิ์เปลี่ยนเรื่อง เขาเดินไปดูอาหารที่วางอยูบนโต๊ะ

“โอ้โห ของโปรดผมทั้งนั้นเลย”

“ค่ะ ตั้งใจทำเป็นพิเศษเพื่อฉลองข่าวดี มีข่าวดีอะไรจะบอกกันรึเปล่าคะ”

พิริยาลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาพิสุทธิ์ แล้วเอาแขนทั้งสองข้างคล้องคอเขาเอาไว้ ยืนนิ่งจ้องหน้าสามีที่มองตอบเธออยู่

“วันนี้ตอนไปส่งโตนที่โรงเรียน เห็นป้ายคุณได้รับรางวัลพ่อดีเด่น”

“อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร ผมเพิ่งได้รับแจ้งเมื่อวานนี้เอง เลยยังไม่ได้บอกคุณ”

“เพิ่งรู้เมื่อวานเองเหรอคะ เดี๋ยวนี้เขาทำป้ายกันไวจริง ๆ”

ขณะที่สองสามี-ภรรยากำลังคุยกันอยู่ โตนก็เดินเข้ามาในห้องห้องอาหาร

“พ่อจะไปงานที่โรงเรียนใช่ไหมครับ”

พิริยาหันมามองลูกชาย เธอรู้สึกสงสัยในคำถามของลูกชาย

“ก็ต้องไปสิ ทางโรงเรียนให้เกียรติขนาดนี้ ไม่ใช่พ่อทุกคนจะได้รางวัลนี้นะโตน โตนมีอะไรรึเปล่า”

“เปล่าครับ โตนแค่อยากถามให้แน่ใจ”

“พ่อ-ลูกคู่นี้นี่ยังไง ช่วงนี้ดูทำตัวแปลก ๆ นะ มีอะไรผิดใจกันรึเปล่า”

“เปล่า” ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน ทำให้ผู้เป็นแม่ยิ่งรู้สึกถึงพิรุธยิ่งขึ้นไปอีก แต่รู้ดีว่าคาดคั้นไปตอนนี้ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร หญิงสาวจึงนิ่งเสีย

“เอาเถอะ คุณไปล้างไม้ล้างมือ มาทานอาหารกัน โตนจะทานอาหารอีกมั้ยลูก”

“ไม่แล้วครับ โตนจะไปทำการบ้านต่อ”

โตนเดินเข้าไปกอดแม่และพ่อของเขา ก่อนขอตัวกลับไปที่ห้อง เขารู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นในงานวันนั้นแน่ ๆ แต่เขาอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะบอกพ่อเขาได้อย่างไร ได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ จะเป็นแค่ความกังวลไปเองเท่านั้น

ขณะที่พิสุทธิ์ คืนนั้นเขาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ง่าย ๆ ทำได้แต่นอนเอามือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันก่อนหน้านี้ ตอนที่มาสเตอร์ปราชญ์เดินทางมาพบเขาด้วยตัวเอง พร้อมเอกสารให้เขาเซ็นยินยอมเข้าร่วมงานและขึ้นรับรางวัล คุณพ่อดีเด่นแห่งปี

“ถ้าคุณพิสุทธิ์มาร่วมงาน ผมสัญญาว่าคุณจะได้ไฟล์ภาพและคลิปวิดีโอจากทีมงานของคุณวศิน ทุกอย่างมันจะจบในวันนั้น”

พิสุทธิ์จรดปากกาเซ็นยินยอมในเอกสารด้วยมืออันสั่นเทา


ตอนที่ 5 งานวันพ่อดีเด่นแห่งปี

งานวันพ่อของโรงเรียนจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา เด็ก ๆ ตั้งแต่ระดับชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมปลายเกือบทุกคนต่างพาพ่อมาร่วมงานด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะอย่างที่เคยกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ นี่คือโรงเรียนที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกคนมีฐานะ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในแวดวงต่าง ๆ มันจึงทำให้เด็ก ๆ รู้สึกภูมิใจในตัวพ่อของเขา และอยากพาพ่อของตนเองมาอวดเพื่อน ๆ

และด้วยความตั้งใจของโรงเรียนที่อยากจะจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้ความสำคัญกับผู้ที่ทำหน้าที่ “พ่อ” จึงมีกฎที่เข้มงวด คือ ขอให้ผู้เข้าร่วมงานนี้เป็นพ่อของเด็กจริง ๆ เท่านั้น ไม่อนุญาติให้แม่หรือผู้ปกครองคนอื่น ๆ เข้าร่วมงานได้ งานนี้พิริยาจึงไม่มีโอกาสเข้าร่วม ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือฝ่าฝืนกฎของทางโรงเรียนที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนานได้

หญิงสาวทำได้เพียงดูแลจัดหาเครื่องแต่งกายให้กับพิสุทธิ์ สามีสุดที่รักเพื่อใส่ขึ้นไปรับรางวัล “คุณพ่อดีเด่น” แห่งปี” อย่างดีที่สุด ชุดสูทสีฟ้าอ่อนอมเทาเข้ารูปที่มีเสื้อเชิ้ตแบบเรียบหรูสีขาวอยู่ข้างใน เข้ากับกางเดงสแลคสีเดียวกับชุดสูทและรองเท้าคุตชูสีน้ำตาลเหล็ก ช่วยเสริมให้ชายหนุ่มสุดหล่อ รูปร่างดี ดูสมาร์ทมากขึ้นไปอีกหลายสิบเท่า

ถ้าเป็นภาวะปกติ โตนคงรู้สึกภูมิใจและอยากจะอวดพ่อเขาต่อคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก แต่วันนี้เขากลับมีแต่ความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพ่อของเขาอีก โตนจึงคอยระมัดระวังและอยู่เคียงข้างพ่อของเขาตลอดเวลา

เมื่อมาถึงงาน พิสุทธิ์ได้รับการต้อนรับจากทางโรงเรียนเป็นอย่างดี ท่านอธิการเป็นผู้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในงานเป็นไปอย่างราบรื่นจนโตยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลังเคารพธงชาติและกล่าวนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ท่านอธิการทำหน้าที่เป็นผู้กล่าวต้อนรับคุณพ่อของเด็กนักเรียนทุกคนที่เข้าร่วมงาน และทำหน้าที่เป็นผู้กล่าวเปิดงาน หลังจากนั้นจึงเป็นวิดีทัศน์ความสำเร็จของทางโรงเรียนในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อให้คุณพ่อทั้งหลายได้เห็นว่าเงินที่เสียเป็นค่าเทอม เทอมละหลายแสนบาทนั้น มีความคุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์ หลังจากนั้นจึงเป็นเป็นพิธีมอบรางวัลลูกดีเด่น ที่มีเด็กนักเรียนจำนวน 10 คนขึ้นรับรางวัลนี้ ก่อนที่จะถึงไฮไลต์ของงานคือการมอบรางวัล “คุณพ่อดีเด่นแห่งปี”

ท่านอธิการ กล่าวรายงานเพื่อเป็นเกียรติแก่ พิสุทธิ์ ผู้ได้รับรางวัลพ่อดีเด่นแห่งปี โดยกล่าวถึงภารกิจหน้าที่การงานที่เขาอุทิศตนทำเพื่อสังคม และการมีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ให้กับทางโรงเรียนในหลาย ๆ อย่าง ก่อนจะเชิญ พิสุทธิ์ ขึ้นรับรางวัล และกล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในปีนี้

พิสุทธิ์ในมาดที่ดูดีก้าวขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับมอบรางวัล เขาได้รับเสียงปรบมือจากเด็ก ๆ และคุณพ่อคนอื่น ๆ อย่างท่วมท้น โตนรู้สึกขนลุก เขาปลาบปลื้มใจและตื้นตันใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก จรเกือบจะลืมความกังวลที่มีในใจไปจนหมด ยิ่งเมื่อพ่อของเขาขึ้นกล่าวแสดงความรู้สึกที่ได้รับรางวัล คำพูดที่เรียบง่ายแต่กลั่นออกมาจากใจของพิสุทธิ์ ยิ่งเรียกเสียงปรบมือและความชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงานเพิ่มมากขึ้นไปอีก จนโตนต้องบันทึกภาพต่าง ๆ เอาไว้เพื่อให้แม่ของเขาได้ชม เพื่อนร่วมห้องต่างแสดงความยินดีกับโตน ทุก ๆ คนชื่นชมพ่อของเขาเป็นอย่างมาก

หลังจากที่พิสุทธิ์รับรางวัลแล้ว ทางโรงเรียนจึงเปิดวิดีทัศน์ภาพการทำงานแลกิจกรรมต่าง ๆ ของพิสุทธิ์เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเขา พิสุทธิ์ออกมายืนมองภาพต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้มพราย แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มนั้นก็เริ่มจางหาย เพราะภาพบางภาพนั้นทำให้เขาหวนรำลึกนึกถึงกลุ่มคนบางกลุ่มที่เป็นผู้ทำหน้าที่บันทึกภาพเหล่านั้นไว้

“ทีมสื่อที่คุณเป็นคนเชิญเขามาเอง” คำพูดของมาสเซอร์ปราชญ์แล่นเข้ามาในโสตประสาทของพิสุทธิ์ทันที

สายตาของพิสุทธิ์เริ่มเลิ่กลัก เขาหันไปมองรอบ ๆ งานเพื่อหากลุ่มบุคคลนั้น และเมื่อวิดีทัศน์นั้นจบลง เป็นเวลาเดียวกับที่ท่านอธิการกล่าวขอบคุณทีมงานที่เป็นผุ้จัดทำสื่อ สายตาของพิสุทธิ์ก็ประสานสบกับสายตาของ วศิน ที่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ใจของพิสุทธิ์เต้นแรงขึ้นมาโดยที่ไม่สามารถบังคับได้

สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิสุทธิ์ถูกเชิญให้ไปนั่งที่เก้าอี้อันทรงเกียรติของผู้ได้รับรางวัล ท่านอธิการขึ้นมากล่าวต่อว่า ปีนี้ผู้ได้รับรางวัลไม่ได้มีเพียงพิสทธิ์คนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผู้ได้รับรางวัลอีก 2 คน ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับเด็ก ๆ ในงาน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ท่านอธิการกล่าวเชิญ นายแพทย์วรากรณ์ ศิระสวัสดิ์ สูตินารีแพทย์คนดังเป็นผู้ขึ้นมารับรางวัลเป็นคนถัดมา พิสุทธิ์รู้สึกแปลกใจที่เห็นหมอกรณ์เพื่อนสนิทก้าวขึ้นมารับรางวัลนี้ เพราะเพื่อนสนิทไม่เคยแย้มพรายให้เขาทราบมาก่อนเลยว่าจะได้ขึ้นมารับรางวัลนี้ร่วมกัน

เมื่อกล่าวแสดงความรู้สึกเสร็จ หมอกรณ์เดินมานั่งเก้าอี้เดียวกันกับพิสุทธิ์ เขากระซิบบอกพิสุทธิ์เพียงสั้น ๆ ว่า

“ยินดีด้วยเพื่อน”

ขณะที่พิสุทธิ์ยังไม่หายงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขากลับต้องรู้สึกช็อคซ้ำเมื่อท่านอธิการกล่าวเชิญผู้ได้รับรางวัลคุณพ่อดีเด่นคนที่สามขึ้นมาบนเวที

“ขอเชิญนายดำรงค์ เทพา ขึ้นรับรางวัลคุณพ่อดีเด่นแห่งปี และกล่าวแสดงความรู้สึกที่ได้รับรางวัล”

ผู้ที่ก้าวขึ้นมา ทำให้พิสุทธิ์เผลออุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

“นายดำ !!!”

ขณะที่ในแถวนักเรียน เพื่อน ๆ ผละจากโตนเปลี่ยนไปแสดงความยินดีกับหมึกแทน

“เห้ย หมึก พ่อมึงก็ได้รางวัลด้วยเหรอวะ ปิดข่าวเงียบเชียวนะมึง”

โตนหันไปจ้องมองหมึกที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ใบหน้านั้นยินดีที่เพื่อน ๆ เข้ามาห้อมล้อมให้ความสำคัญ ในเสี้ยววินาทีนั้นหมึกหันมาสบสายตากับโตน เขาส่งสายตาแสดงความเหนือกว่าข่มใส่โตนอย่างเกห็นได้ชัด มันทำให้โตนกระอักกระอ่วนรู้สึกวิงเวียน อยากอาเจียน ในใจได้แต่คิดวกไปวนมาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเขาอีก

พอนายดำกล่าวอสดงความรู้สึกเสร็จ ท่านอธิการเชิญชายทั้งสามที่ได้รับรางวัลมายืนเรียงแถวกันหน้าเวที ก่อนจะกล่าวว่า

“ทั้งสามท่านคือผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในปีนี้ร่วมกัน ซึ่งเป็นรางวัลที่ทางคณะกรรมการและผู้บริหารของโรงเรียนเป็นคนคัดเลือก แต่ทางโรงเรียนยังมีรางวัลพิเศษที่จะมอบให้กับบุคคลเพียงหนึ่งเดียวอีกหนึ่งรางวัล นั้นคือรางวัล “คุณพ่อดีเด่นป๊อปปูล่าร์โหวต” ซึ่งจะเป็นรางวัลที่จะให้นักเรียนเป็นผู้ให้คะแนนเอง โดยมีกติกาคือ คุณพ่อทั้งสามท่าน จะมีห้องแสดงผลงานของตนเองคนละหนึ่งห้อง ในห้องนั้นจะจัดแสดงงานที่คุณพ่อแต่ละท่านได้ทำอุทิศให้กับทางโรงเรียน ซึ่งคุณพ่อจะต้องแสดงบทบาทนั้นให้นักเรียนทุกคนที่เข้าไปในห้องได้ดู เพื่อให้เขาเลือกว่า คุณพ่อคนไหนที่ได้ทำงานอุทิศตนได้อย่างน่าชื่นชมเป็นที่สุด ผู้ที่ได้รับการโหวตมากที่สุด จะได้รับรางวัล คุณพ่อแด่นป๊อปปูล่าร์โหวตอีกหนึ่งรางวัล และต่อจากนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของมาสเตอร์ปราชญ์ที่จะพาคุณพ่อทั้งสามและพวกเราไปชมห้องของคุณพ่อแต่ละคนกัน”

เสียงเฮอย่างตื่นเต้นของเด็ก ๆ ดังขึ้นเมื่อพวกเขาจะสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินรางวัลสำคัญในวันนี้ด้วย

กิจกรรมดำเนินต่อไป โดยให้ปล่อยแถวเด็ก ๆ ไปหาคุณพ่อ แล้วพาชมงานนิทรรศการและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ ส่วนการเข้าร่วมห้องแสดงผลงานของคุณพ่อทั้งสามนั้น ให้เข้าชมหลังจากที่ตัวแทนคณะกรรมการและผู้บริหารของโรงเรียนเข้าชมแล้ว มาสเตอร์ปราชญ์ก้าวเข้ามาหาคุณพ่อทั้งสาม แล้วเดินนำเหล่าคุณพ่อและทีมคณะกรรมการและผู้บริหารคนสำคัญของโรงเรียนไปยังห้องจัดแสดงงานของคุณพ่อแต่ละคนทันที

