วงเวียนกาม

ตอนที่ 1

เย็นมากแล้ว ผู้คนบนโรงพักเริ่มบางตาแม้ว่าที่นี่จะเป็นสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง นายตำรวจที่ส่วนใหญ่ออกเวรแล้วจึงเริ่มทยอยกันกลับบ้าน เหลือเพียงนายตำรวจที่เข้าเวรในช่วงเวลากลางคืนเพียงไม่กี่นาย หากแต่หมวดพฤกษ์ซึ่งออกเวรแล้วเหมือนคนอื่นๆ กลับยังคงนั่งง่วนหาข้อมูลบางอย่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานส่วนตัวของเขา โดยไม่ได้ใส่ใจกับเวลาที่เคลื่อนผ่านไปแม้แต่น้อย

หมวดพฤกษ์เป็นนายตำรวจหนุ่มไฟแรง อายุเลยวัยเบญจเพสมาไม่กี่ปี หน้าตาของเขาจัดว่าหล่อเหลาไม่แพ้ใคร รูปร่างของเขาบึกบึน ล่ำสัน แข็งแรง สมชายชาตรี ยามที่เขาสวมเครื่องแบบตำรวจที่ค่อนข้างฟิต กระชับสัดส่วน จะทำให้แลเห็นกล้ามแกร่งทั้งช่วงแขน หน้าอก หน้าท้อง รวมถึงต้นขาอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้สาวๆ ตาโต และหนุ่มๆ ด้วยกันเกิดความอิจฉา น่าจะเป็นสิ่งที่อวบอูมอยู่ภายใต้เป้ากางเกงสีกากีที่เขาสวมอยู่มากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งสะดุดตาที่สุดยามที่หมวดพฤกษ์เคลื่อนไหวร่างกาย

สิ่งที่หมวดพฤกษ์เชี่ยวชาญคืองานภาคสนาม เมื่อไหร่ก็ตามที่มีภารกิจเสี่ยงตาย เขามักจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการปฏิบัติการ และแทบไม่เคยมีภารกิจไหนที่หมวดพฤกษ์นำทีมแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ใช่ว่าหมวดพฤกษ์จะเชี่ยวชาญในงานทุกประเภท สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ถนัดคือการค้นหาข้อมูล ซึ่งปกติเขาจะมีหมู่ยุทธนาเป็นกำลังสำคัญในเรื่องนี้ แต่วันนี้ที่เขาลงมือค้นหาข้อมูลบางอย่างด้วยตัวเอง เพราะงานนี้ยังเป็นภารกิจลับที่เขาแอบสืบด้วยตัวเอง หลังจากที่ได้เบาะแสบางอย่างมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงคิดว่าจะหาข้อมูลให้เพียงพอก่อนที่จะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ เพื่อจะได้ทำคดีอย่างเปิดเผย

“หมวดยังไม่กลับเหรอครับ?” เสียงที่ทักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้หมวดพฤกษ์ถึงกับสะดุ้ง เขาเหลือบตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มองไปทางต้นเสียงนั้น เห็นหมู่ยุทธนากำลังเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“หมู่ยุทธเล่นเอาผมตกใจหมด อยู่ๆ ก็ทักขึ้นมา”

“ขอโทษครับหมวด ไม่นึกว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้ ว่าแต่หมวดยังไม่กลับบ้านเหรอครับ นั่งทำอะไรอยู่?” หมู่ยุทธถามย้ำอีกครั้ง ขณะที่เขาเดินมาถึงโต๊ะของหมวดพฤกษ์และชะโงกหน้าเข้ามาดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับถามว่า “มีอะไรจะให้ผมช่วยไหมครับ?”

“ไม่เป็นไร ผมแค่หาข้อมูลอะไรไปเรื่อย ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรอก หมู่กำลังจะกลับบ้านเหรอ เชิญตามสบาย”

“งั้นผมไปนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน” หมู่ยุทธหิ้วสัมภาระเดินลงบันไดโรงพักไปโดยมีสายตาของหมวดพฤกษ์คอยมองตามหมู่ยุทธเป็นนายตำรวจรุ่นน้องที่เข้ามาประจำการที่โรงพักแห่งนี้ได้เพียงปีกว่าๆ แต่ค่อนข้างสนิทกับหมวดพฤกษ์ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีอุปนิสัยใจคอที่คล้ายคลึงกัน แม้จะถูกส่งมาในพื้นที่ต่างถิ่น แต่หมู่ยุทธรู้จักปรับตัว และเป็นกำลังสำคัญด้านข้อมูลของทีม หมวดพฤกษ์คิดว่าถ้างานที่เขากำลังทำอย่างลับๆ นี้ผ่านความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ และอนุมัติให้ทำการสืบสวนอย่างเปิดเผยได้ เขาคิดจะขอให้หมู่ยุทธมาเป็นผู้ช่วยในด้านการค้นหาข้อมูลเหมือนกับงานชิ้นก่อนๆ ที่พวกเขาร่วมมือกันทำและประสบความสำเร็จมาโดยตลอด

หมู่ยุทธยาเองก็ชอบที่ได้ร่วมงานกับหมวดพฤกษ์ เพราะนอกจากการทำงานที่เข้าขากันเป็นอย่างดีแล้ว เขายังนับถือในอัธยาศัยไมตรีของรุ่นพี่คนนี้ หมวดพฤกษ์นับว่าเป็นตำรวจตัวอย่างที่แม้เวลาปฏิบัติภารกิจจะเข้มแข็ง มุทะลุดุดัน แต่เวลาอื่นนั้นชายหนุ่มกลับเป็นคนสุภาพ พูดเพราะ ให้เกียรติผู้อื่น แม้กระทั่งชาวบ้านตาดำๆ ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่ลูกน้องอย่างเขา หมวดพฤกษ์ก็ไม่เคยใช้กิริยาวาจาที่แสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่า จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆ ต่างก็รักและชื่นชมเขาทั้งนั้น ยิ่งชาวบ้านที่มีลูกสาวต่างพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกสาวของตนต้องตาต้องใจหมวดพฤกษ์ แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครทำได้สำเร็จ เพราะหมวดพฤกษ์ดูจะสนใจและทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำงานมากกว่า

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากเวลาเลิกงาน บรรยากาศข้างนอกเริ่มมีความมืดเข้าปกคลุม หมวดพฤกษ์เริ่มรู้สึกล้าหลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลานาน เขาจึงหันไปพักสายตามองผ่านประตูหน้าโรงพักออกไปภายนอก เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาจึงลงมือเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน หมวดพฤกษ์สะพายกระเป๋าส่วนตัวก้าวเดินลงจากโรงพักมาที่รถจิ๊ปส่วนตัวของเขา นี่คือพาหนะคู่ชีพของเขาที่แตกต่างจากนายตำรวจคนอื่นๆ ที่มักจะใช้รถเก๋งเป็นพาหนะประจำตัว หากแต่หมวดพฤกษ์เลือกรถจิ๊ปเพราะเหมาะกับตัวงานของเขามากกว่า โดยเฉพาะไว้ใช้กับพื้นที่ที่ถนนหนทางยังไม่สะดวกนัก

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากเวลาเลิกงาน บรรยากาศข้างนอกเริ่มมีความมืดเข้าปกคลุม หมวดพฤกษ์เริ่มรู้สึกล้าหลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลานาน เขาจึงหันไปพักสายตามองผ่านประตูหน้าโรงพักออกไปภายนอก เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาจึงลงมือเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน หมวดพฤกษ์สะพายกระเป๋าส่วนตัวก้าวเดินลงจากโรงพักมาที่รถจิ๊ปส่วนตัวของเขา นี่คือพาหนะคู่ชีพของเขาที่แตกต่างจากนายตำรวจคนอื่นๆ ที่มักจะใช้รถเก๋งเป็นพาหนะประจำตัว หากแต่หมวดพฤกษ์เลือกรถจิ๊ปเพราะเหมาะกับตัวงานของเขามากกว่า โดยเฉพาะไว้ใช้กับพื้นที่ที่ถนนหนทางยังไม่สะดวกนัก

ชายหนุ่มขับรถไปตามเส้นทางที่กลับบ้านเป็นประจำ แต่เมื่อถึงทางแยกหนึ่งเขากลับตัดสินใจหักพวงมาลัยรถเพื่อมุ่งหน้าไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ทางกลับบ้านของเขา แต่เป็นถนนส่วนบุคคลเส้นหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้กัน ความเงียบและวังเวงจึงเข้าปกคลุมไปพร้อมความมืด แม้จะมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าบ้างแต่ก็ส่องความสว่างได้ไม่ทั่วถึงนัก รถที่ขับสวนกันก็ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ขับด้วยความเร็วสูงสุดเพราะไม่อยากอยู่ในเส้นทางที่เปลี่ยวนี้นานๆ ยิ่งท้องฟ้ามืดลงเท่าไหร่ รถที่วิ่งสวนทางกันก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที ทั่วทั้งถนนแลดูเวิ้งว้าง จนแม้แต่คนที่ปกติไม่ค่อยจะหวาดกลัวอะไรง่ายๆ อย่างหมวดพฤกษ์ ก็ยังอดรู้สึกเย็นวาบเป็นบางช่วงไม่ได้

แล้วโดยไม่ทันตั้งตัว แสงไฟหน้ารถก็ส่องให้เห็นร่างๆ หนึ่งที่โผล่ออกมาจากข้างทางที่มืดสนิท ร่างนั้นเข้ามาขวางตัดหน้ารถของเขาที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงอย่างกระชั้นชิด จนหมวดพฤกษ์ต้องรีบเหยียบเบรกรถจนตัวโก่งได้ยินเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนเสียงดังสนั่น เมื่อรถจอดสนิท หมวดพฤกษ์มองดูจากกระจกมองหลังเห็นเงาดำๆ ของคนๆ หนึ่งยืนเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ไกลๆ ด้วยระยะทางและความมืดทำให้เขามองไม่เห็นว่าร่างที่ยืนอยู่นั้นเป็นใคร

หมวดพฤกษ์คว้าไฟฉายกระบอกใหญ่ก้าวลงจากรถ ถนนบริเวณนี้ไม่มีไฟถนนสาดส่อง จึงมองอะไรได้ไม่ถนัดนัก หมวดพฤกษ์จึงเปิดไฟฉายแล้วฉายส่องไปที่ร่างๆ นั้นที่กำลังยืนโงนเงนอยู่ เขาเดินเข้าไปใกล้จึงเริ่มมองเห็นร่างของชายคนนั้น ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าหมวดพฤกษ์มีร่างกายที่ผอมเกร็ง ยืนตัวสั่นเทิ้มเอามือบังแสงไฟที่สาดมากระทบลูกนัยน์ตา ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวบางสีเนื้อ แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่หมวดพฤกษ์ก็จำได้ว่าร่างนั้นคือใคร

“ไอ้บอย”

หมวดพฤกษ์อุทานเรียกชื่อผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขารีบเดินไปหาร่างที่ยืนสั่นเทา พอไปถึงตัวเขาก็เขย่าร่างนั้นเพื่อเรียกสติ ดวงตาที่สบตาเขาดูเหม่อลอย หมวดพฤกษ์พยายามมองฝ่าความมืดไปรอบๆ บริเวณนั้น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร เขาพยุงร่างที่สั่นนั้นมาที่รถ เปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วดันร่างนั้นลงนั่งที่เบาะ

“หมวด ผมกลัว มันจะฆ่าผม”เสียงของบอยสั่นพร่าแสดงอาการหวาดกลัวในสิ่งที่เพิ่งเผชิญมา หมวดพฤกษ์เอาผ้าผืนยาวจากเบาะหลังมาคลุมร่างเกือบเปลือยนั้นไว้ เขาเห็นแล้วว่ากางเกงในแนบเนื้อนั้นบางจนปิดสัดส่วนความเป็นชายของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่มิด

“เกิดอะไรขึ้นกับเอ็งวะ?” หมวดพฤกษ์ถามด้วยความสงสัย “เอ็งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“พวกมันพาผมมา มันรู้แล้วว่าผมเป็นสายให้หมวด พวกมันจะจัดการผม อย่างที่ทำกับคนอื่นๆ แต่ผมหนีมาได้” เสียงนั้นยังคงสั่นพร่า หมวดพฤกษ์อ้อมร่างนั้นเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำดื่มข้างๆ เบาะคนขับมาส่งให้ คนตัวสั่นรีบหยิบไปดื่มรวดเดียวหมดขวด

“เอ็งมาจากที่ไหน?”

บอยค่อยๆ ยันตัวเองลุกจากที่นั่ง สลัดผ้าที่คลุมร่างอยู่ทิ้งไป เดินออกไปที่ริมถนน พยายามกวาดสายตาไปทั่ว แต่ก็แลเห็นแต่ความมืดมิด สักพักเจ้าตัวจึงชี้มือไปยังจุดๆ หนึ่งที่ก็ยังมองไม่เห็นอะไรนอกจากความเวิ้งว้าง

“พาข้าไปได้ไหม? ข้าอยากไปเห็นพวกมัน”

บอยหันมาสบตาเหมือนไม่แน่ใจ เขายังหวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เมื่อเห็นสายตามุ่งมั่นของหมวดพฤกษ์เขาก็พยักหน้า หมวดพฤกษ์จึงเดินกลับไปที่นั่งคนขับ หยิบสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ เดินตามร่างของบอยที่เดินฝ่าทุ่งหญ้านำหน้าไปก่อนแล้ว หมวดพฤกษ์ส่องไฟฉายไปยังร่างของบอย สำรวจร่างนั้น มันเต็มไปด้วยคราบเปรอะเปื้อนทั่วตัว แสดงว่ากว่าจะมาถึงที่นี่ได้เจ้าของร่างคงเดินฝ่าทุ่งนั้นมาไกล ความนึกคิดของหมวดพฤกษ์ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อน ที่เขามีโอกาสได้เจอบอยเป็นครั้งแรก

ตอนนั้นบอยมาดักเจอเขาหลังจากที่เขาเลิกงาน แนะนำตัวว่ามาจากโรงเรียนเปรมปรีดา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อุปการะเด็กกำพร้าที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี และมีความสามารถด้านกิจกรรม บอยเล่าว่าเขาอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ หลังจากที่พ่อของเขาที่เป็นกรรมกรก่อสร้างอาคารเรียนเสียชีวิตตกจากนั่งร้าน ทำให้ผู้อำนวยการต้องรับอุปการะเขาและให้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ จนตอนนี้เขาอายุได้ 16 ปี แล้ว บอยมาพบเขาเพราะเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่บอยมีโอกาสรู้เห็นโดยบังเอิญ เมื่อเพื่อนสนิทถูกลงโทษโดยการย้ายไปบ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่อื่น แต่หลังจากนั้นบอยไม่สามารถติดต่อเพื่อนรักคนนี้ได้ จึงให้คนที่รู้จักสืบดูตามที่อยู่ที่ที่โรงเรียนแจ้งไว้ แต่กลับติดต่อไม่ได้ บอยจึงเริ่มตามสืบหานักเรียนคนอื่นที่ถูกย้ายไปยังสถานที่อื่นๆ ก่อนจะพบว่าในรอบสองปีที่ผ่านมา มีเด็กในอุปถัมป์ของที่นี่ถึง 14 คนที่ถูกลงโทษย้ายไปที่อื่น แต่มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่สามารถระบุจุดหมายใหม่ได้ ส่วนอีก 9 คนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้บอยมาพบเขาเพื่อให้ข้อมูลเขาในเรื่องนี้ เพราะบอยเคยได้ยินมาว่าหมวดพฤกษ์เป็นคนเก่ง ไม่ว่าปัญหาอะไร จะร้ายแรงขนาดไหน หมวดพฤกษ์ก็สามารถช่วยได้ทุกเรื่อง

สองเดือนที่ผ่านมา หมวดพฤกษ์พยายามรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลต่างๆ ที่บอยคอยทำหน้าที่ส่งข่าวมาให้ จนตอนนี้มีความคืบหน้าขึ้นมาก เขาเตรียมจะนำเรื่องนี้เสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อทำการสืบหาการหายตัวไปของเด็กทั้ง 9 ราย และความเชื่อมโยงที่มีไปยังโรงเรียนเปรมปรีดา แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับบอย เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่รู้กันเพียงแค่เขากับบอยอีกต่อไปแล้ว

แสงจากไฟฉายส่องให้เห็นสถานที่หนึ่งเบื้องหน้าซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน บอยหันมามองที่เขา แววตาสั่นระริกด้วยความกลัว เขาเปลี่ยนเป็นฝ่ายเดินนำหน้าบอย ปิดไฟฉายเพราะไม่ต้องการให้บุคคลอื่นนอกจากเขาและบอยรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาที่สถานที่นี้ หมวดพฤกษ์มองไปรอบๆ สถานที่ไม่คุ้นตานั้น เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร จะป็นร้านอาหาร โรงละคร โบสถ์ บ้านคน หรืออะไรกันแน่ เขารู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าสงสัยคือมันไม่น่ามาตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างและห่างไกลผู้คนได้ขนาดนี้ เขาคงต้องไปสืบดูว่าที่ดินตรงนี้เป็นที่ของใคร

หมวดพฤกษ์เดินไปถึงประตูซึ่งปิดสนิทอยู่ ดูจากสภาพน่าจะเป็นด้านหลังของตัวอาคาร เขาลองขยับประตูดู มันไม่ได้ถูกล็อกจากด้านใน บอยเดินมาเกาะแขนเขา อาการหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเปิดประตูออก ด้านในมืดไม่ต่างจากด้านนอก จนเขาต้องปรับสายตาให้ชินกับความมืดอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆ พาบอยเดินเข้าไปในตัวอาคารนั้น

ด้านในเงียบสนิทเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น เขาหันมาหาบอย ส่งเสียงกระซิบถาม “รู้ไหมว่าเราอยู่ตรงไหน?” เขาเห็นร่างนั้นส่ายหน้ารัวๆ หมวดพฤกษ์จึงเลือกเดินไปตามเส้นทางที่สามารถเดินไปได้ เขาวนเวียนอยู่ภายในตัวอาคารท่ามกลางความมืดนั้นได้สักพัก ก็มองเห็นแสงสว่างรำไร บอยกระตุกมือเขาขึ้นมาทันที

“ตรงนั้นเหรอที่เอ็งหนีมา?” บอยพยักหน้าทั้งที่ตัวสั่นเทา หมวดพฤกษ์หยิบปืนที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาถือเตรียมพร้อม ค่อยๆ เดินไปตรงที่มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมา หูเริ่มได้ยินเสียงผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของชายหนุ่มเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงนั้นเล็ดลอดผ่านมาจากม่านสีเทาหม่นที่มีแสงไฟจากอีกด้านส่องสว่างมาให้เห็น มือของบอยที่เย็นเฉียบกระตุกแขนเขา หมวดพฤกษ์สูดลมหายใจเต็มปอด หัวใจเต้นรัว ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ โดยไม่ทันตั้งตัวมือของบอยปล่อยการเกาะกุมจากแขนของเขา แล้วผลักเขาไปเบื้องหน้า จนชายหนุ่มหลุดผ่านม่านสีหม่นนั้นออกมา

แล้วหมวดพฤกษ์ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ตอนนี้เขายืนอยู่บนเวทีขนาดใหญ่ เบื้องล่างเป็นคนกลุ่มใหญ่กำลังเลี้ยงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน สมาชิกในห้องเป็นชายทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในวัยกลางคน เขาจำหน้าคนเหล่านั้นได้ เพราะเป็นคนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนี้ พวกเขาสวมสูทดำนั่งกันอยู่ที่โต๊ะเป็นกลุ่มๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มครบครัน สิ่งที่แปลกไปจากงานเลี้ยงอื่นๆ คือบริกรทั้งหมดเป็นผู้ชาย รูปร่างกำยำ ล่ำสัน ทุกคนเปิดเผยเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ทั้งเนื้อตัวมีเพียงผ้าคลุมปิดบังด้านหลังเอาไว้ และที่ใบหน้าถูกคาดด้วยหน้ากากแฟนซี หมวดพฤกษ์กลืนน้ำลายมองภาพที่เห็นเบื้องหน้า สัดส่วนความเป็นชายของบริกรหนุ่มแต่ละคนใหญ่โตสมส่วนกับรูปร่างที่แสนกำยำล่ำสันนั้น ต่างเพียงบางคนอวัยวะแข็งตัวชูชัน แต่บางคนยังสงบเสงี่ยมรอการปลุกเร้าอยู่

ทันทีที่ร่างของหมวดพฤกษ์ปรากฏบนเวที เสียงในห้องเหมือนจะเงียบงันลงและการเคลื่อนไหวทุกอย่างต่างหยุดนิ่ง ทุกสายตาเบื้องล่างจ้องมายังร่างที่ยืนอยู่บนเวที ความเงียบปกคลุมชั่วอึดใจก่อนจะตามมาด้วยเสียงโห่ร้องยินดีปรีดา หมวดพฤกษ์งงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มมารวมตัวกันที่นี่ทำไม แล้วทำไมถึงส่งเสียงร้องตื่นเต้นยินดีที่เห็นเขาปรากฏตัวขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มไม่ชอบมาพากลขึ้นเรื่อยๆ เขากระชับปืนที่ถืออยู่ในมือให้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะหันไปหาบอยที่อยู่ด้านหลัง พยายามหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ทันจะได้คำตอบ เขาก็เห็นบอยยื่นเครื่องช๊อตไฟฟ้ามาที่ตัวเขา ก่อนที่จะปล่อยกระแสไฟที่รุนแรงจนสติของเขาจะดับวูบลงไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนที่ 2

หมวดพฤกษ์ได้สติเพราะเสียงในห้องที่ดังเซ็งแซ่ขึ้นเรื่อยๆ สติของเขาค่อยๆ กลับคืนมาแล้ว เขาลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างไม่เร่งรีบเพื่อให้สายตาชินกับแสงจ้าภายในห้อง เขาเหลือบมองไปรอบๆ ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้นกับเขา กลุ่มคนเบื้องล่างยังคงสนุกกับงานเลี้ยงสังสรรค์ จนไม่ได้สนใจว่าตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว มองห่างออกไปจากตัวเขาไม่เท่าไหร่เห็นบอยยืนอยู่ในสภาพใส่กางเกงในตัวเดียวเช่นเดิม เขาพยายามส่งเสียงร้องเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ก่อนที่จะพบว่าปากของเขาถูกมัดด้วยผ้าหนาแน่นสนิท ชายหนุ่มลองขยับแขนก็พบว่ามือของเขาถูกมัดด้วยเชือกเส้นใหญ่ ที่ผูกโยงไว้กับขื่อด้านบนของตัวอาคาร หมวดพฤกษ์เริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และรู้ว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ บอยหันมองมา เมื่อเห็นเขาได้สติมันจึงแสยะยิ้มเดินเข้ามาหา จิกหัวเขาให้เงยขึ้นมา ก่อนจะใช้ลิ้นเลียไปทั่วใบหน้าของเขา หมวดพฤกษ์พยายามเบือนหน้าหนีด้วยความขยะแขยง

“รู้ไหมหมวดว่าผมรอให้ถึงวันนี้มานานขนาดไหน?” เขาได้ยินเสียงบอยหัวเราะเยาะก่อนจะเดินจากไป

“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ” เสียงจากลำโพงดังขึ้นจากจุดใดจุดหนึ่งในห้องนั้น หมวดพฤกษ์พยายามกวาดสายตามองหาแต่ไม่พบต้นเสียง คนเบื้องล่างหยุดการเซ็งแซ่หันมาสนใจบนเวทีทันที

“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานสังสรรค์ของพวกเราอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่พิเศษเพราะเราภูมิใจนำเสนอ สิ่งที่ทุกท่านต่างรอคอย นายตำรวจมือปราบหนุ่ม รูปหล่อ หุ่นดี ผู้มีชื่อเสียงของจังหวัดเรา ขอทุกท่านปรบมือต้อนรับ ร.ต.ท.พฤกษ์ ไชยยนต์” เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นทั่วทั้งห้อง หมวดพฤกษ์มองสบตาคนเบื้องล่างเวทีด้วยความประหวั่น “ปกติพวกเราต่างเห็นเขาในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ที่กระชับสัดส่วนความเป็นชาย ที่ทำให้เราต่างจินตนาการกันไปไกลว่า ภายใต้เครื่องแบบนั้นซ่อนอะไรเอาไว้ ซึ่งวันนี้สิ่งที่ท่านเฝ้ารอที่จะได้เห็น มันจะเกิดขึ้นตรงหน้า บนเวทีแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ทุกท่านจะได้เห็นอะไรที่มากกว่าที่ท่านคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น รับรองได้ว่ามันจะคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านเสียไปอย่างแน่นอน” เสียงโห่ร้องดังลั่นขึ้นมาจากความหื่นกระหาย หมวดพฤกษ์คาดหมายชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ทันที ถ้าเขาไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้

“แต่ก่อนอื่นเราต้องยกความดีความชอบให้เจ้าบอยนกต่อตัวสำคัญของเรา ที่สามารถทำให้หมวดพฤกษ์ผู้มีความสามารถติดกับดักที่เราวางเอาไว้ได้ ถ้าไม่ได้บอยส่งข้อความบางอย่างไปให้ วันนี้หมวดพฤกษ์อาจไม่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง และเราอาจจะไม่ได้ตัวเขาอย่างที่ทุกท่านเห็นบนเวที” บอยออกมายืนเด่นอยู่ที่หน้าเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือและโห่ร้องของกลุ่มคนเบื้องล่าง บอยเบือนหน้ามามองสบตาหมวดพฤกษ์ก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้

“และตามที่ผมได้ให้สัญญากับเจ้าบอยเอาไว้ เมื่อมันปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ มันจะได้รับรางวัลซึ่งเป็นสิ่งที่มันร้องขอ ซึ่งก็คือ การได้สิทธิเป็นนายคนแรกของหมวดพฤกษ์ โดยมันจะได้สิทธินั้นตลอดทั้งคืนนี้ ก่อนที่มันจะต้องส่งมอบหมวดพฤกษ์ให้กับผู้ที่ชนะการประมูลทาสในคืนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะเริ่มการโชว์สำเร็จโทษทาสของเราในคืนนี้ให้กับทุกท่านที่รอคอยได้รับชมกัน”

เสียงฮือฮาจากเบื้องล่างดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอีกครั้ง ตามด้วยเสียงดนตรีดังกระหึ่มเร้าอารมณ์ หมวดพฤกษ์มองตามร่างไอ้บอยที่เดินจากหน้าเวทีไปหลังม่าน ใจของเขาเต้นระรัว เหงื่อเริ่มออกเต็มร่างกายแม้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะกระจายไปทั่วทั้งห้อง สักพักไอ้บอยก็เดินลากโต๊ะตัวใหญ่ออกมากลางเวที บนโต๊ะตัวนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์ร่วมเพศแบบวิตถารทั้งสิ้น หมวดพฤกษ์จ้องมองสิ่งของบนโต๊ะด้วยดวงตาที่เบิกโต พยายามส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดผ่านผ้าที่ปิดปากออกมาเลย ไอ้บอยเดินเข้ามาที่เบื้องหลังชายหนุ่ม เอาลิ้นเลียที่ติ่งหู ก่อนจะใช้มือโอบที่ช่วงอกของหมวดพฤกษ์ มันค่อยลูบไล้ไปตามลำตัวของชายหนุ่ม เร่งเร้าอารมณ์ตามจังหวะเสียงเพลง ก่อนที่จะกระชากเสื้อที่กลัดกระดุมไว้ให้หลุดออกจากกัน

ไอ้บอยเดินกลับไปที่โต๊ะ มันหยิบกรรไกรเดินกลับมาที่หมวดพฤกษ์ แล้วลงมือตัดเสื้อตำรวจให้ขาดออกจากกัน ตอนนี้ด้านบนของหมวดพฤกษ์เหลือเพียงเสื้อคอกลมสีขาวรัดรูปเพียงตัวเดียว ไม่รอช้าไอ้บอยใช้กรรไกรตัดมันให้ขาดออกจากกันอีก เผยให้เห็นร่างที่สมส่วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามของหมวดพฤกษ์ ไอ้บอยเลียริมฝีปากด้วยความพอใจ

“ไม่ผิดหวังจริงๆ หมวด รูปร่างหมวดแมร่งสุดยอดอย่างที่ผมคาดเอาไว้เลย ไม่เสียทีที่ลงแรงไปเยอะ”

ไอ้บอยเดินไปที่ด้านหลังของหมวดพฤกษ์อีกครั้ง มันเอาตัวแนบกับลำตัวของหมวดพฤกษ์ เสียดสีไปมาตามจังหวะเพลง แล้วจึงเอาเป้าที่ตุงอยู่ล้นกางเกงในเบียดเสียดที่บั้นท้ายของชายหนุ่ม มือทั้งสองข้างของมันตะปบไปที่หน้าอกอันบึกบึนของหมวดพฤกษ์ก่อนจะค่อยๆ ขยำแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผิวของชายหนุ่มแดงก่ำไปทั้งตัว เสียงกระซิบของไอ้บอยดังขึ้นที่ข้างหูของหมวดพฤกษ์อีกครั้ง “อีกไม่นานมึงจะติดใจ แล้วจะร้องขอเอาอีกๆ กับกูทุกวัน 555”

ตาของหมวดพฤกษ์เหลือกขึ้นด้วยความหวั่นกลัว เพราะเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย เขารู้สึกว่าไอ้บอยที่เขาเห็นตอนนี้แตกต่างกับบอยที่เขาเคยเจอตลอดเวลาที่คอยสืบคดีอย่างสิ้นเชิง มือของมันที่ตะปบอยู่ที่หน้าอกของชายหนุ่มเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ก่อนที่จะตะปบลงที่เป้ากางเกงของชายหนุ่ม มันค่อยๆ ลูบไล้ไล่ขยำให้สิ่งที่อยู่ในนั้นจนชูชันตอบสนองสู้มือของมัน ซึ่ดูเหมือนจะเป็นผลเพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงผ้าสีกากีนั้นค่อยๆ แผดผงาดขึ้นมาอย่างช้าๆ

“ใหญ่ไม่ใช่เล่นนะมึง” ไอ้บอยเลื่อนมือขึ้นมาปลดเข็มขัดที่รัดกางเกงออก ก่อนจะใช้มันฟาดไปที่แผ่นหลังอันเปล่าเปลือยของหมวดพฤกษ์เสียงดังก้องไปทั่วห้อง จนคนที่อยู่ในห้องต่างซี๊ดปากด้วยความเสียว ร่างของหมวดพฤกษ์สะดุ้งสุดตัว รู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง “นี่แค่ออเดิร์ฟเท่านั้นไอ้ทาสพฤกษ์ คืนนี้กูจะจัดกับมึงให้สมอยากเลย มึงก็ทำตัวให้ชินไว้ละกัน เพราะแต่ละคนที่นี่แมร่งโหดสัตว์ทั้งนั้น ไม่ว่าคืนนี้ใครประมูลมึงไปได้ มึงก็เตรียมตัวเตรียมใจรับมือเอาไว้ได้เลย”

ไอ้บอยขว้างเข็มขัดทิ้งไปข้างตัว แล้วเอามือปลดตะขอกางเกงที่ติดตัวหมวดพฤกษ์นั้นออก ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปทางเป้ากางเกงของหมวดพฤกษ์ มือนั้นเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ทำให้ร่างของหมวดพฤกษ์ดิ้นด้วยความเสียวซ่าน เมื่อมือนั้นเคลื่อนผ่านกลุ่มขนดกดำไปถึงโคนท่อนลำที่ขยายตัวอย่างเต็มที่รออยู่ก่อนแล้ว หมวดพฤกษ์รู้สึกเสียวซ่านขึ้นที่ลำคอ เพราะไอ้บอยใช้ลิ้นลงไซร้ไปพร้อมๆ กับมือที่ปลุกเร้าอยู่ที่ท่อนลำที่แผดผงาดนั้น ตอนนี้ไม่ใช่แค่อารมณ์ของคนบนเวทีเท่านั้นที่คุโชน คนด้านล่างต่างก็ต่างจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นจนแทบลืมหายใจ

ไอ้บอยปล่อยมือที่เกาะกุมท่อนลำนั้นแล้วกลับมาที่กางเกงฟิตเปรี๊ยะนั้นอีกครั้ง มันค่อยๆ ดึงขอบกางเกงลงจากสะโพกของหมวดพฤกษ์จนหลุดออกจากตัวในที่สุด ตอนนี้ร่างของหมวดพฤกษ์เหลือเพียงกางเกงชั้นในสีขาวตัวจิ๋วเพียงตัวเดียว หลังจากนั้นมันกลับขึ้นมากระชากผมหมวดพฤกษ์ให้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับมันก่อนจะกระซิบที่ข้างหู

“กางเกงในมึงนี่เซ็กซี่น่าดูนะ สีขาว เนื้อบาง ขอบเล็กเท่านิ้วก้อย เว้าสูงซะจนเก็บขนหมอยมึงไม่หมดเลยนะ บอกกูหน่อยสิไอ้ทาสพฤกษ์ว่ามึงเอาไว้ใส่โชว์ใคร?”