ห้องแรกที่มาถึง เป็นห้องของหมอกรณ์ เมื่อเปิดเข้าไปในห้อง ภาพแรกที่เด่นเป็นสง่าคือ ภาพถ่ายขนาดใหญ่ของหมอกรณ์ที่ทำหน้าที่ยืนสอนวิชาสุขศึกษา ในฐานะครูพิเศษ มาสเตอร์ปราชญ์ทำหน้าที่อธิบายให้แขกผู้ใหญ่ในห้องฟังถึงกิจกรรมที่คุณหมอกรณ์เข้ามาช่วยสอนและให้ความรู้กับเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องวัยเจริญพันธุ์และการป้องกันรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ในห้องมีเสื้อกาวน์ของคุณหมอ รวมถึงสื่อการสอนที่เตรียมพร้อมไว้ให้หมอกรณ์ทำหน้าที่ของเขา เหล่าคณะผู้เข้าชมต่างชื่นชมกับการอุทิศตนเพื่อเด็กนักรียนของหมอกรณ์ แล้วให้คุณหมอกรณ์สวมชุดกาวน์ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ห้องถัดไป เป็นห้องของนายดำรงค์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทแห่งหนึ่ง มาสเตอร์ปราชญ์ทำหน้าที่อธิบายถึงนายดำรงค์ว่า นายดำรงค์ หรือที่ทุกคนมักเรียกคิดปากว่าลุงดำ เป็นคุณพ่อของเด็กนักเรียนทุนของโรงเรียน ลุงดำจึงตอบแทนทางโรงเรียนด้วยการเข้ามาช่วยทำความสะอาด จัดสวน ปรับทัศนียภาพต่าง ๆ ของทางโรงเรียนให้เกิดความสวยงาม ชวนมอง ในห้องจัดแสดงผลงานของลุงดำจึงเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ลุงดำใช้ทำหน้าที่ของเขา ชุดที่เขาใส่เป็นประจำเมื่อมาทำงานให้กับทางโรงเรียน และถูกประดับด้วยภาพถ่ายสถานที่ภายในโรงเรียนที่สะอาด สวยงาม และชวนมอง ท่านอธิการรีบเดินเข้าไปจับมือแสดงความยกย่องการทำหน้าที่ของลุงดำที่เสียสละเวลาส่วนตัวมาช่วยทำงานให้กับโรงเรียนโดยไม่ยอมรับค่าตอบแทน บรรยากาศแห่งความซาบซึ้งจึงเกิดขึ้นในห้องนี้ ลุงดำเปลี่ยนใส่ชุดทำงานของเขา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกับทุกคน

ห้องสุดท้ายเป็นห้องของพิสุทธิ์ เมื่อมาถึงห้องนี้ พิสุทธิ์รู้สึกใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในห้องนี้คืออะไร ได้แต่หวังภาวนาว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด เมื่อมาสเตอร์ปราชญ์เปิดประตูห้องเข้าไป มันเป็นห้องที่ดูสะอาดตาเป็นอย่างมาก ภายในห้องปกคลุมด้วยผ้าสีขาวหลายหลากผืนที่คลุมวัตถุสิ่งของบางอย่างอยู่ แต่สิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดในห้องนี้คือสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มันคือภาพเขียนขนาดใหญ่ที่เป็นรูปผู้ชายยืนเปลือยกายไม่สวมใส่อะไรเลย อวดเรือนร่างที่สมส่วนชวนมองราวกับเทพบุตรในฝัน

มาสเตอร์ปราชญ์รีบแนะนำทันที

“นี่คือห้องจัดแสดงผลงานของคุณพิสุทธิ์ ผู้เข้าชิงรางวัลคุณพ่อดีเด่นป๊อปปูล่าร์โหวตคนสุดท้าย”


ตอนที่ 6 ห้องของพิสุทธิ์

เด็กนักเรียนเลิกแถวกันแล้ว หลายคนวิ่งไปหาพ่อของตนเองเพื่อชักชวนกันดูนิทรรศการ ไปร่วมสนุกในบูธกิจกรรม หรือไปทำอะไรตามความสนใจ เหลือเพียงแต่โตนที่ยืนอยู่เพียงลำพัง เพราะพ่อของเขาเดินรวมกลุ่มไปกับผู้เข้าชิงรางวัลพ่อดีเด่นป๊อปปูล่าร์โหวต คณะกรรมการและผู้บริหารของโรงเรียน เพื่อไปยังห้องจัดแสดงงานของแต่ละคน ขณะที่โตนกำลังยืนคิดให้ตกว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อดีกับความรู้สึกไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ ก็มีเด็กนักเรียนรุ่นน้องมาห้อมล้อมเขากันเป็นการใหญ่

“พี่โตนครับ คุณพ่อพี่สุดยอดมากเลยครับ”

“ใช่ครับ ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง แถมยังพูดบนเวทีได้เยี่ยมไปเลย”

“ขนาดพ่อผมยังชมพ่อพี่โตนเลยครับ บอกให้ผมดูไว้เป็นตัวอย่าง ให้ตั้งใจเรียน ขยันทำงาน จะได้ประสบความสำเร็จแบบพ่อพี่โตน”

“เดี๋ยวผมจะชวนพ่อไปที่ห้องพ่อพี่โตนนะครับ”

“ผมจะโหวตให้พ่อพี่ครับ”

“ผมด้วย ๆ ๆ ๆ”

เสียงเด็ก ๆ ร้องเซ็งแซ่ชื่นชมพิสุทธิ์จนโตนอดรู้สึกดีใจไม่ได้ ความกังวลใจที่มีก่อนหน้านี้ค่อยคลายลงไประดับหนึ่ง

หากแต่อีกฟากหนึ่ง คนที่กำลังเหงื่อตกรู้สึกไม่ปลอดภัยคือพิสุทธิ์นั่นเอง

ทันทีที่ประตูห้องจัดแสดงงานของพิสุทธิ์เปิดออก สายตาเขาก็ปะทะเข้ากับเฟรมภาพวาด Body ในฝัน ทันที พิสุทธิ์รู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อเห็นภาพนั้น แต่เขากลับตัวกลับใจไม่ทันเสียแล้ว

“นี่ห้องคุณพิสุทธิ์เหรอ ทำไมมันดูโล่งโจ้งไม่มีอะไรเลยแบบนี้ล่ะ”

ท่านอธิการเอ่ยถามแทนทุกคนที่ยืนงงสงสัย เมื่อแทบทั้งห้องไม่มีผลงานอะไรจัดแสดงอยู่เลย นอกจากภาพวาดภาพเดียวที่กลางห้อง นอกนั้นสิ่งที่เห็นคือผ้าสีขาวที่คลุมวัตถุหลากหลายขนาดวางตามจุดต่าง ๆ ทั่วห้อง

“ถูกต้องแล้วครับท่านอธิการ นี่เป็นห้องจัดแสดงผลงานของคุณพิสุทธิ์ครับ”

ท่านอธิการเดินนำทุกคนเข้าไปในห้อง เขาเดินตรงไปยังภาพวาดที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง

“เอ๊ะ นี่มันภาพวาดของนักเรียนเราที่ไปชนะเลิศรางวัลศิลปะระดับประเทศนี่”

“ใช่แล้วครับท่านอธิการ”

มาสเตอร์ปราชญ์รับคำ

“ถ้านี่เป็นผลงานของเด็กนักเรียน แล้วมันมาตั้งอยู่ที่ห้องจัดแสดงงานของคุณพิสุทธิ์ทำไมล่ะคะ”

คุณหญิงดากานดา ประธานคณะกรรมการของโรงเรียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เพราะว่าภาพ ๆ นี้ ได้รับเกียรติจากคุณพิสุทธิ์มาเป็นแบบให้กับเด็กนักเรียนของเราครับท่าน”

มาสเตอร์ปราชญ์รีบอธิบายเพื่อคลายข้อสงสัยของทุก ๆ คน แต่ดูเหมือนทุกคนยิ่งคลางแคลงใจกันเข้าไปใหญ่

“เอ๊ะ แต่ภาพนี้ คนที่แสดงแบบนี้คือต้อง...”

คุณหญิงดากานดาไม่กล้าพูดต่อจนจบ เธอพยักเพยิดไปทางท่านนายพลอัครเดช สามีที่ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการของโรงเรียนให้ช่วยเข้าไปดูภาพนี้ใกล้ ๆ

“ใช่แล้วจ๊ะแม่จ๋า นี่คือเขากำลังแก้ผ้าโชว์ไอ้เจี๊ยวแข็งโด่อยู่”

ทันทีที่ท่านนายพลพูดจบ ทุกสายตาในห้องต่างหันมาจ้องมองที่พิสุทธิ์เป็นตาเดียวกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนยังไม่กระจ่างใจ มาสเตอร์ปราชญ์จึงรีบพูดแทรกขึ้นมา

“เนื่องด้วยกระผมได้มีโอกาสอยู่ในเหตุการณ์การเปลือยกายโชว์เรือนร่างและของสงวนของคุณพิสุทธิ์ในครั้งนี้ด้วย จึงอยากจะเรียนให้ทุก ๆ ท่านได้ทราบว่า คุณพิสุทธิ์ตั้งใจและทุ่มเทกับงานชิ้นนี้มาก นอกจากจะยอมเปลื้องเสื้อผ้าโชว์เรือนร่างทุกสัดส่วนเป็นเวลานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว คุณพิสุทธิ์ยังยอมโกนขนในที่ลับออกจนหมดเพื่อให้นักเรียนของเราเขียนภาพนี้ได้อย่างสะดวกอีกด้วย เพราะฉะนั้นการได้เป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลคุณพ่อดีเด่นของคุณพิสุทธิ์จึงสมควรและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงจริง ๆ ครับ”

“เอ่อ แล้วอย่างนี้ชุดสำหรับทำงานของพิสุทธิ์จะเป็นชุดอะไรครับ”

หมอกรณ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนสนิทเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ทุก ๆ คนเบนสายตาหันไปมองที่มาสเตอร์ปราชญ์เพื่อรอฟังคำตอบ

“ก็ต้องไม่ใส่อะไรเลยสิครับ”

เสียงของผู้ที่อยู่ในห้องดังเซ็งแซ่ขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะทุกคนต่างตกอกตกใจไม่คิดไม่ฝันว่านักธุรกิจดีเด่นแห่งปีจะยอมมาแก้ผ้าอวดของสงวนต่อหน้าคนอื่นง่าย ๆ เช่นนี้

“จริงหรือครับคุณพิสุทธิ์ คุณจะแก้ผ้าโชว์ให้คนทั้งโรงเรียนได้เห็นจริง ๆ เหรอครับ”

ท่านอธิการเอ่ยถามเพื่อให้เกิดความแน่ใจ

“จริงครับ ผมยอมทำเพื่อรางวัลป๊อปปูล่าร์โหวต”

เสียงพิสุทธิ์แหบพร่าและสั่นเทา อย่างคนที่ไม่เต็มใจจะพูดประโยคนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครในที่นั้นจับความรู้สึกนี้ได้ เพราะทุกคนแม้จะดูเหมือนไม่เห็นด้วยกับการกระทำสิ่งนี้ แต่ลึก ๆ ก็สนใจและสะใจที่จะได้เห็นคนดังแก้ผ้าโชว์มากกว่า

“เอาล่ะ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่คุณพิสุทธิ์ตั้งใจทำเพื่อเด็ก ๆ ทำไมเราจะไม่ยอมรับและอนุญาติให้คุณพิสุทธิ์ทำมันล่ะ ถ้าเราละทิ้งอคติแล้วมองมันให้เป็นงานศิลปะ มันก็จะเป็นความสวยงามในอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างน้อยนี่คืองานที่ทำให้เด็กนักเรียนของเราชนะรางวัลระดับประเทศเชียวนะ”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของท่านอธิการ ขณะที่หมอกรณ์ขยับเข้าไปกระซิบใกล้หูพิสุทธิ์เพื่อให้ได้ยินคำพูดกันเพียงสองคน

“มึงนี่แน่จริง ๆ นะพิสุทธิ์ ไม่คิดเลยว่ามึงจะกล้าแก้ผ้าเปิดหน้าขนาดนี้ งานกูคงเป็นเด็ก ๆ ไปเลยสินะ”

“งั้นเรียนเชิญคุณพิสุทธิ์เปลี่ยนชุดเป็นชุดทำงานได้เลยครับ เดี๋ยวเราจะได้ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกกัน”

มาสเตอร์ปราชญ์กล่าวกับพิสุทธิ์ ก่อนจะหันไปบอกกับทุก ๆ คนเพิ่มเติมว่า

“อ้อ งานนี้คุณพิสุทธิ์มีผู้ช่วยมาด้วยนะครับ คือ คุณเตชิต เลขาคนเก่งนั่นเอง เขาจะมาช่วยแก้ผ้าเจ้านายเหมือนครั้งก่อน”

เลขานุการหนุ่มเดินออกมาจากหลังวัตถุขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าสีขาวด้านหลังห้อง เขาเดินมาทำหน้าที่พาพิสุทธิ์กลับเข้าไปตรงจุดที่เขาออกมา ขณะที่มาสเตอร์ปราชญ์กล่าวต่อว่า

“นอกจากนี้ เราขอเชิญทีมสื่อซึ่งได้รับเกียรติจากคุณวศิน ผู้บริหารของ GENT GROUP มาทำหน้าที่เก็บภาพบรรยากาศงานกิจกรรมนี้ครับ”

วศินพาทีมงานของเขาสองคน คือพายัพที่เป็นช่างภาพ และจีจี้ที่เป็นช่างแต่งหน้า ที่เป็นผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์วันอัปยศของพิสุทธิ์ออกมาจากจุดที่เตชิตดำลังพาพิสุทธิ์เข้าไป เมื่อพิสุทธิ์เดินสวนกับพายัพเขาก็ได้ยินช่างภาพรุ่นใหญ่เปรยขึ้นมาว่า

“คุณนี่แม่งหน้าไม่อายจริง ๆ ว่ะ กูต้องมาถ่ายมึงแก้ผ้าโชว์ควยอีกแล้วเหรอเนี่ย”

พิสุทธิ์หน้าชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากำมือบีบมันอย่างแรงจนเล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือจนเป็นรอยแดง แต่ดูเหมือนเขาจะชาจนไม่รับรู้ความรู้สึกเจ็บนั้น

ด้านนอก ขณะที่ทุกคนกำลังรอการแก้ผ้าโชว์ของพิสุทธิ์ ทีมสื่อจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับพร้อมทำงาน วศินถือโอกาสนั้นทำหน้าที่พาทุกคนชมห้องจัดแสดงงานของพิสุทธิ์

“สิ่งที่อยู่ด้านหลังผ้าขาวนี่คือ งานที่ทีมสื่อของเราได้บันมึกไว้เป็นหลักฐานของการทำงานของคุณพิสุทธิ์”

วศินเกริ่นแนะนำ

“ผมก็นึกสงสัยว่ามันคืออะไร ตอนแรกก็นึกว่าเอามาตั้งประดับไว้เฉย ๆ ให้สวยงาม”

“หามิได้ครับท่านอธิการ มันคือผลงานที่จะทำให้ทุก ๆ ท่านได้เห็นความทุ่มเทและเสียสละของคุณพิสุทธิ์อย่างแท้จริง”