ไอ้บอยดึงผ้าหนาที่ปิดปากหมวดพฤกษ์ออก เพื่อหวังให้ชายหนุ่มตอบคำถามของมัน แต่ไม่มีเสียงตอบจากชายหนุ่มตรงหน้า มันจึงเดินไปหยิบเข็มขัดที่อยู่บนพื้นขึ้นมาฟาดไปแผ่นหลังชายหนุ่มอีกครั้ง

“โอ๊ยยยยยยยยยย” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหมวดพฤกษ์ดังกึกก้องไปทั้งห้อง

“มึงจะตอบกูดีๆ หรือจะตอบกูทั้งน้ำตา ไอ้ทาสหมา”

“กูไม่ได้ใส่โชว์ใคร” เสียงที่ลอดออกมาจากไรฟันดังไม่เป็นประโยคนัก เสียงฟาดเข็มขัดจึงดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกระทบลงที่ก้นของชายหนุ่ม ที่มีเพียงผ้าบางๆ จากกางเกงชั้นในกั้นขวางอยู่เพียงอย่างเดียว ร่างของหมวดพฤกษ์สะดุ้งตามแรงเหวี่ยงของเข็มขัดอีกครั้ง

“ดังๆ กูไม่ได้ยิน”

“กูไม่ได้ใส่โชว์ใครจริงๆ”

เสียงเข็มขัดฟาดกระทบผิวเนื้อดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของหมวดพฤกษ์

“กูได้ยินไม่ถนัดจริงๆ เมื่อกี๊มึงใช้สรรพนามกับกูว่าอะไรนะไอ้ทาสหมา”

“ผมไม่ได้ใส่โชว์ใครจริงๆ ครับ” น้ำเสียงหมวดพฤกษ์เริ่มสั่น

“จริงเหรอวะ กูจะเชื่อดีมั้ยว่ามึงไม่ได้เป็นพวกชอบโชว์ ดูสิมึงฟิตหุ่นจนล่ำขนาดนี้ไปทำไม แล้วชุดตำรวจมึงแต่ละตัวก็ฟิตซะจนนึกว่ามึงไม่ได้ใส่อะไร กางเกงมึงน่ะรัดควยซะจนเห็นเป็นลำเชียว แล้วเมื่อไม่นานมานี้ไอ้จ้อยเพื่อนกูมันมาเล่าให้กูฟังว่า ตอนที่มึงไปไล่จับมันตอนสืบคดีน่ะ มึงใส่กางเกงในตัวเดียวแบบนี้สอบสวนมันไม่ใช่เหรอ ไอ้จ้อยบอกเห็นพอจ้องเข้าหน่อยควยมึงก็ลุกชันชี้หน้ามันเลย มันยังบอกเสียดายที่ตอนนั้นมีเพื่อนตำรวจมึงอยู่ด้วย ไม่งั้นมึงอาจจะได้เสียเป็นเมียมันไปแล้วก็ได้”

“ก็ตอนนั้นผมตามไปไล่จับมันในน้ำจนชุดที่ใส่เปียกหมดนี่ครับ”

“เหอะ กูว่านั่นแหล่ะแผนจะโชว์แบบเนียนๆ ของมึง ไม่งั้นมึงจะใส่กางเกงในแบบนี้ไว้รอเตรียมพร้อมตลอดเหรอวะ ดูสิกางเกงในเหี้ยอะไรมันจะเล็กได้ขนาดนี้ ขนาดขนหมอยมึงยังแพลมออกมาเต็มขอบกางเกงเลย ผ้าด้านหลังก็ปิดตูดมึงไม่หมด มันยังไม่ชัดพอใช่มั้ยไอ้โรคจิต แต่เอาเถอะ กูเชื่อก็ได้ว่ามึงไม่ได้ตั้งใจโชว์ แต่คืนนี้ ตอนนี้ ถึงมึงไม่ตั้งใจ ไม่อยาก มึงก็ต้องโชว์อยู่ดี แล้วไม่ใช่โชว์แค่นี้ แต่ต้องโชว์เต็มที่แบบจัดหนักด้วย”

พูดจบ ไอ้บอยก็กระชากกางเกงในตัวจิ๋วปราการด่านสุดท้ายของหมวดพฤกษ์ออกจากกาย เสียงหมวดพฤกษ์ตะโกนสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระชากนั้น ตอนนี้ท่อนลำที่กำลังตั้งชูชันได้ออกมาประชันหน้าทุกคนในห้อง เสียงผู้ชมฮือฮาขึ้นอีกครั้งด้วยความพอใจในสิ่งที่ได้เห็น

“ควยมึงสวยไม่เบานะ คนในห้องชอบใจกันใหญ่ แมร่งขาวเหมือนไม่เคยผ่านศึก หัวบานสีชมพูเชียว กูเสียดายแทนไอ้จ้อยจริงๆ มันบอกว่าตอนที่มึงเดินส่ายควยมาสอบสวนมันตรงหน้าเนี่ย มันอยากระชากกางเกงในเอาควยมึงมาดูดจริงๆ ถ้ามันได้เห็นของจริงแบบนี้กูว่ามันคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ จนไม่แน่มึงอาจติดใจรสปากมันก็ได้นะ”

หมวดพฤกษ์หลับตานิ่ง ในชีวิตลูกผู้ชายไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้เขารู้สึกอับอายได้ขนาดนี้มาก่อน เขาไม่กล้ามองลงไปข้างล่างเวที ไม่ต้องการเห็นสายตาคนที่จ้องมองขึ้นมาเห็นเรือนร่างและสัดส่วนที่ควรสงวนของเขาด้วยแววตาที่หื่นกระหายแบบนั้น เพราะคนเหล่านั้นคือคนที่เขารู้จักเกือบทั้งหมด บางคนเคยมาพินอบพิเทาเขาด้วยซ้ำเมื่อตอนที่ต้องการให้เขาอำนวยความสะดวกอะไรบางอย่างให้ แต่เมื่อเขาไม่สามารถตอบสนองให้ได้ ทำให้คนเหล่านั้นไม่พอใจ จนอาจเป็นเหตุให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ หมวดพฤกษ์ได้แต่สะท้อนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้ แถมยังต้องยอมให้คนพวกนี้ทำลายศักดิ์ศรีของเขา โดยเฉพาะไอ้บอย คนที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือ เขาไม่นึกเลยว่าวันนี้ต้องกลายเป็นทาส ยินยอมให้มันกระทำย่ำยีกับเขาได้ถึงเพียงนี้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือไอ้บอย เด็กชายวัยแค่ 16 ปีคนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขา

แล้วเขาก็ได้ยินเสียงไอ้บอยลากโต๊ะตัวใหญ่ตรงมาที่เขา ก่อนที่จะเอาเลื่อยขนาดเล็กออกมาตัดเชือกที่ห้อยแขนเขากับขื่อด้านบนของอาคารออก ตอนนี้มือเขาเป็นอิสระภาพแล้ว แต่มันไม่มีแรงพอที่จะใช้การอะไรได้ พอแขนเขาหลุดออกจาการพันธนาการกับขื่อบนเพดาน ร่างของเขาก็ลงมากองกับพื้นอย่างหมดสภาพ ไอ้บอยเดินมาจิกผมให้เขาลุกขึ้นยืน แต่เนื่องจากไม่มีเรี่ยวแรง เขาจึงเซเอาตัวไปพิงกับโต๊ะที่ตั้งอยู่

“ตอนนี้กูอยากให้มึงใช้ปากช่วยคลายความเงี่ยนให้กูหน่อย กูไม่ได้แตกมาหลายวันแล้ว เพราะอยากเก็บน้ำไว้แตกในปากมึง อยากให้ปากสวยๆ ของมึงได้ลิ้มในรสชาติน้ำเงี่ยนของกู แต่ก่อนอื่นมึงช่วยใช้ปากของมึงกระตุ้นกูก่อน เริ่มจากปากกูเนี่ยแหล่ะ อ้อ ขอบอกไว้ก่อนนะว่าถ้ามึงเล่นตุกติก ปืนของมึงนั่นแหล่ะที่จะเล่นงานมึงเอง”

ตอนที่ 3

หมวดพฤกษ์รู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างยิ่งตอนที่ต้องเอาปากไปแนบกับปากของไอ้บอย แล้วต้องสอดลิ้นเข้าไปดุนดันแลกน้ำลายกับไอ้บอย แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ยังไงเขาก็ต้องเอาตัวเองให้รอดไว้ก่อน ลิ้นของไอ้บอยตอนนี้เข้ามาดุนดันอยู่ในปากของเขาเช่นกัน มือของหมวดพฤกษ์ค่อยๆ ขยับขึ้นมาลูบไล้ที่บริเวณแผ่นหลังของไอ้บอยโดยไม่รู้ตัว

หลังละเลงแลกลิ้นกันได้สักพัก หมวดพฤกษ์ก็ถอนปากออกมา ก่อนจะค่อยๆเลียปลุกอารมณ์ไอ้บอย ลิ้นนั้นไซร้ลงมาเรื่อยๆ จากต้นคอ มาถึงแผงอก และหัวนมทั้ง 2 ข้าง ลีลาของหมวดพฤกษ์แม้จะไม่ช่ำชองแต่ก็ทำให้ไอ้บอยเสียวได้ไม่น้อย จนมันเผลอครางออกมา ตอนนี้ลิ้นของหมวดพฤกษ์โลมเลียอยู่ที่หัวนมด้านขวา เขาใช้ฟันค่อยๆ ขบกัดที่หัวนมนั้นเบาๆ ไอ้บอยเสียวสะท้านจนร่างกายสั่นไหวไปตามอารมณ์

“ดีสัตว์ๆ ไอ้ทาสหมาของกู ทำต่อไปอย่าหยุดนะ กูจะไปถึงสวรรค์อยู่แล้ว ซี้ดๆๆๆ อ๊าห์ๆๆๆ”

ลิ้นของหมวดพฤกษ์ลงเลียมาถึงสะดือของไอ้พฤกษ์ ส่วนมือนั้นเลื่อนตำลงมาจับที่ของกางเกงในสีเนื้อตัวมอมนั้น หมวดพฤกษ์ค่อยๆ ดึงกางเกงในของไอ้บอยลงช้าๆ จนหลุดลงไปกองที่ปลายเท้า ตอนนี้ท่อนลำดุ้นเขื่องเกินอายุเด้งมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ขนหมอยที่ขึ้นปกคลุมนั้นไม่ยาวนัก คงจะเป็นไปตามวัย หมวดพฤกษ์เลียริมฝีปาก กลั้นใจค่อยๆ เอาปากครอบลงไปที่แท่งลำอวบๆ นั้น สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือกลิ่นคาวที่คละคลุ้ง จนทำให้รู้สึกคลื่นไส้จนเกือบจะถอนริมฝีปากนั้นออกมา แต่เหมือนไอ้บอยจะเดาได้ถูกมันรีบเอามือดันหัวเขาเอาไว้จนเขาต้องทนทำต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพียงไม่นานเขาก็เริ่มชิน ลิ้นของเขาเริ่มทำงานอย่างเป็นปกติ ไอ้บอยกระเด้งควยเข้าออกในปากของเขาจนหมวดพฤกษ์หายใจตามแทบไม่ทัน มือทั้ง 2 ข้างของเขาลูบไล้อยู่ที่ก้นเนียนของไอ้บอย เขารู้สึกว่าอารมณ์ของมันขึ้นไปเกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่นานมันก็ส่งเสียงครางดังลั่นขึ้น ก่อนที่ของเหลวสีขาวขุ่นจะพุ่งกระแทกเข้าไปในปากเขา ปริมาณมันมากมายมหาศาลจนเขาแทบสำลัก หมวดพฤกษ์รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวฉุนจนรู้สึกคลื่นไส้ เขาพยายามจะถอนริมฝีปากออก แต่ดูเหมือนไอ้บอยจะรู้ทัน มันกดหัวเขาเอาไว้ไม่ยอมให้ถอนออกมา จนชายหนุ่มต้องทนกลืนน้ำคาวขุ่นนั้นลงไปคอ รสชาติของมันเป็นสิ่งที่เกินจะบรรยาย

“ไอ้ทาสหมาของกู มึงทำหน้าที่ได้ดีมาก”ไอ้บอยกล่าวชมเขา แล้วปล่อยมือออกจากหัวของเขา หมวดพฤกษ์จึงได้ถอนปากออกมาจากควยของไอ้บอย ของเหลวขาวขุ่นที่ลงคอไม่หมดค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากปากของหมวดพฤกษ์ ไอ้บอยเห็นมันรีบบีบปากของชายหนุ่มให้กลืนมันลงไปจนหมด

“เสียของ น้ำว่าวกูไม่ใช่ว่าใครจะได้ชิมได้ง่ายๆ นะมึง รีบกลืนลงไปอย่าให้เหลือเชียว”หมวดพฤกษ์รีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ไอ้บอยเดินกลับไปที่โต๊ะ มันหยิบแส้เส้นใหญ่ขึ้นมาจากกล่อง ฟาดลงไปบนโต๊ะนั้นจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั้งห้อง หมวดพฤกษ์สะดุ้งด้วยความกลัว

“เสร็จแล้วมึงเดินมานี่”

หมวดพฤกษ์ค่อยๆ ยันกายที่อ่อนล้า เดินควยชูชันไปตามคำสั่งของไอ้บอย

“นอนลงบนโต๊ะนี่ กูจะพามึงไปสวรรค์บ้าง ตอบแทนความดีของมึง”

หมวดพฤกษ์นอนราบไปกับโต๊ะ ท่อนลำของชายหนุ่มชูชันชี้ขึ้นฟ้า ไอ้บอยเดินมาหยุดที่ปลายเท้าเขา มันค่อยๆ ก้มลงเลียที่ปลายเท้าเขา ใช้ปากอมลงไปที่นิ้วโป้งขวา มันค่อยๆ ดุนดันเข้าออก สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือมันกระตุ้นอารมณ์ของหมวดพฤกษ์ให้เตลิดได้เป็นอย่างดี จนควยของเขาแผดขงาดขึ้นไปอีก แล้วไอ้บอยก็ขยับขึ้นมาลงลิ้นที่หน้าขาขาวเนียนของชายหนุ่ม มันลากลิ้นยาวเลียขึ้นไปจนถึงขาหนีบ หมวดพฤกษ์สั่นด้วยความเสียว มันทำซ้ำๆ กันอยู่หลายครั้ง จนชายหนุ่มเริ่มเกร็ง เล็บเริ่มจิกไปที่โต๊ะ ไอ้บอยไซร้ขึ้นมาเลียกลุ่มขนหมอยอันดกดำนั้น มันใช้มือจับท่อนลำของชายหนุ่ม ก่อนใช้ปากดุนดันที่พวงไข่ทั้ง 2 ใบ แล้วไล่เรื่อยขึ้นมาตามท่อนลำ ก่อนจะครอบปากลงที่หัวบานสีชมพูสวย มันใช้ลิ้นดุนดันส่วนหัวจนหมวดพฤกษ์ดิ้นพล่านด้วยความเสียวอยู่บนโต๊ะ มันใช้ปากรูดท่อนลำขาวสวยขึ้นลงจนรู้สึกว่าอารมณ์ของหมวดพฤกษ์ขึ้นถึงขีดสุดแล้ว มันก็รีบถอนปากออกมา จนชายหนุ่มที่อารมณ์ค้างระบายลมหายใจออกมาจนเกิดอาการหอบ ของเหลวสีขาวขุ่นบางส่วนไหลเจิ่งนองหัวสีชมพูหยดลงมาแฉะที่พงหมอย ไอ้บอยไม่ปล่อยให้อารมณ์ค้างขาดห้วงนาน มันจับหมวดพฤกษ์แหกขาแยกออกจากกัน จนรูตูดฟิตเปรี๊ยะสีชมพูสวยปรากฎอยู่เบื้องหน้ามัน

“ดูท่าแล้วตูดมึงท่าทางจะจิ้นจริง คงไม่เคยมีอะไรกล้ำกลายผ่านเข้าไป สมใจกูจริงๆ ที่จะได้เป็นคนเปิดบริสุทธิ์มึง”

“รีบทำเถอะครับนาย ผมเสียวจนจะทนไม่ไหวแล้ว”

“555 สะใจกูจริงๆ หมวดพฤกษ์ผู้มาดแมน มาอ้อนวอนขอให้กูเย็ด เพราะอยากเสียว ดูหน้ามึงตอนนี้สิ อยากโดนกูเย็ดจนใจจะขาดแล้วสิ 555”

หมวดพฤกษ์อ้าขาชันเข่าขึ้นเตรียมพร้อม แต่กลับถูกไอ้บอยจิกหัวขึ้นจากโต๊ะ แล้วจับเขาคว่ำหน้าลงกับโต๊ะแทน มันเอื้อมมือไปหยิบกุญแจมือจากกล่องใส่ของเอามาล็อกมือทั้งคู่ของหมวดพฤกษ์เข้าด้วยกัน ชายหนุ่มจำได้ว่านั่นคือกุญแจมือส่วนตัวของเขาเอง หลังจากนั้นมันจึงเดินไปหยิบเทียนเล่มใหญ่ขึ้นมาจุด ก่อนที่จะเดินมากลับมาหาเขา มันค่อยๆ หยดน้ำตาเทียนลงที่แผ่นหลังของเขา หมวดพฤกษ์สะดุ้งสุดตัวด้วยความปวดแสบปวดร้อน เสียงร้องดังกึกก้องไปทั่วห้องอีกครั้ง ไอ้บอยหัวเราะเสียงดังสะใจ ก้มตัวลงกระซิบที่ข้างหูของเขาว่า

“ให้เย็ดธรรมดามันก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นน่ะสิ” ว่าแล้วมันก็เอาเทียนมาวางใส่มือให้เขากำมันเอาไว้ “ระหว่างที่กูกำลังเย็ดมึงอยู่ กูขอฝากมึงช่วยดูแลเทียนนี่ด้วยล่ะ ทำยังไงก็ได้แต่อย่าให้มันดับ แล้วถ้ามึงไม่ถือดีๆ ระวังน้ำตาเทียนมันจะไหลลงร่องก้นของมึงเอง แล้วจะว่ากูไม่เตือนนะ”

หมวดพฤกษ์ถือเทียนไว้อย่างยากลำบาก เพราะเทียนอยู่ด้านหลังทำให้เขาไม่มีโอกาสมองเห็นว่ามันตั้งตรงหรือเอียงไปทางไหน ทำอย่างไรที่จะไม่ให้น้ำตาเทียนหยดใส่ตัวเองได้ ขณะที่กำลังกังวลอยู่นั้น เขาจึงไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อตอนที่ไอ้บอยกระแทกท่อนลำแผดผงาดของมันใส่รูตูดของเขา ชายหนุ่มร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด มันเป็นความเจ็บปวดแบบที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต ใบหน้าของหมวดพฤกษ์เหยเก หน้าของเขาหันไปด้านคนดูด้านล่างเวทีพอดี เขาได้เห็นสีหน้าที่แสดงความสะใจของผู้ชมทุกคน เมื่อควยของไอ้บอยเข้าไปจนสุดแล้ว มันก็ลงมือกระแทกใส่เขาอย่างไม่ยั้ง แรงกระแทงส่งผลให้เทียนที่ชายหนุ่มถือไว้เซไปมาจนน้ำตาเทียนไหลลงมากระทบผิวเนื้อเขา เพิ่มความเจ็บปวดให้ชายหนุ่มอีกเท่าทวี มือของเขาตอนนี้ไม่สามารถบังคับให้แท่งเทียนตั้งตรงได้อีกต่อไป น้ำตาเทียนหยดไหลลงมาที่สะโพกของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไหลไปถึงร่องรูตูดที่กำลังโดนไอ้บอยกระแทกใส่อย่างไม่บันยะบันยัง เสียงหมวดพฤกษ์ครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ขณะที่ตัวเขาเจ็บปวดจากแรงกระแทก และเจ็บแสบจากน้ำตาเทียนที่หยดใส่ แต่ตูดของเขาก็เด้งรับการสอดใส่ของไอ้บอยตามสัญชาตญาณ

“รูตูดมึงนี่ฟิตเหี้ยๆ เลยไอ้ทาสหมาของกู แมร่งเด้งรับทุกการขย่มของกู ตอดควยกูจะจนกูเสียวไปหมดแล้ว โชคดีจริงๆ ที่ได้มึงเป็นเมีย กูไม่ผิดหวังจริงๆ เมียจ๋า เรียกผัวให้ได้ชื่นใจทีสิจ๊ะ อ๊าๆๆ”

ไอ้บอยยังออกแรงขย่มต่อไป บางครั้งมันมีอาการสะดุ้งบ้างเป็นระยะเพราะน้ำตาเทียนที่ไหลลงมาถึงร่องก้นของหมวดพฤกษ์มันไหลผ่านมาถึงควยของมันด้วย แต่นั่นยิ่งช่วยเพิ่มพลังให้กับมันมากยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่หมวดพฤกษ์ผิวเนื้อขาวใสตรงบริเวณที่โดนน้ำตาเทียนหยดใส่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง และเริ่มขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ชมในห้องเหมือนถูกสะกดไปภาพกิจกรรมการร่วมเพศของชายหนุ่มทั้งสองคนบนเวทีจนแทบลืมหายใจ ตอนนี้เสียงในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงร้องครวญครางบนเวทีเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในห้อง หลายคนต่างสะใจที่ได้เห็นหมวดพฤกษ์โดนไอ้เด็กบอยกระหน่ำเย็ดโดยไม่มีโอกาสขัดขืน ต่อสู้ หรือป้องกันตัว ก่อนหน้านี้พวกมันต่างชื่นชมหมวดพฤกษ์ที่เป็นตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่อย่างดีเยี่ยม แถมยังเป็นคนรูปหล่อ ดูดี จนคนที่มีลูกสาวต่างคิดหาทางเอามาเป็นลูกเขย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในธุรกิจลับๆ ของพวกมัน แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง แถมยังโดนขัดขวางจนเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจ พวกมันจึงคิดวางแผนหาทางที่จะทำให้หมวดพฤกษ์หลุดวงโคจรออกจากชีวิตพวกมันไป และเมื่อพวกมันได้มารู้จักสมาคมลับแห่งนี้ที่ช่วยปลุกสัญชาตญาณดิบอีกด้านที่ซ่อนอยู่ในตัวพวกมัน มันจึงใช้ช่องทางนี้ในการจัดการกับหมวดพฤกษ์ โดยใช้เวลาวางแผนการมานานหลายเดือน โดยให้ไอ้บอยมาเป็นนกต่อ ล่อลวงให้หมวดพฤกษ์มาติดกับอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

หมวดพฤกษ์เป็นชายหนุ่มคนแรกที่เป็นเหยื่อของพวกมัน ก่อนหน้านี้คนที่ถูกนำมาเชือดในห้องนี้จะเป็นเด็กของโรงเรียนเปรมปรีดา ซึ่งก็คือบรรดาเด็กที่หายไปตามข้อมูลที่ไอ้บอยให้หมวดพฤกษ์ไป เด็กเหล่านั้นคือเด็กที่กระทำผิดกฎจนเกินที่ทางโรงเรียนจะอุปถัมป์ต่อไปได้ จึงจัดการคัดเด็กออกเพื่อส่งไปยังสถานที่อื่นเพื่อให้จัดการควบคุมความประพฤติแทน แต่ระหว่างการทำเรื่องเพื่อส่งย้าย เกิดกระบวนการภายในที่ทำให้เด็กหายออกไปจากระบบโดยไม่มีใครรู้ และเด็กเหล่านั้นถูกนำมาเซ่นสังเวยคนในสมาคม ให้เกิดกิจกรรมอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เพียงแต่ครั้งก่อนๆ คนที่ขึ้นมาจัดการเป็นสมาชิกในสมาคมที่ประมูลชนะจนได้เด็กคนนั้นไปเป็นทาส แต่ครั้งนี้เนื่องจากเป็นผลงานของไอ้บอยที่จัดการหมวดพฤกษ์ลงได้ มันจึงมีโอกาสได้เป็นคนแรกที่เป็นเจ้านายหมวดพฤกษ์ตามข้อตกลงที่ทำร่วมกัน เพียงแต่ไอ้บอยจะมีสิทธิในตัวหมวดพฤกษ์แค่ถึงรุ่งเช้าเท่านั้น หลังจากนี้ชีวิตของหมวดพฤกษ์จะตกอยู่ในกำมือของผู้ที่ชนะการประมูล เป็นเวลา 3 เดือนก่อนที่จะเกิดการประมูลครั้งใหม่ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีใครสนใจจะประมูลเขาอีกต่อไป

ไอ้บอยเร่งกระแทกควยของมันถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนหมวดพฤกษ์จะเริ่มคุ้นชินและเปลี่ยนจากความเจ็บปวดเป็นความเสียวซ่านมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้บอยสังเกตได้จากการตอดรับของร่องตูดที่บีบรัดควยมัน จนทำให้ไอ้บอยต้องอดกลั้นความรู้สึกเสียวของมันไม่ให้ถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป เพราะนั่นหมายความว่าความเป็นเจ้านายในคืนนี้ของมันก็อาจจะต้องจบลงไปด้วย มันปัดเทียนที่ดับแล้วในมือหมวดพฤกษ์ลงจากโต๊ะไป ก่อนที่จะเอาตัวลงไปแนบกับแผ่นหลังของหมวดพฤกษ์ มือของมันเอื้อมไปดังใบหน้าของหมวดพฤกษ์หันมาหามัน ก่อนจะบดริมฝีปากของมันเข้ากับปากของหมวดพฤกษ์แล้วจัดการแลกลิ้นกันอีกครั้งอย่างหื่นกระหาย

“ผมเสียวสุดๆ เลยหมวด หมวดรู้สึกเหมือนผมมั้ย” ไอ้บอยกระซิบถามหมวดพฤกษ์หลังถอนริมฝีปากออกมา หมวดพฤกษ์พยักหน้าน้อยๆ ให้มันได้รับรู้ความรู้สึก ไอ้บอยสบตาหมวดพฤกษ์ มันยิ้มน้อยๆ ให้ “ผมคงมีวาสนากับหมวดเท่านี้ หลังจากนี้สิ่งที่หมวดต้องเจอคงเป็นสิ่งที่หมวดไม่อาจคาดหมายได้ ยังไงก็ขอให้หมวดอดทน ผมคงไม่สามารถช่วยได้ เพราะมันเกินกำลังของเด็กอย่างผม ผมไม่ได้ตั้งใจให้หมวดต้องมาลงเอยในสภาพนี้ แต่ผมขัดพวกมันไม่ได้จริงๆ ขอให้หมวดโชคดี” จบคำพูดไอ้บอย หมวดพฤกษ์รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ถี่และแรงขึ้นเรื่อยๆ สักพักเขาจึงรู้สึกได้ถึงแรงฉีดของน้ำที่พุ่งเข้าไปรูตูดของเขา ก่อนที่ร่างของไอ้บอยจะฟุบลงที่ตัวของเขาอย่างหมดสภาพ

ม่านบนเวทีปิดลงหลังจบการโชว์ เสียงผู้ชมด้านล่างเซ็งแซ่สับสนอลหม่าน จนกระทั่งปรากฏเสียงของผู้ดำเนินรายการดังขึ้น

“ขอเสียงปรบมือให้กับโชว์ที่สุดเสียวของไอ้บอยและทาสของมันหมวดพฤกษ์ และต่อจากนี้คือเราจะเริ่มการประมูลทาสของเราในคืนนี้กันแล้ว เวลา 3 เดือนนับจากนี้ที่ท่านจะได้เป็นเจ้านายของหมวดพฤกษ์ ท่านสามารถทำอย่างที่ไอ้บอยทำ หรือจะจัดให้หนักกว่านี้ก็ได้ เพียงแต่ท่านชนะการประมูลในค่ำคืนนี้ และเราจะให้ท่านได้พิจารณาทาสของเราในคืนนี้อีกครั้ง หมวดพฤกษ์ ไชยยนต์”

ม่านบนเวทีถูกดึงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนตอนนี้คือภาพของหมวดพฤกษ์ถูกมัดติดไว้กับไม้กางเขน ในสภาพเปลือยเปล่าโชว์รูปร่างล่ำสันแข็งแรง พร้อมท่อนลำแผดผงาดที่พร้อมรบเต็มที่ เหมือนจะเชื้อเชิญชวนทุกคนที่อยู่ข้างล่างให้ประมูลเขาไปเป็นทาส สร้างความตื่นเต้นให้ผู้คนด้านล่างที่ต้องการประมูลอย่างเต็มที่ ความรู้สึกของหมวดพฤกษ์ตอนนี้แม้จะสับสน หวาดกลัว แต่ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญต่อจากนี้ไม่ได้