ว่าแล้ววศินก็ดึงผ้าคลุมผืนแรกออกจากวัตถุนั้น เผยให้เห็นภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่เป็นรูปของพิสุทธิ์แบบเต็มตัวที่ท่อนบนเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิด ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงปั่นจักรยานตัวเก่งอยู่ ภาพนี้ถ่ายโดยพายัพในขณะที่พิสุทธิ์เริ่มต้นการเป็นแบบให้กับเด็ก ๆ ได้วาดภาพ และยังไม่รู้ว่าจริง ๆ จะต้องแก้ผ้าเป็นแบบทั้งตัว คณะผู้บริหารมองภาพนั้นอย่างพินิจพิจารณา ส่วนใหญ่มองว่ารูปร่างของพิสุทธิ์นั้น ช่างเป็น Body ในฝันจริง ๆ หมอกรณ์ที่ยืนฟังอยู่ด้วยก็รีบแทรกขึ้นว่า จริง ๆ เขาก็ถูกทาบทามจากเพื่อน ๆ ลูกชายเช่นเดียวกันกับพิสุทธิ์

“เออ คุณหมอนี่หุ่นกำยำล่ำสันไม่น้อยเหมือนกันนะ ว่าแต่ทำไมไม่เป็นแบบให้ลูกล่ะ”

“ผมไม่กล้าแบบพิสุทธิ์มันหรอกครับ คนปกติที่ไหนจะมายืนแก้ผ้าแก้ผ่อน อวดของสงวนแบบนี้ต่อหน้าลูกตัวเอง แล้วนี่ยังมีเพื่อน ๆ ลูกอีก แล้วยังมีคนมาบันทึกภาพอีก คนที่ทำได้ผมว่าน่าจะเป็นพวกชอบโชว์ พวกท่านว่าจริงไหมครับ”

ทุก ๆ คนต่างนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้าเห็นคล้อยตาม พอดีกับที่วศินเปิดผ้าคลุมภาพถัดไป ที่คราวนี้พิสุทธิ์อยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อนเห็นควยอย่างชัดเจน คุณหญิงดากานดาถึงกับร้องอุทานแล้วหันหน้าหนีทันที สร้างความรู้สึกขบขันให้คนในวงได้ไม่น้อย ขณะที่ลุงดำที่ยืนดูอยู่ด้วยความรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่เคยรู้ถึงกิจกรรมนี้จากหมึกมาก่อน เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมเจ้านายถึงต้องมาแก้ผ้าโชว์ควยให้คนอื่นเห็นง่าย ๆ แบบนี้

วศินยังคงเปิดผ้าคลุมโชว์ภาพอื่น ๆ ต่อไป บางภาพก็เป็นภาพเต็มตัว บางภาพก็เน้นที่ใบหน้า บางภาพเน้นที่ Body จนมาถึงภาพ ๆ หนึ่ง ที่เน้นถ่ายที่ท่อนควยของพิสุทธิ์แบบเต็ม ๆ มันแสดงให้เห็นถึงความชูชันแบบชัดเจนไม่ต้องจินตนาการ และที่สำคัญมันทำให้เห็นถึงความเกลี้ยงเกลาของท่อนควยที่ปราศจากขนนั้นอย่างชัดเจน

คราวนี้ทุกคนดูเหมือนจะละทิ้งความเขินอายไปได้แล้ว พวกเขาเดินเข้าไปส่องควยของพิสุทธิ์กันใกล้ ๆ และต่างวิพากษ์วิจารณ์ท่อนควยที่ชูชันปราศจากเส้นหมอยของพิสุทธิ์กันอย่างสนุกปาก ตอนนั้นเองที่เตชิตเดินออกมาจากทางด้านหลัง แล้วบอกกับทุก ๆ คนว่า

“คุณพิสุทธิ์พร้อมแล้วครับ”

ทุกความเคลื่อนไหวในห้องเหมือนจะหยุดลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกสายตาหันมาทางเตชิต ก่อนที่ผู้ที่ถูกจ้องมองจะเดินเบี่ยงตัวหลบออกไป และทำให้ทุกคนได้เห็นพิสุทธิ์ในสภาพเปลือยเปล่าไม่มีอะไรปกปิดเรือนกายยืนควยโด่ ปลิ้นส่วนหัวที่แดงฉ่ำโชว์ต่อทุกสายตาในห้องนั้น

“ทำไมควยโด่ได้ขนาดนั้น”

ไม่รู้ว่าเสียงใครทะลุความเงียบงันขึ้นมา สายตาที่แทบไม่กะพริบ ร่างกายที่เหมือนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว และลมหายใจที่เหมือนจะหยุดของทุกคนในที่นั้นจึงคลายออกมา

มาสเตอร์ปราชญ์ที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังทุกคน ส่งสายตาเรืองอำนาจแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนมาที่พิสุทธิ์ เขาค่อย ๆ ยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาจากด้านข้างลำตัวอย่างช้า ๆ แล้วเอาไปประสานไว้ที่ท้ายทอยของตัวเอง พิสุทธิ์เห็นภาพดังกล่าวเขาก็ยกมือทั้งสองข้างของตนเองทำตามแบบที่มาสเตอร์ปราชญ์ทำ มันโชว์ให้คนทั้งห้องเห็นว่าที่ใต้วงแขนนั้นก็เป็นอีกจุดที่ปราศจากขนด้วยเช่นเดียวกัน

“ทำไมถึงไม่มีขนตรงส่วนไหนเลยนะ”

เสียงพึมพำที่พิสุทธิ์ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ กระตุ้นให้ควยของเขากระดกตั้งชูต่อทุกสายตาที่กำลังจ้องมอง วศินเห็นดังนั้นจึงรีบเชิญชวนทุกคนถ่ายภาพหมู่กันทันที แต่ทุก ๆ คนดูจะกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่แน่ใจว่าควรจะยืนกันในตำแหน่งไหน วศินจึงต้องเข้าไปช่วยพาทุกคนไปยืนในจุดที่ทำให้เห็นภาพแบล็กกราวด์ที่เป็นภาพเปลือยของพิสุทธิ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ขณะที่มาสเตอร์ปราชญ์ก็มาช่วยจัดตำแหน่งให้กับทุกคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปยืนข้าง ๆ ร่างเปลือยของพิสุทธิ์ สุดท้ายก็ได้ท่านอธิการที่ถือเป็นตัวแทนของทีมผู้บริหารและคุณหญิงดากานดาที่เป็นตัวแทนฝ่ายคณะกรรมการโรงเรียน ยืนขนาบพิสุทธิ์กันคนละข้าง

“ว่าแต่ผ้าผืนสุดท้ายนั่นคืออะไร จะไม่เอาออกก่อนเหรอ”

ท่านอธิการเอ่ยถามถึงผ้าคลุมผืนสุดท้าย ที่อยู่ในจุดที่พิสุทธิ์หลบเข้าไปเปลี่ยนชุดเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่หลังเฟรมถ่ายรูปพอดี วศินจึงเดินเข้าไปดึงผ้าผืนนั้นออก และมันทำให้เห็นจอ LCD ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ พอวศินดีดนิ้ว ภาพบนจอก็ปรากฎให้เห็น มันเป็นคลิปภาพตอนที่พิสุทธิ์ก้าวขึ้นไปรับรางวัลคุณพ่อดีเด่น และกล่าวข้อความที่แสนซึ้งกินใจต่อหน้าทุก ๆ คนเมื่อสักครู่นี้

“เราจะเปิดคลิปนี้วนไปให้ทุกคนที่เข้ามาในห้องนี้ได้เห็น ว่าคนที่แก้ผ้าโชว์ควยอยู่ในห้องตอนนี้ เมื่อสักครู่นี้เองเขาเพิ่งขึ้นเวทีรับรางวัลที่น่าภาคภูมิใจไปหมาด ๆ ผมว่าคุณพิสุทธิ์ต้องได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้นแน่นอน”

วศินกล่าวจบแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างขบขันไปด้วย ทุกสายตาต่างมองพิสุทธิ์อย่างสมเพชเวทนา ว่านี่หรือคือคนที่เพิ่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรติไปหมาด ๆ วศินไม่รอให้พิสุทธิ์ต้องอับอายนาน เขาเข้าไปกำกับท่าทางการถ่ายรูปต่อทันที

วศินออกแบบท่าให้กับผู้ร่วมเฟรมตั้งแต่ท่าง่าย ๆ อย่างท่ากดไลค์ มินิฮาร์ท ซึ่งทุกท่าพิสุทธิ์ต้องทำด้วยในสภาพแก้ผ้าควยโด่ ท่ามกลางทีมคณะกรรมการและผู้บริหารโรงเรียน ก่อนจะเปลี่ยนให้ผู้เข้าชิงรางวัลป๊อปปูล่าร์โหวตอีกสองคนมาถ่ายภาพร่วมกันในชุดทำงานของแต่ละคน ซึ่งตอนแรกก็เป็นท่าง่าย ๆ ยินถ่ายตัวตรงมองกล้องธรรมดา ก่อนที่ทุก ๆ คนจะเริ่มสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วช่วยกันคิดท่าพิเรนทร์ ๆ ให้ผู้ร่วมเฟรมช่วยทำ ทั้งท่าเอามือช้อนไข่ เอามือกุมท่อนควยแล้วทำท่าสาวว่าว จับพิสุทธิ์แอ่นตัวหงายทำท่าสะพานโค้งโชว์ควยที่แข็งชูชันตั้งฉากกับพื้นโลก ก่อนที่หมอกรณ์จะขึ้นไปนั่งบนกลางลำตัวของพิสุทธิ์ แล้วจับควยเพื่อนสนิทสาวว่าวเล่นอย่างสนุกมือ ส่วนเตชิตก็เสนอท่าให้ทั้งสามคนนั่งลงกับพื้น โดยมีพิสุทธิ์ที่อยู่ตรงกลางคนเดียวนั่งคุกเข่าหันหลังให้กล้อง ซึ่งหมายถึงตอนนี้พิสุทธิ์กำลังโชว์ตูดใส่กล้องแบบเต็ม ๆ และแน่นอนที่มันจะต้องเป็นรูตูดที่เนียนใส ขาวอมชมพูแบบไม่มีขนสักเส้นให้เห็นเกะกะสายตา ทำให้หมอกรณ์เปลี่ยนมาเล่นสนุกกับรูตูดของเพื่อนรักแทน

ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกอยู่นั้น มาสเตอร์ปราชญ์ก็เข้ามายุติกิจกรรม

“ถึงเวลาที่เราต้องเปิดห้องให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละห้อง แล้วลงคะแนนเลือกคุณพ่อดีเด่นป๊อปปูล่าร์โหวคแล้วครับ”

คุณพ่อดีเด่นแต่ละคนจึงแยกย้ายกันเข้าประจำที่ที่ห้องของตนเอง ขณะที่ทีมงานก็เอาตู้ใสสำหรับให้นักเรียนหย่อนผลโหวตของตนเองที่แต่ละคนมีคะแนนอยู่คนละ 1 คะแนนลงไปในกล่อง มาตั้งไว้ที่หน้าห้องแต่ละห้อง และเริ่มต้นการทำกิจกรรมโหวตที่มีเวลาให้ 5 ชั่วโมงสำหรับการลงคะแนน

โตนที่กังวนกับกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาหนีไปหลบมุมอยู่สนามฟุตบอล ไม่กล้าขึ้นไปที่ตึกเรียนที่คุณพ่อของเขาทำกิจกรรมอยู่

ขณะที่คุณพ่อและเด็ก ๆ เริ่มเดินสำรวจห้องต่างๆ ของผู้เข้าชิงป๊อปปูล่าร์โหวต ซึ่งเริ่มจากห้องแรกที่เป็นห้องของหมอกรณ์ก่อน เขาเตรียมอุปกรณ์สอนสุขศึกษามาสอนเด็ก ๆ ในห้อง ขณะที่ห้องของลุงดำ แกจัดพื้นที่ให้เป็นที่เพาะปลูกต้นไม้ และที่สำหรับปรับแต่งภูมิทัศน์ให้สวยงาม เมื่อมาถึงห้องของพิสุทธิ์ ทุกคนกลับพบนักธุรกิจดีเด่นยืนแก้ผ้าโชว์ควยตั้งโด่ที่ไม่มีท่าทีจะหยุดความแข็งของมันลงได้ง่าย ๆ

เขายืนแก้ผ้าท้าทายสายตาทุก ๆ คน โดยรอบ ๆ ข้างมีอุปกรณ์ศิลปะเพื่อให้เด็ก ๆ ใช้วาดภาพตั้งวางไว้อยู่สำหรับคนที่สนใจ แต่เด็ก ๆ ดูเหมือนจะไม่สนใจ ต่างชี้ชวนถามคุณพ่อกันเป็นการใหญ่

“ทำไมเค้าแก้ผ้าล่ะครับพ่อ”

“ทำไมจู๋เขาแข็งขนาดนั้นครับ”

“ทำไมจู๋เขาไม่มีขนเหมือนจู๋พ่อล่ะ”

“นี่คือลุงคนที่อยู่ในทีวีที่เมื่อเช้าได้รางวัลเหรอครับ”

คุณพ่อต่างพูดไม่ออก อธิบายเด็ก ๆ ไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเมื่อเข้ามาเจอภาพที่ไม่คาดฝันแบบนี้ มีบางคนพาลูกออกไปทันที ขณะที่บางคนยืนมองลูกเอาสีที่ให้ไว้เขียนรูปไปละเลงวาดตามตัวของพิสุทธิ์แทน เขาต่างขบขันกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า บางคนเข้าไปยืนดูใกล้ ๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดให้พิสุทธิ์ได้อาย

“มึงนี่มันเสี้ยนว่ะ”

“นี่เหรอวะนักธุรกิจดีเด่น”

“มีงนี่ไม่น่าได้รางวัลคุณพ่อดีเด่นนะ น่าจะได้รางวัลคุณพ่อควยโด่แทน”

“ไม่อายลูกมึงเองบ้างเหรอ”

พิสุทธิ์ยืนฟังถ้อยคำหยามเหยียดดูถูกเค้าโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จำต้องยืนแก้ผ้าโชว์ต่อไป ยิ่งทำให้เขาถูกดูถูกมากยิ่งขึ้นไปอีก

ขณะที่โตนที่แม้จะแอบมาหลบมุม แต่ก็โดนคนเห็นเข้าจนได้ เขาโดนเด็ก ๆ รุ่นน้องมาห้อมล้อม ล้อเลียน

“พ่อพี่โตนชอบโชว์ พ่อพี่โตนหน้าไม่อาย”

เสียงตะโกนเซ็งแซ่จนคนมามุงดูโตนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเด็กหนุ่มต้องก้มตัวลงเอามือปิดหน้าด้วยความอับอาย