ตอนที่ 4

รถตู้สีควันบุหรี่แล่นมาตามถนนด้วยความเร็วค่อนข้างสูง เมื่อมาถึงบริเวณที่เป็นหลุมขนาดใหญ่จึงชะลอไม่ทัน ส่งผลให้รถกระเด้งกระดอนจนเกือบเสียหลัก เด็กหนุ่มที่นั่งหลับอยู่บนเบาะหลังคนขับถึงกับสะดุ้งตื่น เขาเหลือบมองออกไปนอกตัวรถ สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสูงชัน ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นใดให้เห็นเลย

“ตื่นแล้วเหรอไอ้หนุ่ม” เสียงทักดังมาจากเบาะหน้า เขาเหลือบมองสบสายตาผู้พูดผ่านกระจกส่องหลัง ตั้งแต่ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สนทนากัน

“นี่เราถึงไหนแล้ว?” คำพูดนั้นห้วน แต่ยังแฝงน้ำเสียงอ่อนโยนให้ได้ยิน

“เลยตัวเมืองออกมาหน่อยแล้ว อีกไม่นานก็ถึง”

เด็กหนุ่มละสายตาจากกระจกส่องหลัง มองออกไปนอกตัวรถอีกครั้ง

“อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา?” คนขับยังชวนสนทนาต่อ เด็กหนุ่มยังไม่ละสายตาจากด้านนอกตัวรถ

“เพิ่งครบ 17 เมื่อสองเดือนก่อน”

“ยังเด็กอยู่แท้ๆ น่าเศร้าจริงๆ” น้ำเสียงคนขับรถแสดงความรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ แววตาของเด็กหนุ่มเหม่อลอย ความคิดหวนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขากำลังซ้อมว่ายน้ำอยู่ที่ชมรมโรงเรียนเนื่องจากใกล้ถึงช่วงแข่งขัน โค้ชเป็นคนเดินมาแจ้งข่าวร้ายว่าพ่อของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ตอนนั้นความรู้สึกของเขาเหมือนโลกหยุดหมุนไปช่วงเวลาหนึ่ง ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าตัวเองผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างไรด้วยซ้ำ

ตั้งแต่จำความได้พ่อคือบุคคลเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขา หลังจากที่แม่เสียชีวิตหลังคลอดเขาไม่นาน เขาจึงไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับแม่ และการที่พ่อแทบไม่เคยเล่าเรื่องของแม่ให้ฟัง พ่อจึงเปรียบเสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวของเขา พ่อไม่มีญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้หลายๆ คนที่ได้รู้ แต่สำหรับเขาคงเป็นความเคยชิน เขาจึงไม่รู้สึกอะไรที่ในชีวิตนี้จะมีแค่พ่อกับเขาเพียงสองคน แต่สุดท้ายพ่อก็จากเขาไปโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

ยังไม่ทันที่งานศพของพ่อจะผ่านไป บรรดาเจ้าหนี้จากธนาคารต่างๆ ก็เข้ามารุมทึ้งเขา เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ากิจการของพ่อที่ดูเหมือนใหญ่โต จะมีหนี้สินพะรุงพะรังเป็นจำนวนมาก เขาไม่มีความรู้พอที่จะจัดการปัญหานี้ ไม่มีแม้แต่คนที่จะให้คำปรึกษา ต้องทำทุกอย่างตามที่ทนายความของพ่อจัดการให้ กว่าจะผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ทำให้ชีวิตเขาเป๋ไปพักใหญ่ เขาไม่ได้เข้าแข่งขันว่ายน้ำเพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติอย่างที่ตั้งใจ

แต่ขณะที่ชีวิตเหมือนจะไร้ซึ่งทางออก อยู่ๆ ก็มีผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา ผู้ชายที่แนะนำตัวสั้นๆ แค่ว่าชื่อนายแมนสรวง เปรมปรีดา เพื่อนสนิทของพ่อเขาเอง

“ฉันเคยเจอเธอตอนยังเด็ก แต่เธอคงจำฉันไม่ได้ หลังจากนั้นฉันก็ไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศนานหลายปี จึงทำให้ขาดการติดต่อกับพ่อของเธอไประยะหนึ่ง แต่เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่ฉันกลับมาเมืองไทย ฉันได้เจอพ่อเธอโดยบังเอิญ เรามีโอกาสได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์กันอีกครั้ง หลังจากนั้นเราจึงติดต่อกันเรื่อยมา แต่ความที่งานของฉันอยู่ที่ต่างจังหวัด จึงไม่มีโอกาสได้เจอเธอ มีแต่พ่อเธอที่มักจะแวะไปหาฉันบ้างเท่านั้น ฉันเสียใจกับเรื่องที่เกิด และรู้ว่าตอนนี้ชีวิตของเธอต้องเจออะไรบ้าง แต่ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยจัดการปัญหานี้ให้ หลังจากนี้ถ้าเธอไม่ขัดข้องฉันจะขออุปการะเธอเอง และจะพาเธอไปเรียนที่โรงเรียนของฉัน โรงเรียนเปรมปรีดา”

หลังจากนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ก็ค่อยๆ คลี่คลาย ทนายความของพ่อบอกว่าตอนนี้ปัญหาหนี้สินของพ่อเขาคลี่คลายไปหมดแล้วโดยความช่วยเหลือของคุณแมนสรวง และคุณแมนสรวงต้องการจะรับอุปการะเขาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ โดยจะพาไปพักและเรียนที่โรงเรียนเปรมปรีดาของจนจบ และหลังจากเขาบรรลุนิติภาวะจะให้เขาเป็นคนเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าเขาอยากจะออกมาอยู่เองก็สามารถทำได้

“เธอจะได้กลับมาว่ายน้ำอีกครั้ง ตอนนี้ฉันติดต่อโค้ชว่ายน้ำที่เก่งที่สุดคนหนึ่งมาให้เธอแล้ว และจะเปิดชมรมว่ายน้ำให้ที่โรงเรียน เธอจะได้ฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นนักกีฬาทีมชาติอย่างที่เธอหวังยังไงล่ะ” เป็นข้อเสนอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ

“ถึงแล้วไอ้หนุ่ม ที่เห็นนั่นล่ะโรงเรียนเปรมปรีดา บ้านหลังใหม่ของเอ็ง”

สายตาของเด็กหนุ่มมองออกไปยังภาพด้านหน้ารถ เขาเห็นตัวอาคารสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ภายหลังกำแพงรั้วทึบขนาดใหญ่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจึงรู้สึกใจสั่น อึดอัดทันทีที่ได้เห็นภาพนั้น เพราะบรรยากาศโดยรวมที่แลดูอับทึบ ไม่มีส่วนไหนที่ทำให้แลเห็นเลยว่าน่าจะเป็นโรงเรียน มันน่าจะเป็นคุกมากกว่าหรือเปล่า แต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นคุกจริงๆ จึงไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

รถเคลื่อนผ่านประตูทึบใหญ่เข้ามาถึงบริเวณโรงเรียน สภาพภายในดูต่างจากที่เห็นภายนอก มันไม่ได้ดูอับทึมหรือแลดูเหมือนคุกอย่างที่เขาเห็นและจินตนาการไว้ในคราวแรก บรรยากาศดูร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้สูง สิ่งที่ทำให้ดูไม่เหมือนโรงเรียนเลยคือ ไม่มีเด็กนักเรียนให้เห็นแม้แต่คนเดียว อาจจะเพราะตอนนี้เป็นเวลาเรียน นักเรียนทุกคนจึงอยู่ในห้องเรียนกันหมด

รถเคลื่อนมาจอดที่หน้าบันไดใหญ่ที่ขึ้นสู่ตัวตึก เด็กหนุ่มหันไปกล่าวขอบคุณคนขับรถ ก่อนจะหยิบสัมภาระลงจากรถมายืนที่หน้าตัวตึกใหญ่ เขาไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนต่อ และไม่มีใครที่ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อให้ซักถามได้สักคน เขาตัดสินใจก้าวขึ้นบันได มองดูที่ป้ายที่ติดอยู่หน้าห้องคิดว่าคงจะเจอจุดหมายที่เขาค้นหา

“สวัสดีเด็กใหม่” เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดังขึ้นด้านหลังเขา เขาค่อยๆ หันหลังกลับไปมองตามเสียง พบชายร่างเล็กท้วม ผิวขาวจัด สวมแว่นสายตาหนาเตอะ เท้าสะเอวยืนมองเขาอยู่ จากแว่บแรกที่เห็นเขาก็พอจะเดาออกถึงเพศสภาพที่แท้จริงของเจ้าตัว

“ผมอัคร อัครพิบูลย์สิน นักเรียนใหม่มารายงานตัวครับ”

คนตรงหน้าพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะสั่งให้เขาเดินตามมา อัครเดินตามไปจนถึงห้องธุรการ ภายในมีโต๊ะใหญ่ตั้งอยู่เพียงตัวเดียว บรรยากาศดูอับทึบเพราะประตูหน้าต่างถูกปิดสนิท อัครเดินมานั่งที่เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโต๊ะใหญ่ตัวนั้น บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองเอกสาร ถ้าจะพอมีอะไรที่ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง คงจะเป็นดอกกุหลาบหลายดอกที่ปักอยู่ในแจกัน มันยังคงสดใหม่เบ่งบานอวดกลีบสวยบ่งบอกว่าเพิ่งเปลี่ยนเอามาวางใหม่ไม่นาน

“คุณแมนสรวงให้ฉันรับรองเธอเป็นอย่างดี ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันอาจารย์เพชร เป็นอาจารย์ฝ่ายจัดการทุกอย่างที่นี่ ถ้ามีอะไรที่เธอต้องการนอกจากเรื่องเรียนมันเป็นหน้าที่ฉัน เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรข้ามขั้นตอน หวังว่าคงจะเข้าใจ ว่าแต่เธอเป็นอะไรกับคุณแมนสรวงเหรอ ทำไมเขาถึงต้องกำชับว่าให้ดูแลเธอเป็นพิเศษ”

“ผมทราบเพียงแต่ว่าพ่อผมเป็นเพื่อนกับคุณแมนสรวง แต่ผมไม่เคยพบหรือรู้จักกับคุณแมนสรวงมาก่อน”

“ท่านไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จมีเงินเหลือมากมาย เลยอยากทำอะไรเพื่อสังคมบ้างท่านเลยมาเปิดโรงเรียนรับอุปถัมป์เด็กที่มีปัญหาแบบเธอ”

อาจารย์เพชรจัดการตรวจเอกสารการส่งตัวเข้าเรียนของเขา แล้วจึงให้เขาขนสัมภาระเดินตามมา

“เธอนี่เองที่ทำให้คุณแมนสรวงเปิดชมรมว่ายน้ำ เมื่อไม่กี่วันก่อนโค้ชของชมรมก็เพิ่งมาถึง เธอคงได้เจอเร็วๆ นี้ ตรงนั้นไงชมรมของเธอ” อาจารย์เพชรชี้มือไปที่ปีกด้านหนึ่งของบริเวณโรงเรียน เขายังไม่เห็นอะไรชัดเจนนักก็ต้องเดินตามอาจารย์เพชรต่อไปยังตัวตึกอีกตึกที่อยู่ด้านหลังตึกหน้า

“นี่คือตึกนอนของพวกเธอทั้งหมด”

อัครจ้องมองดูตัวตึกขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตา อายุของมันน่าจะไม่ถึง 5 ปี เพราะภายนอกยังดูใหม่อยู่มาก ตัวตึกสูง 4 ชั้นเป็นแนวยาวหลุบเข้าไปทางด้านหลัง

“ตึกนี้มีทั้งสิ้น 4 ชั้น มีห้องชั้นละ 25 ห้อง ห้องละ 4 คน รวมแล้วทั้งตึกนี้จะมีนักเรียนทั้งหมด 400 คน แต่เนื่องจากโรงเรียนของเราเพิ่งเปิดได้ไม่นาน จึงยังมีนักเรียนไม่ครบตามจำนวนที่สามารถรับได้”

อาจารย์เพชรพาเขาเดินขึ้นบันไดวนไปทีละชั้น พร้อมทั้งแนะนำสถานที่ไปด้วย “2 ชั้นแรกเป็นของเด็กม.ต้น ส่วน 2 ชั้นบนเป็นเด็ก ม.ปลาย แต่ละชั้นจะมีอาจารย์มาพักอยู่ด้วยเพื่อดูแลความเรียบร้อยให้พวกเธออยู่ในกฎระเบียบที่วางไว้”

อาจารย์เพชรพาเขามาถึงชั้นบนสุด เดินนำเขาไปยังหน้าห้องๆ หนึ่ง หน้าห้องมีหมายเลขกำกับว่า 418 อาจารย์เพชรหยิบกุญแจขึ้นมาไข ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กลิ่นอับจากภายในห้องปะทะจมูกของอัครเป็นอย่างแรก อาจเพราะหน้าต่างถูกปิดสนิท จึงไม่มีทางให้อากาศระบายออกไปได้ ภายในห้องค่อนข้างมืด เพราะม่านหน้าต่างสีทึบปิดกั้นแสงจากภายนอกไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาด้วย ข้าวของๆ ผู้ที่อยู่ก่อนหน้าวางระเกะระกะตามนิสัยของเด็กวัยรุ่นชายที่มักไม่เก็บอะไรเป็นระเบียบนัก

“ห้องนี้มีคนพักคนเดียว เธอคงได้ทำความรู้จักหลังจากที่เลิกเรียน เตียงที่ว่างนั่นเป็นของเธอ ตู้ข้างๆ คือตู้เสื้อผ้า ในห้องนี้ไม่มีห้องน้ำ ทุกคนในชั้นนี้จะต้องใช้ห้องน้ำร่วมกันที่สุดทางเดินด้านนั้น ฉันเสร็จธุระแล้ว จะปล่อยให้เธอจัดข้าวของให้เรียบร้อย วันนี้เธอพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าไปรายงานตัวกับฉันที่ห้องเดิม อ้อ กฎระเบียบของที่นี่อยู่ในคู่มือบนโต๊ะหนังสือเธอแล้ว อ่านและปฏิบัติตามด้วยนะ จะได้ไม่สร้างภาระให้กับคนที่อุปการะเธอ”

อาจารย์เพชรพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ความเงียบจึงเข้าปกคลุมห้องนี้อีกครั้งหนึ่ง อัครเดินเอากระเป๋าไปวางที่เตียงนอนของเขา ก่อนจะเดินไปเปิดม่านให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาบ้าง หลังหน้าต่างบานนั้นเขาเห็นด้านหลังของโรงเรียนที่เป็นพื้นที่ของลานเอนกประสงค์สำหรับทำกิจกรรม รวมทั้งแลเห็นชมรมว่ายน้ำที่ตั้งใจสร้างเพื่อเขาด้วย

อัครละสายตาจากภาพภายนอก หันกลับมาให้ความสนใจกับภายในห้องพักของเขา เขามองไปที่ข้าวของๆ เพื่อนร่วมห้องที่วางไม่เป็นระเบียบนัก บางอย่างล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ซึ่งควรจะเป็นของเขา แสดงให้เห็นว่าเจ้าของห้องอยู่คนเดียวมานานจนเกิดความเคยชิน อัครจึงลงมือขนย้ายข้าวของที่วางรุกล้ำพื้นที่เขาออกไป ก่อนจะเริ่มลงมือจัดของๆ ตนเองให้เข้าที่ ยังไม่ทันที่เขาจะเก็บของเรียบร้อยดี ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมร่างของเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับเขาเดินตรงเข้ามา

“เฮลโหลๆ ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่สู่ห้องของเรา” เจ้าของร่างนั้นวิ่งกระโจนเข้ามากอดอัครโดยที่เจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว

“รู้ไหมว่ากูรอเพื่อนร่วมห้องมานานขนาดไหนแล้ว ตั้งแต่ไอ้บอยโดนไล่ออกไป นอนคนเดียวมันเหงานะเว้ย ทำตัวดีๆ อยู่กับกูนานๆ นะ เฮ้ย นี่มึงจัดห้องให้ด้วยเหรอวะ”

ใบหน้านั้นแสดงความยินดีอย่างที่อัครไม่คาดคิด เขายิ้มแห้งๆ ให้ผู้ที่อยู่มาก่อน

“ว่าแต่มึงชื่ออะไร กูชื่อวาสุ แต่เรียกกูว่าโอ๊ตดีกว่า จะได้แสดงถึงความสนิทสนมกัน”

“อัคร”

“อัครเฉยๆ เหรอ ทำไมชื่อสั้นจังวะ สงสัยพ่อขี้เกียจตั้งชื่อแน่เลย” โอ๊ตหัวเราะตัวโยนที่ได้แซวเพื่อนร่วมห้อง แต่นอกจากอัครจะไม่ขำแล้ว สีหน้าเขายังหม่นลงไปอีก

“เฮ้ยๆๆ กูไม่ได้ตั้งใจจะล้อเรื่องพ่อ เอาใหม่ๆๆ อัครเฉยๆ เหรอ ทำไมชื่อสั้นจังวะ สงสัยสั้นเหมือนเจี๊ยวมึงแน่เลย” พูดจบประโยค มือของโอ๊ตก็คว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงของอัคร ก่อนจะทำตาโตด้วยความตกใจ

“เฮ้ย ไม่สั้นนี่หว่า 555”

แม้จะตกใจในการกระทำของเพื่อนใหม่ แต่อัครก็อดหัวเราะไปกับการกระทำของเขาไม่ได้ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกดีขึ้นและคิดว่าชีวิตในรั้วโรงเรียนใหม่ที่เหมือนเสรีภาพส่วนตัวจะขาดหายไป ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขานึกกลัวมาก่อนหน้านี้ อัครกลับไปจัดข้าวของตัวเอง ในขณะที่โอ๊ตก็ถือโอกาสจัดมุมของตัวเองให้สะอาดขึ้นด้วย

ตอนที่ 5

กว่าจะจัดของจัดห้องเสร็จเรียบร้อยก็เล่นเอา 2 หนุ่มเหนื่อยหอบ ทั้งคู่นั่งพักตรงพื้นที่ว่างกลางห้อง

“ถ้ารู้ว่าจัดห้องจะเหนื่อยขนาดนี้ กูจะปล่อยให้รกเลย”

“เออ งั้นหลังจากนี้อย่าให้กูเห็นว่ามึงทำห้องรกนะ”

“อ้าว ไอ้นี่ มึงมาอยู่ใหม่ จะมาข่มกูแล้วเหรอ มึงอ่ะยังไม่ผ่านการรับน้องเลยนะ”

“ที่นี่มีรับน้องด้วยเหรอวะ”

“อ้าว ที่ไหนๆ เขาก็มีกันทั้งนั้น กูจะเตือนไว้เพราะเห็นแก่ความหล่อของมึงนะ ไอ้พวกที่อยู่มานานๆ ไม่ได้ออกไปเจอผู้หญิง มึงรู้ไหมว่ามันเงี่ยนขนาดไหน กูว่าถ้ามันได้เจอหน้าหล่อๆ ของมึงเนี่ยนะ” โอ๊ตทำหน้าสยดสยองให้อัครรู้สึกกลัวตาม “ตูดมึงบายแน่”

“เฮ้ย มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ มึงพูดจริงพูดเล่นเนี่ย” อัครรู้สึกตกใจไปกับคำพูดของเพื่อนร่วมห้อง โอ๊ตเมื่อเห็นอัครแสดงท่าทางจริงจังจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“หน้ามึงตอนตกใจกลัวนี่โคตรฮาเลย” อัครพอรู้ว่าโดนเพื่อนใหม่อำก็เลือดขึ้นหน้านิดๆ

“ฝากไว้ก่อนเหอะ กูมีเวลาเอาคืนอีกนาน”

“โอ๋ๆๆ” พอเห็นเพื่อนใหม่เริ่มโมโห โอ๊ตก็รีบเข้ามาปลอบ “แหม กูก็แค่แหย่เล่น ไม่น่ามีอารมณ์ กูไม่แกล้งแล้วก็ได้ ไปอาบน้ำกันดีกว่า กูเหนียวตัวจะแย่ จะได้ถือโอกาสนำชมห้องอาบน้ำของชั้นเราด้วย”

ว่าแล้วโอ๊ตก็เดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง อัครลุกขึ้นยืน เดินกลับไปที่ตู้ของตัวเองเช่นกัน เขาหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาพาดบ่า เตรียมเสื้อผ้าสำหรับไปเปลี่ยน และอุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกาย ก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนร่วมห้อง

“เฮ้ย” เสียงอัครอุทานด้วยความตกใจ มือที่ถืออุปกรณ์อาบน้ำอยู่แทบจะหลุดลงไปกองที่พื้น เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างเปล่าเปลือยที่ไม่มีอะไรปกปิด นอกจากผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่พาดไว้บนบ่า

“ตกใจอะไรวะ เจี๊ยวกูตอนยังไม่ตื่นมันก็เล็กหลอกตาแบบนี้แหล่ะ แต่อย่าทำให้มันใหญ่ขึ้นมาล่ะกัน เดี๋ยวมึงจะหนาว 555” โอ๊ตยังคงร่ำรวยอารมณ์ขันอยู่เช่นเดิม

“ว่าแต่มึงทำไมไม่ผลัดเสื้อผ้าล่ะ”

“มึงจะไปทั้งอย่างนั้นเหรอ” อัครเอ่ยถามด้วยความสงสัย ความจริงเขาเคยชินกับการแก้ผ้าอาบน้ำเป็นอย่างดีตอนที่อยู่ชมรมว่ายน้ำ แต่การจะให้แก้ผ้าโทงๆ เดินออกจากห้องไปถึงห้องอาบน้ำเป็นเรื่องที่ดูจะไม่ปกติสำหรับเขา

“แปลกอะไรวะ ใครๆ เขาก็ทำกัน ไม่มีใครสนใจใครหรอก เพราะเขาเห็นกันจนชินตาหมดแล้ว แล้วก็มีแต่ผู้ชายเจี๊ยวเหี่ยวๆ ด้วยกันทั้งนั้น มึงเดินไปแบบนี้สิคนเขาจะมองเอาว่าทำตัวผิดแปลก ไม่ต้องอายหรอกเมื่อกี๊ที่กูจับดูของมึงก็ไม่เล็กนี่ หรือกลัวมันโด่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ต้องกลัว มีประจำแหล่ะ กูเองยังเคย”

น้ำเสียงของโอ๊ตเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ

“ถ้ามึงไม่ถอดไม่ต้องมาเดินกับกูเลยนะ กูไม่อยากเป็นเป้าสายตาคนอื่น”

สุดท้ายเมื่อถูกเพื่อนร่วมห้องขู่ด้วยวิธีนี้ อัครจึงต้องจำยอมละความอายที่มี ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นจนหมด สภาพเขาตอนนี้ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมห้อง

“เจี๊ยวมึงนี่ทั้งขาว ทั้งสวย แถมใหญ่ไม่ใช่เล่น ขนาดยังไม่แข็งตัวเต็มที่นะ อย่างนี้จะอายอะไรวะ กล้ามมึงก็ใหญ่สมส่วน ดูที่หน้าท้องมึงสิ เป็นลอนๆ เชียว กูขอลูบหน่อยนะ”

โอ๊ตเดินมาลูบที่หน้าท้องของอัคร ค่อยๆ เลื่อนมือลงไปตามลอนคลื่นของกล้ามท้อง ก่อนจะมาหยุดที่พกหญ้าที่ขึ้นรกดกดำปกคลุมความเป็นชายของเจ้าตัว อัครเริ่มรู้สึกอึดอัดที่ถูกล่วงล้ำร่างกาย เพื่อนใหม่คงรู้สึกตัวจึงปล่อยมือที่สัมผัสนั้นออก เดินอ้อมไปด้านหลังแทน อัครหันไปมองตามสายตาที่ชื่นชมรูปร่างของเขาอยู่

“ตูดมึงนี่ทั้งแน่น ทั้งเนียน สวยชิบหาย อยู่ในห้องน้ำก็อย่าเผลอทำสบู่ตกล่ะ จะหาว่าหล่อไม่เตือน 555” พูดจบ ฝ่ามือของโอ๊ตก็ตบลงที่ก้นกลมเนียนของอัครจนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บ แต่ไม่ทันได้ตอบโต้อะไร เพื่อนร่วมห้องก็ชิงเดินหนีออกประตูห้องไปก่อนแล้ว อัครจึงต้องรีบเดินตามออกไปเพราะไม่อยากถูกทิ้งให้เดินโล่งโจ้งอยู่คนเดียว

อัครรู้สึกโล่งในเมื่อเดินออกมาที่ระเบียงแล้วไม่พบใครยืนอยู่ เขาพยายามเร่งให้โอ๊ตเดินเพื่อไปให้ถึงห้องอาบน้ำไวๆ แต่โอ๊ตยังคงเดินส่ายตูดช้าๆ ทำไม่รู้ไม่เห็นอะไร อัครจึงต้องยอมแพ้ไปเองในที่สุด เขาได้แต่หวังให้ไม่มีคนออกมาเดินที่ระเบียงอย่างนี้ไปจนถึงห้องน้ำ แต่ไม่ทันไรความหวังของอัครก็ดับวูบลงไป เมื่อห้องที่อยู่ถัดไปอีก 2 ห้องเปิดประตูออกมาพอดี

อัครเห็นใบหน้าที่แสดงอาการตกใจของผู้ที่เดินออกมา หน้าของเขาเริ่มชาและร้อนผ่าว พยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกันทั้งตึก แต่ก็ไม่ทำให้ชินได้ง่ายๆ สักที แต่พอเขาสังเกตเห็นผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนไหล่ และอุปกรณ์อาบน้ำที่เขาถือในมือ อัครก็เริ่มปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้เอง เขาหันไปมองหน้าโอ๊ตที่ตอนนี้กลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่

“เฮ้ย พวกเรา ออกมาดูไอ้โอ๊ตรับน้องใหม่ดิวะ”

สิ้นเสียงไม่นานประตูห้องต่างๆ ก็เปิดออกมามุงดูอัครเป็นตาเดียวกัน ใบหน้าขาวๆ ของอัครเริ่มเป็นสีแดงด้วยความอาย เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรดี ได้แต่นึกโกรธเพื่อนร่วมห้องอยู่ในใจเงียบๆ คนเดียว ยิ่งเห็นโอ๊ตหลุดหัวเราะออกมายิ่งแค้นใจ คราวนี้คนอื่นๆ เลยผสมโรงหัวเราะกันยกใหญ่

“น้องใหม่ของเรา ไม่เบาเลยนะเนี่ย”

เสียงแซวจากใครสักคนดังขึ้น เรียกเสียงหัวเราะให้ยิ่งดังขึ้นไปใหญ่ อัครรีบหันหลังจะกลับห้องแต่ถูกโอ๊ตเอาแขนดึงตัวรั้งเอาไว้

“เฮ้ย จะกลับไปทำไม เอาน่าไหนๆ เขาก็เห็นกันหมดแล้ว ก็โชว์ไปเลย มีของดีอยู่กับตัว จะมัวหนีบเอาไว้ทำไม โชว์ให้ไอ้พวกนี้มันอิจฉาเล่น กูน่ะเคยเห็นมาหมดแล้ว บอกได้เลยว่าของมึงน่ะแจ๋วสุด”

“เออ ไอ้น้องใหม่ มึงไม่ต้องอายพวกกูหรอก ไม่เห็นวันนี้เดี๋ยวก็ต้องเห็นกันสักวัน ไม่แก้ตรงนี้เดี๋ยวก็ต้องไปแก้ในห้องน้ำเหมือนๆ กัน แล้วไม่ได้มีมึงหรอกที่โดนคนเดียว ไอ้โอ๊ตมันก็แกล้งพวกกูมาก่อนแล้วทั้งนั้น ไอ้เนี่ยมันโรคจิตชอบโชว์ แล้วมันก็อยากให้คนอื่นชอบแบบมัน อย่าไปถือสามันเลยนะ เพื่อนๆ กันทั้งนั้น”

อัครเริ่มอายน้อยลงและรู้สึกผ่อนคลายขึ้น โอ๊ตรีบเอาแขนมากอดคอแล้วลากเขาไปที่ห้องอาบน้ำ ภาพชายหนุ่มร่างเปล่าเปลือย 2 คนเดินกอดคอกึ่งลากกึ่งจูงกันไปสร้างความขบขันให้คนที่มองเห็นยิ่งนัก

อีก 1 ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาทานอาหารเย็นร่วมกัน โอ๊ตกำลังง่วนอยู่กับการทำการบ้าน อัครซึ่งไม่ยากรบกวนสมาธิเพื่อนร่วมห้อง จึงลงมาเดินสำรวจบริเวณโรงเรียน โดยมีสถานที่ที่ตั้งใจจะไปคือชมรมว่ายน้ำ อัครมองเห็นชมรมจากหน้าต่างห้องพัก ทำให้รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งใจ

เพียงไม่นานเขาก็มาถึงบริเวณชมรมว่ายน้ำ จากภายนอกบรรยากาศดูเงียบสงบ ไม่พบการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ คงเป็นเพราะชมรมยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ อัครค่อยๆ เดินขึ้นบันไดเพื่อเดินขึ้นไปยังส่วนของสระว่ายน้ำ จมูกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นสีสีจางๆ ทำให้รู้ว่าสระแห่งนี้คงเพิ่งสร้างเสร็จก่อนการมาถึงของเขาไม่นาน

พอขึ้นมาถึงชั้นบน เขาก็เห็นสระขนาดใหญ่ที่มีน้ำสีฟ้าใสตามสีพื้นสระนอนสงบนิ่งอยู่ เขาเดินเรื่อยเปื่อยชมบรรยากาศไปรอบๆ ใจหวนคิดไปถึงชมรมว่ายน้ำและการแข่งขันที่เขาร้างลามานาน

“มาสมัครเข้าชมรมเหรอ”

เสียงที่ดังขึ้นโดยไม่ตั้งตัวทำให้อัครสะดุ้ง เขารีบหันไปหาต้นเสียง พบชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวขาวจัดยืนมองมาทางเขาอยู่ ทั้งตัวของชายคนนั้นสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำแบบสปอร์ตสีดำอยู่เพียงตัวเดียว ยังไม่ทันได้คำตอบเจ้าของร่างก็เดินตรงมาที่เขา อัครลอบมองกล้ามแกร่งช่วงต้นแขน แผงอก รวมถึงบริเวณหน้าท้อง ทำให้เห็นว่าเจ้าตัวหมั่นดูแลรูปร่างและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้านั้นดูมีอายุมากกว่าเขาพอสมควร อัครจึงคิดว่าชายคนนี้ไม่น่าจะใช่สมาชิกชมรม แต่อาจจะเป็นโค้ชคนใหม่ที่มาดูแลชมรมตามที่อาจารย์เพชรบอก

“ครับ...”

“งั้นตามผมมา”

อัครเดินตามชายตรงหน้าเข้าไปยังตัวอาคารที่อยู่ด้านข้างสระ ด้านในกลิ่นสีแรงกว่าด้านนอกมาก เขาลอบมองชายตรงหน้าเห็นบริเวณช่วงไหล่กว้าง บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นนักว่ายน้ำมานาน อัครแปลกใจในผิวขาวของเจ้าตัวเป็นอย่างมาก คิดว่าถ้าสนิทกันมากกว่านี้เขาอาจจะขอเคล็ดลับมาใช้ดูบ้าง อัครลอบมองที่ช่วงกลางลำตัว แม้กล้ามเนื้อจะแกร่งแต่เอวของชายหนุ่มตรงหน้าค่อนข้างคอด ช่วงบั้นท้ายที่กางเกงว่ายน้ำตัวเล็กปิดแทบไม่มิดนั้นดูฟิตกระชับแน่น อัครแลเห็นก้อนกลมนั้นอย่างชัดเจนเพราะเนื้อผ้ากางเกงว่ายน้ำนั้นบางเบามาก

ชายผู้สูงวัยกว่าพาอัครมาถึงห้องส่วนตัว เขาเชื้อเชิญชายหนุ่มนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะส่วนตัวของเขา ก่อนจะเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารเดินมาตรงหน้าอัครแล้วง่วนกับการหาเอกสารที่อยู่ภายในแฟ้มนั้น อัครกลืนน้ำลายลงคอยากลำบาก เพราะตอนนี้เป้ากางเกงคนตรงหน้าอยู่ห่างใบหน้าเขาไม่กี่คืบ เนื้อผ้าอันบางเบาทำให้อัครเห็นสัดส่วนความเป็นชายที่นอนสงบขดตัวอยู่ภายในได้อย่างชัดเจนทีเดียว ขนาดนั้นสมส่วนกับร่างกำยำเป็นอย่างดี

“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ผมชื่อพลวิทย์ มารับหน้าที่เป็นโค้ชชมรมว่ายน้ำ และเป็นอาจารย์พละชั้นมัธยมปลาย เราจะเรียกพี่วิทย์ โค้ชวิทย์ หรืออาจารย์วิทย์ก็ได้ตามความสมัครใจ แต่อย่าเรียกไอ้วิทย์ละกัน อย่างน้อยก็ต่อหน้า”

อัครเผลอหัวเราะกับมุกตลกของโค้ชคนใหม่

“ผมชื่ออัครครับ เคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำระดับโรงเรียน แต่มีเหตุให้ต้องเลิกไป” สีหน้าของชายหนุ่มหม่นไปเล็กน้อย

“เขียนใบสมัครซะ แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่”

ใบสมัครเข้าชมรมถูกวางตรงหน้า อาจารย์พลวิทย์ยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินจากไป อัครหันมามองเอกสารตรงหน้า นี่คือสิ่งที่เขารอคอยที่ได้กลับมาหาอีกครั้ง เพราะมันเปรียบเสมือนชีวิตและจิตวิญญาณของเขา ชายหนุ่มหยิบปากกากรอกเอกสารด้วยใจที่มุ่งมั่นและตั้งใจอย่างเปี่ยมล้น

ตอนที่ 6

ภาติยะเดินเข้าไปในห้องทำงานของสารวัตรสุวิทย์ เขาเห็นเจ้าของห้องนั่งอ่านรายงานฉบับหนึ่งอยู่ เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาเจ้าของห้องจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ผู้อาวุโสกว่าจึงวางแฟ้มในมือ แล้วถอดแว่นสายตาออกมาวางบนโต๊ะ

“นั่งสิผู้กองติยะ”

ภาติยะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าตามคำเชื้อเชิญ ชายหนุ่มไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ แต่แต่งกายด้วยชุดลำลองธรรมดา

“มาถึงเมื่อไหร่ล่ะ? แล้วห้องหับที่เตรียมไว้ให้เป็นยังไงบ้าง พออยู่ได้ไหม?”

“ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่เป็นปัญหาครับ”

“ขอบคุณผู้กองมากที่อาสามาช่วยเราทำคดีนี้”

ภาติยะพยักรับ สายตาของเขามีความมุ่งมั่น มองตรงไปหาผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“พฤกษ์เป็นรุ่นน้องที่ผมรักมาก เหมือนคนในครอบครัว ไม่ว่างานนี้จะยากลำบากหรือเสี่ยงอันตรายขนาดไหน ผมก็ต้องตามหาพฤกษ์ให้เจอครับ”

สารวัตรสุวิทย์ยิ้มน้อยๆ ยื่นแฟ้มที่เพิ่งวางมาตรงหน้าภาติยะ

“นี่คือรายงานการสอบสวนคดีการหายตัวไปของหมวดพฤกษ์ คุณอ่านดูเอาล่ะกันว่าควรจะเริ่มต้นสืบคดีนี้ยังไง”

ภาติยะรับแฟ้มตรงหน้ามาเปิดดูคร่าวๆ “เหมือนจะไม่มีเบาะแสอะไรเลยนะครับ”

“ใช่ แต่นี่คือสิ่งที่เราพอจะรวบรวมให้ได้มากที่สุดแล้ว ผมมั่นใจว่าก่อนจะหายตัวไป หมวดพฤกษ์กำลังสืบคดีลับอะไรบางอย่างอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคือคดีอะไรเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่คุณจะต้องติดตาม”

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ไม่นานชายร่างสันทัดคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อทำความเคารพผู้ที่อยู่ในห้องแล้ว ชายคนดังกล่าวก็เดินมานั่งที่เก้าอี้เคียงข้างภาติยะ

“มาพอดีเลย นี่หมู่ยุทธ นี่ผู้กองติยะ ไม่รู้ว่าเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า”

“ผู้กองคงไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักผู้กองดี ตอนที่เรียนทุกคนก็พูดถึงผู้กองกับหมวดพฤกษ์ว่าเป็นรุ่นพี่ที่เก่ง มีความสามารถทั้งคู่ พวกเรามีผู้กองกับหมวดเป็นแบบอย่างกันทั้งรุ่น”

สารวัตรสุวิทย์ยิ้มน้อยๆ “ดีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่หมู่จะได้ศึกษาวิธีการทำงานจากผู้กองติยะ อย่าทำให้ผู้กองผิดหวังแล้วกัน”

“แน่นอนครับ ผมยินดีที่สุดที่ได้รับใช้ผู้กอง” ผู้มียศน้อยกว่ารับคำด้วยเสียงที่หนักแน่น

“ผู้กองติยะ หมู่ยุทธคือผู้ร่วมงานของคุณในการทำคดีนี้ คุณต้องติดต่อผ่านเขาถ้าต้องการความช่วยเหลือหรือมีความคืบหน้าทางคดี หลังจากออกจากที่นี่วันนี้ ภารกิจทุกอย่างของคุณถือเป็นความลับ การปฏิบัติงานทุกอย่างให้คุณเป็นผู้ตัดสินใจและต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง จากงานที่ผ่านมาของคุณ ผมเชื่อว่าไม่เป็นเรื่องยากเกินความสามารถ แต่อย่างที่เห็น แม้แต่หมวดพฤกษ์ก็ยังพลาดท่า ยังไงก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดี อย่าประมาทและอย่าไว้ใจ ไม่ว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น”

ผู้กองภาติยะพยักหน้ารับคำ ก่อนจะขอตัวออกจากห้อง โดยมีหมู่ยุทธนาเดินตามออกมาด้วย

“ที่พักเป็นยังไงบ้างครับผู้กอง ไม่สะดวกยังไงบอกผมได้นะ ห้องนั้นผมเลือกให้ผู้กองเอง คิดว่าอยู่ที่นั่นน่าจะสืบคดีได้ง่าย และไม่มีคนสงสัยเพราะมีแต่คนหน้าใหม่ๆ มาพัก”

“เรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ขอบคุณที่เป็นธุระจัดการทุกอย่างให้”

ภาติยะเดินมาจนถึงรถกระบะส่วนตัว เปิดประตูรถแล้วโยนแฟ้มเอกสารไปที่ว่างข้างคนขับ แล้วจึงขึ้นไปนั่งบนเบาะประจำที่คนขับ หมู่ยุทธก้มลงมาหา ยื่นถุงสิ่งของที่ถือติดมือมาส่งให้เขา

“นี่คือไฟล์งานทุกอย่างของหมวดพฤกษ์ครับ เผื่อหมวดจะพบเบาะแสเพิ่มเติม แล้วนี่เบอร์ติดต่อผมครับ ผู้กองอยู่ที่นั่นระวังหน่อยนะครับ ดึกๆ พวกผู้หญิงหากินมันเยอะ เวลามันเห็นผู้ชายหล่อๆ หน้าตารูปร่างดีๆ แบบผู้กอง มันจะมาเคาะประตูถึงที่เลย แต่ผู้หญิงพวกนี้อาจจะเป็นเบาะแสชั้นดีสำหรับการแกะรอยก็ได้นะครับ”

“ขอบคุณที่เตือนนะ ผมจะพยายามระวังตัวเอาไว้”ภาติยะกล่าวเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากลานจอดรถไป

ขณะที่รถจอดติดไฟแดง ภาติยะหวนคิดถึงเหตุการณ์สมัยที่เขาเรียนโรงเรียนตำรวจ ครั้งแรกๆ ที่เขาได้มีโอกาสพบรุ่นน้องอย่างพฤกษ์ ตอนนั้นพฤกษ์เป็นรุ่นน้องที่โดนรุ่นพี่รับน้องมากที่สุด ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาที่จัดว่าหล่อเหลาจนดูโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น แต่เพราะความเป็นคนมุ่งมั่น แข็งกร้าว มุทะลุไม่สนใจคนรอบข้าง จนรุ่นพี่บางคนส่ายหน้าด้วยความระอา แต่เมื่อได้มีโอกาสเรียนรู้อุปนิสัยกันจริงๆ ทุกคนจึงได้รู้ว่า พฤกษ์คือรุ่นน้องที่ดูจะฝากความหวังเอาไว้ได้มากที่สุดในรุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่พฤกษ์มักจะเป็นรุ่นน้องที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากบรรดารุ่นพี่มากที่สุด ซึ่งรวมถึงตัวเขาด้วย แม้เมื่อเรียนจบออกมารับราชการเป็นตำรวจเต็มตัว เขาจะไม่มีโอกาสได้เจอหรือทำงานร่วมกับรุ่นน้องคนนี้อีกเลย แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงร่ำลือชื่นชมผ่านคนที่ได้เคยร่วมงานด้วย จนเขาเองรู้สึกปลื้มใจไม่น้อยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ฟูมฟักรุ่นน้องคนนี้มากับมือของตัวเอง เมื่อได้รับข่าวร้ายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เขาจึงสัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไร หรือต้องเสี่ยงภัยขนาดไหนก็ตาม เขาจะต้องสืบหาพฤกษ์ให้เจอจนได้

เสียงแตรรถคันหลังปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ ภาติยะเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาจึงเหยียบคันเร่งขับรถตรงออกไปยังจุดหมาย ระหว่างทางที่ขับรถไปในหัวของเขาเริ่มประมวลเหตุการณ์ ว่าควรจะเริ่มต้นการสืบสวนอย่างไรดี สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความลับที่เขาไม่ได้บอกใครก็คือ ก่อนหน้าที่พฤกษ์จะหายตัวไป ได้ส่งข้อมูลการสืบสวนคดีๆ หนึ่งมาให้เขา โดยขอร้องว่าไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้กับใครไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะดูเหมือนว่าพฤกษ์เองจะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งขณะนั้นเขากำลังยุ่งกับการสืบสวนคดีๆ หนึ่งซึ่งใกล้จะปิดคดี จึงไม่มีโอกาสได้สื่อสารตอบกลับไป จนตอนนี้ทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว ภาติยะได้แต่รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ทันการ

ชายหนุ่มขับรถมาจนถึงจุดหมาย มันเป็นอาคารที่พักขนาด 7 ชั้น ดูจากภายนอกค่อนข้างเก่าโทรม เขาจอดรถไว้ในที่จอดรถซึ่งมีรถจอดอยู่เพียงไม่กี่คัน แล้วจึงเดินไปที่ลิฟท์เพื่อขึ้นไปที่ห้องพัก แต่อยู่ๆก็มีเสียงร้องทักดังขึ้น

“กลับมาแล้วเหรอครับพี่สุดหล่อ?” เขาหันไปทางต้นเสียง พบหนุ่มรูปร่างท้วม ผิวขาว อายุไม่น่าเกิน 25 ยิ้มทักทายเขาอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้านอาหารประจำตึก เขาจำได้ว่านายคนนี้คือคนดูแลห้องพักที่พาเขาไปส่งที่ห้องเมื่อวานนี้ ยังไม่ทันที่จะโต้ตอบอะไรไป อีกฝ่ายก็พูดต่อมาว่า

“เดี๋ยวเอาปิ่นโตไปส่งให้ที่ห้องนะครับ”

ภาติยะเพียงยิ้มรับคำของอีกฝ่ายเท่านั้น แล้วเดินตรงต่อไปที่ลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก สายตาของชายร่างท้วมยังมองตามเขาจนเข้าลิฟท์ไป ก่อนที่จะหันไปตะโกนบอกคนในร้าน

“ไอ้บอย จัดปิ่นโตห้อง 609 ด้วย”

ภาติยะไขกุญแจเข้าไปในห้องพักของตัวเอง ห้องนั้นไม่กว้างนัก เหมาะสำหรับการพักอยู่คนเดียว สภาพในห้องไม่เก่าโทรมเหมือนภายนอก เครื่องใช้ในห้องส่วนใหญ่เหมือนเพิ่งเปลี่ยนยกชุด เพราะมีสภาพค่อนข้างใหม่ ต่างเพียงตู้เสื้อผ้าที่เป็นตู้ไม้ขนาดใหญ่เท่านั้นที่น่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์รุ่นบุกเบิก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะขนาดที่ใหญ่ ทำให้ลำบากในการขนย้ายเปลี่ยนแปลง บนเพดานมีพัดลมขนาดใหญ่ติดอยู่ สภาพค่อนข้างเก่าจนกลัวจะหลุดร่วงลงมา ด้านหลังห้องมีหน้าต่างกระจกเลื่อนปิดที่ไม่มีทั้งเหล็กดัดหรือมุ้งลวดคอยกางกั้น มีเพียงม่านลายลูกไม้ปิดอยู่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องมีเพียงโทรทัศน์ขนาดพอเหมาะและตู้เย็นสีเขียวที่ไม่เข้ากับสีห้องเท่านั้น ด้านหน้าของห้องถัดจากประตูมีห้องน้ำขนาดไม่กว้างมากนักแทรกตัวอยู่ สภาพห้องน้ำเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงจากตอนที่สร้างครั้งแรกไม่มากนัก

ภาติยะเดินไปวางสิ่งของทุกอย่างที่โต๊ะเอนกประสงค์ใกล้ๆ ประตูระเบียง ก่อนจะเดินไปเปิดม่านหน้าต่าง และดันกระจกหน้าต่างให้เปิดอ้าออกเพื่อให้อากาศภายในห้องได้ถ่ายเท แล้วจึงเปิดพัดลมเพดานเพื่อคลายความร้อนอบอ้าว หลังจากนั้นจึงเดินไปที่กระเป๋าที่ใส่สัมภาระที่ยังไม่ได้จัดให้เข้าที่ เพราะเพิ่งมาถึงเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าที่จะใส่เพียงชุดเดียวเท่านั้น ก่อนจะดันกระเป๋าเข้าตู้ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกะกะขวางทาง

ด้วยความร้อนอบอ้าวของอากาศตอนบ่ายแก่ๆ ภาติยะจึงจัดแจงถอดเครื่องแต่งกายที่สวมอยู่ออก จนเหลือแต่เรือนร่างเปล่าเปลือย เผยให้เห็นกล้ามแกร่งที่สมส่วนทั้งช่วงแขน หน้าอก หน้าท้อง ไปจนถึงต้นขา บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องรูปร่างของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ท่อนลำของชายหนุ่มตอนนี้มีอาการพองตัวเล็กน้อย ขนาดของมันใหญ่สมส่วนกับร่างกาย ที่ส่วนปลายหัวนั้นมีสีชมพูสด ตัดกับผิวคล้ามแดดของเจ้าตัว ขนที่ขึ้นปกคลุมส่วนสำคัญนั้นดกดำ ด้านหลังคือก้นกลมกลึงฟิตเปรี้ยะ ถ้าจะจัดให้ผู้กองภาติยะเป็นชายหนุ่มวัยเกือบสามสิบที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งก็คงไม่ผิดความจริงนัก

ขณะที่ภาติยะกำลังเดินเปลือยเปล่าอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มรีบเปิดกระเป๋าเพื่อหาผ้าเช็ดตัวแต่ไม่พบ เขาจึงวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้ในห้องน้ำมาพันกายแทน แต่ก็พบว่ามันเป็นผ้าที่มีผืนเล็กมากจนไม่สามารถพันได้รอบกาย ชายหนุ่มจึงเลือกเอาผ้ามาปิดบังส่วนหน้ากันการประเจิดประเจ้อ แล้วเอามือจับปลายผ้าทั้ง 2 ด้านไว้ด้านหลัง แล้วจึงค่อยๆ เดินไปเปิดประตูห้อง

ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็เห็นเด็กหนุ่มผู้ดูแลหอพักร่างท้วมยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าประตู พอเห็นเขาทำสีหน้างุนงง หนุ่มร่างท้วมก็ยกปิ่นโตขึ้นมาโชว์ให้ดู ก่อนจะถือวิสาสะผลักประตูให้กว้างออกแล้วเดินแทรกตัวเข้ามาภายในห้องแล้วตรงไปที่โต๊ะเอนกประสงค์เพื่อวางปิ่นโต ภาติยะผละจากประตูเดินเพื่อไปหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเป็นค่าทิป โดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของชายร่างท้วมที่มองตามร่างของเขา จนเห็นก้นที่งอนงามหลุดออกมาจากปลายผ้าที่พันไม่รอบกาย ใบหน้าของชายร่างท้วมปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ แฝงความเจ้าเล่ห์ ในสายตาเหมือนคิดแผนการณ์อะไรบางอย่างอยู่ โดยไม่ทันระวังตัวขณะที่ภาติยะหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ เขาเผลอปล่อยมือที่กำผ้าเช็ดตัวไว้จนมันหลุดไปกองอยู่ที่ปลายเท้า จนสิ่งที่ไม่ตั้งใจโชว์ปรากฏต่อสายตาคนตรงหน้า

“เฮ้ย ชิบหายแล้ว”ภาติยะหลุดอุทานออกมา เพราะตกใจที่ตอนนี้ตัวเองกลายเป็นชีเปลือยโดยไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ชั่วครู่ เขาไม่สามารถก้มลงหยิบผ้าที่หล่นลงไปกองได้ เพราะมือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์อยู่ ส่วนอีกมือถือเงินค่าทิปที่เตรียมจะส่งให้ชายร่างท้วม สิ่งที่ทำได้คือการปล่อยทุกอย่างเลยตามเลย แล้วส่งรอยยิ้มแหยๆ ให้คนตรงหน้า ขณะที่ชายร่างท้วมยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก สายตาจับจ้องมาที่ท่อนลำของภาติยะที่เหมือนจะพองตัวขึ้นเล็กน้อย

“แหมพี่ ตกลงจะจ่ายทิปผมด้วยอะไรกันแน่เนี่ย”

“เงินนี่สิ รีบๆ รับเอาไปซะไอ้น้องชาย”

ชายร่างท้วมยื่นมือมารับเงินเฉียดท่อนลำของภาติยะอย่างฉิวเฉียด แล้วจึงเดินตรงไปที่ประตูห้องไป แต่ไม่วายหันกลับมามองในห้องอีกครั้ง เห็นภาติยะยังยืนโชว์ทุกสัดส่วนอยู่เช่นเดิม

“ผมชื่ออ๋องพี่ เรียกใช้บริการได้เสมอนะ อ้อ อีกอย่าง อยากจะบอกว่าควยพี่นี่แม่ง สวยกว่าทุกดุ้นที่ผมเห็นมาเลย” ชายร่างท้วมหัวเราะเสียงดังส่งท้ายก่อนจะเดินจากไป ภาติยะจึงก้มลงไปเก็บผ้าเช็ดตัวที่กองอยู่ที่พื้นขึ้นมาพันรอบเอวเช่นเดิม ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องน้ำไป

ตอนที่ 7

อ๋องผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกมาจากลิฟท์ เมื่อบอยที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เห็นเข้าจึงออกปากทัก

“อารมณ์ดีอะไรมาอ่ะพี่อ๋อง”

“555 มึงรู้ไหมว่ากูไปเจออะไรเด็ดมา” ไอ้บอยส่ายหน้าแต่ก็ทำสีหน้าแสดงความอยากรู้

“ก็ตอนที่กูเอาปิ่นโตขึ้นไปให้ไอ้พี่หน้าหล่อห้อง 609 มันกำลังผลัดผ้าจะอาบน้ำอยู่ แล้วมันเอาผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำปิดควยไว้ แต่ผ้าผืนมันเล็กปิดได้ไม่มิด ตูดมันก็โผล่ออกมาให้กูเห็นน่ะสิ เท่านั้นยังไม่พอ ตอนที่มันหยิบเงินค่าทิปให้กู ไม่รู้มันตั้งใจรึเปล่า มันปล่อยมือจากผ้าเช็ดตัวจนลงไปกองอยู่กับพื้น ควยแม่งก็โผล่มาชี้หน้ากูเข้าให้อ่ะดิ คิดแล้วกูยังขำไม่หาย”

ไอ้บอยร่วมสมทบหัวเราะร่วนตามไปด้วย “แต่ว่านะ หุ่นมันที่เห็นตอนใส่เสื้อผ้าครบว่าดีแล้ว ตอนที่แม่งแก้ผ้าออกหมดยิ่งดีกว่านั้นอีก กูเลยคิดว่าจะหาทางเอามันไปงานเลี้ยงของท่านให้ได้”

“จะได้เหรอพี่ ดูๆ เขาหน้าตาท่าทางดี น่าจะมีเงิน คงไม่มาสนใจงานแบบนี้หรอก”

“มันก็ต้องลองดูสักตั้ง ถ้าได้นี่เราคงรับทรัพย์บานแน่ๆ เพราะท่าทางแบบมันพวกเสี่ยๆ เขาชอบ แต่ถ้ามันไม่เล่นด้วยคงต้องหาวิธีจัดการแบบหมวดพฤกษ์ของมึงนั่นแหล่ะ”

สีหน้าของไอ้บอยสลดลงไปแวบหนึ่งเมื่อชื่อของหมวดพฤกษ์ถูกกล่าวถึงขึ้นมา ภาพเหตุการณ์เก่าๆ ค่อยๆ ลอยกลับมาในความคิดของเขาอีกครั้ง

“ว่าแต่มึงได้ข่าวสุดที่รักของมึงบ้างไหม หลังงานประมูลวันนั้นเป็นยังไงบ้างวะ”

“ไม่รู้เลยพี่ รู้แค่ว่าไอ้เสี่ยสมศักดิ์มันเป็นคนชนะประมูลเท่านั้น”

“เหอะ ป่านนี้คงตูดบาน คลานเข่าจนเข่าด้าน พุงกางเพราะแดกน้ำเงี่ยนไอ้พวกสมุนเสี่ยไปแล้วแหงๆ ว่าแล้วก็เสียดายเนอะ หน้าตาก็ดี งานการก็รุ่งโรจน์ แต่ต้องมาอยู่ในพื้นที่อิทธิพลจัดแบบนี้ คนเก่งๆ ยังเอาตัวไม่รอด”

บอยได้แต่สะท้านใจในสิ่งที่อ๋องพรั่งพรูออกมา ส่วนหนึ่งมันก็คิดว่าเป็นความผิดของมันที่ทำให้หมวดพฤกษ์มีชะตากรรมแบบนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่มันขัดขวางหรือห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะถ้าไม่ใช่หมวดพฤกษ์ที่แย่อยู่ในตอนนี้ ก็คงจะเป็นมันแทนที่ต้องมีชะตากรรมแบบนั้น

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบตำรวจฟิตเปรี๊ยะ เดินวนเวียนอยู่ในป่าที่รกไปด้วยต้นไม้สูงชัน ความมืดที่เริ่มครอบงำทำให้ความชัดเจนในการมองเห็นทางเริ่มลดลง ชายหนุ่มจึงลดความเร็วในการเดินลง ขณะเดียวกันนั้นสายตาที่เริ่มชินกับความมืดก็มองเห็นแสงสว่างรำไรอยู่เบื้องหน้าหลังม่านไม้ใหญ่ ชายหนุ่มจึงเริ่มเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงยังจุดหมายที่ตั้งใจ แต่ไม่ทันก็ถูกขวางโดยกลุ่มคนที่มายืนดักหน้าพร้อมรอยยิ้มยียวนและอาวุธปืนพร้อมในมือ

“สวัสดีหมวด จะรีบไปจับผู้ร้ายที่ไหนไม่ทราบ”

นายตำรวจหนุ่มชะงักงัน กวาดสายตามองกลุ่มคนที่ยืนประจันหน้าด้วยความท้อแท้เหนื่อยใจ แสงสว่างที่เรืองรองอยู่ข้างหน้าเหมือนจะไกลออกไปจนดูเหมือนไม่มีโอกาสไปถึงได้ กลุ่มคนตรงหน้าเริ่มก้าวเข้ามาล้อมเขา ใบหน้าของแต่ละคนมีแววประสงค์ร้าย ชายหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนมือขึ้นมาหยิบปืนที่เหน็บอยู่ข้างกาย แต่ยังไม่ทันได้จับอาวุธให้อุ่นใจ ก็รู้สึกเหมือนมีวัตถุมาจ่อที่กลางหลัง

“จะทำอะไรเหรอหมวด?” เสียงด้านหลังมีแววเหี้ยมเกรียม ยื่นมามาคว้าปืนที่เหน็บอยู่ข้างกายเขา ผู้หมวดหนุ่มค่อยๆ ชูมือเป็นสัญญาณให้รู้ว่ายอมจำนน

“พามันไปหาเสี่ย”

ชายด้านหลังทำหน้าที่ออกคำสั่ง ลูกสมุนอีก 3 คนที่เหลือจึงค่อยๆ คุมหนุ่มในชุดเครื่องแบบตำรวจย้อนกลับไปตามทางเดิม หมวดหนุ่มหันหน้ามาประจันกับผู้ที่ออกคำสั่ง เห็นแววตาอาฆาตจ้องมาที่เขา ทำให้ขนในร่างกายตั้งชันขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

หมวดหนุ่มถูกพาตัวมาที่เรือนใหญ่กลางป่าทึบ กลุ่มชายฉกรรจ์พาเขาเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ที่มีชายสูงวัยร่างผอมแต่ท่าทางทรงอำนาจยืนคอยอยู่แล้ว

“นึกว่าใคร หมวดพฤกษ์นี่เอง ไม่เจอกันนานสบายดีเหรอ”

หมวดพฤกษ์ไม่ตอบเป็นคำพูด แต่ใช้สายตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ชายสูงวัยที่ผมขาวโพลนทั้งศีรษะยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ เดินตรงเข้ามาหาเขา

“แต่งเครื่องแบบเต็มยศแบบนี้ คงไม่ได้เข้ามาเที่ยวเล่นแน่ๆ จะเข้ามาตรวจค้นหรือจับใครในไร่ผมเหรอ”

“เสี่ยทำแบบนี้ทำไม?” หมวดพฤกษ์เอ่ยปากถามเป็นครั้งแรก

“ทำอะไรเหรอหมวด ผมควรจะถามหมวดมากกว่า อยู่ๆ ก็มาเดินในไร่ผมโดยที่ไม่บอกกล่าว จะให้ผมแปรเจตนาว่ายังไง?”