เวลาแห่งความน่าเวทนานั้นผ่านไปได้ครบชั่วโมง มาสเตอร์ปราชญ์เข้ามาดูแต่ละห้อง เห็นคะแนนของห้องหมอกรณ์กับลุงดำมีคะแนนโหวตสูสีกัน ขณะที่คะแนนของห้องพิสุทธิ์กลับมีแค่เศษ ๆ อยู่ก้นตู้ นับดูไม่น่าถึงสิบคะแนน สุดท้ายมาสเตอร์ปราชญ์จึงตัดสินใจยุบห้องพิสุทธิ์แล้วปรับแพ้ทันที พิสุทธิ์รู้สึกดีใจที่ช่วงเวลาแห่งความอัปยศอดสูนั้นจบสิ้นลงเสียที มาเตอร์ปราชญ์ปิดห้อง อยู่กับพิสุทธิ์ในห้องเพียงสองต่อสอง และพิสุทธิ์ยังคงยืนแก้ผ้าโชว์ควยโด่อยู่เช่นเดิม

“ผมเป็นอิสระแล้วใช่มั้ย ผมจะได้ไฟล์ทุกอย่างคืนใช่มั้ย มันจะไม่เผยแพร่ไปที่ไหนใช่มั้ย”

“ไม่ งานนี้ยังไม่จบ แม้โอกาสของคุณจะหมดลงแล้วก็ตามคุณพิสุทธิ์”

พิสุทธิ์ยินงงกับคำพูดของมาสเตอร์ปราชญ์ แต่แล้วความงงก็กลับเป็นความช็อคซ้ำ เหมือนโดนฟ้าผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับประโยคคำสั่งของมาสเตอร์ปราชญ์

“จากนี้ ผมจะให้คุณทำหน้าที่ผู้ช่วยของผู้เข้าแข่งขันที่เหลืออีก 2 คน โดยจะให้คุณไปอยู่และช่วยแต่ละห้อง ห้องละ 1 ชั่วโมง คุณจะต้องทำตามคำสั่งที่เจ้าของห้องสั่งให้ทำ ห้ามขัดขืน ห้ามทำตัวมีปัญหา ไม่อย่างนั้นรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

สายตาของพิสุทธิ์เบิกโพลง และลมหายใจแทบจะหยุดลงแค่นั้น


บทส่งท้าย

เรื่องเล่าของหมอกรณ์

สวัสดีครับ นี่ผมหมอกรณ์นะครับ เพื่อนที่สนิทที่สุดคนหนึ่งของพิสุทธิ์ บุรุษซึ่งคุณ ๆ ทั้งหลายต่างรออ่านเรื่องราวของเขากันอยู่ ในบทส่งท้ายที่คุณ ๆ กำลังอ่านอยู่นี้ ผมจะขอทำหน้าที่เป็นผู้เริ่มเรื่องเล่านะครับ

เราจะเริ่มเรื่องตั้งแต่ตรงไหนกันดีนะ เอาเป็นว่า ถ้าให้ผมนึกถึงพิสุทธิ์ สิ่งที่ผมนึกถึงก่อนสิ่งอื่นก็คือ เขาเป็นนักเรียนคนดังของรุ่นที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าหา อยากสนิทสนมด้วย ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นแค่เด็กนักเรียนชั้นมัธยม จนมาถึงวันนี้ วันที่เราต่างคนต่างมีหน้าที่การงานใหญ่โตมั่นคง มีครอบครัวที่อบอุ่น พิสุทธิ์ก็ยังคงความเป็นคนดังของรุ่นแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

แล้วดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันตอนนี้สิครับ วันที่มันมายืนแก้ผ้าเปลือยกายโชว์ควยโด่ ๆ ของมันต่อหน้าผม ต่อหน้าเด็กนักเรียนหลายสิบหลายร้อยคน ให้ผมทำอะไรกับเรือนร่างของมันก็ได้ ให้เด็กนักเรียนเหล่านี้ได้ดูกัน แถมทำในโรงเรียนที่ลูกชายของมันเองก็เรียนอยู่ด้วย คงไม่ต้องบอกนะครับว่ามันน่าสมเพชเวทนาขนาดไหน ผมไม่นึกเลยว่าจะได้มาเห็นความตกต่ำของคนดังประจำรุ่นอย่างมัน

เชื่อว่าถ้าเพื่อนคนอื่น ๆ ไม่ได้มาเห็นกับตา จ้างให้ก็คงไม่มีใครเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง

แต่เอาจริง ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ที่มันมาแก้ผ้าต่อหน้าผมและต่อหน้าเด็กนักเรียนแบบนี้ ถ้าคุณอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็ลองค่อย ๆ อ่านไปนะครับ

ย้อนไปตอนสมัยเรียน ผมก็เรียนเก่งระดับท็อปของโรงเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ผมเป็นเด็กที่เข้าสังคมไม่เป็น สื่อสารอะไรกับใครก็ไม่ได้ บวกกับตอนนั้นผมมีรูปร่างที่อ้วน ทำให้ผมถูกล้อเลียนและเป็นตัวตลกที่สร้างความขบขันให้กับใครต่อใคร ไอ้พวกเด็กสวะเด็กเกเรประจำรุ่นมันคงอิจฉาในความฉลาดของผม เลยพยายามสร้างปมด้อยให้กับผม แล้วเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนให้ผมอับอาย ซึ่งตามจริง ผมไม่อายหรอกกับสิ่งที่ผมเป็น และไม่ได้รู้สึกโกรธไอ้เพื่อนเลว ๆ พวกนี้ เพราะผมรู้ดีว่าในชั้นเรียนไอ้พวกนี้มันเป็นแค่สัตว์ชั้นต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร มันคือเหยื่อที่กำลังรอเวลาที่เรียนจบออกไปแล้ว ไม่สามารถเติบโตในสังคมจริง ๆ ได้ รอวันที่จะกลายเป็นขยะสังคมในไม่ช้า

คนที่ผมรู้สึกเกลียดจริง ๆ กลับเป็นพิสุทธิ์ ไอ้เพื่อนคนดังประจำรุ่น ที่พยายามทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวทุกครั้งเมื่อมันได้เห็นผมถูกแกล้ง ถูกรังแก มันจะเข้ามาช่วยเหลือผมทันทีไม่มีการลังเล แต่ผมดูออกว่ามันเป็นการช่วยแบบหวังผล ช่วยแบบเอาหน้า เพราะมันจะโผล่มาทุกครั้งเวลาที่ผมโดนกระทำต่อหน้าคนอื่น แต่เวลาที่ผมโดนรังแกเพียงลำพังไม่มีคนอื่น ๆ รู้เห็น มันจะหายหัวไปทันที และปล่อยให้ผมโดนรังแกอยู่อย่างนั้นจนกว่าไอ้คนที่แกล้งจะพอใจแล้วจากไปเอง

ผมจึงรู้สึกว่าคนแบบพิสุทธิ์ต่างหาก ที่เป็นคนที่น่ารังเกียจของจริง

แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะไปจัดการหรือทำอะไรกับมันหรอก เพราะผมก็เป็นแค่เด็กนักเรียนขี้แพ้ที่เก่งแค่การเรียน แต่ไม่เคยเป็นเพื่อนที่อยู่ในสายตาใคร ผมจึงเลือกอยู่แบบของผมอย่างเงียบ ๆ แบบนี้จนกระทั่งเรียนจบ

ผมไม่ได้โชคดีที่สอบติดแพทย์ แต่มันเกิดขึ้นเพราะความเก่งของผมล้วน ๆ แต่แม้กระทั่งผมจะทำผลงานได้ดีขนาดนี้ โรงเรียนก็ยังให้ความสำคัญกับพิสุทธิ์มากกว่า เพราะป้ายแสดงความยินดีของมันที่สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังถือเป็นดาวเด่นที่ทางโรงเรียนเลือกมาใช้อวดผลงาน ขณะที่ผมและเพื่อนที่สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังเช่นเดียวกัน กลับถูกเอามารวม ๆ แออัดกันอยู่ในป้าย ๆ เดียวกัน แถมยังไปติดแบบแอบ ๆ เหมือนกลัวใครจะเห็นเสียอีก

เจอแบบนี้คุณจะไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจได้อย่างไร

แต่ก็ช่างเถอะ ผมถือว่าผมหมดเวรหมดกรรมกับโรงเรียนและเพื่อนร่วมรุ่นเหล่านี้ได้เสียที

ผมไปมีชีวิตใหม่ที่มหาวิทยาลัย และค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนตัวเองจากตรงนั้น การเรียนแพทย์ค่อย ๆ หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นคนใหม่ในวันนี้

และหลังจากลืมชีวิตในช่วงใส่กางเกงขาสั้นไปโรงเรียนได้อย่างสิ้นเชิงไปหลายปี อยู่ ๆ ผมก็เจอพิสุทธิ์อีกครั้ง ที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ พิสุทธิ์พาพิริยาภรรยาของมันมาฝากครรภ์ ทันทีที่เห็นพิริยา ผมก็รู้สึกได้เลยว่านี่คือผู้หญิงที่ดูดีที่สุดในโลกในสายตาของผม ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาพิสุทธิ์ และขอทำหน้าที่เป็นหมอที่จะดูแลการตั้งครรภ์ของพิริยาทันที

ใช่ ตอนนั้นผมก็มีภรรยาอยู่แล้ว แถมเธอก็กำลังตั้งครรภ์ลูกของผมอยู่เช่นกัน แต่ผมก็ไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองให้ไม่รู้สึกหลงรักพิริยาได้ แม้มันจะเป็นแค่ความรู้สึกที่ผมเก็บเอาไว้ในใจเพียงฝ่ายเดียว

ตามความสัตย์จริง ตลอดเวลาที่พิริยาอยู่ในความดูแลของผม ผมไม่เคยใช้อำนาจหน้าที่ความเป็นหมอเจ้าของไข้ ก้าวล้ำล่วงเกินเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว กลับกันผมยิ่งดูแล เอาใจใส่ ทะนุถนอมเธอและเด็กในครรภ์ราวกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผมเอง และสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกับพิสุทธิ์กลับไปสนิทกันอีกครั้ง จนถึงวันที่มันเอ่ยปากชวนผมไปงานเลี้ยงรุ่น

ในครั้งแรกผมทำทีปฎิเสธมันไป โดยให้เหตุผลว่าผมทำตัวไม่ถูกเพราะไม่ได้เจอพวกเพื่อน ๆ มานานหลายสิบปี ซึ่งพิสุทธิ์ก็ยอมตามความต้องการของผมแต่โดยดี จนกระทั่งปีต่อมาเขาชักชวนผมอีกครั้ง ผมเห็นว่าถ้าครั้งนี้ผมยังปฏิเสธอีก พิสุทธิ์คงไม่ชวยผมอีกเป็นแน่ ผมจึงตัดสินใจตอบรับคำชวนแล้วกลับไปเจอกับเพื่อน ๆ สักที

ผมคงไม่ปฏิเสธหรอกว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นครั้งแรก เราย่อมประหม่าเสมอ ผมพยายามแต่งตัวอย่างดีที่สุดเพื่อหวังให้การพบกันครั้งแรกเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจ และแม้เมื่อพบเจอกันจริง ๆ ทุกคนดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเช่นกัน แต่ความที่เราแต่ละคนต่างเติบโตกันแล้ว ผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน ได้พบปะกับคนหลากหลายรูปแบบในชีวิตจริง มันจึงไม่ยากที่หลังจากนั้นพวกเขาจะรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หลังงานเลี้ยงรุ่นวันนั้น มีหลายคนเข้ามาหาผมเป็นการส่วนตัว เพื่อขอความช่วยเหลือในความถนัดที่ผมมี และนำไปสู่การนัดเจอกันนอกรอบของเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีผมได้รับเชิญเข้าร่วมด้วย ผมจึงใช้เวลาไม่นานเลย ในการได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์เก่าคนดังของรุ่น หลังจากนั้นไม่เพียงแค่ผมจะได้รับความนับถือจากเพื่อน ๆ ที่ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตามาก่อน แต่โรงเรียนเองก็กลับมาให้ความสำคัญและมักจะเชิญผมไปร่วมในกิจกรรมด้วยตลอด

ซึ่งสาเหตุสำคัญเพราะตอนนี้ผมกลายเป็นสูตินารีแพทย์คนดังระดับประเทศไปแล้วนั่นเอง

หลายปีที่ผ่านมา ผมพยายามจะเป็นหมอคนแรก ๆ ที่ใช้สื่อในการให้ความรู้กับสังคม ผมมีช่องทางการสื่อสารเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้ มันเป็นเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เรื่องการเจริญพันธุ์ในแทบทุกมิติ เว็บไซต์นี้ทำให้ผมเป็นขวัญใจของคุณแม่ ๆ เมื่อคนเริ่มเข้ามาดู ก็เริ่มมีการบอกต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ จากหนึ่งไปสิบ จากสิบไปสู่วงที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ และมันกลายเป็นแหล่งที่รวมตัวกันของผู้หญิงที่อยากจะมีบุตร แต่ความต้องการของผมใม่ได้มีแค่นั้น ผมยังต้องการให้เหล่าว่าที่คุณพ่อหรือผู้ชายเข้ามาที่เว็บไซต์ของผมด้วย เพราะมันจะกลายเป็นเว็บไซต์ที่ครบวงจร และทำให้ชื่อเสียงของผมยิ่งขจรขจายไปมากกว่าเดิม

และหลังจากระยะเวลาที่ยาวนานในการคิดว่าเนื้อหาแบบไหนที่น่าจะทำให้ผู้ชายสนใจเข้ามาที่เว็บไซต์ของผม อยู่ ๆ ผมก็คิดขึ้นมาได้ในวันที่มีงานนัดเลี้ยงรุ่นกันอีกครั้ง

ปีนี้เราไม่ได้จัดงานเลี้ยงรุ่นแบบธรรมดาเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่เราจัดธีมในการพบเจอและการแต่งตัวด้วยธีม “ฝันที่เป็นจริง” ซึ่งแต่ละคนแต่งตัวในชุดที่พวกเขาอยากเป็นตอนเด็ก ๆ แล้วทุกวันนี้ยังไม่มีโอกาสทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้เสียที และนี่คือโอกาสนั้น ตอนที่ผมเห็นพิสุทธิ์แต่งชุดในฝันของมันมางาน ผมก็ปิ๊งไอเดียทันที

ตอนสมัยเรียน พิสุทธิ์เคยเห่อการปั่นจักรยานเสือภูเขาเป็นอย่างมาก มันใช้เวลาว่างไปกับการฝึกฝนปั่นจักรยาน และตั้งความหวังไปถึงการเข้าแข่งขันในประเภทเยาวชน แต่สุดท้ายฝันนั้นก็ล่มสลายลงเพราะอุบัติเหตุจากการฝึกซ้อม และหมอห้ามมันกลับไปออกกำลังแบบเสี่ยงอันตรายพักใหญ่ ตั้งแต่วันนั้นพิสุทธิก็ไม่จับจักรยานอีกเลย เพราะมันกลัวอาการบาดเจ็บของร่างกายจะส่งผลต่อการใช้ชีวิต