ชายฉกรรจ์ที่คุมตัวหมวดพฤกษ์มาชูปืนที่อยู่ในมือให้ดู

“นั่น พกปืนมาด้วย คงไม่ได้มาดีแล้วมั้ง มีอาวุธอื่นซ่อนอยู่ด้วยหรือเปล่าเนี่ย เห้ยพวกมึง ช่วยค้นตัวหมวดหน่อย เบาๆ นะ อย่ารุนแรง ต้องให้เกียรติแขกของเราด้วย”

ลูกสมุน 2 คนรีบเดินตรงไปตรวจค้นร่างของหมวดพฤกษ์แต่ไม่พบอาวุธอะไรที่ซ่อนอยู่

“นายครับ ผมยังไม่มั่นใจอยู่ดี อย่างหมวดพฤกษ์เนี่ยเหลี่ยวคมแพรวพราว เราน่าจะค้นให้ละเอียดกว่านี้”

นายใหญ่หัวเราะเสียงดัง “ดีมากไอ้ใหญ่ มึงนี่รอบครอบสมกับที่เป็นมือขวากูจริงๆ คงไม่หลู่เกียรติหมวดเกินไปนะถ้าผมจะขอให้ไอ้สองคนนี่มันค้นหมวดเพิ่ม เอ้าไอ้ชื่น ไอ้ชอบ มึงช่วยกันค้นตัวหมวดอีกที คราวนี้ค้นแบบทุกซอกทุกมุมเลยอย่าให้มีอะไรเล็ดรอด”

ลูกสมุนทั้งสองของเสี่ยค่อยๆ ค้นตัวหมวดพฤกษ์อีกครั้ง ไม่เว้นตามซอกหลืบที่น่าจะซุกซ่อนอะไรไว้ได้ แต่เมื่อไม่พบอะไร พวกมันจึงหันไปสบตากับนายใหญ่ ก่อนได้รับสัญญาณให้เริ่มการตรวจค้นต่อ คราวนี้ไอ้ชื่นซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหมวดค่อยๆ ยื่นมืออ้อมไปปลดกระดุมเสื้อตำรวจทีละเม็ด ขณะที่ไอ้ชอบคุกเข่าลงปลดเข็มขัดของหมวดพฤกษ์ หมวดพฤกษ์ยังคงส่งสายตานิ่งไปสบสายตาเสี่ยใหญ่ผู้มีอำนาจสั่งการ ขณะที่เครื่องแบบที่สวมใส่ค่อยๆ หลุดออกจากร่างกายทีละชิ้นจนร่างกำยำล่ำสันปราศจากสิ่งปกปิด

“ปรี๊ด” เสียงไอ้ใหญ่เป่าปากล้อเลียนเมื่อควยของหมวดพฤกษ์เด้งออกมาปรากฏต่อสายตาของทุกคน เรียกเสียงหัวเราะจากเหล่าสมุนของเสี่ยสมศักดิ์

“หมวดช่วยโก้งโค้งให้ไอ้ชอบมันค้นตูดหน่อย” ไอ้ชื่นออกคำสั่ง หมวดพฤกษ์หันสายตากร้าวไปมอง แต่ถูกไอ้ชื่นบีบคางโต้ตอบ

“มึงนึกว่าตัวเองเป็นใครมามองหน้ากูแบบนี้” ไอ้ชื่นขึ้นเสียง

“หยุดทั้งหมดนั่นแหล่ะ” เสียงทรงอำนาจของเสี่ยสมศักดิ์ดังขึ้น ทุกคนหันหน้าไปตามเสียงนั้น ไอ้ชื่นปล่อยมือจากปลายคางของหมวดหนุ่ม

“พวกมึงไม่ต้องยุ่งแล้ว ต่อจากนี้ไว้เป็นหน้าที่กูจะทำการตรวจทุกซอกทุกมุมเอง”

ทันทีที่จบคำสั่งของเสี่ยสมศักดิ์ ไอ้ชื่นก็จิกผมลากหมวดพฤกษ์ไปอีกห้องทันที แต่ไม่วายกระซิบข้างหูของหมวดหนุ่ม “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ตอนนี้ยังมีเสี่ยคุ้มกะลาหัว ถ้าวันไหนเสี่ยเลิกสนใจมึง กูจะเอาคืนให้สาสมเลย”

ไอ้ชื่นเหวี่ยงร่างเปลือยเปล่าของหมวดพฤกษ์ลงบนพื้นห้อง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป สวนกับเสี่ยสมศักดิ์ที่ก้าวข้ามาในห้องแทน ประตูห้องถูกปิดลง เสี่ยสมศักดิ์เดินตรงมาหาร่างเปลือยเปล่าของหมวดพฤกษ์ที่นอนตะแคงอยู่กับพื้น มือของเสี่ยหยิบปืนพกที่เหน็บไว้ด้านหลังขึ้นมาจ่อที่หัวหมวดพฤกษ์ แล้วสั่งการช้า

“ถอดกางเกงกูออก แล้วอมควยให้กูอย่างที่มึงทำทุกคืน”หมวดพฤกษ์ค่อยๆ ลุกขึ้นมาคุกเข้าตรงหน้าเสี่ยสมศักดิ์ ก่อนจะใช้มือปลดกางเกงที่ปิดบังส่วนสำคัญของเสี่ยออกจนหมด ควยขนาดยาวใหญ่สีดำสนิทตัดกับผิวเสี่ยค่อยๆ ขยายตัวขึ้นช้าๆ หมวดพฤกษ์กลั้นใจใช้ปากค่อยๆ ครอบลงบนท่อนลำนั้น

“อย่างนั้น ช้าๆ ดีๆ จะไม่ให้กูโปรดปรานมึงได้ยังไงไอ้พฤกษ์ กูรู้ว่ามึงขยะแขยง แต่กูจะทำให้มึงชอบขึ้นเรื่อยๆ และขาดควยกูไม่ได้” เสียงเสี่ยสมศักดิ์ที่พูดยิ่งเพิ่มความรู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียนให้หมวดพฤกษ์ขึ้นไปอีก สุดท้ายชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว ถอนปากออกไปโก่งคอเหมือนจะอาเจียนออกมา เสี่ยสมศักดิ์เดินไปจิกผมชายหนุ่มขึ้นมาประจันหน้า

“สำออยนักนะมึง แค่นี้ทำเป็นจะอ้วก กูจะให้มึงลิ้มรสชาติที่รุนแรงกว่านี้”

เสี่ยสมศักดิ์จับหมวดพฤกษ์หันหลัง แล้วแหกขาให้กว้างออก ก่อนจะกระแทกท่อนลำสีดำมะเมื่อมที่แข็งตัวเต็มที่เข้าไปในรูตูดของชายหนุ่ม หมวดพฤกษ์ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด เสี่ยสมศักดิ์ยิ่งกระแทกแรงขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันก็จิกผมของหมวดพฤกษ์ขึ้นมา แล้วพูดกรอกหูชายหนุ่มไปด้วย

“กูหมั่นไส้มึงมานานแล้วไอ้หน้าหล่อ เมียกูก็ชอบมึง ชมหมวดพฤกษ์หล่ออย่างนั้น เก่งอย่างนี้ จะจับคู่ให้ลูกสาวกูอีก ขนาดคนใช้บ้านกูยังหลงมึง กูอยากรู้นักถ้าพวกมันมารู้ว่ามึงกลายเป็นเมียกูแบบนี้ ยังจะมีหน้ามาชื่นชมมึงให้กูได้ยินอีกไหม 555” เสี่ยสมศักดิ์ร้องอย่างคนเสียสติ เร่งกระแทกควยเข้าใส่รูตูดของหมวดพฤกษ์อย่างไม่ยั้ง จนชายหนุ่มน้ำตาไหลด้วยความเจ็บและอาย เพราะศักดิ์ศรีลูกผู้ชายถูกทำลายลงจนหมดสิ้นแล้ว

ด้านนอกห้อง เหล่าสมุนของเสี่ยสมศักดิ์ต่างจับกลุ่มคุยในเรื่องนี้กันอย่างออกรส ยิ่งเสียงร้องของหมวดพฤกษ์ดังโหยหวนมากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างความสะใจให้ทุกคนมากเท่านั้น เพราะแต่ละคนต่างก็หมั่นไส้เขามานานแล้ว และต่างรอที่จะได้เห็นความตกต่ำสุดๆ ของหมวดพฤกษ์

“มึงว่าป่านนี้ไอ้หมวดพฤกษ์รูตูดกลวงโบ๋ไปถึงไหนแล้ววะ?” ไอ้ใหญ่หัวหน้ากลุ่มเปิดประเด็น

“อาจจะยังฟิตอยู่ก็ได้นะพี่ใหญ่ ไม่งั้นเสี่ยไม่ติดใจ แล้วมันคงไม่ร้องโหยหวนขนาดนี้หรอก” ไอ้เล็กเสนอความคิด

“ว่าแต่เราจะมีโอกาสได้เสียบมันบ้างไหม? กูเห็นมันแล้วหมั่นไส้ อยากเอาควยกระทุ้งตูดมันดูบ้าง” ไอ้ชอบเอ่ยถามบ้าง

“คงจะยากว่ะ เพราะมีข้อตกลงในใบสัญญาทาสอยู่ว่าผู้ซื้อเท่านั้นที่จะมีสิทธิในตัวทาส ถ้ามึงหงี่อยากได้มันมากนักก็ประมูลมันต่อจากเสี่ยสิ555” เสียงหัวเราะอย่างขบขันดังขึ้น ไอ้ชอบรู้สึกเสียหน้าที่ตัวเองกลายเป็นตัวตลกของกลุ่ม

“แต่ก็ว่าเถอะ ตั้งแต่ไอ้หมวดนี่มาอยู่ เราก็มีอะไรสนุกๆ ให้ได้ทำกันทุกคืนนะ กูว่าเสี่ยเนี่ยไปเขียนบทละครหรือหนังโป๊ได้เลยนะ พล๊อตแต่ละคืนที่ให้พวกเราเล่นไม่เคยซ้ำกันเลย”

“ไอ้หมวดนั่นก็คงเป็นนางเอกหนังโป๊ไปด้วยสิ” ไอ้เล็กเปิดประเด็นที่ทำให้เพื่อนร่วมวงหัวเราะคึกครื้นกันได้อีกครั้ง พวกมันต่างเฝ้ารอเวลาที่หัวหน้าจะเสร็จภารกิจในคืนนี้ และรอคอยว่าพรุ่งนี้จะส่งบทอะไรมาให้พวกมันเล่นกับหมวดพฤกษ์อีก

ดึกมากแล้วตอนที่ผู้กองภาติยะเปิดอีเมล์ที่หมวดพฤกษ์ส่งมาหาเขาก่อนจะหายตัวไป

“สวัสดีครับพี่ยะ

เราไม่ได้ติดต่อกันนานเลย ตอนนี้ผมมีเรื่องจะขอรบกวนพี่ เพราะกำลังเริ่มต้นสืบค้นคดีสำคัญคดีหนึ่ง ซึ่งได้รับฟังคำบอกเล่าจากเด็กที่ชื่อบอย จากโรงเรียนเปรมปรีดา กรณีการหายตัวไปของเพื่อนสนิทและนักเรียนอีกหลายคน ที่มีความไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่ ตอนนี้ผมไม่สามารถไว้ใจใครได้ พี่เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมนึกถึงในตอนนี้ ถ้าพี่ว่างช่วยติดต่อกลับผมด่วน

ด้วยรักและนับถือ

ร.ต.ท.พฤกษ์ ไชยยนต์”

ผู้กองภาติยะคิดว่าตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องค้นหาตอนนี้คือเด็กบอย ผู้เป็นกุญแจสำคัญของคดีนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่เขาตามหาอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

ตอนที่ 8

อาจารย์พลวิทย์กำลังเดินไปที่ชมรมว่ายน้ำตอนที่อาจารย์เพชรเดินเข้ามาทักเขา

“สวัสดีฮ่าอาจารย์วิทย์”

“สวัสดีครับอาจารย์เพชร กำลังจะไปไหนครับ?”

“ไปที่เดียวกันนั่นแหล่ะฮ่ะ”

“ชมรมว่ายน้ำเหรอครับ?”อาจารย์พลวิทย์ถามด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นโค้ชไม่เคยเห็นอาจารย์เพชรจะสนใจมาที่ชมรมมาก่อนเลย

“ฮ่า มีธุระนิดหน่อย เลยถือโอกาสไปเยี่ยมชมรมด้วย ตั้งแต่เปิดมายังไม่เคยมีโอกาสมาเยี่ยมเลย”

“ยินดีครับอาจารย์”

อาจารย์พลวิทย์เดินนำอาจารย์เพชรมาจนถึงชมรมว่ายน้ำ เห็นอัครกำลังฝึกซ้อมว่ายน้ำอยู่ อาจารย์พลวิทย์จึงถือโอกาสพาอาจารย์เพชรชมชมรม

“นอกจากนายอัครแล้วมีสมาชิกคนอื่นๆ อีกไหมฮ้า?”

“ตอนนี้ยังไม่มีครับ แต่มีนักเรียนมาขอใบสมัครไปหลายคน คงกำลังตัดสินใจกันอยู่”

“ดีฮ่ะ”

อัครขึ้นจากสระว่ายน้ำเมื่อเห็นอาจารย์ทั้งสองคนเดินเข้ามาหาเขา

“สวัสดีครับอาจารย์เพชร อาจารย์วิทย์”

“ฉันมาหาเธอเพราะมีข่าวดีจะมาบอก พรุ่งนี้เช้าคุณแมนสรวงจะแวะเข้ามาที่โรงเรียน ท่านต้องการพบเธอ แล้วก็อาจารย์วิทย์ด้วยนะฮ้า พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนก่อนมาชมรมแวะไปหาท่านก่อนนะฮ้า”

“ครับ ขอบคุณอาจารย์เพชรมากครับที่มาส่งข่าว”

อาจารย์เพชรพยักหน้ารับเป็นเชิงบอกว่าได้เสร็จสิ้นธุระแล้ว อัครจึงขอตัวกลับไปว่ายน้ำตามเดิม

“อาจารย์วิทย์ไม่ลงสระบ้างเหรอฮ้า?” อาจารย์เพชรหันมาคุยกับอาจารย์พลวิทย์ต่อ

“ทำไมเหรอครับ?” อาจารย์วิทย์ถามด้วยความสงสัย อาจารย์เพชรหัวเราะกลบเกลื่อน

“ไม่มีอะไรฮ่ะ เห็นของลูกศิษย์แล้ว เลยอยากจะเห็นของโค้ชบ้าง ว่าจะขนาดไหน” คำพูดของอาจารย์เพชรมีลักษณะกำกวมจนอาจารย์พลวิทย์เริ่มรู้สึกอึดอัด

“วันนี้คงไม่สะดวกยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ขอเป็นวันอื่นแล้วกันนะครับ จะได้ถือโอกาสให้อาจารย์เพชรมาเยี่ยมชมรมบ่อยๆ” อาจารย์พลวิทย์กล่าวชวนตามมารยาท แต่ทำให้อาจารย์เพชรเข้าใจผิดว่าได้รับการเชื้อเชิญจากอาจารย์หนุ่ม

“ถ้าอาจารย์วิทย์ขอขนาดนี้ พี่คงไม่อาจปฏิเสธได้ ไว้จะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ หวังว่าครั้งหน้าคงจะได้เห็นของอาจารย์บ้าง” อาจารย์เพชรส่งสายตาลวนลามมายังร่างของอาจารย์พลวิทย์ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” อาจารย์พลวิทย์เดินหันหลังกลับเข้าไปในตัวอาคารของชมรม แต่สายตาของอาจารย์เพชรยังคงโลมเลียเรือนร่างนั้นไม่เลิก

“ทำเป็นเล่นตัว ทั้งที่จริงก็อยาก ไม่งั้นคงไม่ใส่ชุดฟิตซะขนาดนี้ทุกวัน ดูสิด้านหน้าก็ตุงเป็นลำ ด้านหลังก็เด้งเป็นลูก คอยดูเถอะ ระดับอาจารย์เพชรยิ่งยากยิ่งชอบ ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วจะไม่ได้” อาจารย์เพชรพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินลงจากชมรมไป

อาจารย์พลวิทย์เปลี่ยนชุดว่ายน้ำเพื่อเตรียมจะลงสระหลังจากที่ปล่อยให้ลูกศิษย์ฝึกซ้อมคนเดียวมาพักหนึ่งแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อัครก็เดินตัวเปียกสวนเข้ามา

“อ้าว ไม่ซ้อมแล้วเหรอ?” อาจารย์พลวิทย์ถามด้วยความสงสัย เพราะปกติอัครจะใช้เวลาซ้อมนานกว่านี้

“รู้สึกเหมือนจะเป็นตะคริวเลยครับ เลยคิดจะขึ้นมาพักซักหน่อย อาจารย์กำลังจะลงสระเหรอครับ?”

อาจารย์พลวิทย์พยักหน้าเป็นคำตอบ “เป็นอะไรมากรึเปล่าล่ะเรา?”

“คงไม่เป็นไรครับ คิดว่าพักสักครู่ก็คงลงต่อได้”

“อาจารย์ว่าเราคงจะหักโหมมากเกินไป เพิ่งกลับมาซ้อมอย่าเพิ่งเร่งเลย มา นั่งที่ม้านั่ง เดี๋ยวอาจารย์จะดูให้”

อัครเดินไปนั่งที่ม้านั่ง อาจารย์พลวิทย์ยกขาของชายหนุ่มขึ้นมาพลิกดู ก่อนจะเดินไปหยิบหลอดยามาบีบนวดให้ลูกศิษย์ อัครรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้เพราะตัวยาที่ทำให้รู้สึกแสบร้อนหรือเพราะอะไร ใจของเขารู้สึกสั่นขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเขาแลเลยไปตามร่างกายที่แกร่งไปด้วยมัดกล้ามของอาจารย์ ก่อนจะลอบมองที่เป้าที่ตุงโด่งดันกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วที่แทบจะเก็บอะไรๆ ไว้ไม่มิด ยิ่งตอนนี้อาจารย์พลวิทย์นั่งยองๆ ยิ่งดันให้ส่วนสำคัญแห่งความเป็นชายเด่นชัดขึ้นมาอีก จนบางส่วนในร่างกายเขาค่อยๆ ขยายตัวตามไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่อัครรู้สึกหวั่นไหวกับอะไรแบบนี้ อาจารย์พลวิทย์เงยหน้าขึ้นมามองหน้าลูกศิษย์ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์หนุ่ม ยังคงใช้มือคลึงนวดที่ต้นขาต่อไป

“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม?”

อัครพยักหน้า ขณะที่มือของอาจารย์พลวิทย์ค่อยๆ นวดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดนิ้วโป้งที่กดเพื่อคลายเส้นก็ล่วงล้ำเข้ามาจนถึงขอบกางเกงว่ายน้ำตรงบริเวณขาหนีบ อัครเริ่มรู้สึกอึดอัดแต่ขณะเดียวกันก็เสียวซ่านไปกับการกระทำของอาจารย์หนุ่ม และกำลังกลัวว่าอาจารย์จะเห็นความผิดปกติของอวัยวะส่วนสำคัญที่กำลังดุนดันในกางเกงว่ายน้ำของเขาอยู่

“อ้าว ไอ้วิทย์ อยู่ตรงนี้เอง กูหาซะนาน กำลังทำอะไรกันอยู่วะ?” สีหน้าผู้ถามมีความสงสัยเต็มเปี่ยม ที่เห็นชายหนุ่มต่างวัยสองคนนั่งอยู่ใกล้ชิดในสภาพนุ่งกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วด้วยกันทั้งคู่ แถมมือของคนหนึ่งกำลังลูบไล้ไปที่ร่างของอีกคนหนึ่ง

“อ้าว ไอ้นัย มีอะไรวะถึงมาหาถึงที่?” อาจารย์พลวิทย์ลุกขึ้นเดินมาหาผู้มาใหม่ ขณะที่อัครรีบชันเข่าขึ้นเพื่อปกปิดส่วนสำคัญที่กำลังตั้งชันอยู่

“ก็กูโทรหาตั้งหลายรอบแล้วไม่มีคนรับ พอเดินมาดูที่สระก็ไม่มีคนอยู่อีก ก็เลยเดินเข้ามาหาในนี้ จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก จะมาคุยเรื่องเก็บตัวฝึกซ้อมของชมรมฟุตบอลที่จะให้ช่วยน่ะ” อาจารย์สุนัยกล่าว ชายหนุ่มเป็นเพื่อนรักที่เรียนจบด้านพลศึกษามาด้วยกันและคนที่ชักชวนอาจารย์พลวิทย์เข้ามาเป็นอาจารย์และโค้ชของชมรมว่ายน้ำที่โรงเรียนเปรมปรีดาแห่งนี้

“ไปคุยข้างนอกดีกว่าว่ะ” อาจารย์พลวิทย์เดินนำหน้าเพื่อนสนิทออกจากห้อง

“รูปร่างมึงนี่ยังดีไม่เปลี่ยนเลยนะ ควยยังใหญ่เหมือนตอนสมัยเรียนรึเปล่าวะ?” มือของอาจารย์สุนัยคว้าหมับที่เป้ากางเกงว่ายน้ำของอาจารย์พลวิทย์จนเพื่อนสนิทถึงกับงอตัวด้วยความจุก แต่มือนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยแถมยังขยำแรงขึ้นอีก จนร่างอาจารย์พลวิทย์เซไปติดกำแพง

“ทำอะไรของมึงวะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“ใครจะมาเห็นวะ นอกจากไอ้เด็กมึงในห้องนั้น ทำอะไรกันอยู่วะ ลับๆ ล่อๆ มีลูบๆ คลำๆ กันด้วย มันมีบุญได้เห็นควยอาจารย์มันรึยัง? ควยที่ใหญ่ที่สุดในรุ่นสมัยเรียนที่ตอนนี้ยังไม่มีใครลบสถิติได้”

“มึงนี่ในหัวคิดแต่เรื่องอกุศล นั่นมันลูกศิษย์กู มันเป็นตะคริว กูเลยนวดให้มันอยู่”

“แหม กูก็แค่ล้อเล่น ทำจริงจัง”

“ที่จับควยกูอยู่ก็แค่เล่นๆ เถอะ ปล่อยได้แล้ว”

“ก็มึงไม่ยอมแข็งเต็มที่นี่หว่า” มือที่ขยำปลุกอารมณ์เปลี่ยนมาเกี่ยวที่ขอบกางเกงว่ายน้ำ ค่อยๆ ดึงลงมาช้าๆ จนเห็นขนดกดำที่ขึ้นปกคลุมท่อนลำ

“ไอ้นัย” มือของอาจารย์พลวิทย์ดึงมือเพื่อนสนิทออก

“วุ้ย แค่นี้ก็หวง ทำอย่างกับไม่เคยโชว์”

“แต่ตรงนี้มันประเจิดประเจ้อ”

“ก็มึงเสือกใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเล็กขนาดนี้ทำไม มันยั่วให้กูอยากเห็น”

“ไอ้ห่า กางเกงนี่มันของโรงเรียน กูก็ไม่รู้ทำไมมันทำตัวเล็กบางได้ขนาดนี้ แต่ไม่ใส่ก็ไม่ได้ มันเป็นกฎ”

“กูว่าต้องอาจารย์ขนเพชรนั่นแน่ๆ ที่เป็นคนสั่งผลิต คงคิดอะไรเหี้ยๆ เตรียมหาเศษหาเลยกับคนใส่แน่ๆ”

“กูก็ไม่รู้ แต่วันก่อนที่เขามาชมรมก็พูดจาอะไรพิลึกจนกูระแวงไปหมดแล้ว”

“มึงระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ จะได้เมียไม่รู้ตัว 555”

“เออ ว่าแต่มึงเหอะ มานี่มีธุระอะไร?”

“ไปคุยกันที่ห้องมึงเถอะ มีงานใหญ่จะให้ช่วย”

อาจารย์สุนัยเดินผิวปากออกมาจากชมรมว่ายน้ำ เขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเพื่อวนไปสู่ชมรมฟุตบอลที่เขาดูแลอยู่ ระหว่างทางเขานึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ตอนที่เขาได้เจอพลวิทย์เป็นครั้งแรก ตอนนั้นทั้งคู่เป็นนักศึกษาเอกพลศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พลวิทย์เป็นหนุ่มเหนือรูปร่างดีหน้าตาหล่อเหลา มีทักษะทางด้านกีฬาพอตัว มีนักศึกษาสาวๆ มาติดพันชอบพออยู่หลายคน ที่เขารู้ไม่ใช่เพราะคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทแต่เพราะสาวๆ เหล่านั้นต่างเข้ามาขอให้เขาเป็นพ่อสื่อให้ แต่ดูเหมือนอาจารย์พลวิทย์จะไม่ให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ นอกจากวันวิสาดาวของคณะมนุษยศาสตร์ ส่วนตัวเขาเองเป็นหนุ่มอีสานที่ตัดสินใจจากบ้านเกิดมาเรียนทางภาคเหนือ แม้ว่าเขาจะหน้าตาไม่ดี หุ่นไม่เท่ หรือมีทักษาทางด้านกีฬาเท่าเพื่อนร่วมห้อง แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอิจฉาเพื่อนสนิท หนำซ้ำยังคอยส่งเสริมเพื่อนคนนี้ในทุกๆ ทาง

พลวิทย์ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ความหล่อล่ำ หุ่นดีที่สุดในรุ่นเท่านั้น แต่ทุกคนในคณะได้ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่พ่อให้มา ในงานรับน้องคณะ เมื่อรุ่นพี่ให้รุ่นน้องทุกคนแก้ผ้า วัดขนาด ตัดเกรดเพื่อหาความเป็นที่สุดของรุ่น ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาเมื่อพลวิทย์ถอดกางเกงในออกมา และโชว์อาวุธประจำกายขนาดใหญ่ของเขาต่อสายตาของทุกคนทั้งเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่คณะ ยิ่งถึงตอนที่ต้องปั่นให้อาวุธแข็งชูชันเต็มที่เพื่อวัดขนาดจริง รุ่นพี่ทุกคนต่างเข้ามามุงดูขนาดควยของพลวิทย์จนเจ้าตัวเริ่มเขินอาย และสุดท้ายพลวิทย์ไม่ได้ชนะและเป็นเจ้าของสถิติแค่เฉพาะในรุ่น แต่ยังชนะทุกสถิติที่เคยมีการบันทึกมาด้วย สุนัยคิดว่ามาถึงตอนนี้ก็อาจจะยังหาคนมาลบสถิตินี้ได้ยากเต็มที

พลวิทย์โดนแซวเรื่องนี้นานแม้กระทั่งเรียนจบ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป แต่เมื่อมีการนัดรวมตัวกันเมื่อไหร่ เขาต้องถูกขอให้เปิดโชว์อวัยวะอันยาวใหญ่นั้นให้ทุกคนดูทุกที พลวิทย์แม้จะไม่ชอบหรือสะดวกใจที่จะทำ แต่ก็ไม่สามารถขัดเพื่อนที่แต่ละคนมีนิสัยห่ามได้ใจได้สักที

ช่วงปีหลังๆ ที่แยกเรียนตามความสนใจ เขาและพลวิทย์เริ่มห่างกันไปเพราะลงเรียนไม่เหมือนกัน รวมทั้งหญิงสาวคนนั้น วันวิสา ที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเปลี่ยนแปลงไป เมื่อจบใหม่สุนัยไปสอบเป็นครูได้ที่โรงเรียนแถวบ้านเกิด แต่ทำได้ไม่นานก็มีคนชักชวนให้มาเป็นครูและโค้ชชมรมฟุตบอลที่โรงเรียนเปิดใหม่ เปรมปรีดา ส่วนพลวิทย์ได้เป็นครูที่กรุงเทพ หลังจากนั้น 4 ปี พลวิทย์ได้เป็นโค้ชว่ายน้ำที่มีชื่อเสียง เพราะลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่งได้รับชัยชนะในการแข่งขันระดับชาติและได้ติดทีมชาติ แต่หลังจากนั้นไม่นานพลวิทย์และลูกศิษย์คนนั้นก็แตกแยกกัน สุนัยจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เพราะเขาไปเยี่ยมพลวิทย์พอดี และมีโอกาสได้รับรู้เรื่องสำคัญที่น่าตกใจของทั้งคู่

หลังจากนั้นเป็นเวลาสองปีเต็มๆ ที่ทั้งคู่ขาดการติดต่อกัน จนเขาได้รับรู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นนำความตกต่ำมาสู่ชีวิตของพลวิทย์ จนเจ้าตัวหันหลังให้กับการเป็นโค้ชและเป็นครู เขาจึงตัดสินใจช่วยเพื่อนสนิทด้วยการเสนอชื่อของพลวิทย์ให้มาเป็นครูผู้คุมชมรมว่ายน้ำที่โรงเรียน เปรมปรีดา แห่งนี้ ตอนที่คุณแมนสรวง ผู้อำนวยการโรงเรียน มีมติให้สร้างชมรมว่ายน้ำ ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีเมื่อคุณแมนสรวงตอบตกลงทันทีที่ได้เห็นประวัติผลงานของพลวิทย์

อาจารย์สุนัยเดินเข้าห้องพัก ด้านหน้าโต๊ะทำงานมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

“มานานแล้วเหรอไอ้โก้?”

“สักพักแล้วครับโค้ช ว่าแต่โค้ชมีอะไรให้ผมจัดการครับ?”

“ข้ามีธุระจะให้ช่วยตามหาคนๆ นึงให้หน่อย แต่ขอให้เอ็งจัดการอย่างเงียบๆ อย่าให้กระโตกกระตากนะ และหาตัวมันให้เจอก่อนวันงานครบรอบการสถานปนาโรงเรียนนะ”

“รับทราบครับโค้ช” เด็กหนุ่มรับคำ พร้อมรับแผ่นกระดาษที่จดรายชื่อคนที่สุนัยต้องการให้ตามหาขึ้มาดู เป็นชื่อของผู้ชายคนหนึ่งที่เขาไม่คุ้นมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม เขาลุกจากที่นั่ง ปล่อยให้อาจารย์สุนัยนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างต่อไปเงียบๆ คนเดียว แล้วรอยยิ้มน้อยๆ แต่แฝงความเจ้าเล่ห์ของอาจารย์หนุ่มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา

ตอนที่ 9

ร้านกาแฟของเฮียโกในยามเช้ากลายเป็นแหล่งรวมชาวบ้านในละแวกนั้นให้ออกมาจับกลุ่มสนทนาประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องใกล้และไกลตัวทุกวัน แต่วันนี้สิ่งที่ต่างออกไปคือมีชายแปลกหน้ารูปร่างหน้าตาดีเข้ามานั่งอยู่ในร้านด้วย สมาชิกของสภากาแฟต่างจับจ้องมองดูชายแปลกหน้าด้วยความสนใจ และต่างเกี่ยงกันที่จะเข้าไปทักทายสมาชิกใหม่ในร้าน จนเจ้าของร้านทนไม่ไหวต้องเป็นคนเดินเข้าไปหาสมาชิกใหม่ด้วยตัวเอง

“กาแฟร้อน ไข่ลวกได้แล้วน้องชาย” เฮียโกวางรายการอาหารที่ชายแปลกหน้าสั่งลงบนโต๊ะ ผู้สั่งยิ้มให้น้อยๆ กล่าวขอบคุณเสียงดังฟังชัด

“น้องชายมาจากไหนเหรอ? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

“ผมมาจาก...” ชายแปลกหน้าบอกชื่อสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลกับที่อยู่ปัจจุบันจนไม่น่าจะมาถึงกันได้ “ผมกำลังมองหาทำเลตั้งรกรากและหางานทำอยู่ครับ”

“แล้วนึกยังไงมาที่นี่ล่ะ” เสียงจากวงสนทนาดังสอดขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นว่าชายแปลกหน้าดูเป็นมิตร

“ผมก็ดินทางมาเรื่อยๆ พักซักระยะ ถ้าไม่ถูกใจก็ไปต่อ แต่ดูที่นี่แล้วอาจจะได้ลงหลักปักฐานนานหน่อย เพราะดูสงบอย่างที่ชอบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีงานอะไรให้ทำรึเปล่า”

“ที่นี่สงบจริงๆ แหล่ะ คนก็เป็นมิตร ถ้าน้องชายไม่เกี่ยงงานอาจจะอยู่ได้นาน ไม่แน่อาจจะอยู่ยาวจนได้เมียที่นี่เลยก็ได้”

ชายแปลกหน้ายิ้มๆ ไม่ตอบอะไร

“ว่าแต่น้องชายถนัดงานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า จะได้ช่วยถามๆ ให้ว่าที่ไหนมีงานบ้าง”

“ผมรับจ้างทั่วไปไม่เกี่ยง งานช่างถนัดอยู่ แต่ถ้าต้องการคนสวนผมก็ไม่เกี่ยง ผมพักอยู่ที่....”ชายหนุ่มบอกสถานที่พักให้ทุกคนรู้

“ทำไมไปพักที่นั่นล่ะ” เสียงชายคนหนึ่งดังทะลุขึ้นมาทำให้ทั้งวงเงียบกันไปหมด ชายแปลกหน้ามองทุกคนด้วยความสงสัย

“ทำไมเหรอครับ?”

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงันพักใหญ่ๆ ก่อนที่เจ้าของร้านจะหัวเราะกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไร แค่มันไกลจากที่นี่ เลยสงสัยว่าทำไมน้องชายมาจนถึงที่นี่ได้”

“อ้อ” ชายแปลกหน้ารับลูก ทั้งที่รู้ว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง “ผมขับรถผ่าน เห็นที่พักแล้วก็เลยลองแวะดูนะครับ นี่ก็ขับรถทาดูลู่ทางหาที่ทำงานอยู่ เมื่อกี๊ก็แวะซื้อของที่ร้านชำใกล้ๆ เห็นเขาพูดกันเรื่องรถของตำรวจที่มีข่าวว่าหายตัวไป มาจอดไว้ไม่ไกลจากนี้เหรอครับ?”