งานเลี้ยงรุ่นปีนี้พิสุทธิ์กลับมาหาความฝันของมันอีกครั้ง มันแต่งตัวในชุดนักกีฬาจักรยานแบบเต็มยศมาร่วมงาน ชุดที่แนบสัดส่วนนั้นเผยให้เห็นเรือนร่างที่ฟิตสมส่วนของมัน มันช่างเป็นรูปร่างในฝันแบบที่ผู้ชายคนไหน ๆ ก็อยากมีอยากเป็น หลายปีที่ผ่านมา จากวันแรกที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้งตอนที่ลูกของเราทั้งคู่ยังอยู่ในครรภ์ของผู้เป็นแม่ จนวันนี้ลูกชายของเราต่างเติบโตเข้าวัยรุ่น และเราต่างคนต่างก็มีวัยเข้าหลักสี่กันแล้ว แต่พิสุทธิ์ยังคงดูดีขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าอิจฉา ตอนนั้นเองไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าถ้ามันได้ถอดชุดปั่นจักรยานนั้นออก อวดเรือนร่างเปล่าเปลือยของมันให้คนอื่น ๆ ได้เห็น มันจะเป็นอย่างไร

ไม่ช้ามันก็นำมาสู่การคิดคอนเท้นต์ที่ผมจะดึงผู้ชายเข้ามาดูเว็บไซต์ของผม ด้วยคลิป “ทำความรู้จักกับความเป็นชายและหน้าที่ของมันด้วยกัน เพื่อความพร้อมในการมีบุตร”

หลังจากวันนั้น พิสุทธิ์กลับไปสานต่อความฝันในการปั่นจักรยานอีกครั้ง เพราะมันละทิ้งความกลัวที่จะปั่นจักรยานไปได้ เนื่องจากผมเสนอจะพาพิสุทธิ์ไปพบอาจารย์หมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องกล้ามเนื้อ เพื่อให้เขาดูแลมันให้เกิดความมั่นใจที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่หักโหมในวัย 40 ปี และเพราะความช่วยเหลือของผมในครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าพิสุทธิ์สำนึกในความดีงามของผมยิ่งขึ้นไปอีก และนั่นเองที่ทำให้ผมกล้าที่จะขออะไรบางอย่างจากมัน

แล้วผมก็นึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมจะทำให้พิสุทธิ์กลายเป็นผู้ชายที่ดูด้อยค่าลงในสายตาของศรีภรรยา ผมจึงนัดเจอพิสุทธิ์ในค่ำคืนหนึ่งเพื่อสังสรรค์กัน เรามักนัดเจอกันแบบนี้เป็นประจำ อาจมีเพื่อนคนอื่น ๆ มาร่วมแจมบ้าง แต่ครั้งนี้ผมบอกพิสุทธิ์ว่า ขอนัดเจอกันเพียงสองคน เพราะมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา

ผมนัดเจอพิสุทธิ์ที่บาร์แห่งหนึ่งหลังเราเลิกงาน มันเป็นบาร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องดนตรีสด ตอนที่เรามาถึงเสียงเพลงสวิงแจ๊สกำลังบรรเลงอย่างเมามัน มันทำให้เราทั้งสองต่างรู้สึกคล่องคอในการดื่มมากขึ้น เรานั่งเคียงข้างกันที่มุมในสุดของบาร์ สั่งเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่ามาดื่มเคล้าเรื่องเล่าสุดเฮฮาของความเป็นสามี และการเป็นคุณพ่อที่มีลูกกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่สรรหามาเล่าได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเวลาล่วงไปชั่วโมงกว่า เมื่อพิสุทธิ์เอ่ยถามเข้าเรื่องถึงความต้องการในการนัดหมายครั้งนี้

ผมจึงเล่าเรื่องคลิปที่ผมจะทำเป็นสื่อการสอนให้เข้าใจเรื่องหน้าที่ของอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชาย เพื่อนำไปสู่การให้ความรู้เรื่องการเจริญพันธุ์ ซึ่งคลิปนี้ผมจะต้องใช้ผู้ชายมาเป็นแบบในการนำเสนอ แต่ตอนนี้ผมประสบปัญหาหาคนที่จะมาเป็นแบบไม่ได้ เพราะผู้ชายที่ติดต่อไปกลัวที่จะต้องเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น ๆ ทั้งที่ผมได้เซฟด้วยการไม่เปิดเผยใบหน้าของคนที่จะมาเป็นแบบ โดยจะมีอุปกรณ์กั้นส่วนอื่น ๆ และให้เห็นเพียงร่างกายส่วนบนตั้งแต่หน้าอกลงมาจนถึงอวัยวะเพศเท่านั้น

พิสุทธิ์ฟังไปด้วยความสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา จนผมเอ่ยประโยคสำคัญคือ ตอนนี้พิสุทธิ์เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความหวังในการผลิตคลิปนี้ของผมเป็นความจริงขึ้นมาได้ ผมต้องการเขามาเป็นแบบในคลิป ๆ นี้

ผิดคาดที่ผมไม่ได้ยินหรือสังเกตเห็นความลังเลในการตัดสินใจของเขาเลย พิสุทธิ์เอามือมาจับเข่าผม ส่งสายตาที่จริงจังสบสายตาผม แล้วตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า

“เอาเลย เรื่องอะไรที่ฉันจะช่วยนายได้ แล้วเป็นประโยชน์กับสังคม ฉันเอาด้วย”

คืนนั้นจบลงด้วยการที่ผมเล่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้พิสุทธิ์ฟังอย่างคร่าว ๆ แล้วเราตกลงนัดหมายวันที่จะบันทึกคลิปนี้กัน

ผมไม่แน่ใจว่าพิสุทธิ์ตกปากรับคำเพราะความเมาไม่ได้สติหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะเปลี่ยนใจมั้ยถ้ามันสร่างเมาแล้ว ช่วงเย็น ๆ ของวันถัดมาผมจึงได้โทรไปคอนเฟิร์มกับมันอีกที พิสุทธิ์รับรู้ทุกอย่างด้วยสติสัมปะชัญญะที่สมบูรณ์ และตอบตกลงช่วยผมด้วยความเต็มใจ บทที่เรื่องมันจะง่าย ทุกอย่างมันก็ง่ายแบบที่คุณคาดไม่ถึง

และเมื่อถึงวันนัดถ่ายทำคลิปดังกล่าว ผมเห็นความกระตือรือร้นที่จะช่วยของพิสุทธิ์อย่างชัดเจน เขามาถึงสตูดิโอที่นัดหมายก่อนเวลา เขาสอบถามทุกอย่างในสิ่งที่เขาต้องทำโดยไม่อิดออดขอปรับเปลี่ยนอะไรสักอย่าง แม้แต่ตอนที่ผมบอกว่า เป้ ลูกชายของผมจะทำหน้าที่เป็นคนบันทึกภาพ พิสุทธิ์ก็เพียงแต่หันไปยิ้มให้เป้แล้วเอามือลูบหัวลูกชายผมด้วยความเอ็นดูเหมือนทุก ๆ ครั้งเวลาที่เจอกัน แล้วบอกกับลูกชายผมว่า

“เก่งนะเรา ยังเห็นตัวกะเปี๊ยกอยู่เมื่อวาน วันนี้มาช่วยงานพ่อแล้ว สงสัยวันหลังต้องพาเจ้าโตนมาดูงานบ้างแล้ว”

ผมหันไปสบตากับเจ้าลูกชายตัวดี ส่งยิ้มให้ ลูกชายตัวดีของผมไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้จะมีการถ่ายลักษณะไหน เพราะผมไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง บอกแค่ว่าคนที่จะมาเป็ยแบบครั้งนี้คืออาพิสุทธิ์เท่านั้น อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ามันรู้ความจริง ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ มันจะเหวอขนาดไหน

ผมกับเจ้าเป้รีบจัดเตรียมอุปกรณ์ ทดลองการบันทึกเทปเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เราจะทำงานจริงกันแล้ว ผมขอให้พิสุทธิ์แก้ผ้าออกเพื่อขอสำรวจเรือนร่างของมันหน่อย ว่ามีอะไรที่ต้องจัดการก่อนการบันทึกเทปหรือไม่

พอผมพูดว่า “แก้ผ้า” เจ้าเป้ก็ทำหน้าเหวอขึ้นมาทันที


บทส่งท้าย

เรื่องเล่าของเป้

อาพิสุทธิ์ไม่อิดออดตอนที่พ่อบอกให้เขาแก้ผ้าต่อหน้าพวกเรา เป็นผมเสียอีกที่ตกใจแทน แต่ผมก็ต้องทำนิ่ง ๆ ไว้เพื่อรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ผมรู้จักอาพิสุทธิ์มาตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวของพวกเราสนิทกันมาก มักจะไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่เจอกัน อาพิสุทธิ์จะซื้อของที่ผมชอบมาฝากเสมอ และสิ่งที่เขามักทำเป็นประจำคือ เอามือมาลูบหัวแล้วแกล้งขยี้ให้ผมของผมยุ่งจนไม่เป็นทรง ซึ่งผมจะทำหน้ายู่ไม่พอใจทุกที สร้างความขบขันให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านเป็นอย่างมาก

อาพิสุทธิ์เป็นคนที่น่านับถือและน่าเอาเป็นแบบอย่าง เขาหล่อ สมาร์ท ใจดี และชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยเห็นอาพิสุทธิ์ทำเรื่องที่ไม่ดีหรือออกนอกลู่นอกทางอะไรเลย

ตอนที่พ่อผมบอกว่า อาทิตย์นี้จะชวนผมไปช่วยงานถ่ายคลิปมาลงเว็บ โดยที่มีอาพิสุทธิ์มาช่วยเป็นแบบให้ ผมก็ยังไม่คิดอะไรมาก เพราะปกติเวลามีงานพ่อก็จะชวนผมไปช่วยงานแบบนี้เสมอ แต่ทุกครั้งก่อนหน้านี้คนที่มาถ่ายคลิปกับเราจะเป็นคุณแม่ ที่จะม้กเล่าประสบการณ์การตั้งครรภ์ การคลอดลูกไปตามเรื่อง เพิ่งมีครั้งนี้ที่พ่อใช้ผู้ชายเป็นแบบ

และเป็นครั้งแรกที่คนที่เป็นแบบมาเปลื้องผ้าเปลือยกายให้ได้เห็น

วันนั้นอาพิสุทธิ์สวมชุดลำลองมาจากบ้าน การถอดชุดออกจึงไม่ใช่ขั้นตอนที่ยากอะไร ใช้เวลาไม่นานอาพิสุทธิ์ก็ยืนโล่งโจ้งโชว์เปลือยอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว

ก็สมแล้วที่เขาจะกล้าแก้ผ้าโชว์เรือนร่างตัวเองต่อหน้าใคร เพราะรูปร่างของเขานั้นเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ แบบที่หาในคนรุ่นพ่อ ๆ ไม่ได้ง่าย ๆ ผมมองไปที่แผงอกของอาพิสุทธิ์ที่หนั่นแน่นด้วยกล้ามเนื้อที่ชูให้หัวนมอมชมพูของเขาโดดเด่นขึ้นมา หน้าท้องนั้นแม้จะไม่ถึงขนาดซิกส์แพ็ค แต่ก็เป็นลอนสวยชวนมอง ผมไล่สายตามองลงมาอีก จากสะดือลงมาถึงหน้าท้องที่แบนราบไม่มีส่วนไขมันให้รู้สึกสะดุดสายตาเลย นอกจากนี้ทั่วร่างของอาพิสุทธิ์ยังไม่มีขนขึ้นให้เห็นเลยจนมาถึงหัวหน่าวจึงเห็นขนขึ้นปกคลุมครึ้มฟู ขนหมอยนั้นดกหนาช่วยอำพรางซ่อนเร้นไม่ให้เห็นขนาดที่ชัดเจนของท่อนลำที่ตอนนี้ยังนอนสงบนิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างใด ขนหมอยนั้นลามเลียออกมาทางง่ามขาหนีบด้วย ซึ่งถ้าอาพิสุทธิ์สวมกางเกงในหรือกางเกงว่ายน้ำทรงบิกินี่ แน่นอนว่าขนหมอยนี้ต้องแล่บออกมาจากตรงส่วนข้าง ๆ ขาหนีบของกางเกงเป็นแน่

แม้จะรู้สึกเขินอาย เพราะไม่เคยเจอใครมายืนแก้ผ้าให้เห็นขนาดนี้ แต่ผมก็ยังอดใจไม่ไหวที่จะจ้องมองควยของอาพิสุทธิ์ ตอนนี้สภาพของมันคือนอนสงบนิ่งเหมือนไม่ยี่หระใด ๆ ต่อสายตาสองคู่ที่กำลังมองจ้องอยู่ สีของมันเป็นสีขาวอมชมพูตัดกับสีดำของขนหมอย ขนาดยามอ่อนตัวของมันก็ดูปกติ ไม่เล็กจนต้องไปหาแว่นขยาย แต่ก็ไม่ได้ใหญ่จนต้องรู้สึกตกใจตอนที่เห็น ผมสงสัยจังเลยว่าโตนจะเคยเห็นพ่อมันแก้ผ้าจัง ๆ แบบนี้บ้างไหม

“ขนหมอยนายนี่ดกน่าดู”

อยู่ ๆ พ่อผมก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา เออ พ่อก็พูดอะไรแบบนี้ได้ไม่กระดากปาก เหมือนเป็นสิ่งที่พูดกันอยู่บ่อย ๆ เหมือน กินข้าวมาหรือยัง

“น่าจะต้องจัดการเอาออกเสียหน่อย ไหนนายช่วยยกแขนทั้งสองข้างชูขึ้นด้วยสิ”

อาพิสุทธิ์ทำตามที่พ่อผมสั่งทุกอย่าง อย่างว่าง่ายไม่อิดออดอะไรทั้งสิ้น ตอนที่เขาชูแขนทั้งสองข้างขึ้นโชว์ขนใต้วงแขน มันช่างเป็นภาพที่ไม่ต่างจากตอนที่กำลังดูดาราหนังโป๊หรือนายแบบนู้ดกำลังโชว์ของดีเลย ขนใต้วงแขนของอาพิสุทธิ์ดกดำไม่แพ้ขนหมอยของเขา ผมว่าอาพิสุทธิ์น่าจะได้รับพันธุกรรมหนุ่มพันธุ์ขนมาจากรุ่นพ่อรุ่นปู่ของเขาแน่ ๆ

ตอนนี้พ่อของผมลุกจากที่นั่งเดินไปที่กระเป๋าเครื่องมือส่วนตัว หยิบอุปกรณ์ออกมาสามสี่ชิ้น ซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อนว่ามันคืออะไรบ้าง อย่างแรกที่พ่อเอามาใช้งานคือขวดสเปรย์ขนาดเหมาะมือ พ่อเอามันมาฉีดที่ดงขนหมอยของอาพิสุทธิ์จนมันเปียกชุ่ม ก่อนจะเอาหวีขนาดเล็กมาสางจนมันเป็นทรงสวยงามไม่พันกัน ผมรู้สึกว่าขั้นตอนนี้น่าสนใจ จึงหยิบกล้องบันทึกภาพมาถ่ายเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้ ผมเดินเข้าไปประชิดตัวอาพิสุทธิ์และพ่อของผม เอากล้องนั้นถ่ายเจาะไปที่ท่อนลำของอาพิสุทธิ์ ตอนนี้พ่อของผมเอาแผ่นใยสังเคราะห์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาดึงส่วนที่เป็นกระดาษออก แล้วจัดการแปะด้านที่มีกาวเหนียวลงไปที่ดงขนหมอยอันดกดำนั้น พ่อทิ้งมันไว้สักพักจึงจัดการดึงมันออกอย่างช้า ๆ ขนหมอยของอาพิสุทธิ์ก็หลุดตามแผ่นใยสังเคราะห์นั้นมา และสิ่งที่เหลืออยู่คือหัวหน่าวที่เกลี้ยงเกลาไร้ขนของอาพิสุทธิ์