เฮียโกมองไปทางวงสภากาแฟด้วยสีหน้าอึดอัด จนชายสูงวัยร่างผอมคนนึงต้องลุกจากที่นั่งมาร่วมโต๊ะกับชายแปลกหน้า

“อย่าเอ็ดไปน้องชาย ความจริงที่นี่เป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนเป็นมิตร แต่ทุกที่ต่างก็มีเรื่องที่ต้องซ่อนเร้น ต้องปกปิดด้วยกันทั้งนั้น รถตำรวจที่หายตัวไปมันถูกเอามาจอดไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางนู้นที่เห็นลิบๆ นั่นแหล่ะ แต่คนเอามาจอดไม่ใช่ตำรวจที่หายไป แล้วเขาก็ไม่ได้หายไปแถวนี้หรอก เรื่องนี้เฮียโกคงให้คำตอบได้”

เฮียโกลงนั่งร่วมวงที่โต๊ะชายแปลกหน้า เสียงสนทนาเบาลงให้ได้ยินกันภายในวงเท่านั้น

“เรื่องนี้ชั้นไม่ได้เห็นเองหรอก แต่อีปริกเมียชั้นมันมาเล่าให้ฟัง เสียดายวันนี้มันไม่อยู่ ไม่งั้นจะให้มันมาเล่าเอง มันบอกว่าวันนั้นมันลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำตอนเกือบตี 4 ได้ยินเสียงรถขับมาอย่างแรงมันเลยไปชะโงกดูที่หน้าต่าง แล้วมันก็เห็นรถคันที่ว่าขับลงไปจอดข้างต้นไม่ใหญ่นั่น มันไม่รู้ว่าเป็นรถใคร แต่ที่เห็นตอนนั้นคือมีเด็กผู้ชายลงจากที่นั่งคนขับ อายุน่าจะไม่ถึง 20 ดี มันว่าคุ้นๆ หน้าเด็กคนนั้นอยู่ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน สักพักก็มีรถอีกคันขับมารับเด็กคนนั้นไป ทิ้งไว้แต่รถอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหล่ะ”

“แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างครับ?”

“ไม่รู้ว่าตำรวจจะสาวไปถึงใครได้รึเปล่า เรื่องบางเรื่องก็ยากจะพูดให้เข้าใจ”

ชายแปลกหน้าพยักหน้ารับรู้ ขณะที่ผู้ร่วมวงสนทนากำลังจะลุกจากโต๊ะ จู่ๆ ชายสูงวัยก็หันมาพูดกับชายแปลกหน้าว่า

“อ้อ มีอีกอย่าง วันนั้นมีคนในหมู่บ้านเห็นโดยบังเอิญ ตอนที่ขับรถจะกลับบ้าน มันเล่าให้ฟังว่าเห็นรถคันนี้จอดอยู่ริมถนนตรงโบสถ์ใหญ่”

“โบสถ์ใหญ่?”ชายแปลกหน้าอุทานความสงสัย

“ตรงนั้นมันเคยมีโบสถ์ที่คนในเมือง พวกมีสตางค์เขามาทำพิธีกัน แต่ตอนหลังมันถูกปล่อยทิ้งร้างจนหญ้าขึ้นบังมิดไปหมด”

“มันอยู่ตรงไหนเหรอครับ?”ชายแปลกหน้าถามด้วยความร้อนใจ ชายสูงวัยมองสบตาเจ้าของร้านนิ่งสักพัก ก่อนจะหันมาบอกสถานที่ตั้งนั้นกับชายแปลกหน้า

ภาติยะขับรถมาจนถึงสถานที่ที่ได้รับการบอกกล่าวจากสภากาแฟ ชายหนุ่มตัดสินใจขับรถเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อหวังให้พงหญ้าที่ขึ้นสูงนั้นบังไม่ให้คนอื่นเห็นตัวรถ เขาจอดรถก่อนจะก้าวลงมายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่ท่วมสูง สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเวิ้งว้าง ไม่ใช่แค่ห่างไกลผู้คนเท่านั้น แม้แต่รถราที่ขับผ่านก็ยังมีน้อย เขาไม่เข้าใจว่าหมวดพฤกษ์มาทำอะไรที่นี่ เพราะมันไม่ใช่ทางผ่านจากสถานที่ทำงานไปยังบ้านพักของเขา

ภาติยะเดินไปหยิบกิ่งไม้ใหญ่ที่ตกอยู่แถวนั้น เพื่อใช้ปัดนำทางไปยังจุดหมาย เขาเดินไปตามทางที่คิดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าตามที่ได้รับการบอกเล่า สักพักเขาจึงเห็นจุดหมาย มันเป็นอาคารขนาดใหญ่ ภายนอกไม่มีส่วนที่บ่งบอกว่าเคยเป็นโบสถ์มาก่อน ซึ่งเขาคิดว่ามันคงถูกเก็บไปจนหมดแล้วหรือไม่อาจถูกนำไปขาย เขาเดินสำรวจรอบๆ สถานที่เผื่อจะพบสิ่งที่อาจหลงเหลือเป็นหลักฐานว่าหมวดพฤกษ์อาจจะเคยมาถึงที่นี่ แต่เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติเขาจึงเดินเข้าไปด้านในอาคาร

กลิ่นอับชื้นที่ไม่มีทางระบายออกมานานลอยปะทะเข้าจมูกของภาติยะทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ด้านในตัวอาคาร ชายหนุ่มพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดด้านใน เขาค่อยๆ ก้าวไปตามทางที่เดินไปได้ ภาติยะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ส่วนไหนของตัวอาคาร และยังไม่แน่ใจว่าจะค้นหาเบาะแสได้จากส่วนไหนของสถานที่แห่งนี้

สายตาของชายหนุ่มเริ่มคุ้นชินกับความมืดด้านในแล้ว ตอนนี้เขาเดินผ่านห้องขนาดใหญ่มาสองห้อง สภาพในห้องตอนนี้ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเคยถูกใช้ทำอะไรมาก่อน ข้าวของที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเศษเล็กเศษน้อยเท่านั้น ภาติยะยังคงเดินสำรวจต่อไปอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง จนเขาก้าวมาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะและเก้าอี้จัดวางเป็นกลุ่มๆ มองผ่านๆ น่าจะมีสัก 10 โต๊ะ แต่ละโต๊ะมีเก้าอี้ล้อมประมาณ 10 ตัว คาดว่าจะมีคนอยู่ในห้องประมาณ 100 คนในขณะที่มีการจัดกิจกรรมอะไรสักอย่าง

ภาติยะเดินเข้าไปดูที่โต๊ะ ฝุ่นที่จับอยู่บนโต๊ะไม่หนาเท่าห้องอื่นๆ คาดว่าห้องนี้น่าจะเคยใช้ทำอะไรบางอย่างเมื่อไม่นานมานี้เอง เขาเดินสำรวจต่อไปเรื่อยๆ เห็นเวทีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าโต๊ะที่วางเรียงรายอยู่ ด้านหลังเวทีมีม่านปิดเป็นฉากหลัง ข้างๆ เวทีเขาเห็นโพเดียมตั้งอยู่ ภาติยะกระโดดขึ้นไปบนเวที เขายืนอยู่กึ่งกลางมองลงไปเห็นโต๊ะด้านล่างอย่างชัดเจน มองไปด้านบนเขาเห็นกลุ่มแผงไฟที่ใช้ส่องบนเวที เขาหันหน้าไปตามทางที่คาดว่าแสงไฟน่าจะตกถึง แล้วสายตาเขาก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่างที่ห้อยลงมาจากคานด้านบนเวที

ภาติยะก้าวช้าๆ ไปยังจุดหมายนั้น เขาเอื้อมมือไปจับและพบว่ามันคือเชือกป่านเส้นใหญ่ที่ถูกตัดคาไว้ ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิดว่าเชือกเส้นนี้ห้อยลงมาจากคานเพื่ออะไร แล้วทำไมมันจึงถูกตัดทิ้งไว้เท่านี้ ชายหนุ่มละลายตาจากเชือกที่ห้อยอยู่ เดินวนไปรอบเวทีเพื่อตรวจดูสิ่งผิดปกติอื่น แต่ก็ไม่พบอะไรที่พอจะเป็นหลักฐานได้ เขาจึงกระโดดลงมาที่ด้านล่างเวที แต่เหมือนเท้าของเขาจะไปสัมผัสถูกอะไรบางอย่างจนมันตกลงมาที่พื้นด้วย ชายหนุ่มพยายามก้มลงมองหาสิ่งของนั้นในความสลัว แล้วเขาก็เห็นมันกระเด็นไปอยู่ที่ขอบเวที เขาจึงก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา มันเป็นกระดุมเม็ดเล็กๆ สีน้ำตาล กระดุมที่เขาคุ้นตาและรู้ว่าจะเห็นมันได้ที่ไหน กระดุมเม็ดเล็กที่ทำให้เขามั่นใจว่าหมวดพฤกษ์ต้องเคยอยู่ในห้องนี้มาก่อนแน่นอน ภาติยะเก็บกระดุมเม็ดนั้นลงกระเป๋ากางเกง แล้วจึงรีบเดินออกจากห้องไปตามทางที่เขาเข้ามา โดยไม่รู้ว่าบนเวที มีร่างตะคุ่มแอบมองเขาอยู่ที่ด้านหลังม่านผืนใหญ่นั้น


สายน้ำจากฝักบัวกำลังรินไหลผ่านร่างเปลือยเปล่าที่หนั่นไปด้วยกล้ามเนื้อของผู้กองภาติยะ แม้น้ำที่ไหลผ่านร่างจะเย็นเยียบ แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาว เพราะความคิดของเขาเตลิดไปกับสิ่งที่ได้เจอในตอนเช้า ชายหนุ่มคิดถึงกระดุมที่เขาพบตกอยู่ที่พื้นห้อง มันเป็นกระดุมจากเครื่องแบบตำรวจ มันทำให้เขามั่นใจว่าหมวดพฤกษ์ต้องเคยอยู่ในห้องนั้นมาก่อน เชือกป่านเส้นใหญ่ที่ถูกตัดขาดห้อยลงจากคานบนเวที ความใหญ่ของเชือกทำให้เขาคิดไปว่ามันต้องใช้มัดอะไรบางอย่างที่มีน้ำหนักไม่น้อย อะไรที่อยู่บนเวที อะไรที่คนด้านล่างที่นั่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ กำลังดูบนเวที นั่นคือสิ่งที่ภาติยะสงสัยและพยายามหาคำตอบ

สายน้ำที่ไหลรินหยุดลง เช่นเดียวกับความคิดของชายหนุ่ม ภาติยะหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้ขึ้นมาเช็ดตัวช้าๆ แล้วจึงนำมาคาดเอวเดินออกจากห้องน้ำ แล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งตกใจที่เห็นร่างของเด็กหนุ่มแปลกหน้ายืนอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างห้อง ใบหน้านั้นยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร มองมาทางเขาอยู่แล้ว

“เอาข้าวมาส่งพี่ ผมเคาะประตูเรียกพี่หลายรอบไม่มีเสียงตอบกลับ เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามาเพราะเห็นห้องไม่ได้ล็อก”

“อ้อ แล้วเจ้าอ๋องไปไหนล่ะ?”

“พี่อ๋องกลัวเป็นตากุ้งยิงอ่ะ” เด็กหนุ่มแปลกหน้าหัวเราะ ภาติยะเริ่มหงุดหงิดกับเด็กที่ไม่ค่อยรู้กาลเทศะคนนี้ “ล้อเล่นน่าพี่ แหม ทำหน้าดุเชียว พี่อ๋องหยุดวันนี้ผมทำงานแทน พี่มีอะไรเรียกใช้ผมได้นะ”

ภาติยะเดินไปหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้เด็กใหม่ มันยิ้มรับทำหน้าทะเล้น “ไม่มีทิปอย่างอื่นให้ผมมั่งเหรอพี่ อยากเห็นเป็นบุญตาน่ะ พี่อ๋องบอกว่าของพี่โคตรสวย”

“มีให้เท่านี้จะเอาหรือไม่เอา”

“โห พี่นี่ดุชะมัด ล้อนิดล้อหน่อยเอง” เด็กหนุ่มเอื้อมมาหยิบเงินจากมือชายหนุ่ม ก่อนจะเดินอ้อมตัวเขาออกจากห้องไป แต่ก่อนจะผ่านประตูไป มันกลับหันมาทางเขาอีกครั้งหนึ่ง

“อ้อพี่” ภาติยะหันมาตามเสียงเรียก “ผมชื่อบอยนะ เผื่อจะเรียกใช้สอยกัน”

เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องไปแล้ว แต่ภาติยะยังครุ่นคิด เขารู้สึกสะดุดกับชื่อบอยเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนเมื่อเร็วๆ นี้ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาจึงละทิ้งความคิดนั้นแล้วเดินไปแต่งตัวให้เรียบร้อย

ตอนที่ 10

แสงแดดจ้าสาดส่องมากระทบน้ำใสที่นิ่งสนิทอยู่ในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ร่างของชายหนุ่มสุดหล่อสวมแว่นตากันแดดกำลังโพสต์ท่าเก็กหล่อให้ช่างภาพฝรั่งผมทองถ่ายภาพอยู่ จากใบหน้านิ่งขรึม เปลี่ยนเป็นมีรอยยิ้มที่มุมปากบ้าง เปลี่ยนมุมที่ใบหน้าบ้าง ก่อนที่ช่างภาพจะบอกเสร็จสิ้นการถ่ายในโลเคชั่นนี้ แล้วเปลี่ยนสถานที่ไปด้านในตัวอาคาร ชายหนุ่มหน้าหล่อจึงเลิกเก็กใบหน้า เดินขึ้นจากสระว่ายน้ำ

ร่างนั้นขาวใสราวกับไม่ใช่มนุษย์ กล้ามแกร่งปรากฎให้เห็นทั่วตัว บ่งบอกความเป็นชายสมชายของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ทั้งร่างนั้นเปล่าเปลือยสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำทรงบิกินี่ตัวเล็กจิ๋วที่แทบจะปกปิดส่วนสำคัญไม่มิด ทีมงานรีบเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ ขณะที่เจ้าตัวรีบเดินไปหลบแดดในร่มขนาดใหญ่ริมสระว่ายน้ำอย่างรวดเร็ว

ทีมงานที่เดินขวักไขว่หลายชีวิต แต่ดูเหมือนไม่มีใครสักคนที่เป็นคนไทยเลย เนื่องจากนี่เป็นคำขอของชายหนุ่มที่เป็นแบบที่ไม่เพียงต้องการทำงานกับทีมงานมืออาชีพจากต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังป้องกันตัวเองด้วยเนื่องจากการทำงานในครั้งนี้ค่อนข้างเปลืองเนื้อตัวอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาจึงไม่อยากถูกนำไปพูดถึงลับหลัง หากเกิดเหตุสุดวิสัยมีอะไรที่ควบคุมไม่ได้หลุดรอดออกไป เนื่องจากชื่อเสียงที่เริ่มดังคับประเทศของเขาบังคับให้เขาต้องมีภาพลักษณ์ที่ดีออกไปสู่สายตาประชาชนเท่านั้น

ทีมงานเอาภาพที่ถ่ายมาให้เขาดู ชายหนุ่มเลื่อนดูภาพทีละภาพ มันเป็นรูปเขานอนแช่อยู่ในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ในอิริยาบถที่ผ่อนคลาย ไม่มีภาพไหนที่ถ่ายให้เห็นเขาในชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วตามข้อตกลง ชายหนุ่มพยักหน้าพึงพอใจในผลงานที่เห็น เขาหันไปทางช่างภาพยิ้มให้น้อยๆ พร้อมๆ กับชูนิ้วโป้งเพื่อแสดงความชื่นชม

ทีมงานทยอยเก็บข้าวของเปลี่ยนโลเคชั่นที่จะไปถ่ายยังด้านในอาคาร ชายหนุ่มจึงเดินมาพักนอนที่เก้าอี้ริมสระ ร่างขาวนี้นสว่างราวกับหลอดนีออนนอนทอดหุ่นอวดสรีระร่างกำยำของตัวเอง นอกจากกล้ามแกร่งทั่วเรือนร่างแล้ว สิ่งที่คงสะดุดสายตาคนที่ผ่านไปมาก็คงจะเป็นสิ่งที่ตุงอยู่ภายในกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กจิ๋วนั้นเอง ยิ่งเจ้าตัวนอนราบอยู่บนเก้าอี้นอน ยิ่งทำให้เห็นความนูนเด่นนั้นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น แขนทั้งสองข้างที่ใช้หนุนศีรษะทำให้เห็นว่าใต้วงแขนขาวนั้นไม่ปรากฏขนให้เห็นเกะกะสายตาแม้สักเส้นเดียว

“เป็นยังไงบ้างคุณท็อป ยังแฮปปี้กับการทำงานใช่ไหมครับ?” เสียงนิ่งขรึมแต่ทรงอำนาจดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ชายหนุ่มที่นอนอย่างสบายอารมณ์สะดุ้งหันไปมองตามเสียงนั้น

“อ้าว คุณแมนสรวง เพิ่งมาเหรอครับ? วันนี้นึกว่าจะไม่ได้เจอแล้วเสียอีก”

“ไม่มาได้ยังไงครับ พระเอกชื่อดังอุตส่าห์มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้คอนโดผมทั้งที ยังไงก็ต้องมาอำนวยความสะดวกซะหน่อย เป็นไงบ้างครับการทำงานกับทีมงานต่างชาติ ได้ผลเป็นที่พอใจไหมครับ”

พระเอกหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าประโยคท้ายนั้นตั้งใจจะประชดประชันเขาหรือเปล่า ครั้งแรกที่นักธุรกิจใหญ่รายนี้ติดต่อขอให้เขามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับคอนโดที่เพิ่งสร้างเสร็จ เขายื่นข้อเสนอให้ใช้ทีมงานต่างชาติเพราะไม่ค่อยพอใจการทำงานของทีมงานคนไทยที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นสตอรี่บอร์ดที่ส่งมาให้ดูที่แม้ภาพที่ออกมาจะดูไม่ล่อแหลม แต่เขารู้ดีว่าระหว่างถ่ายทำคงต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวไม่น้อย เมื่อนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ไม่ปฏิเสธทั้งข้อเสนอเรื่องทีมงานและค่าตัว เขาจึงตกลงใจรับงานนี้ สายตาที่มองผ่านแว่นกันแดดนั้นแลเห็นว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่ลอบมองเรือนร่างที่เกือบเปล่าเปลือยของเขาอยู่ พระเอกหนุ่มลุกขึ้นยืนโชว์เรือนร่างที่เขาอุตส่าห์ฟิตหุ่นมาอย่างดี

“ทีมงานก็ชมว่าคุณเป็นมืออาชีพมาก ทำงานด้วยง่ายทำให้งานเสร็จไวกว่าที่คิด”

“งั้นคุณแมนสรวงจะตบรางวัลอะไรให้ผมดี?”

“ผมมีรางวัลพิเศษให้คุณแน่ แต่คงต้องมีอะไรบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน”

“อะไรเหรอครับ เป็นของที่ผมพกติดตัวมาด้วยหรือเปล่า?” พระเอกหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ถอดแว่นกันแดดออกสบสายตากับหนุ่มใหญ่ที่จ้องมองเขาอยู่ สายตาที่มองสบอยู่นั้นค่อยๆ เลื่อนลงมาตามเรือนร่างของเขาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงที่ส่วนตุงนูนคับกางเกงว่ายน้ำ

“แน่นอน คุณเอามันมาเยอะกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก แต่ตอนนี้ไปทำงานต่อเถอะ ทีมงานคงพร้อมแล้ว”

แมนสรวงขับรถออกจากคอนโดหรูที่เขาเป็นเจ้าของโครงการตอนบ่ายมากแล้ว สถานที่แห่งนี้เดิมทีเป็นของนักการเมืองใหญ่รายหนึ่ง ที่ตัดสินใจขายขาดให้เขาในราคาที่ถูกกว่าที่ควรหลังจากโดนคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินตามเล่นงานอยู่ หนุ่มใหญ่มาดูสถานที่ก่อนตัดสินสร้างคอนโดหรูเนื่องจากในบริเวณใกล้เคียงไม่มีคู่แข่ง และสถานที่แห่งนี้เริ่มมีคนเข้ามาบุกเบิกมากขึ้นหลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวกันมากขึ้น

หลังจากใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 2 ปี พร้อมงบประมาณที่ลงไปเป็นจำนวนมาก เอเจนซี่โฆษณาซึ่งมีความสนิทสนมกับเขาเป็นการส่วนตัวทำแคมเปญโฆษณาส่งมาให้เขาดู พร้อมเสนอว่าควรใช้นักแสดงเพื่อดึงดูดให้คนมาซื้อเนื่องจากสถานที่ยังบูมไม่พอที่จะเรียกให้คนสนใจมาซื้อด้วยตัวเอง พร้อมส่งนิตยสารฉบับตั้งใหญ่มาให้เขาพิจารณา

เขาสะดุดตาหนุ่มน้อยนัยน์ตาชวนฝันที่โปรยยิ้มใสซื่ออยู่บนปกหนังสือฉบับหนึ่ง เจ้าของเอเจนซี่ที่เป็นเพื่อนของเขาบอกว่านี่คือ ท็อป ธีรเดช พระเอกหนุ่มที่ดังที่สุดตอนนี้ ค่าตัวสูงมาก ทำงานด้วยยาก แต่มีความเป็นมืออาชีพสูง และน่าจะทำให้แคมเปญโฆษณาของเขาเป็นที่กล่าวถึงได้ แมนสรวงตอบตกลงใจจ้างดาราหนุ่มที่เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกบนปกนิตยสารเป็นแบบโฆษณาคอนโดของเขาทันที

แต่แค่ครั้งแรกของการเจรจาก็เริ่มพบปัญหา เมื่อเพื่อนของเขายื่นข้อเสนอของพระเอกหนุ่มมาให้เขาพิจารณา แมนสรวงตัดสินใจขอนัดพบเพื่อเจรจากับพระเอกหนุ่มด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เขาได้เห็นอีโก้ที่สูงลิบของพระเอกหนุ่มอย่างเต็มเปี่ยม แต่ด้วยความต้องการเอาชนะ แมนสรวงจึงตัดสินใจรับข้อเสนอของพระเอกชื่อดัง ก่อนจะขอซื้อไอเดียงานโฆษณาของเพื่อนสนิท ส่งให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจัดการด้านโปรดักชั่นให้

หลังจากนั้นเขาเพิ่งมีโอกาสได้พบพระเอกหนุ่มชื่อดังอีกครั้งในวันนี้ สิ่งที่แสดงออกช่างต่างจากการเจอครั้งแรกยิ่งนัก โดยเฉพาะท่าทางเชิญชวนบางอย่างที่ตอนที่พบกันอีกครั้ง เขาจึงลองโยนหินถามทางเอาไว้โดยไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับจากพระเอกที่มีชื่อเสียงระดับนี้โดยง่าย

หลังเสร็จงานที่ทีมงานต่างชาติกลับไปหมดแล้ว แมนสรวงพาพระเอกชื่อดังชมห้องพักของเขาที่ตกแต่งเสร็จเรียบร้อยอย่างหรูหรา เขามองเห็นสายตาพราวที่เต็มไปด้วยความทึ่งจัดจากฝ่ายตรงข้าม ช่างแตกต่างกับแววตาไร้เดียงสาที่เขาเห็นบนปกนิตยสารฉบับนั้นยิ่งนัก

“คุณหมดไปเท่าไหร่ครับเนี่ย ค่าแต่งห้องนี้?”

“ก็ไม่เท่าไหร่ ขายห้องได้สองห้องก็คุ้มทุนแล้ว”

“ผมรู้มาว่าคุณทำโรงเรียนด้วยเหรอ?”

“ใช่ มันเป็นงานที่ทำให้ผมขาดทุนทางการเงิน แต่กำไรความสุขมาก”

“ความคิดคุณร่ายกย่องมาก ว่าแต่ห้องนี้ ถ้าคุณไม่รังเกียจผมขอยืมใช้บ้างได้ไหม? เผื่อวันไหนผมว่างอยากจะมาพักสมอง”

“ท่าทางงานคุณจะหนักมาก”

“กว่าที่ทุกคนคิดมาก ไม่แค่งานที่หนัก แต่ผมต้องสูญเสียหลายๆ อย่างไปจากชีวิต อย่างน้อยก็ชีวิตที่มีอิสรเสรีที่จะทำอะไรอย่างที่ใจต้องการ และรสนิยมบางอย่างที่ผมไม่สามารถเปิดเผยได้”

“แต่มันคงคุ้มค่า คุณถึงไม่เลิกมัน”

แมนสรวงพาพระเอกหนุ่มมาจนถึงห้องนอนสุดหรูของเขา พร้อมแนะนำเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องที่คัดสรรมาจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก จนพระเอกหนุ่มอ้าปากค้าง

“รสนิยมคุณนี่สุดยอดจริงๆ”

“ขอบคุณที่ชื่นชม”

“มีอีกอย่างที่ผมอยากรู้รสนิยมของคุณ ผมเห็นไวน์ที่คุณตั้งโชว์เอาไว้ด้านนอก”

แมนสรวงหันไปมองตามที่พระเอกหนุ่มบอก

“ถ้าคุณต้องการ ได้เลย” นักธุรกิจหนุ่มใหญ่เดินออกไปเพื่อทำตามความต้องการของพระเอกหนุ่ม เขาบรรจงเลือกไวน์อย่างดีพร้อมแก้วสองใบ แล้วกลับเข้ามาที่ห้องนอนอีกครั้ง ก่อนที่จะพบว่าพระเอกหนุ่มตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว แต่กลับไปนอนอยู่บนเตียงของเขาแทน ในสภาพเปล่าเปลือยไม่มีอะไรปกปิดร่างกาย มีเพียงขาที่ยกชันเข่าขึ้นเพื่อปิดบังส่วนสงวนเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น

“สิ่งที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับรสนิยมคุณ ไม่ใช่เรื่องไวน์หรอก แต่เป็นเรื่องนี้ต่างหาก”

พระเอกหนุ่มแหกขาที่ชันขึ้นออกจากกัน มันเผยให้เห็นร่องก้นสีชมพูสดที่ปราศจากขนรกสายตา เลยขึ้นไปเป็นอวัยวะบ่งบอกความเป็นชายที่มีสีขาวสวยไม่ต่างจากผิวของเจ้าตัว

“ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะให้คำตอบคุณเดี๋ยวนี้”

แมนสรวงเดินตรงเข้าไปหาร่างนั้น วางแก้วไวน์ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะเปิดขวดไวน์แล้วเทมันลงทั่วร่างของพระเอกหนุ่ม แล้วก้มลงใช้ลิ้นโลมเลียด้วยความหื่นกระหาย

ความคิดที่กำลังเตลิดไปไกลถูกดึงกลับด้วยเสียงแตรรถที่ดังขึ้นด้านหลัง นักธุรกิจหนุ่มใหญ่กระชากรถผ่านไฟเขียวตรงหน้า พุ่งทะยานสู่จุดหมายต่อไปของเขา


อาจารย์เพชรเดินหน้าเชิดนำหน้าอัครเพื่อพาเขาไปพบคุณแมนสรวงตามที่ได้มีการนัดหมายกันเอาไว้ อัครรู้สึกตื่นเต้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้าเรียนที่นี่ที่จะได้พบคนที่อุปการะเขา อาจารย์เพชรพาเขามาถึงห้องทางปีกขวาสุดของอาคาร อาจารย์เพชรเคาะประตูห้องด้วยกิริยานอบน้อม เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของห้องจึงเปิดประตูเดินนำเขาเข้าไปในห้อง

ห้องนั้นมีขนาดค่อนข้างกว้าง การตกแต่งแตกต่างจากห้องอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น ตั้งแต่สีห้องโทนเหลืองอ่อน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้มีลักษณะเรียบแต่หรู เขาเห็นเจ้าของห้องลุกขึ้นยืนต้อนรับเขา ทำให้อาจารย์พลวิทย์ที่มานั่งอยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นยืนตามไปด้วย อัครยกมือไหว้เจ้าของห้องด้วยกิริยาท่าทีที่งดงามอย่างคนที่ถูกสอนมาอย่างดี สร้างความพึงพอใจให้เจ้าของห้องยิ่งนัก

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะอัคร เธอโตขึ้นกว่าที่ชั้นคิดเอาไว้มาก” ใบหน้าผู้พูดยิ้มด้วยความพึงพอใจ “มา มานั่งตรงนี้”

อัครเดินไปนั่งตามที่เจ้าของห้องอนุญาต เขาเห็นคุณแมนสรวงทำมือแสดงสัญญาณพร้อมๆ กับที่อาจารย์เพชรหันหลังเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูปิดสนิทคุณแมนสรวงจึงเริ่มเปิดฉากการสนทนาอย่างเป็นเรื่องราว

“เป็นยังไงบ้าง อยู่ที่นี่ความสุขดีไหม?” เจ้าของห้องถามพร้อมยิ้มพรายบนใบหน้า

“ครับ” อัครตอบสั้นๆ ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านั้น

“ดี ตอนนี้เธอคงเริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว คนเราต้องรู้จักเรียนรู้และปรับตัวให้ได้กับทุกที่ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้เราจะอยู่ที่ไหน แล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง สัญชาตญาณมันจะช่วยเราเอง”

อัครพยักหน้ารับและยังคงสงวนคำพูดเช่นเดิม

“อาจารย์พลวิทย์บอกว่าเธอเริ่มพัฒนาขึ้นมากแล้ว จนตอนนี้สถิติเกือบดีเท่าเดิม”

อัครหันมาสบตาอาจารย์พลวิทย์ที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว “ครับ อาจารย์พลวิทย์เป็นโค้ชที่เก่งมาก ทำให้ผมสนุกและมีความสุขที่ได้กลับมาว่ายน้ำอีกครั้ง”

“ดีมาก ทำให้ผมรู้สึกไม่ผิดหวังที่เลือกอาจารย์พลวิทย์มาเพื่อเธอ”

“อัครเป็นเด็กที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้วครับ เมื่อบวกความมุ่งมั่นและตั้งใจที่เขามี ยิ่งทำให้เขาพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น” อาจารย์พลวิทย์ช่วยเสริม

“ดีมากทั้งคู่ ผมไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ลงทุนลงแรงไปเพื่อพวกคุณ แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ความสามารถของพวกคุณคือการแข่งขันกีฬาประจำจังหวัดที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า หวังว่าจะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะ”

คุณแมนสรวงกล่าวทิ้งท้าย น้ำเสียงไม่เจืออาการล้อเล่นอย่างเคย อัครหันมาสบตาอาจารย์พลวิทย์เขาเห็นแววตาที่มีความกังวลอยู่ในนั้น ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวั่นใจตามไปด้วย

ตอนที่ 11

อัครกลับมาถึงห้องตอนค่ำแล้ว วันนี้เขารู้สึกเพลียกับการฝึกซ้อมมาก อาจจะเพราะความตั้งใจที่มีมากขึ้นหลังจากที่ได้พบคุณแมนสรวง เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป เขาพบเพื่อนร่วมห้องยืนประจันหน้าอยู่ที่หน้าประตู ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเล็กน้อย

“มายืนทำอะไรของมึงเนี่ย? กูตกใจหมดเลย”