พอขนหมอยหายไปจนหมดเกลี้ยง อยู่ ๆ ท่อนลำของอาพิสุทธิ์ก็แข็งขึ้นมาอย่างช้า ๆ มันแผดผงาดขึ้นมาต่อหน้าพ่อ ต่อหน้าผม และต่อหน้ากล้องวิดีโอที่กำลังบันทึกภาพอยู่

“เห้ย ควยนายแข็งนะพิสุทธิ์ ชอบแบบเกลี้ยง ๆ แบบนี้ล่ะสิ”

ผมรู้สึกใจเต้นแรงตอนที่เห็นควยที่ค่อย ๆ แข็งขึ้นมาจนหัวโด่ ๆ นั้นบานอยู่ตรงหน้าผมไม่ไกล ผมยิ่งซูมกล้องเข้าไปใกล้มัน ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าอาพิสุทธิ์รู้สึกอย่างไร ผมจึงเคลื่อนกล้องขึ้นไปช้า ๆ จนมันมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของอาพิสุทธิ์

ใบหน้าขาวอมชมพูของอาพิสุทธิ์นั้นแดงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอาพิสุทธิ์รู้สึกอายที่ควยมาแข็งต่อหน้าเด็ก ๆ แบบผมหรือเปล่า ผมจ้องไปที่ดวงตาของแกผมรู้สึกว่าตาแกฉ่ำ ๆ ลอย ๆ ยังไงบอกไม่ถูก ขณะที่ผมกำลังรู้สึกงงงงอยู่นั้น อยู่ ๆ อาพิสุทธิ์ก็ส่งรอยยิ้มผ่านกล้องมา แล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแบบที่ชอบแกล้งอยู่เสมอ ๆ แล้วแกก็พูดขึ้นว่า

“เป้ เก่งจริง ๆ ลูก ถ่ายภาพอาให้สวยๆ นะ โดยเฉพาะตรงนี้”

ว่าแล้วอาพิสุทธิ์ก็กดกล้องลงไปตรงตำแหน่งควยของแก ที่ตอนนี้ปลายหัวเปิดออกมา ชูส่วนหัวบานสีแดงฉ่ำท้าทายกล้อง ใจผมเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเลย

“เอาล่ะ ๆ อาหลาน อย่ามัวแต่เล่นกัน มาทำงานกันต่อ”

พ่อผมเข้ามาขัดจังหวะได้พอดีตอนที่ผมกำลังทำอะไรไม่ถูก ผมค่อย ๆ เอาตัวออกมา ให้พ่อของผมจัดการกับกลุ่มขนที่เหลือบนร่างอาพิสุทธิ์ต่อ โดยเริ่มจากขนที่ใต้วงแขน พอเสร็จแล้วพ่อถามอาพิสุทธิ์ว่ามีขนที่รอบ ๆ รูตูดหรือไม่ อาพิสุทธิ์พยักหน้าตอบรับ พ่อเลยขอให้อาพิสุทธิ์ขึ้นไปโก้งโค้งบนโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แล้วให้อาพิสุทธิ์เอามือทั้งสองข้างแหกตูดออกเพื่อให้พ่อจัดการขนตรงส่วนรอบ ๆ รูตูดนั้นจนมันเกลี้ยงเกลา

“ตัวนายสะอาดแล้วพิสุทธิ์ พร้อมที่จะเริ่มงานได้แล้ว”

สิ่งที่ผมมารู้ที่หลัง หลังจากที่ผมเอ่ยถามพ่อถึงอุปกรณ์ที่ใช้กำจัดขนก็คือ มันเป็นนวัตกรรมใหม่ของการวงการแพทย์สำหรับใช้กำจัดขน ไม่ได้ถูกนำมาใช้สำหรับคนทั่วไป เพราะเมื่อใช้ลอกขนออกจากตัวไปแล้ว น้ำยาที่ฉีดจะยับยั้งการขึ้นใหม่ของขน และมันจะทำให้คนที่ถูกใช้กลายเป็นคนที่ไร้ขนไปจนตลอดชีวิต

ผมฟังแล้วได้แต่อึ้งที่ต่อจากนี้ อาพิสุทธิ์จะกลายเป็นคนไร้ขนอย่างถาวร แต่แกอาจจะชอบก็เป็นได้ ถ้าวัดจากควยที่โด่ขึ้นมาทันควันหลังการจัดการขนเสร็จเรียบร้อย

ผมยืนถือกล้องถ่ายวิดีโอที่ตอนนี้คุณพ่อของผมอยู่ที่กลางเฟรม กำลัง เกริ่นถึงเนื้อหาในคลิปที่จะนำเสนอในวันนี้ หลังจากเกริ่นเสร็จ คุณพ่อเดินไปที่ฉากกั้น ซึ่งมีอาพิสุทธิ์ยืนเปลือยกายอยู่ข้างหลังฉากนั้น

ฉากกั้นนั้นมีขนาดสูงกว่าศีรษะอาพิสุทธิ์เล็กน้อย มีความยาวลงมาเกือบถึงหัวเข่า มันเป็นฉากที่ทำจากกระดาษหนาอย่างดี ที่เจาะรูตรงกลางไว้ขนาดใหญ่พอให้เห็นคนที่อยู่ด้านหลังตั้งแต่ส่วนหน้าอกลงมาจนถึงต้นขา ทำให้ตอนนี้ร่างกายที่เปลือยเปล่าของอาพิสุทธิ์กำลังปรากฏอยู่ในการบันทึกภาพครั้งนี้

พ่อของผมแนะนำผู้ที่มาเป็นแบบเปลือยว่าเป็นอาสาสมัครที่ตั้งใจมาเป็นแบบเพื่อสร้างองค์ความรู้เรื่องการสืบพันธุ์สำหรับคุณผู้ชายทุก ๆ คน หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มอธิบายถึงเรื่องร่างกายของผู้ชายก่อน ผมถ่ายภาพไปแต่สายตาของผมกลับโฟกัสไปที่ลำควยของอาพิสุทธิ์ที่ตอนนี้มันหดตัวลงไปแล้ว

พ่อใช้เวลาไม่นานในการอธิบายเรื่องร่างกายของผู้ชาย ก็มาถึงส่วนสำคัญคือการพูดถึงอวัยวะเพศของคุณผู้ชาย ผมเคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้เมื่อมือของพ่อช้อนไปที่ถุงอัณฑะของอาพิสุทธิ์ แล้วค่อย ๆ ช้อนมันขึ้นมา พ่ออธิบายหน้าที่ของอวัยวะเพศไปเรื่อย ๆ ขณะที่มืออีกข้างก็เริ่มจับที่ส่วนท่อนลำของอาพิสุทธิ์ชูขึ้นใส่กล้อง สักพักพ่อก็ค่อย ๆ รูดหนังที่หุ้มปลายควยของอาพิสุทธิ์ปลิ้นออกมา จนเห็นส่วนหัวที่ออกเป็นสีแดงอ่อน ๆ อย่างชัดเจน

ผมหายใจแรงและถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเสียงหายใจของตัวเองนั้นหลุดเข้าไปในคลิปวิดีโอที่ถ่ายนี้ด้วยหรือไม่ แต่ภาพที่พ่อผมกำลังใช้มือจัดการกับควยของอาพิสุทธิ์อย่างชำนิชำนาญนั้นทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วสิ่งที่ผมเห็นผ่านกล้องตอนนี้คือ พ่อค่อย ๆ จับท่อนลำของอาพิสุทธิ์ชักขึ้นชักลงอย่างช้า ๆ เพื่อสาธิตวิธีการช่วยตนเองให้กับผู้รับชม

ไม่นานเลย หลังโดนจับชักไปไม่กี่ที ท่อนควยของอาพิสุทธิ์ก็ค่อย ๆ แข็งตัวขึ้น แข็งตัวขึ้น หัวควยค่อย ๆ บานขึ้น บานขึ้น พ่อของผมรีบดึงท่อนควยของอาพิสุทธิ์ยื่นมาที่กล้อง ทำให้เห็นหัวควยที่บานใหญ่เปล่งสีแดงก่ำเพราะโดนบีบรัดจากมือของพ่อผมอย่างชัดเจน พ่อเอานิ้วหั วแม่มือคลึงที่หัวควย ผมเห็นหน้าท้องของอาพิสุทธิ์เกร็งจนขึ้นลอน พ่อผมยิ่งบีบรัดท่อนควยนั้นแล้วปลิ้นหนังหุ้มปลายเข้าออก เข้าออก สักพักเริ่มมีน้ำเยิ้มออกมาที่รูอวัยวะเพศของอาพิสุทธิ์ ผมยิ่งซูมภาพเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ตัวผมตอนนี้แทบประชิดอยู่ที่ท่อนควยของอาพิสุทธิ์แล้ว

สักพัก ผมรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งมาจับที่หัวของผม สิ่งนั้นขยี้ผมของผม แล้วเริ่มจิกลงไปที่หนังหัวจนผมรู้สึกเจ็บนิด ๆ ผมมั่นใจว่าสิ่งนั้นคือมือของอาพิสุทธิ์ ไม่ต้องบอกว่าฝ่ามือของพ่อผมตอนนี้คงกำลังสำแดงเดชทำให้อาพิสุทธิ์เกิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

แล้วอยู่ ๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อาพิสุทธิ์ส่งเสียงครางออกมา ก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

“หยุดก่อนได้ไหม กูทนไม่ไหวแล้ว ขอเอาออกก่อน”

ว่าแล้วอาพิสุทธิ์ก็ดึงมือที่จิกหัวผมออก แล้วเอามือนั้นไปจับที่มือของพ่อผมที่กำลังชักควยของแกอยู่ มือสองมือนั้นประสานส่งต่อช่วยกันชักควยนั้นให้แรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร บันทึกภาพเหล่านี้ไว้ต่อ หรือควรกดหยุดการบันทึกดี

“เป้ หยุดบันทึกก่อน”

ผมได้ยินเสียงอาพิสุทธิ์พูดกับผมเสียงสั่นพร่า ผมกำลังคิดจะทำตาม แต่กลายเป็นว่าพ่อเอามือออกจากท่อนควยของอาพิสุทธิ์ แล้วกระซิบบอกกับอาพิสุทธ์เบา ๆ แต่ได้ยินมาถึงผมอย่างชัดเจนว่า

“มึงชักต่อไป อย่าหยุด ชักแรงขึ้น แรงขึ้นด้วย”

แล้วพ่อก็เดินไปหยุดที่ด้านหลังอาพิสุทธิ์ แล้วจับตัวเขาหันข้างมา ผมไม่รอช้าเคลื่อนกล้องอย่างรู้งานไปตามที่พ่อผมจัดการให้ แน่นอนพอหันข้างมาแบบนี้ ก็ไม่มีฉากอะไรมากั้นบังตัวอาพิสุทธิ์อีกแล้ว พอผมถอยกล้องออกจากการโฟกัสที่ลำควยของอาพิสุทธิ์ ตอนนี้ร่างกายของอาพิสุทธิ์ก็ปรากฏต่อหน้ากล้องทุกสัดส่วนแบบไม่มีอะไรกั้น

หน้าของอาพิสุทธิ์บิดเบี้ยวด้วยความเสียว ร่างกายเกร็งจัด แต่สิ่งที่ทำงานไม่หยุดคือมือข้างขวา มันจัดการสาวท่อนควยที่แข็งเกร็งนั้นขึ้นลงอย่างรุนแรงเหมือนกำลังทำโทษอยู่ ผมเคลื่อนกล้องซูมไปที่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้น หูได้ยินเสียงพ่อของผมถามอาพิสุทธิ์ขึ้นมาว่า

“เสียวไหมพิสุทธิ์”

“โคตรเสียว เสียวฉิบหายเลยไอ้กรณ์ กูไม่เคยเสียวควยอะไรเท่าครั้งนี้เลย”

“แม้แต่ตอนที่มึงเย็ดหีพิริยาด้วยเหรอ”

ผมตกใจกับคำถามของพ่อผมมาก แต่ก็รอฟังคำตอบจากปากอาพิสุทธิ์

“เย็ดหียังไม่เสียวเท่านี้ มือของมึงทำกูเสียวจนหยุดไม่อยู่แล้วไอ้กรณ์”

ผมไม่เคยได้ยินอาพิสุทธิ์ใช้คำสรรพนามแบบนี้กับทั้งตัวเขาเอง หรือที่เรียกพ่อของผม มันทำให้อารมณ์ของผมพลุ่มพล่านตามไปด้วย คนเราไม่ว่าจะแสดงออกถึงความสุภาพขนาดไหน แต่พอความเงี่ยนเข้าครอบงำ ก็เผลอหลุดเผยสัญชาตญาณดิบหรือตัวตนที่แท้จริงออกมากันทุกคน

“กูอยากให้มึงชักให้แตกต่อหน้ากล้อง มึงทำได้ไหมพิสุทธิ์”

“ได้ แค่นี้กูทำได้”

“ตอบกูว่า ได้ครับคุณกรณ์ เจ้านายของผม”

ผมเริ่มตกใจกับสิ่งที่พ่อทำกับอาพิสุทธิ์ แต่ตกใจยิ่งกว่าเมื่อได้ยินการตอบกลับของอาพิสุทธิ์

“ครับ เจ้านาย ผมพร้อมทำตามเจ้านายสั่งทุกอย่าง”

พ่อผมคำรามเสียงหัวเราะออกมาดังมาก

ผมเริ่มเคลื่อนกล้องจากหน้าของอาพิสุทธิ์ไปที่ท่อนควยที่กำลังโดนใช้งานอย่างหนัก อาพิสุทธิ์จับมันชักแบบไม่ปราณีปราศรัยใด ๆ เลย ผมเห็นส่วนหัวที่โผล่พ้นมือนั้นแดงก่ำขึ้นกว่าเดิมมาก แล้วไม่ทันตั้งตัว น้ำอสุจิของอาพิสุทธิ์ก็พุ่งกระฉูดออกมาจากรูควยของเขา มันสาดกระเซ็นออกมาไม่หยุด น่าจะเพราะอารมณ์ที่เตลิดและการกักเก็บไม่ได้เอาออกมาหลายวัน อาพิสุทธิ์เริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยิ่งทำให้น้ำควยนั้นสาดไปทั่วห้อง

เสียงหัวเราะที่เรืองอำนาจของพ่อผมหยุดลงทันที เขาเปลี่ยนเป็นการพูดด้วยเสียงแสดงอำนาจ

“ไอ้พิสุทธิ์ งานยังไม่เสร็จเลย มึงทำห้องนี้เลอะเทอะน้ำเงี่ยนมึงไปหมดแล้ว มึงรีบจัดการทำความสะอาดคราบน้ำเงี่ยนของมึงเดี๋ยวนี้”

“ให้ผมทำยังไงดีครับเจ้านาย”

“มึงลงไปใช้ปากและลิ้นเลียทำความสะอาดคราบน้ำเงี่ยนมึงให้หมดเดี๋ยวนี้เลย”