“แหม ขวัญอ่อนจริงนะ ไมเห็นเหรอว่ากูกำลังจะไปอาบน้ำ”

อัครจึงหันมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง เห็นโอ๊ตนุ่งผ้าเช็ดตัวคาดเอวอยู่ผืนเดียว ในมือถืออุปกรณ์สำหรับอาบน้ำเตรียมพร้อมอยู่แล้ว

“กูรอมึงนะเนี่ย จะชวนไปอาบกันด้วยกันหน่อย มืดๆ ไม่มีใครอาบด้วย กูไม่ค่อยไว้ใจ”

“เชิญมึงคนเดียวเถอะ กูอาบที่ชมรมมาแล้ว ไม่อยากเนื้อหอมไปกว่านี้”

“แหม ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนกันนิด ไปดูกูอาบน้ำก็ได้ กูไม่ถือ”

“ถุย จะไปดูทำไมให้เสียสายตา อย่างกับมีอะไรน่าดู”

“แต่เวลากูแก้ก็เห็นมึงจ้องเอาๆ”

“กูมองด้วยความสมเพชเว้ย ไม่ได้อยากดู”

“เออ กูไปอาบเองก็ได้วะ ขืนมัวแต่ต่อปากต่อคำกับมึงคงไม่ได้อาบน้ำล่ะคืนนี้” โอ๊ตทำเสียงงอนๆ เดินออกจากห้องไป อัครยิ้มขำๆ ส่ายหน้าด้วยความระอาเพื่อนสนิท

ฝ่ายโอ๊ตเดินออกจากห้องก็ตรงไปที่ห้องอาบน้ำรวมที่อยู่ริมสุดของชั้น พอไปถึงเขาเลือกเดินเข้าไปด้านในสุดที่มีห้องอาบน้ำแบ่งซอยเป็นห้องๆ แทนที่จะอาบที่ลานอาบน้ำรวมด้านหน้า โอ๊ตปลดผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่แขวนไว้ที่ราวด้านข้าง ก่อนจะเปิดน้ำฝักบัวให้น้ำไหลผ่านร่างเปลือยเปล่าของเขาอย่างช้าๆ ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเอื้อมมือไปหยิบสบู่มาถูตัวอย่างช้าๆ ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่หูแว่วได้ยินเสียงม่านที่กั้นปิดหน้าห้องอาบน้ำถูกเลื่อนเปิดออกช้าๆ และมีมือปริศนามาลูบไล้ถูตัวให้กับเขา

“เปลี่ยนใจเหรอมึง ไอ้อัคร อยากอาบน้ำกับกูสิท่า” โอ๊ตแกล้งแซวเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องที่เข้ามาอาบน้ำร่วมกับเขา แต่เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ

“มีผัวใหม่แล้วลืมผัวเก่าเลยนะมึง กูไม่ได้เย็ดมึงนานจนนึกว่าตัวเองโสดซิงล่ะสิ”

“ไอ้โก้” ไม่ต้องหันไปดูโอ๊ตก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนที่ร่างใหญ่ด้านหลังจะโน้มตัวมากระซิบที่หูของเขา

“ขอบใจที่มึงยังจำผัวเก่าได้ วันนี้ขอกูทบทวนความหลังหน่อยแล้วกัน มึงจะไม่ลืมกูง่ายๆ แบบนี้อีก”

ว่าแล้วโก้ก็ผลักร่างของโอ๊ตไปชิดกำแพง ก่อนจะจับขาแยกออกจากกัน โอ๊ตรู้สึกตกใจและเริ่มหวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร คงปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำไปตามความพอใจ

โก้ค่อยๆ สอดใส่ท่อนลำของมันเข้าไปในรูตูดของโอ๊ต มันได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจากอีกฝ่าย มือของโอ๊ตจิกกำแพงหวังคลายความเจ็บปวด เมื่ออาวุธสังหารของโก้ทะลวงเข้าไปในรูตูดของเขา ก่อนจะกระแทกไม่ยั้งจนอีกฝ่ายรู้สึกจุก แต่เพียงไม่นานความรู้สึกของโอ๊ตก็เปลี่ยน โก้รู้สึกได้ว่ารูตูดของโอ๊ตค่อยๆ ตอดอวัยวะเพศของเขา โก้ยิ้มในหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะใช้มือค่อยลูบไล้ไปตามแขนของโอ๊ตอย่างช้าๆ เพื่อปลุกอารมณ์ ก่อนจะเลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปตามลำคอและเส้นผมที่เปียกลู่ตามสายน้ำจากฝักบัวที่ราดรดอยู่ ก่อนที่โก้จะเปลี่ยนอารมณ์กระชากผมของโอ๊ตอย่างแรงจนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บ

“เริ่มเงี่ยนแล้วสิมึง กูว่าแล้วว่ามึงชอบแบบนี้ ความเงี่ยนมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ”

โอ๊ตยืนให้สายน้ำจากฝักบัวรินไหลผ่านตัวในขณะที่โก้กระแทกท่อนลำใส่ประตูหลังของเขา ความรู้สึกของหนุ่มน้อยเตลิดเปิดเปิงด้วยรสสัมผัสอันเสียวซ่านที่เขาห่างหายไปนาน เล็บของเขาจิกผนังเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่ในห้วงความคิดเขาไม่ได้นึกถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเขาในตอนนี้ แต่กลับจินตนาการไปว่าคนที่กำลังกระแทกเขาไม่ยั้งอยู่ตอนนี้คือเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง โอ๊ตยังจำภาพท่อนลำของอัครที่เขาเห็นได้อย่างติดตา เสียแต่ว่าที่เห็นนั้นมันยังขยายตัวไม่เต็มที่นัก

ในห้วงคิดของโอ๊ตตอนนี้ เขาเห็นเพื่อนร่วมห้องนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ร่างนั้นเปลือยเปล่า อวดท่อนลำแข็งแกร่งชูชันเชิญชวนเขาอยู่ ร่างของเขาที่เปลือยเปล่าเช่นกันค่อยๆ ย่างเข้าไปหาเพื่อนสนิท ก่อนจะเอาหน้าแนบหน้า ปากขยี้ปากด้วยความเมามันในรสตัณหา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ละเลงลิ้นไปตามลำตัวของเพื่อนสนิท เลื่อนต่ำลงมา ผ่านแผงอกล่ำลงลิ้นไปรอบหัวนมที่แข็งเป็นไต โอ๊ตลากลิ้นลงมาจนถึงสะดือ มันควานลิ้นเข้าไปลิ้มรสรสชาตินั้นอย่างไม่รังเกียจ ก่อนที่มันจะไล้ลงต่ำมาจนถึงสิ่งที่มันรอคอย

ท่อนลำของอัครที่แข็งแกร่งชูชันกระดกเรียกให้มันเข้าไปหา โอ๊ตจ้องเขม็งสายตาแสดงความหื่นกระหาย ลิ้นวนรอบริมฝีปากเตรียมจะลงไปครอบที่อวัยวะยาวใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสรสชาติที่รอคอย เขาก็รู้สึกมวนท้องแปลกๆ เหมือนมีน้ำฉีดเข้าไปในอยู่ในตัวเขา โอ๊ตรู้สึกตัวอีกทีก็พบโก้ยืนหมดแรงคร่อมทับลงมาที่ร่างเขาอยู่

“ไอ้โอ๊ต กูเสียวสุดๆ มึงนี่มันสุดยอดจริงๆ”

โอ๊ตรู้สึกว่าเขาหลุดไปอยู่ในโลกความฝันที่เขาเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึก และถูกปลุกกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่แสนโหดร้ายอีกครั้ง


ขณะที่แมนสรวงก็มีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอดการเดินทางกลับหลังจากที่เขาได้เจออัคร ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาให้หัวของเขาอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านเขารีบทำตรงไปที่ห้องหนังสือ หวังจะหาหนังสือสักเล่มมาช่วยดับความฟุ้งซ่านที่มีอยู่ในใจ ห้องขนาดใหญ่นี้คือสถานที่ที่แมนสรวงใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดเวลาที่เขาได้อยู่บ้าน เพราะนิสัยชอบอ่าน ค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ เขาจึงเลือกที่จะตกแต่งห้องนี้ในสไตล์ที่เป็นตัวเขามากที่สุด เขาเลือกหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง แล้วจึงเดินไปที่เก้าอี้นั่งประจำตัวที่เขาไว้ใช้อ่านหนังสือ มันเป็นเก้าอี้โยกที่มีเบาะรองอย่างดีทำจากขนสัตว์เพื่อความนุ่มสบาย จนบางครั้งมันทำให้เขาก็เผลอหลับไประหว่างอ่านหนังสือจนเช้า

แสงไฟในห้องไม่สว่างมากนัก แมนสรวงจึงเลือกเปิดโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ใกล้ม้านั่ง อ่านไปได้ไม่กี่บทก็รู้สึกว่าสายตาเริ่มเมื่อยล้า เขาจึงหยุดพักสายตาสักครู่ เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะงานหลายๆ อย่างที่เขาต้องทำในวันนี้ที่ทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลีย เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างกาย ใกล้ๆ กันนั้นเป็นกรอบรูปแบบตั้งโต๊ะที่มีรูปของเขากับอิทธิพลเพื่อนรักของเขาใส่เอาไว้ เขาเอื้อมมือไปหยิบรูปนั้นขึ้นมาดู

รูปนั้นเป็นรูปที่ถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อน ทั้งคู่กอดคอกันพร้อมกับมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า มันเป็นภาพถ่ายหลังจากที่พวกเขาแข่งขันรักบี้ระดับมหาวิทยาลัยเสร็จสิ้น ดูจากชุดที่ทั้งคู่สวมใส่ทำให้รู้ว่าพวกเขาต่างอยู่กันคนละทีม และน่าจะเป็นคู่แข่งกัน ทั้งเขาและอิทธิพลต่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน เริ่มเล่นกีฬารักบี้กันตั้งแต่สมัยเรียนในโรงเรียนมัธยม และเคยเห็นหน้าค่าตากันในช่วงสนามแข่งขันมาก่อน หากแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งพวกเขาเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งต่างคนต่างสอบเข้าศึกษาต่อได้ในมหาวิทยาลัยที่เป็นคู่แข่งกัน ในช่วงแรกพวกเขายังไม่ได้มีบทบาทอะไรในชมรมนัก นั่นจนเมื่อพวกเขาขึ้นชั้นปีสอง และได้เป็นตัวจริงจึงเป็นโอกาสที่ได้แสดงฝีมือให้ทุกคนได้เห็นและยอมรับ

ฝีมือที่ดีวันดีคืนทำให้พวกเขาถูกชูให้เป็นดาวเด่นของมหาวิทยาลัย และกลายเป็นคู่แข่งขันกันอย่างเป็นทางการเมื่อพวกเขาขึ้นปีสาม และได้รับการโหวตให้ขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าทีม ทั้งคู่ต่างขับเคี่ยวในเกมการแข่งขัน ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ผลัดกันประสบความสำเร็จ และผลัดกันล้มเหลว แต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าเป็นศัตรูกัน เพราะต่างมีน้ำใจเป็นนักกีฬา และรูปถ่ายใบนั้นคือภาพที่ระลึกในวันที่พวกเขาเป็นคู่แข่งขันกันในแมทช์สุดท้าย ก่อนที่จะแยกย้ายไปทำหน้าที่ในสายวิชาการ คือเรียนให้จบ และออกไปใช้ชีวิตมนุษย์ทำงานในสายพานอุตสากรรมตามที่ร่ำเรียนกันมา

แต่เหมือนพวกเขามีบางอย่างที่โยงใยถึงกัน พวกเขาพบหน้ากันอีกครั้งในวันฝึกงาน แม้จะคนละแผนก แต่สุดท้ายก็ได้ทำงานประสานกัน ไม่น่าเชื่อว่าเมื่ออยู่นอกสนามพวกเขาจะคลิกกันได้ไวมาก และกลายเป็นทุกคนในออฟฟิศจะเห็นเจ้าเด็กฝึกงานสองคนนี้ไปไหนต่อไหนด้วยกันตลอด พวกเขาทั้งคู่ต่างสมัครใจเข้าทำงานประจำในบริษัทที่เขาฝึกงาน และนั่นทำให้แมนสรวงเลื่อนโครงการที่จะสมัครสอบชิงทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจไว้ในคราวแรก

จากปีแรกจนกลายเป็นสองปี แล้วเลยมาจนจะเข้าปีที่ห้า เขาจึงตัดใจไปทำตามความฝันของตัวเองเสียที งานฉลองการสอบชิงทุนไปต่างประเทศเป็นความทรงจำที่สวยงามของแมนสรวง เขาสัญญาว่าหลังเรียนจบจะกลับมาทำงานที่เดิม และจะไม่ทิ้งเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตอย่างอิทธิพลแน่นอน

ความโกลาหลในค่ำคืนแห่งความเมามาย นำพาชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักกันไปจบค่ำคืนนั้นบนเตียงนอนที่ขาวสะอาด การโรมรันที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน มาจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มแอลกอออล์ที่พวกเขาดื่มกินเข้าไป มันเริ่มต้นอย่างละเมียดละไมก่อนจะกลายเป็นพายุที่โหมกระหน่ำ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่ม ใครเป็นผู้ตาม เป็นเป็นฝ่ายรุกล้ำ ใครที่โดนก้าวล่วง ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติและจบลงอย่างงดงาม น่าเสียดายที่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เวลาแห่งการจากลาจะมาเยือนพวกเขา และมันเป็นการล่ำลาที่เศร้าแต่สวยงาม

พวกเขายังติดต่อหากันสม่ำเสมอ จนถึงช่วงเวลาที่แมนสรวงเริ่มทำ Thesis ความเปลี่ยนแปลงเริ่มมาเยือน ความสม่ำเสมอของอีกฝ่ายหายไปโดยไม่มีที่มาสาเหตุ จนในที่สุดเขาได้รู้ความจริง อิทธิพลแต่งงาน มีภรรยา และลูกชาย ความเศร้าเสียใจทำให้เขาแทบสิ้นสติ แมนสรวงละทิ้งการเรียน และเกือบเรียนไม่จบ สุดท้ายเขาใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายพาตัวเองออกมาจากปัญหา และตัดสินใจเดินหน้าเพื่ออนาคตของตัวเอง ผ่านไปสองปีเขาสำเร็จการศึกษา และมีโอกาสกลับมาที่ประเทศบ้านเกิดในช่วงสั้นๆ และนั่นคือโอกาสที่เขาได้เจออิมธิพลเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อนรักมาพร้อมลูกชายตัวน้อยที่วันนี้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในความดูแลของเขา หลังการเจอกันวันนั้น เขาเดินทางไปทำงานและใช้ชีวิตในประเทศที่เขาเรียนจบมา ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กๆ จนประสบความสำเร็จ และหอบเงินกลับมาบริหารกิจการส่วนตัวที่บ้านเกิดจนประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และมีภาระที่ต้องดูแลเด็กคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกาย แต่ความผูกพันทางใจนั้นเต็มเปี่ยม

แมนสรวงเก็บกรอบรูปที่วางอยู่นั้นวางลงยังที่เดิมของมัน เขาลุกขึ้นปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องทิ้งไว้เพียงความมืดมิดเท่านั้น

ตอนที่ 12

เสี่ยสมศักดิ์นั่งอยู่ที่ตำแหน่งหัวโต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่ภายในคฤหาสน์หรูของเขา ที่นี่เป็นทั้งที่พักอาศัยและที่ทำงานของเขา ห่างออกไปไม่ไกลมีโรงงานที่เสี่ยสมศักดิ์เป็นเจ้าของตั้งอยู่ และเลยถัดไปทางด้านหลังมีสถานที่ที่บรรดาลุกสมุนของเสี่ยสมศักดิ์พักอาศัยอยู่ บริเวณพื้นที่ที่เป็นของเสี่ยสมศักดิ์จึงมีขนาดใหญ่กินพื้นที่ 1 ใน 7 ส่วนของจังหวัดแห่งนี้เลนยทีเดียว เพราะเหตุนี้มันจึงทำให้เขากลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของจังหวัดนี้ และเพราะความที่มีอิทธิพลมาก การทำมาหากินของเสี่ยสมศักดิ์จึงข้องแวะกับสิ่งผิดกฎหมายตลอดเวลา แต่เงื้อมมือของกฎหมายก็ไม่สามารถเอื้อมไปถึงตัวเขาได้ เพราะมีผู้อำนาจคอยให้ความช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ

ขณะที่คนรับใช้กำลังสาละวนกับการตั้งสำรับกับข้าวมื้อเย็นอยู่นั้น คุณนายกิมฮวยภรรยาของเสี่ยวสมศักดิ์ก็เดินมาพร้อมกับกิมไล้ลูกสาวเพียงคนเดียวของทั้งคู่ ที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีสองในโรงเรียนประจำจังหวัด กิมไล้ที่ยังคงใส่ชุดนักเรียนเดินถือจานขนมเบื้องเจ้าดังในตลาดเอามาวางใกล้ๆ กับที่นั่งของเสี่ยสมศักดิ์

“ขนมเบื้องเจ๊ผีค่ะป๊า ตอนที่กิมไล้ซื้ออยู่ รู้ไหมคะว่าหนูเจอใครด้วย” น้ำเสียงของลูกสาวแลดูตื่นเต้นจนเสี่ยวสมศักดิ์ต้องหันมาถามด้วยความสนใจ

“ใครเหรออากิมไล้?”

“หมู่ยุทธนาค่ะเตี่ย กำลังเดินหาซื้อกับข้าวกลับไปให้เมียอยู่พอดี พอเห็นหมู่ยุทธหนูเลยรีบเข้าไปหาแกเลย อยากรู้ว่าสืบคดีหมวดพฤกษ์ไปถึงไหนแล้ว”

“นั่นสิ หมวดพฤกษ์หายไปได้ยังไง คนทั้งคน แถมอียังเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่างหาก อั๊วไม่อยากเชื่อเลยว่าแกจะหายไปจริง น่าจะแอบทำตัวล่องหนไปตามสืบคดีอะไรอยู่มากกว่า” เจ๊กิมฮวยภรรยาของเสียสมศักดิ์รีบให้ความเห็นบ้าง

“ม๊าคิดเหมือนกิมไล้เลย ผู้ชายที่หล่อ สมาร์ท ฉลาด แบบหมวดพฤกษ์ไม่มีทางเสียท่าใครง่ายๆ หรอก เขาต้องกำลังปลอมตัวไปสืบงานอะไรอยู่แน่ๆ โอม เพี้ยง ขอให้หมวดสุดหล่อตามจับตัวไอ้ผู้ร้ายใจชั่วมาให้ได้เร็วๆ จะได้กลับมาทำงานตามเดิม”

“หวังว่าระหว่างตามสืบคดีจะไม่ไปคว้าเอาผู้หญิงที่ไหนมาทำเมียไปเสียก่อนนะ ไม่อย่างนั้นเสียดายแย่ หมวดสุดหล่อเหมาะกับอากิมไล้ของแม่ที่สุด ถ้าอยู่ใกล้ๆ แม่จะให้หมวดแกเบ่งกล้ามให้ดูทุกวันเลย อร๊าย”

สองแม่ลูกคุยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเมื่อพูดถึงหมวดพฤกษ์ ขณะที่สีหน้าของเสี่ยสมศักดิ์นั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจ หน้าที่คล้ำกรำแดดยังออกสีแดงให้เห็นอย่างชัดเจน แต่เมียและลูกสาวกลับไม่ได้สนใจ ยังพร่ำเพ้อถึงหมวดพฤกษ์อยู่ต่อไป จนเสียสมศักดิ์ต้องลุกออกจากโต๊ะอาหารเดินออกไปหาที่โทรศัพท์เงียบๆ

“ไอ้ชอบ ถึงเวลาของมึงกับพรคคพวกแล้ว ที่จะยัดเยียดความดเป็นผัวให้ไอ้หมวดพฤกษ์นั่น ไม่ต้องไว้หน้า ไม่ต้องเกรงใจ จัดการมันได้เต็มที่ เอาให้มันได้รู้รสชาติความเจ็บปวดและอับอายอย่างที่มันไม่เคยเจอมาก่อน และให้มันเจ็บปวดมากกว่าที่กูรู้สึกเจ็บอยู่ตอนนี้”

สายโทรศัพท์จากฝั่งของเสี่ยสมศักดิ์ถูกตัดไปแล้ว ไอ้ชอบจึงเดินไปปลุกสมัครพรรคพวกให้ตามไปที่บ้านที่พวกมันใช้เป็นที่กักขังหมวดพฤกษ์เอาไว้ หมวดพฤกษ์ตอนนี้กำลังนอนหลับตัวงอสนิทอยู่บนพื้นห้องด้วยความอ่อนเพลีย ในสภาพร่างกายเปล่าเปลือยไม่มีอะไรปกปิดร่างกายอยู่เลยสักชิ้น แถมที่ขายังถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่อีกด้วย เขาถูกปลุกด้วยแรงกระแทกจากตีนของไอ้ชื่นที่ฟาดลงไปที่ช่วงบั้นท้ายงอนงามของเขา

เมื่อชายหนุ่มงัวเงียลุกขึ้นมาเห็นเหล่าชายฉกรรจ์ยืนรุมล้อมตัวเขาอยู่ หมวดพฤกษ์ก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวและตกใจออกมาให้เห็นทันที

“ถึงเวลาที่มึงจะถูกพวกกูรุมโทรมแล้ว และหลังจากนี้มึงจะกลายเป็นสินค้ามีตำหนิ ถูกโละจากชั้นสินค้า โอกาสที่มึงจะได้อยู่ดีกินดีคงหมดแค่นี้แล้ว กูขอให้มึงโชคดี แต่ก่อนจากกัน กูและพรรคพวกขอส่งมอความสุขที่มึงจะไม่มีวันลืมให้เป็นการส่งท้าย จะจัดให้มึงแม่งจำพวกกูไม่มีวันลืมเลย อ้อ แล้วถ้ามึงยังมีวาสนาได้กลับไปเป็นตำรวจ อย่าลืมมาจับพวกกูเข้าคุก ข้อหารุมโทรมมึงด้วยนะ 55555”

แล้วพวกมันก็เรียงหน้าผลัดกันเข้าไปรุมเย็ดหมวดพฤกษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า เย็นจนสลบ แล้วกูถูกปลุกขึ้นมาเย็ดใหม่ เย็ดจนสติของหมวดพฤกษ์หลุดล่องลอยไป เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวนที่ดังอย่างไม่รู้จักหยุดนิ่งเสียที

น่าเสียดายที่เสียงร้องของหมวดพฤกษ์ดังไกลมาถึงห้องของภาติยะ เจ้าของห้องจึงไม่อาจรับรู้ชะตากรรมของคนที่เขาตามหาอยู่ ขณะเดียวกันพราะเสียงที่ไม่ได้ยินนั้น มันก็ทำให้ชีวิตของภาติยะเองก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วยเช่นกัน เพราะเขายังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเข้าด้วยกันได้

ประตูห้องของภาติยะเปิดกว้างอยู่แล้ว ตอนที่อ๋องเดินเอาปิ่นโตอาหารเย็นมาส่งให้ มันมองไปทั่วทั้งห้องแต่ไม่เห็นใคร จึงถือวิสาสะเดินสำรวจไปทั่วห้อง เห็นข้าวของของภาติยะที่มีไม่มากนัก ซึ่งเป็นปกติของหนุ่มโสดที่ไปไหนมาไหนคนเดียว มันเอาปิ่นโตไปวางไว้ที่โต๊ะเอนกประสงค์ที่ตั้งอยู่ติดระเบียง มองเห็นแฟ้มเอกสารวางอยู่เต็มโต๊ะ จึงเอื้อมมือไปจัดวางแอบไว้ข้างหนึ่งเพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับวางปิ่นโตได้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยิบ เสียงภาติยะก็ดังขึ้นเสียก่อนจนทำให้ไอ้อ๋องตกใจ

“ทำอะไรวะ”

“เฮ้ย พี่นี่เอง ตกใจหมดเลย มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” หนุ่มร่างท้วมเอามือทาบอก ภาติยะเดินแทรกเข้ามาจัดเก็บแฟ้มเอกสารด้วยตัวเอง ก่อนจะหยิบปิ่นโตจากมือของอ๋องมาวางที่โต๊ะ

“ขวัญอ่อนจริงนะ” ภาติยะเอ่ยปากแซว เขาเริ่มสนิทสนมกับอ๋องมากขึ้นเนื่องจากมันขึ้นมาส่งอาหารทั้งเช้าและเย็นให้เขาทุกวัน เขารู้สึกว่าอ๋องเป็นคนที่กว้างขวาง รู้จักคนในตึกนี้ค่อนข้างมาก จึงคิดว่าน่าจะสืบข่าวอะไรต่างๆ จากอ๋องได้ง่าย อ๋องเดินไปนั่งที่เตียงนอนของชายหนุ่ม เขาจ้องมองรูปร่างของภาติยะที่ตอนนี้สวมเพียงกางเกงรัดรูปสีดำตัวจิ๋วเพียงตัวเดียวเท่านั้น กางเกงตัวจิ๋วมีความยาวแค่คืบกว่าๆ จึงแทบปิดส่วนสำคัญของร่างกายเอาไว้ไม่มิด มองเห็นรูปทรงของท่อนลำที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กางเกงตัวเล็กนั้นแบบไม่ต้องจินตนาการเลย

“พี่ออกไปไหนมา แต่งตัวแบบนี้ไม่กลัวโดนฉุดเหรอ?”

“ข้าไม่ได้ไปไหนเว้ย อยู่ในห้องตลอด”

“อ้าว ก็ตอนเข้ามาไม่เห็นมีใครอยู่ ประตูห้องน้ำก็เปิดอยู่”

“ข้าซิตอัพอยู่ข้างเตียงตรงนู้นไงล่ะ” ภาติยะชี้ไปที่ว่างหลังเตียงนอน อ๋องจึงเข้าใจว่าทำไมเขาจึงไม่เห็นภาติยะตอนที่เดินเข้ามาในห้อง

“แหม อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่พี่เถอะจะเล่นกล้ามไปประกวดชายงามที่ไหนเหรอ? แต่อย่างว่า หุ่นพี่แม่งดีซะขนาดนี้ อกเป็นอก กล้ามป็นกล้าม ควยเป็นควยเชียว” อ๋องใช้ความสนิทถือโอกาสแซวภาติยะ

“เออสิ ก็กูเป็นผู้ชาย ควยกูก็ต้องเป็นควยสิ”

“ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แค่จะบอกว่าควยพี่นี่แม่งใหญ่ยาวได้ใจจริงๆ ภาพควยพี่ตอนนั้นแม่งยังติดตาผมอยู่เลย”

“ทะลึ่งนะมึงเนี่ย คำก็ควย สองคำก็ควย ควยกูไม่ได้มีไว้ให้มึงเล่นนะ”

“แล้วมีไว้ทำไม ไว้เย็ดอีสวยเหรอ พี่รู้รึเปล่าว่ามันเที่ยวเอาพี่ไปพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ระวังไว้นะพี่ อีนี่มันมีผัวแล้ว เดี๋ยวผัวมันมาเตะเอาจะหาว่าอ๋องไม่เตือน”

“อ้าว แล้วผัวมันไม่หาเลี้ยงเหรอไงวะ ปล่อยให้เมียออกมาเร่ขายหี ข้าก็แค่เอามันสนองอารมณ์หนุ่ม ก็มันเล่นมายืนให้ท่าข้าถึงหน้าห้อง ไม่เล่นด้วยเดี๋ยวมันจะหาว่าเป็นตุ๊ดเอา” ภาติยะเดินไปหยิบดัมเบลมายกออกกำลังระหว่างที่สนทนากับอ๋องไปด้วย

“ว่าแต่พี่เถอะ จะฟิตหุ่นไปทำอะไร?”

“ข้าก็เตรียมความพร้อมของร่างกายไว้ เผื่อมีใครสนใจจะเรียกใช้งาน ข้ามันพวกรับจ้างทั่วราชอาณาจักร ว่าแต่เอ็งเถอะ มีงานจะช่วยแนะนำข้าบ้างไหมวะ”

“พี่สนใจงานแบบไหนล่ะ?”

“ได้ทุกประเภท ข้าไม่เกี่ยงงานหรอก”

แววตาของอ๋องฉายแววเจ้าเล่ห์นิดๆ

“งานที่ต้องใช้ร่างกาย ใช้ความหนุ่มพี่ก็ไม่เกี่ยงเหรอ?”

“สบาย”

“แล้วถ้าต้องแก้ผ้าโชว์ควยต่อหน้าคนเยอะๆ ล่ะ ไหวไหม?”