“รับทราบครับนายกรณ์”

แล้วสิ่งที่ผมไม่เชื่อสายตาก็ปรากฏต่อหน้ากล้องที่กำลังบันทึกภาพอยู่ อาพิสุทธิ์เอาตัวลงไปนั่งคุกเข่าลงที่พื้น แล้วบรรจงเอาลิ้นออกมาเลียพื้นห้องตรงส่วนที่น้ำกามของเขากระเซ็นเปรอะเปื้อนอยู่ ผมช้อนกล้องลงไปถ่ายภาพหน้าของอาพิสุทธิ์อย่างใกล้ชิด ลิ้นที่เลียคราบน้ำกามเข้าปากก่อนที่จะกลืนหายลงคอไป

พอทำเสร็จจุดหนึ่ง อาพิสุทธิ์ก็เคลื่อนตัวไปยังจุดอื่น ๆ ที่มีคราบน้ำกามเลอะอยู่ แล้วจัดการมันจนสะอาดหมดจดทุกที่

“เรียบร้อยแล้วครับ นายกรณ์”

“ดีมากไอ้ทาสพิสุทธิ์ มึงคลานมาเลียตีนกูเป็นการขอบคุณที่กูยอมเป็นเจ้านายมึงเดี๋ยวนี้”

แล้วอาพิสุทธิ์ก็คลานสี่ขาเหมือนหมาไปหาพ่อของผม แล้วก้มลงใช้ลิ้นเลียที่รองเท้าของพ่อผมจนมันชุ่มโชกไปด้วยน้ำลาย ผมมองภาพนั้นผ่านกล้องพร้อมขนที่ลุกชันไปทั้งตัว

“ดีมาก มึงทำหน้าที่ทาสมือใหม่ได้เต็มสิบคะแนนเลย เดี๋ยวมึงลุกแล้วเดินไปที่ห้องน้ำนั้นนะ แล้วเปิดฝักบัวอาบน้ำให้สดชื่น พออาบน้ำเสร็จมึงจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมาบันทึกเทปกันใหม่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ผมบันทึกภาพอาพิสุทธิ์เดินเข้าห้องน้ำไปเป็นภาพสุดท้าย ก่อนที่จะหยุดการบันทึกไป ผมหันไปมองที่พ่อของผม ที่กำลังเดินไปหยิบขวดสเปรย์ที่ใช้กำจัดขนของอาพิสุทธิ์กลับเข้ากระเป๋าเครื่องมือไป

เสียงโห่ร้องของกลุ่มเด็กหนุ่ม ๆ ในห้องปลุกผมจากภวังค์ ผมมองไปที่หน้าจอ LCD ที่ตั้งอยู่ ภาพจากหน้าจอเพิ่งดับลงไป ผมใช้สายตาหันมองไปรอบ ๆ กำลังนึกทบทวนว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน

นี่คือห้องจัดแสดงผลงานของพ่อผมนั่นเอง ห้องของพ่อตอนนี้ปิดไม่ให้ใครเข้าออกชั่วคราว เพื่อทำกิจกรรมพิเศษ กลุ่มเด็ก ๆ ที่อยู่ในห้องตอนนี้ทั้งหมดคือเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นของโตน จะขาดเพียงแค่คนเดียวก็คือโตนที่ไม่ได้อยู่ดูผลงานชิ้นโบว์แดงของพ่อตัวเอง

พ่อเพิ่งฉายคลิปอัปยศของอาพิสุทธิ์จบไป คลิปนั้นไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน แม้แต่เจ้าตัวคนที่แสดงเองก็น่าจะจำไม่ได้ว่าเคยเป็นนักแสดงอยู่ในคลิป แต่จริง ๆ แล้วก็มีอยู่คนหนึ่งที่เคยได้เห็นคลิป ๆ นี้มาก่อน และก็เขายืนปะปนรวมอยู่กับคนในห้องนี้ด้วย ผมพยายามส่งสายตามองหาเขาคนนั้น พลันสายตาผมก็ประสานเข้ากับสายตาของเขาอย่างจัง สายตานั้นจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว

หมึก คือคนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่


บทส่งท้าย

เรื่องเล่าของหมึก

ตอนนี้เวลา 14.14 น. กูอยู่ในห้องจัดแสดงผลงานของพ่อไอ้เป้ บนจอโทรทัศน์เพิ่งฉายคลิปวิดีโออันน่าอัปยศอดสูของคุณพ่อนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี ไอ้พิสุทธิ์ ชูเกียรติวงษ์ตระกูล จบไป ใครจะนึกว่าคนอย่างไอ้พิสุทธิ์จะมีวันนี้ จากคนที่อยู่บนสุดในแวดวงสังคม กลายมาเป็นตัวตลกที่น่าสังเวชของเพื่อน ๆ ลูกชายตัวเอง ต้องมาโดนเผยแพร่เรื่องอันน่าอับอายที่ถูกเก็บเป็นความลับมานานหลายปี

“เห้ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะว่านี่คือพ่อไอ้โตนจริง ๆ”

“นั่นสิ นี่แม่งสร้างภาพจนได้รางวัลอะไรมากมาย แต่ความจริงแม่งโคตรเน่าเฟะ ขี้เงี่ยนฉิบหาย”

เสียงเพื่อน ๆ กูกำลังวิพากษ์พ่อของโตนกันอย่างสนุกปาก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ต่างจากความคิดของกูตอนที่ได้เห็นคลิปนี้เป็นครั้งแรก เหตุการณ์นั้นน่าจะผ่านมาประมาณครึ่งปีได้แล้ว

ตอนนั้นกูกำลังหางานพิเศษทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้าน ทางโรงเรียนติดต่อกูมาว่าพ่อไอ้เป้ต้องการคนไปทำงานที่คลินิกในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกเรียนจนถึงช่วงค่ำสามทุ่ม เนื่องจากคลินิกของพ่อไอ้เป้อยู่ไม่ไกลบ้านกูมากนัก กูเลยตัดสินใจรับงานนี้

กูไปทำงานได้สักพักก็เริ่มสนิทกับไอ้เป้ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้รู้จักหรือสนิทอะไรกันมากนัก เพราะต่างเรียนกันคนละห้อง พอมาทำงานที่คลินิกพ่อมัน มันเลยมีโอกาสที่ทำให้เราได้คุยกัน มีช่วงว่างจากงานก็ทำการบ้านด้วยกัน ผ่านไปสองเดือนเราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน

แล้วไอ้เป้ก็พูดถึงไอ้พิสุทธิ์ขึ้นมาในวันหนึ่ง กูไม่รู้ว่าเจตนาของมันคืออะไร ตอนแรกกูไม่ได้สนใจอยากจะดูคลิปนี้หรอก เพราะไม่รู้ว่าเป็นคลิปอะไร ยังคิดว่าเป็นคลิปเชิดชูวีกรรมทำความดีของพ่อไอ้โตนเสียด้วยซ้ำ ทำให้ไม่อยากเสียเวลาดู เพราะกูสะอิดสะเอียดคนดีแบบไอ้พิสุทธิ์เต็มประดา

กูยังจำท่าทีของมันตอนที่ไอ้โตนพูดว่าบ้านกูอยู่ชุมชนบ้านแดงได้เป็นอย่างดี ท่าทีที่ดูถูกคนอย่างร้ายกาจของมัน

แต่พอได้ดูแล้ว กูยิ่งสะอิดสะเอียนมันมากขึ้น ไม่คิดว่าคนแบบไอ้พิสุทธิ์ที่หน้าฉากช่างดีแสนดีจะมีหลังฉากที่ทำอะไรอัปรีย์จังไรไว้แบบนี้ ตอนนั้นกูอยากให้โลกรับรู้ความวิปริตของไอ้พิสุทธิ์จริง ๆ แต่ติดที่รับปากกับไอ้เป้ไว้ว่าจะไม่บอกใคร แล้วกูก็ไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันคำบอกเล่าของตัวเองด้วย กูจึงทำได้แค่เงียบและเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้กับตัว

แต่ในที่สุดโชคก็เข้าข้างกูแบบไม่ทันตั้งตัว ตอนที่มาสเตอร์ปราชญ์สั่งงาน Body ร่างกายในฝัน ฉับพลันนั้นกูก็นึกถึงพ่อไอ้โตนขึ้นมาทันที กูรีบไปหามาสเตอร์ปราชญ์ เล่าเรื่องคลิปนั้นให้มาสเตอร์ปราชญ์ฟัง นำมาสู่แผนการที่หลอกล่อให้พ่อไอ้โตนมาโชว์ควยให้กูวาดรูปมันจนได้ แต่แผนการทั้งหมดยังไม่จบเท่านั้น บทละครถูกเขียนตอนต่อโดนมาสเตอร์ปราชญ์ โดยมีคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์วันอัปยศนั้นให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ จนนำมาสู่เหตุการณ์อันน่าอดสูของนักธุรกิจคุณพ่อดีเด่นอีกครั้งในวันนี้

“ผมว่าพ่อไอ้โตนไม่ควรได้รางวัลคุณพ่อดีเด่น น่าจะเอารางวัลคุณพ่อเฮงซวยไปมากกว่า เพราะทำสิ่งบัดสีน่าอับอาย ทำชื่อเสียให้กับทางโรงเรียน”

เพื่อน ๆ ในห้องแม่งยังไม่หยุดวิพากษ์วิจารณ์คลิปนั้น

“แล้วอย่างนี้เราควรจัดการกับคุณพิสุทธิ์พ่อของเพื่อนเราอย่างไรดี”

พ่อไอ้เป้โยนหินถามทาง

“จับมาลงโทษเดี๋ยวนี้เลย”

เพื่อน ๆ ในห้องส่งเสียงเชียร์สนับสนุนความคิดนี้ขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ขนาดนี้ งั้นขอเชิญนายพิสุทธิ์ ชูเกียรติวงษ์ตระกูล เจ้าของรางวัลนักธุรกิจดีเด่น และคุณพ่อดีเด่น ออกมารับการลงโทษเดี๋ยวนี้”

แน่นอนว่าไอ้พิสุทธิ์ไม่ได้เดินออกมาแบบธรรมดาแน่ ๆ มันเปลือยกายเดินโทง ๆ ไม่อายฟ้าอายดินออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงที่ฮือฮาไม่ได้เกิดจากการที่ทุก ๆ คนเห็นมันแก้ผ้าหรอก แต่น่าจะเป็นเพราะมันออกมาพร้อมการถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกุญแจมือ แล้วยังมีสายจูงโลหะคล้องโยงอยู่ และคนที่จูงสายจูงนี้ออกมาก็คือไอ้เลียขาของไอ้พิสุทธิ์นั่นเอง ผมอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ด้วยความสมเพช ไอ้พิสุทธิ์คงไม่เคยรู้ตัวเลยว่ารับงูเห่าเข้ามาทำงานให้กับตัวเอง แล้ววันนี้ก็โดนมันแว้งกัดเข้าเต็ม ๆ

พวกเพื่อน ๆ ส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับคุณพ่อนักธุรกิจดีเด่นขึ้นมาอีกรอบ ไอ้พิสุทธิ์เดินก้มหน้าก้มตาออกมาด้วยความอับอาย ผิวของมันว่าขาวแล้ว หน้าของมันยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ มันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาใครเลย เพราะทุกคนที่อยู่ตรงหน้ามันตอนนี้คือเพื่อน ๆ ของลูกชายมันทั้งนั้น มันเองก็รู้จัก สนิทกับหลาย ๆ คนเป็นอย่างดี เคยคุยหยอกล้อ ทักทายกันบ่อย ๆ บางคนก็เคยไปรับไปส่งที่บ้าน มันคงไม่คิดว่าจะต้องมาปรากฏตัวในสภาพนี้ต่อหน้าทุก ๆ คน

“พิสุทธิ์ คุณไม่อายเพื่อน ๆ ลูกบ้างเหรอ ที่มาแก้ผ้าแก้ผ่อนโชว์อวัยวะเพศให้พวกเขาเห็นแบบนี้”

“ผมว่ามันน่าจะชอบมากกว่าอายครับ คุณอาหมอกรณ์”

เพื่อนคนหนึ่งตะโกนตอบแทน เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากเพื่อนคนอื่น ๆ

“ผมอยากเห็นมันโดนลงโทษแบบในคลิปจังเลยครับ”

พอเด็กคนนั้นพูดจบ พ่อไอ้เป้ก็หันไปส่งสัญญาณบางอย่างกับไอ้เตชิต แล้วพ่อเลียขาคนเก่งก็จัดการพาไอ้พิสุทธิ์ไปผูกโยงกับขื่อที่อยู่กลางห้องทันที ตอนนี้สภาพของไอ้พิสุทธิ์คือ มันยืนชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ โชว์เรือนร่างเปลือยเปล่าของมันต่อหน้าทุกคนอย่างจัง ไอ้พวกเพื่อน ๆ กูเห็นอย่างนั้นก็นึกสนุก รีบเดินเข้าไปหาร่างของไอ้พิสุทธิ์ทันที แต่ละคนต่างควักกล้องมือถือออกมาเพื่อบันทึกภาพคนดังที่กำลังยืนแก้ผ้าโชว์เปลือยอยู่ บางคนซูมไปที่หน้าของไอ้พิสุทธิ์ บางคนซูมไปที่ท่อนควยไร้ขน บางคนก็ถ่ายที่ก้นของมัน บางคนก็ลองเอามือจับที่ท่อนควยถอกหัวเล่น แต่บางคนก็แกล้งผลักหน้าเพื่อนให้เข้าไปโดนที่ควยของไอ้พิสุทธิ์ ทุกคนดูจะสนุกสนานกับตุ๊กตามนุษย์ที่ชื่อพิสุทธิ์ โดนอาจจะลืมไปแล้วว่านี่คือพ่อของเพื่อนมันเอง แม้ไอ้พิสุทธิ์จะพยายามเบือนหน้าหนีไม่ให้ใครถ่ายใบหน้าของมัน หรือแม้จะส่งเสียงขอร้องอ้อนวอนเท่าไร แต่ก็ไม่เป็นผล

“ขอร้อง อย่าถ่ายผมเลย ผมยอมแล้วทุกอย่าง แค่อย่าถ่ายหน้าผม”

ยิ่งไอ้พิสุทธิ์คร่ำครวญมากเท่าไร ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกสนุก กูได้แต่รู้สึกสมเพชเวทนาในชะตากรรมของนักธุรกิจดีเด่นแบบมัน

ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกเพลิดเพลิน พ่อไอ้เป้ก็เดินถือบางสิ่งออกมา

“มาลงโทษคุณพิสุทธิ์กันต่อดีกว่าทุกคน”

ว่าแล้วพ่อไอ้เป้ก็ยกชูกล่องอุปกรณ์ที่อยู่ในมือให้ทุกคนได้เห็น

“ไม่รู้ว่าเด็ก ๆ รู้จักกันรึเปล่า อันนี้เขาเรียกว่า ห่วงรัดโคน หรือ ค๊อกริง มันเป็นอุปกรณ์สำหรับช่วยเพิ่มความสุขทางเพศ ช่วยยืดระยะเวลาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ และเพิ่มความแข็งแกร่งของอวัยวะเพศให้แข็งปั๋ง จนเห็นเส้นเลือดโปนกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยให้มีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น และเพิ่มระยะเวลาของการสำเร็จความใคร่ได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย”

ไอ้พวกนี้พอได้ฟังมันก็ร้องอู้หู อ้าหากันยกใหญ่ ทั้งที่จริง ๆ คงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

“แล้วมันใช้งานยังไงครับ”

พอได้ยินประโยคนี้ ไอ้เตชิตรีบเสนอหน้ารับหน้าที่สาธิตการใช้ค๊อกลิ้งให้ดูเป็นตัวอย่างทันที ไอ้นี่ท่าทางน่าจะชอบควยไอ้พิสุทธิ์มากจริง ๆ เจ้านายลูกน้องคู่นี้แม่งช่างผีเน่ากับโลงผุ สมกันดีจริง ๆ

ไอ้เตชิตเดินเอาห่วงรัดโคนควยตรงเข้าไปหาไอ้พิสุทธิ์ มันเริ่มจากการเอาลูกอัณฑะข้างหนึ่งใส่เข้าไปในห่วงก่อนและดึงหนังถุงอัณฑะตามเข้าไป แล้วหลังจากนั้นจึงใส่อัณฑะอีกข้างเข้าตามไป ตอนที่ทำนั้น บรรยากาศในห้องต่างเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน กล้องมือถือแต่ละเครื่องต่างซูมไปที่มือของไอ้เตชิตอย่างพร้อมเพรียงกัน พอจัดการถุงอัณฑะแล้ว ไอ้เตชิตไม่รอช้า มันใช้มือจับปลายลำควยของไอ้พิสุทธิ์ที่ยังอ่อนตัวอยู่สอดเข้าไปในห่วง ระหว่างอัณฑะสองใบ และดึงลงมาจนสุดโคน ตอนนี้ห่วงก็จะครอบอยู่รอบอวัยวะเพศและอัณฑะแล้ว

หลังจากนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิด ควยของไอ้พิสุทธิ์ค่อย ๆ ขยายตัวตั้งชันขึ้นทันที แล้วตอนนี้อยู่ ๆ ไอ้เตชิตก็สวมหน้ากากดำคาดตาเดินตรงไปหาไอ้พิสุทธิ์ทันที มันบรรจงประกบริมฝีปากตัวเองลงที่ปากของไอ้พิสุทธิ์ แล้วก็โหมจูบอย่างรุนแรงบดขยี้ริมฝีปากของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้เตชิตพยายามเอาลิ้นดุนเข้าไปในปากไอ้พิสุทธิ์ทั้งที่ไอ้พิสุทธิ์พยายามปิดปากให้สนิท แต่ไอ้พิสุทธิ์ตอนนี้เหมือนเสือที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บ มือทั้งสองข้างที่โดนล็อกกุญแจไว้ และแขนที่ถูกจับโยงกับขื่อทำให้มันหมดหนทางในการต่อสู้ขัดขืนใด ๆ พอลิ้นของไอ้เตชิตเอาชนะริมฝีปากของไอ้พิสุทธิ์ได้ ทุกสิ่งอย่างก็จบลงตรงนั้น พร้อมความพ่ายแพ้ของไอ้พิสุทธิ์

กลายเป็นว่ากล้องมือถือที่เคลื่อนเข้าไปถ่ายใกล้ ๆ หลาย ๆ ตัว กลับทำให้ไอ้พิสุทธิ์มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มมากขึ้น ควยของมันตอนนี้แผดผงาดขยายตัวจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนอย่างที่พ่อไอ้เป้บอกไว้จริง ๆ ตอนนี้ลิ้นของไอ้เตชิตเปลี่ยนจากการบดขยี้ในปาก มาโลมเลียอยู่ที่รักแร้ที่เกลี้ยงเกลาไร้ขนของไอ้พิสุทธิ์แทน ท่าทางไอ้เตชิตดูจะกระหายร่างกายของเจ้านายมันเป็นอย่างมาก เพราะมันกระทำทุกอย่างด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย ตลอดเวลาที่ทำงานมา กูว่ามันคงจินตนาการว่าจะได้กลืนกินตัวเจ้านายของมันเป็นแน่ แต่ที่แน่กว่านั้นคือมันคงไม่เคยคาดคิดว่าจินตนาการนั้นจะเป็นจริงขึ้นมาได้ในวันนี้

ไอ้พิสุทธิ์ตอบสนองการจู่โจมของไอ้เตชิตด้วยท่อนควยที่แผดผงาด เพื่อน ๆ กูต่างฮือฮากันยกใหญ่ตอนที่ได้เห็นควยผู้ใหญ่ แผดผงาดจนเห็นเส้นเลือดแบบนี้ หัวควยของไอ้พิสุทธิ์ก็แดงก่ำ มันชูคอแผ่แม่เบี้ยเต็มสูบ ทำให้กล้องมือถือทุกเครื่องต่างซูมไปที่ตรงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ปากของไอ้เตชิตก็ลงมาครอบที่หัวควยของไอ้พิสุทธิ์ แล้วมือของมันก็รวบท่อนลำของไอ้พิสุทธิ์เอาไว้ แล้วชักลำควยนั้นเข้าออกปากตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ไอ้พิสุทธิ์ส่งเสียงครางออกมาอย่างลืมตัว เสียงครางเกือบเหมือนเสียงหอนร้องโหยหวนดังขึ้นเรื่อย ๆ เรียกเสียงฮือฮาจากพวกเพื่อน ๆ เลวของกูได้เป็นอย่างดี

ตอนนี้ไอ้พิสุทธิ์ตกเป็นทางเซ็กส์ของเลขามันเองโดยสมบูรณ์แล้ว

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างยาวนาน เพราะผลของค๊อกลิ้งที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มระยะเวลาของการสำเร็จความใคร่ของไอ้พิสุทธิ์ออกไป ไอ้เตชิตจึงได้อยู่บนสวรรค์อย่างยาวนาน

ภาพที่กูเห็นตอนนี้ ถ้าไอ้โตนกับแม่ของมันมาเห็น จะเป็นยังไงนะ แต่กูเชื่อว่า ไม่ช้าก็เร็ว มันทั้งสองต้องได้เห็นเป็นแน่ เพราะกล้องที่บันทึกภาพตอนนี้ คงทำหน้าที่ในการกระจายข่าวได้อย่างทั่วถึงแน่ ๆ ภาพตอนนี้บอกใครว่าไอ้พิสุทธิ์โดนบังคับ ข่มขืนจิตใจให้ทำ คงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ เพราะทั้งควยที่แข็งตระหง่าน และท่ากระเด้าควยเข้าปากไอ้เตชิตตอนนี้ มันบ่งบอกว่าไอ้พิสุทธิ์ยินยอมพร้อมใจและเป็นฝ่ายที่กระทำด้วยซ้ำ

ยังไม่ทันไอ้พิสุทธิ์จะได้หยุดพัก พ่อไอ้เป้ก็เอาของเล่นใหม่มาลงโทษไอ้พิสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง มันเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนดิลโด้ แต่กูไม่รู้หรอกว่ามันเรียกว่าอะไร ใช้งานยังไง แล้วมันถือเป็นการลงโทษไอ้พิสุทธิ์อย่างไร

“ปล่อยคุณเตชิตทำหน้าที่ของเขาไป เราจะมาปิดท้ายการลงโทษคุณพิสุทธิ์กันด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้กันดีกว่า มันคือ Butt Plug หรืออุปกรณ์เพิ่มความสุขทางเพศผ่านรูทวารหนัก แต่เมื่อมันเอาไว้เพื่อใช้ลงโทษ ฉะนั้นเราจึงจะไม่ทำให้คุณพิสุทธิ์มีความสุขจากอุปกรณ์ชนิดนี้ แต่มันจะเอาไว้ใช้ให้คุณพิสุทธิ์ต้องอับอายเพราะมันแทน”

ว่าแล้วพ่อไอ้เป้ก็เดินเข้าไปที่ด้านหลังไอ้พิสุทธิ์ แล้วจัดการดันร่างของไอ้พิสุทธิ์ให้โก้งโค้งลงมา ไอ้พิสุทธิ์ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานเพราะแขนที่ถูกดึงรั้งไว้กับขื่อ ผมเห็นน้ำตามันไหลหยดลงมา แต่พ่อไอ้เป้ไม่ยอมปราณีหรือมีท่าทีสงสารเพื่อนของมันเลย มันจัดการแหกตูดของไอ้พิสุทธิ์ออกจนเห็นรูตูดที่ขยายกว้าง หลังจากนั้นพ่อไอ้เป้จึงเอาไอ้เจ้าอุปกรณ์นั้นยัดลงไปที่รูตูดของเพื่อนสนิท แล้วกระแทกมันจนมิดลำเหลือเพียงแต่ส่วนปลายที่จับที่เป็นทรงพุ่มขนสีทองแล่บออกมาจากรูทวาร แล้วมีสายยาวเหมือนสายสร้อยห้อยระโยงระยางลงมาอีกที ช่างเป็นภาพที่จังไรสายตาคนที่พบเห็นจริง ๆ

พอจัดการเสียบ Butt Plug เสร็จ พ่อไอ้เป้ก็ดึงตัวไอ้พิสุทธิ์กลับขึ้นมาใหม่ ตลอดเวลาท่อนควยของไอ้พิสุทธิ์ไม่เคยหลุดจากปากของไอ้เตชิตเลย ถ้าตัดควยไอ้พิสุทธิ์กลับบ้านได้ ไอ้เตชิตคงทำอย่างแน่นอน มันดูดควยนั้นอย่างหื่นกระหาย แข่งกับเวลา เพราะมันรู้ดีว่าเวลาแห่งความสุขกำลังจะจบลง

กูเหลือบตามองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง มันบอกเวลา 15.00 น. ตรง

“หมดเวลาสำหรับห้องนี้แล้วครับ”

พอกูพูดจบ น้ำกามของไอ้พิสุทธิ์ก็ทะลักเข้าปากไอ้เตชิตทันที ท่าทางน้ำควยนั้นจะมหาศาล เพราะไอ้เตชิตรีบกลืนลงคออย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นพวกเราทุกคนที่อยู่ในห้องปิดทึบ ก็ได้กลิ่นคาวกามนั่นคลุ้งจมูกเหมือนกันทุกคน


บทส่งท้าย

เรื่องเล่าของลุงดำ

ผมนั่งรออย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้ทำอะไรมาสักชั่วโมงกว่า ๆ แล้ว เด็ก ๆ ที่เข้ามาดูงานในห้องผม พอเห็นว่าไม่มีอะไรที่เขาสนใจ เขาก็ออกไปกัน จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นห้องที่ว่างเปล่า ผมนั่งมองกล่องลงคะแนน แม้คะแนนที่ได้จะไม่น้อย แต่ผมไม่หวังรางวี่รางวัลอะไรหรอก ยามจน ๆ อย่างผม ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมนี้ก็ถือว่ามีบุญมากแล้ว

ผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะโดนอะไรตอนที่กลับไปบริษัท ที่ผมขาดงานมาแบบนี้ แต่ผมก็คิดว่าหัวหน้าน่าจะเข้าใจ ปกติคุณพิสุทธิ์ดูเป็นคนดี วันนั้นที่แกว่าผมก็เพราะผมเมามายไม่ได้สติเอง ผมไม่โทษแกหรอก แล้ววันนี้ผมก็ไม่คิดว่าผมจะเป็นคู่แข่งอะไรของเจ้านายด้วย ยังไงคุณพิสุทธิ์ก็มีบุญคุณกับผม กับครอบครัวของผม

ผมมองไปที่ภาพถ่ายที่ตั้งเด่นเป็นสง่าในห้อง มันเป็นภาพผมที่นั่งอยู่คู่กับไอ้ขาว หมาคู่ใจ เวลาที่ผมมาช่วยงานในโรงเรียน ทำความสะอาดบ้าง ทำสวนบ้าง จัดแต่งนั่น โน่น นี่บ้าง เพื่อตอบแทนที่ทางโรงเรียนให้ทุนเรียนฟรีกับเจ้าหมึกลูกชายผม ก็มีเจ้าชาว หมาจรที่อาศัยอยู่ในโรงเรียน มาคอยเป็นเพื่อนคู่ใจของผม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราทำงานคู่กันเหมือนคู่หูคู่ใจ เผลอ ๆ มันน่าจะรู้ใจผมมากกว่าเมียของผมเสียอีก

น่าเสียดายที่มันโดนรถทับตายไปเมื่อสามเดือนก่อน ผมไม่เคยรู้สึกหู่อะไรเท่านี้มาก่อน ยิ่งมาประจวบเหมาะตอนที่เมียผมต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้ผมเข้าใจความหมายของคำว่าล้มทั้งยืนได้อย่างถ่องแท้จริง ๆ

ดีที่ผมยังมีงาน

ต้องขอบคุณ คุณพิสุทธิ์จริง ๆ ที่ให้โอกาสผม

ผมไม่มีวันลืมสีหน้าและสายตาของคุณพิสุทธิ์ที่มองผมตอนที่ผมเมาอาละวาดได้เลยจริง ๆ

ประตูห้องเปิดออกแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง เล่นเอาผมสะดุ้ง เพราะไม่ทันตั้งตัว พอเห็นคนที่เข้ามาในห้องผมก็ยิ้มออก เจ้าหมึกลูกชายสุดที่รักนั่นเอง

“พ่อว่ากำลังจะออกไปเดินดูสวนที่ทำงานค้างไว้สักหน่อย ไปด้วยกันมั้ยหมึก จะได้ช่วยพ่อ”

“ไม่ล่ะครับ งานหมึกยังมาเสร็จเลย แต่หมึกพาผู้ช่วยพ่อมาด้วยครับ”

“ไหนล่ะ”

ผมชะเง้อคอมองหาผู้ช่วยที่เจ้าหมึกบอก

“ชู่ว ๆ มาเร็วเจ้าขาว”

เจ้าหมึกเดินหายไปสักพักก็จูงสายจูงเดินเข้ามาในห้อง สายจูงนั้นล่ามคอเจ้าขาวเอาไว้ มันเดินสี่ขาเข้ามาในห้องด้วยท่าทางตื่น ๆ

“ไม่เจอกันหลายวันเลยนะไอ้ขาว”

ผมพูดกับมันพร้อมแสยะยิ้มให้ มันเดินวนไปวนมา จนผมเห็นอะไรบางอย่างแล่บออกมาจากรูตูดของมัน เป็นขนพุ่ม ๆ ฟู ๆ สีทองที่มีสายห้อยระโยงระยางลงมาอีก

“มีของเล่นด้วยเหรอขาว มา ๆ เดี๋ยวลุงพาเดินอวดของเล่น แล้วเราไปทำสวนด้วยกันนะ”

ผมรู้สึกดีใจที่ได้เจ้าขาวกลับคืนมา ผมคว้าสายจูงจากมือของเจ้าหมึก แล้วพาเจ้าขาวคลานสี่ขาตามออกมาจากห้อง

ผมจะอวดเจ้าขาวกับทุกคน พามันเดินให้ทั่วโรงเรียน ให้ทุกคนในโรงเรียนได้เห็นว่า ยามแก่ ๆ จน ๆ อย่างผม มีเจ้านี่เป็น

หมาของผม