ภาติยะทำท่าสะดุ้ง แสดงสีหน้าแหยงนิดๆ

“เฮ้ย งานอะไรของมึงวะ? อย่าให้กูไปแก้ผ้าเต้นรูดเสานะ กูก็ยังมียางอาย”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่งานเสิร์ฟอาหารธรรมด๊า ธรรมดา”

“เสิร์ฟอาหารอะไรวะ ทำไมต้องแก้ผ้าด้วย?”ภาติยะเริ่มสงสัย

“พี่คิดว่าทำได้ไหมล่ะ? ตอนนี้เขากำลังหาคนอยู่ ผมช่วยพี่ได้ ถ้าพี่สนใจ มันก็เป็นงานกินเลี้ยงในสถานที่ปิด มีคนจำนวนนึง มีการแสดงบนเวที พี่ก็มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารให้คนมางาน แล้วก็อาจจะมีแขกมาลูบๆ คลำๆ จับควยพี่บ้าง แต่ก็มีแต่ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น ไม่เสียหายหรอก แต่ตอนนี้คงยังบอกรายละเอียดอะไรไม่ได้มากจนกว่าผมจะได้คุยกับหัวหน้าก่อน แต่ผมรับรองว่าเงินถึงแน่นอน”

“เอาวะ ควยกูก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร ไม่มีอะไรต้องอายนี่หว่า”

“ดีมากลูกพี่ เอาอย่างนี้ ผมขอถ่ายรูปพี่ไปให้หัวหน้าดูก่อน จะได้รู้ว่าจะได้รึเปล่า” ว่าแล้วอ๋องก็หยิบมือถือออกมาเตรียมถ่ายรูป

“งั้นข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน จะหาที่หล่อๆ เลย”

“หยุดๆๆๆๆ ไม่ต้องเลยพี่ ชุดนี้แหล่ะ เห็นหุ่นเจ๋งดี”

“เอางั้นเหรอวะ” ภาติยะเริ่มลังเลใจ แม้เขาจะมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็จะให้มาถ่ายรูปด้วยเสื้อผ้าที่ติดกายเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ชายหนุ่มอดเขินอายไม่ได้ แต่เมื่อฟังถึงสิ่งที่อ๋องเล้าให้ฟัง มันเริ่มคลับคล้ายคลับคากับวิ่งที่พฤกษ์แนะเป็นเบาะแสและสิ่งที่เขาเพิ่งไปเจอมา เพราะฉะนั้นเขาปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปไม่ได้ เพราะมันอาจจะเป็นเบาะแสเดียวที่นำพาเขาไปหาพฤกษ์ได้ ชายหนุ่มจึงจำใจข่มความอายที่มี แล้วโพสต์ท่าให้ตากล้องร่างท้วมถ่ายภาพเอาไว้

ไอ้อ๋องทำหน้าที่ช่างภาพบอกให้เขาโพสต์ท่านั้นท่านี้ไปเรื่อยๆ จนถึงท่าสำคัญ

“คราวนี้ถอดกางเกงออก”

“อะไรนะ!” ภาติยะทำหน้าเหรอ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ถอดกางเกงออกครับ เดี๋ยวนี้เลย” อ๋องยังยืนยันคำสั่งเดิมอีกครั้ง

ภาติยะเริ่มเหงื่อตกกับคำสั่งของเด็กดูแลตึก

“เอาจริงเหรอวะ?” ภาติยะถามกลับเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “แค่เอาไปดูรูปร่างกับหน้าตาเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องแก้ผ้าด้วย”

“โถ่พี่ จะมามัวอายอะไร ถ้าพี่ได้ทำจริงพี่ต้องแก้ต่อหน้าคนเป็นร้อยเลยนะ หรือพี่ป๊อดวะเนี่ย?” ไอ้อ๋องทำท่าจะเก็บมือถือ ภาติยะคิดว่านี่เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่เขามีอยู่ตอนนี้ จึงไม่ควรให้เสียโอกาส ชายหนุ่มจึงกลั้นใจทำตามที่อ๋องออกคำสั่งกับเขา

“เอ็งช่วยเดินไปปิดประตูห้องก่อน เดี๋ยวมีคนผ่านมาเห็นเข้า”

อ๋องไม่รอช้ารีบเดินไปปิดประตูห้อง แล้วกลับมาตั้งท่าเตรียมถ่ายรูปต่อ ภาติยะจับขอบกางเกงตัวจิ๋วเตรียมจะดึงลง แต่ถูกอ๋องห้ามไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวพี่ ผมว่าพี่ปั่นควยให้แข็งเต็มที่ก่อนดีว่า ถ่ายออกมาจะได้สวยๆ”

ภาติยะกลั้นใจล้วงมือลงในกางเกง ปลุกปั่นท่อนลำของตัวเองให้ตื่นตัวเต็มที่ ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเสียวซ่านขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายืนปั่นควยตัวเองต่อหน้าคนอื่น แถมยังเป็นแค่เด็กเฝ้าตึก ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพราะเรื่องงาน เขาไม่มีทางมาทำอะไรอย่างนี้เด็ดขาด

“ดีมากพี่ ถ้าแข็งเต็มที่แล้วค่อยๆ ปลดกางเกงลงมา ช้าๆ นะพี่ ดึงลงมาแค่โคนก่อน ให้เห็นโคนควยนิดๆ ดูเร้าใจดี นั่นแหล่ะพี่ หน้าตาพี่แม่งโคตรได้อารมณ์เลย”

ภาติยะถกกางเกงลงมาถึงโคนควยของเขา โชว์ขนหมอยอันดกดำที่โผล่พ้นขอบกางเกงขึ้นมา

“คราวนี้ถอดออกให้หมดเลยพี่”

ภาติยะดึงกางเกงลงมาจนหมด ตอนนี้ท่อนลำที่แข็งตัวเต็มที่ของเขาดีดผึงออกมาตั้งฉากกับพื้นห้อง ที่ปลายหัวสีชมพูสวยมีน้ำซึมออกมา เพื่อให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังมีอารมณ์ร่วมด้วยเต็มที่

“พี่มีน้ำมันทาตัวไหม? ผมว่าถ้าได้น้ำมันมาทาตัวหน่อย มันจะช่วยทำให้เห็นรูปร่างพี่ชัดขึ้น”

“ไม่มีว่ะ ไม่เคยพกอะไรพรรค์เลย”

“ไม่เป็นไร” อ๋องวางมือถือ เดินตรงเข้าห้องน้ำไป ก่อนจะออกมาพร้อมขันที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม มันเดินตรงไปภาติยะ ค่อยวักน้ำขึ้นมาลูบไปตามลำตัวชายหนุ่ม

“ใช้น้ำแก้ขัดไปก่อน”

มือของไอ้อ๋องลูบไล้ตั้งแต่แขน หัวไหล่ แผงอก หน้าท้อง ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงควยที่แผดผงาดของภาติยะ ที่ยื่นตรงออกมาเหมือนจะท้าทาย

“เดี่ยวข้าทำเองก็ได้ตรงนี้”

“ไม่ต้องพี่” ไอ้อ๋องรีบร้องห้าม ก่อนจะเอามือที่เพิ่งผ่านการลูบน้ำ ลูบไล้ไปที่ลำควยของชายหนุ่มตรงหน้า ภาติยะถึงกับเผลปล่อยเสียงครางออกมาด้วยความเสียว เมื่อมีมือที่ไม่คุ้นเคยมาจับตรงจุดอ่อนของเขา มือนั้นค่อยๆ ลูบไล้อย่างช้าๆ ถอกควยของเขาเข้าๆ ออกๆ เข้าๆ ออกๆ จนภาติยะแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ ต้องจิกนิ้วเท้าไม่ให้ตัวเองรู้สึกเสียวมากจนเกินไป แต่ดูท่าไอ้อ๋องจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ มันปลิ้นส่วนหัวที่บานร่าออกมาใช้นิ้วมือวนลูบไล้ที่ส่วนหัวของเขา ยิ่งทำให้ระดับความเสียวของภาติยะพุ่งขึ้นไปอีก จนน้ำที่ซึมบริเวณส่วนหัวไหลทะลักออกมานิดๆ

“ท่าทางจะน้ำเยอะนะพี่” ไอ้อ๋องอดเอ่ยปากอแซวไม่ได้ ยิ่งเพิ่มความเขินและความเสียวให้กับภาติยะ แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย ไอ้อ๋องก็ปล่อยมือออกจากควยของเจ้าของห้อง เดินกลับไปทำหน้าที่ตากล้อง บอกบทให้ภาติยะโพสต์ท่าตามคำสั่งไปตามเดิม

“เจ๋งว่ะพี่ โอเคข้างหน้าพอแล้ว คราวนี้ถ่ายด้านหลังบ้าง”

“แน่ใจนะว่าไม่ได้เอาไปลงหนังสือโป๊” ภาติยะอดระแวงไม่ได้

“แหมพี่ ถ้าจะหลอกถ่ายหนังสือโป๊ ไม่ใช้กล้องมือถือสั่วๆ แบบนี้ถ่ายหรอก เชื่อใจเถอะน่า”

ไอ้อ๋องเปลี่ยนที่ให้ภาติยะมาโพสต์ท่าบนเตียงนอนแทนบ้าง มันสั่งให้เขาหันหลัง เอามือจับหัวเตียง แล้วบิดตัวด้านหนึ่งเข้าหากล้อง ทำให้เห็นก้นอันงอนงามแน่นได้รูปของภาติยะแบบเต็มๆ ไอ้อ๋องรีบบันทึกภาพอย่างว่องไว ก่อนที่มันจะสั่งให้เขาแหกขาออกกว้างๆ เพื่อที่จะได้ถ่ายให้เห็นรูตูดของชายหนุ่มแบบชัดๆ ภาติยะรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาเตลิดไปจนห้ามไม่อยู่แล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่ไอ้อ๋องสั่งการได้ แล้วปล่อยให้เด็กเฝ้าตึกเป็นผู้ออกคำสั่งชักนำให้เขาทำตามในสิ่งที่มันต้องการทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะน่าขายหน้าขนาดไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน

“พี่นี่แม่งสุดยอดไปทั้งตัวจริงๆ ตั้งแต่ผมหาคนทำงานมา ยังไม่เคยเจอใครที่สุดยอดเท่าพี่เลย ทั้งหล่อ หุ่นดี ควยใหญ่ แถมรูตูดพี่แม่งฟิตน่าเสียบดีจริงๆ” ประโยคท้ายเสียงเบาลงเหมือนรำพึงกับตัวเอง โดยคนที่ถูกพูดถึงไม่มีโอกาสได้ยินหรือรับรู้อะไรทั้งสิ้น

“โอเคครับพี่ เจ๋งมากๆ ถ้ามีความคืบหน้าผมจะรีบมาบอกนะ”

ภาติยะรีบลงจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมกาย ในขณะที่ไอ้อ๋องเก็บมือถือที่บันทึกภาพใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้ แล้วรีบขอตัวลาเหมือนกลัวว่าเจ้าของห้องจะเปลี่ยนใจ

ส่วนภาติยะเมื่อเดินเข้าห้องน้ำไป ไม่พลาดที่เขาจะปลดปล่อยความเป็นชายออกมากลางสายน้ำฝักบัวที่รินไหลผ่านร่างเขา เขาไม่เคยมีอารมณ์ทางเพศแบบที่เสียวสุดๆ แบบนี้มานานแล้ว จนเขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขา

ตอนที่ 13

ที่โรงเรียนเปรมปรีดา หลังเปิดชมรมว่ายน้ำมาสักพัก ก็เริ่มมีนักเรียนที่สนใจสมัครเข้ามาเรียนกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งข่าวที่อัครเป็นความหวังของโรงเรียนที่จะได้ลุ้นลงคัดเลือกการแข่งขันเยาวชนทีมชาติ และมีอาจารย์พลวิทย์ที่เคยเป็นโค้ชเยาวชนทีมชาติมาเป็นผู้ฝึกสอนยิ่งเพิ่มความสนใจให้กับเด็กๆ สมาชิกบ้านเปรมปรีดาได้เป็นอย่างดี

เช้าวันเสาร์นี้ชมรมว่ายน้ำคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันเดียวที่เปิดโอกาสให้เด็กคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกชมรมใช้สระได้อย่างอิสระ และไม่ถูกจำกัดด้วยชุดว่ายน้ำของชมรมว่ายน้ำ วันนี้จึงเป็นวันที่สีสันของกางเกงว่ายน้ำจะมีความสดชื่นสดใสมากกว่าวันอื่นๆ ตอนนี้ที่สระคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนที่มาว่ายกัรนจำนวนมากจนสระขนาดใหญ่ดูเล็กไปถนัดตา อัครเองก็มาซ้อมว่ายน้ำกับเพื่อนๆ ที่ชมรม ขณะที่อาจารย์พลวิทย์ก็นั่งทำงานเอกสารอยู่ที่ม้านั่งริมสระ และเพราะเป็นวันหยุด อาจารย์พลวิทย์จึงไม่ได้แต่งชุดประจำของชมรม แต่เลือกสวมกางเกงว่ายน้ำทรงบิกินี่สีส้มสดเพียงตัวเดียวเท่านั้น สีส้มของกางเกงว่ายน้ำที่เป็นสีโปรดของเขาช่วยขับผิวขาวของเขาให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

ขณะทุกคนกำลังสนุกสนานๆ อยู่ๆ รถของแมนสรวงก็แล่นเข้ามาจอดตรงลานจอดรถที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เจ้าของโรงเรียนลงจากรถแล้วเดินตรงมาทางชมรม ทำให้เสียงเด็กๆ ที่จ้อกแจ้กจอแจเงียบลงอย่างฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่แมนสรวงมาเยือนชมรมว่ายน้ำ และตรงเข้ามาหาอาจารย์หนุ่มทันทีที่มาถึง

อาจารย์พลวิทย์เงยหน้ามาสบตากับแมนสรวงอย่างจังตอนที่แมนสรวงเดินมาถึง เขารีบกุลีกุจอยืนขึ้นและเชื้อเชิญแมนสรวงไปที่ห้องทำงานส่วนตัวทันทีที่รู้จุดประสงค์การมาของอีกฝ่าย เมื่อเจ้าของโรงเรียนและอาจารย์ผู้คุมชมรมไม่อยู่ เสียงของเด็กๆ จึงกลับมาเซ็งแซ่อีกครั้ง

“ขอโทษด้วยนะครับอาจารย์ที่ผมมาชมรมโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า”

“ไม่เป็นไรครับคุณแมนสรวง ผมต่างหากที่ต้องขออภัย แต่งกายไม่เรียบร้อยเลย เดี่ยวเชิญคุณแมนสรวงนั่งก่อนครับ ผมจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อน”

แมนสรวงรีบโบกมือห้าม “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับอาจารย์ ผมไม่ได้อยู่นาน อาจารย์มาชมรมใส่ชุดนี้ก็ถูกต้องดีแล้วนี่ครับ แล้วกางเกงว่ายน้ำของอาจารย์ก็สวยดีด้วย ผมยังเผลอมองบ่อยๆ เพราะสีสะดุดตาเหลือเกิน”

อาจารย์พลวิทย์หัวเราะเขินอาย “เป็นสีนำโชคของผมครับ ปกติผมไม่ใส่ที่อื่นหรอกครับ กลัวสะดุดตาแบบที่คุณแมนสรวงว่านั่นแหล่ะ”

“แต่อาจารย์ใส่แล้วสวยดีนะครับ ช่วยขับผิวอาจารย์ให้ขาวยิ่งขึ้นด้วย”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณแมนสรวงมีธุระอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”

“ผมจะมาขอบคุณอาจารย์ครับที่ช่วยทำให้อัครหายจากอาการซึมเศร้าไปได้มาก ตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่นี่สองเดือนกว่า ผมว่าช่วงนี้เขาดูร่าเริง ผ่อนคลาย แล้วพูดเยอะขึ้นมาก อันนี้จากที่ได้ทราบจากที่อาจารย์เพชรรายงาน”

“ครับ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนๆ ในชมรม และผมคิดว่าเพราะอัครเขาได้ทำในสิ่งที่เขารักน่ะครับ เขาถึงได้มีความสุขและผ่อนคลายอย่างที่เห็น”

“นั่นล่ะครับที่ผมมาหาอาจารย์ ถึงการว่ายน้ำจะเป็นสิ่งที่เขารักและมีความสุขที่ได้ทำ แต่เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องรับผิดชอบรออยู่ คือกิจการของพ่อเขาที่ผมเป็นผู้ดูแลแทนอยู่ในตอนนี้ และอีกไม่นานเขาจะต้องเข้าไปเรียนรู้งานที่บริษัท บางทีเขาอาจจะมีเวลาสำหรับการว่ายน้ำได้อีกไม่นานนัก”

อาจารย์พลวิทย์รู้สึกตกใจกับข้อมูลใหม่ที่เขาได้รับรู้ใหม่ ใจหนึ่งเขารู้สึกเสียดายความสามารถที่อัครมี แต่ก็เข้าใจในความจำเป็นของลูกศิษย์ด้วย

“อัครรู้เรื่องนี้ไหมครับ?” อาจารย์พลวิทย์ถามเพราะต้องการรู้ว่านี่คือความสมัครใจของลูกศิษย์ด้วยหรือไม่

“ครับ ผมได้คุยรายละเอียดให้เขาฟังบ้าง เขาไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เขาก็ยังอยากคัดตัวทีมเยาวชนอยู่”

อาจารย์พลวิทย์พยักหน้ายอมรับ “แล้วผมจะจัดการเรื่องตารางซ้อมและแผนการแข่งขันของเขาใหม่นะครับ”

“ขอบคุณครับที่อาจารย์เข้าใจดี งั้นผมต้องขอตัวก่อน อ้อ ผมฝากเช็คนี้ให้อาจารย์ไว้ใช้เป็นค่าบำรุงชมรมว่ายน้ำ เป็นเงินส่วนตัวที่อาจารย์ใช้โดยไม่ต้องเบิกกับส่วนกลาง ผมรู้ว่าขั้นตอนมันมากและใช้เวลากว่าจะตกเบิกได้” แมนสรวงวางเช็คที่ควักจากระเป๋าเสื้อลงบนโต๊ะของอาจารย์พลวิทย์ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูตัวเลขแล้วตาโตทันที เพราะมันมีมูลค่าถึง 6 หลักเลยทีเดียว เขามองหน้าแมนสรวงที่จ้องสบตาเขาอยู่

“ไม่มากไปเหรอครับ?” อาจารย์พลวิทย์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“อย่าได้เกรงใจเลยครับอาจารย์ ถือว่าผมตอบแทนที่คนระดับอาจารย์ยอมมาช่วยชมรมว่ายน้ำของโรงเรียนเรา”


ภาติยะเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เขานัดหมู่ยุทธนาเอาไว้ ทั้งคู่ต้องนัดกันมาไกลเพราะไม่อยากให้มีใครมาพบเห็นหรือรับรู้ว่าพวกเขารู้จักกัน เมื่อเข้ามาในร้ายภาติยะกวาดสายตาไปทั่วร้าน ก่อนจะเห็นหมู่ยุทธโบกมือให้อยู่ด้านในสุดของร้าน เขาจึงตรงเข้าไปหา

“ทานอะไรดีครับผู้กอง?” หมู่ยุทธเอ่ยถามแทนบริกรที่มายืนรอรับออเดอร์

“ขอกาแฟร้อนแล้วกัน เช้าๆ อย่างนี้ผมไม่ค่อยได้กินอะไร” พนักงานจดออเดอร์แล้วเดินจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสองได้คุยกัน

“มีความคืบหน้าอะไรครับผู้กอง ถึงโทรตามผมมา?”

“ผมคิดว่าผมเจอเบาะแสบางอย่างแล้ว ถ้าสัญชาตญาณของผมไม่พลาดนะ”ภาติยะเว้นจังหวะเล็กน้อยขณะที่บริกรนำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟที่โต๊ะ “ไอ้อ๋อง มันเป็นเด็กดูแลตึก”

“ทำไมหมวดถึงคิดว่าเป็นมันครับ?”

“ผมเชื่อมโยงจากที่พี่พฤกษ์เขียนถึงในแฟ้ม ผมเลยลองโยนหินถามทางจากมันดู แล้วดูเหมือนว่าจะใช่อย่างที่สงสัย ผมลองให้มันหางานให้ แล้วมันบอกว่ามีงานนึงที่น่าสนใจ แต่ต้องรอถามจากหัวหน้ามันก่อน”

“งานอะไรครับ?”

“งานเสิร์ฟอาหาร”

“งานเสิร์ฟอาหารเหรอครับ?” หมู่ยุทะถามด้วยความสงสัย เขายังไม่แน่ใจว่างานนี้จะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหมวดพฤกษ์ได้อย่างไร

“ใช่ แต่เท่าที่ฟังจะไม่ใช่งานเสิร์ฟอาหารธรรมดา น่าจะเสิร์ฟให้กับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่จะมารวมตัวกัน ผมยังไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร เพราะดูเหมือนมันจะระวังตัวที่จะพูดถึงเรื่องนี้มาก บอกว่าทุกอย่างต้องผ่านหัวหน้ามันก่อนจึงจะให้ข้อมูลกับผมได้”

“งั้นก็น่าสงสัยแล้วล่ะครับ เสียดายที่หมวดพฤกษ์ไม่ได้มีข้อมูลให้เราเชื่อมโยงถึงมันเลย”

“งั้นเราควรเริ่มตรวจสอบจากประวัติของไอ้อ๋องก่อน”

“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้โดยด่วนเลย ว่าแต่มันบอกไหมครับว่าหมวดต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะผ่านเข้าไปทำงานกับมันได้”

“ผมยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดนัก ทุกอย่างคงต้องรอหลังจากที่มันเอารูปผมไปให้หัวหน้ามันดูก่อน” ภาติยะหน้าแดงเมื่อพูดถึงตรงนี้

“รูปเหรอครับ?” หมู่ยุทธรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “ถ้ามันเป็นองค์กรลับที่คัดเลือกคนอย่างระมัดระวัง มันจะคัดคนไปทำงานจากแค่รูปถ่ายเท่านั้นเหรอครับ หรือว่ามันจะไปสแกนสืบหาข้อมูลคนจากรูปถ่ายได้”

“ผมว่าไม่น่าใช่หรอกหมู่” ภาติยะเริ่มรู้สึกกระดากที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมู่ยุทธได้ทราบ “มันคัดคนไปทำงานจากขนาด”

“ขนาด?” หมู่ยุทธทวนคำ ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก “ขนาดตัวเหรอครับ? มันคัดคนไปเสิร์ฟอาหารจากขนาดตัว แปลกมาก”

“ขนาดตัวก็ด้วย แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก” ภาติยะเริ่มออกอาการอ้ำอึ้ง เหงื่อตก “เพราะที่มันต้องการจริงๆ คือคนที่มีขนาดไอ้นั่นใหญ่ๆ”

“ห๊ะ!!!” หมู่ยุทธเผลออุทานเสียงดังจนคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน

“เบาๆ สิหมู่ ทำแตกตื่นไปได้”

“ก็ผมตกใจนี่ครับ แล้วนี่ผู้กองต้องแก้ผ้าให้มันถ่ายรูปเอ่อ... ไอ้นั่นของผู้กองไปให้หัวหน้ามันดูเหรอครับ?”

“ก็ทำนองนั้นนั่นแหล่ะ” ภาติยะอยากยุติบทสนทนาเพียงเท่านั้น แต่ดูเหมือนความอยากรู้ของหมู่ยุทธจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

“หมวดต้องทำอะไรมั่งครับ? เล่าให้ผมฟังหน่อย ท่าทางจะตื่นเต้นน่าดู ต้องปั่นน้องชายให้แข็งด้วยหรือเปล่าครับ?”

“ก็ทำนองนั้น แล้วก็ต้องโพสต์ท่าให้มันถ่ายทั้งตัว ทุกซอกทุกมุมเลย”

“โอ๊ย แค่ฟังก็แข็งตามแล้ว อย่าหาว่าผมทะลึ่งเลยนะครับ แล้วน้องชายผู้กองน่ะใหญ่พอจะผ่านเข้ารอบรึเปล่าครับ?”

“คงไม่มีปัญหา เพราะไอ้อ๋องมันชมน้องชายผมว่าใหญ่และสวยกว่าทุกดุ้นที่มันเคยเห็นมา”

“ผู้กองไม่ได้พูดเองแน่ๆ นะครับประโยคนี้ 555” หมู่ยุทธพูดทีเล่นทีจริง

“ผมจะโกหกทำไม ถ้าไม่เชื่อจะแก้ให้ดู”

“โอ๊ยๆๆๆ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมแค่แหย่ผู้กองเล่นๆ ที่นี่มันไม่เหมาะ ไว้มีโอกาสผมค่อยขอดูน้องชายผู้กองให้เป็นบุญตาละกัน อยากรู้ว่าจะเจ๋งจริงอย่างที่ไอ้อ๋องมันว่าหรือเปล่า งั้นผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวจะตามสืบเรื่องไอ้อ๋องให้ แล้วจะติดต่อผู้กองอีกทีครับ” หมู่ยุทธลุกจากที่นั่นเดินออกจากร้านไป หล่อยให้ภาติยะนั่งเกร็งด้วยอารมณ์ที่เสียวกระสันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นอยู่คนเดียว

อาจารย์พลวิทย์เดินมาส่งแมนสรวงที่รถของเขา และเนื่องจากเห็นว่าที่ชมรมว่ายน้ำอยู่ท้ายโรงเรียน คนไม่พลุกพล่าน เขาจึงเดินมาโดยสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำสีส้มสดตัวเดียว

“ขอบคุณอาจารย์นะครับ ส่งผมเท่านี้ก็ได้”

อาจารย์พลวิทย์อดไม่ได้ที่จะพูกสิ่งที่เขาอัดอั้นตันใจเอาไว้ “แต่ผมก็อยากจะให้คุณแมนสรวงลองไปคิดดูอีกครั้งนะครับ ลองถามความต้องการของอัครด้วยว่าเขาต้องการอะไร อย่างน้อยหลังจากผ่านการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ครับ บอกตรงๆ ผมเสียดายพรสวรรค์และความสามารถที่เขามี”

“ครับ แล้วผมจะลองคุยกับเขาดู”

ความเงียบเข้าครอบงำชายทั้งสองอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่แมนสรวงจะทำลายความเงียบขึ้นมา

“อาจารย์มีครอบครัวรึยังครับ?”

พลวิทย์แปลกใจต่อคำถามของชายที่เดินเคียงข้าง แต่ก็ตอบไปตามความจริง “ยังครับ แต่มีคนที่ดูใจกันอยู่ มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เปล่าครับ ผมเห็นอาจารย์ทุ่มเทให้เด็กๆ แบบนี้ เลยคิดไปว่าอาจารย์น่าจะมีครอบครัวแล้ว และเป็นพ่อที่น่ารักของเด็กๆ”

“คงยังไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้หรอกครับ ผมส่งคุณแมนสรวงแค่นี้นะครับ เรื่องเช็คผมจะจัดการให้อย่างดี ขอบคุณแทนสมาชิกชมรมว่ายน้ำด้วยครับ”

แมนสรวงก้าวขึ้นบนรถ เขามองอาจารย์พลวิทย์ที่ยืนส่งเขาด้วยความรู้สึกที่หวิวหวั่น ภาพอาจารย์หนุ่มผิวขาว ร่างสูงเนื้อตัวเต็มไปด้วยใดกล้ามน้อยๆ อยู่ในบิกินี่ตัวจิ๋วตัวเดียว ปลุกกำหนัดเขาได้เป็นอย่างดี เขาตัดสินใจขับรถออกจากลานจอดนั้นไปก่อนที่ไฟระคะจะลุกโชนไปมากกว่านี้ และทำให้สิ่งที่เขาเก็บงำเป็นความลับมานานต้องเปิดเผย

ขณะที่รถของแมนสรวงขับออกไป ก็มีรถอีกคันใหม่ขับมาจอดแทนที่ พลวิทย์จำได้ว่ามันเป็นรถของอาจารย์เพชร ที่ตอนนี้เจ้าตัวมองภาพของพลวิทย์ในชุดว่ายน้ำตัวเดียวด้วยความหื่นกระหายใจเต้นรัว แม้จะเคยเห็นอาจารย์พลวิทย์ในชุดว่ายน้ำมาบ้าง แต่ทุกครั้งเป็นชุดของชมรมที่ถูกทับด้วยเสื้อโปโล จนปิดบังสัดส่วนที่ควรเปิดเผยไปเสียหมด นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์พลวิทย์เปิดเผยเนื้อตัวต่อหน้ามากขนาดนี้

ในสมองของอาจารย์เพชรตอนนี้ กำลังคิดหาวิธีที่จะใกล้ชิดอาจารย์พลวิทย์ให้มากกว่านี้ และถ้าโชคดีอาจจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นก็เป็นได้

“อาจารย์เพชร มาทำอะไรครับวันหยุด?” พลวิทย์เป็นฝ่ายทักผู้มาใหม่ก่อน อาจารย์เพชรก้าวลงจากรถลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส

“พี่ไปซื้อของมาเตรียมงานวันสถาปนาโรงเรียนฮ่า ว่าแต่อาจารย์วิทย์มาทำอะไรตรงนี้ฮ้า? ดูสิแต่งตัวเซ็กซี่เชียว” พอโดนทักชายหนุ่มจึงรู้วึกเขินขึ้นมา อากาศรอบกายเริ่มเย็นขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ

“ผมมาส่งคุณแมนสรวงครับ แกแวะมาคุยกับผมเรื่องนายอัคร”

“ต๊าย!!! คุยกันในชุดนี้เหรอคะ? แถมยังเดินมาส่งถึงนี่ ไม่ประเจิดประเจ้อไปหน่อยเหรอคะเนี่ย”

“คงไม่มีอะไรหรอกครับ” พลวิทย์หัวเราะเขินแก้เก้อ

“แต่เจออาจารย์ก็ดีแล้ว พี่ซื้อของมาเยอะ ว่าจะตามยามจุ่นมาช่วย แต่ตอนนี้คงต้องขอรบกวนอาจารย์วิทย์แทนซะแล้ว”

“อ้อ ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา” อาจารย์พลวิทย์กุลีกุจอเข้าไปช่วยขนของที่เบาะด้านหลัง ซึ่งเป็นของใหญ่ๆ หลายชิ้น เขาขนของเดินตามอาจารย์เพชรที่หิ้วถุงเล็กถุงน้อยเดินนำหน้าตรงไปที่ห้องส่วนตัวของอาจารย์เพชรที่อยู่ข้างๆ ชมรมว่ายน้ำ

อาจารย์เพชรเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้นเพื่อให้สะดวกต่ออาจารย์พลวิทย์ในการนำของเข้าไปในห้อง “อาจารย์วิทย์เอาของมาวางตรงนี้ก่อนฮ่า”

อาจารย์พลวิทย์วางของเสร็จ กำลังจะลาเจ้าของห้องกลับไปที่ชมรมว่ายน้ำ แต่ก็ถูกเจ้าของห้องรั้งเอาไว้อีก

“อาจารย์วิทย์ฮ้า ไหนๆ ก็ช่วยมาขนาดนี้แล้ว ช่วยต่ออีกนิดนะฮ้า ช่วยยกกล่องพวกนี้ขึ้นชั้นข้างบนให้พี่หน่อย มันเยอะจนรกไปหมดแล้ว” พลวิทย์มองกล่องที่ตั้งวางซ้อนกันอยู่หลายใบ ในขณะที่อาจารย์เพชรเดินไปลากบันไดเหล็กเตี้ยๆ สูงเพียง 3 ขั้นมาวางด้านหน้าชายหนุ่ม อาจารย์พลวิทย์จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เขายกเก้าอี้ไปวางด้านล่างของชั้นวางของที่ตั้งอยู่ด้านบนของห้องสูงเหนือศีรษะ เพื่อใช้เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว

“ขึ้นไปเลยฮ้า เดี๋ยวพี่ช่วยส่งกล่องให้ ไม่หนักหรอก มีของไม่กี่อย่าง”อาจารย์พลวิทย์ขึ้นไปยืนที่ชั้นบนสุดของบันไดเหล็ก ในขณะที่อาจารย์เพชรช่วยหยิบกล่องกระดาษใบใหญ่ส่งให้อาจารย์พลวิทย์

อาจารย์เพชรอาศัยจังหวะที่อาจารย์พลวิทย์ยกของลอบมองเรือนร่างล่ำสันแข็งแกร่งของอาจารย์พลวิทย์ทีละส่วน ขนรักแร้ของชายหนุ่มที่ขึ้นไม่มากนัก กล้ามอกกล้ามท้องที่ขึ้นเป็นลอนในขณะที่เกร็งตัวเพื่อยกของ เป้ากางเกงว่ายน้ำสีส้มสดที่โดนรั้งขณะที่ยืดตัวจนเห็นเป็นรูปร่างร่องรอยของท่อนลำอย่างชัดเจน อาจารย์เพชรเผลอเลียริมฝีปากโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นว่ามันกำลังค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นทีละน้อยๆ

“หมดแล้วเหรอครับอาจารย์เพชร?” เสียงอาจารย์พลวิทย์ทำให้อาจารย์เพชรสะดุ้งตื่นตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายที่กำลังมองจากเป้าตุงๆ มาเป็นใบหน้าชายหนุ่มที่ยืนบนบันไดเหล็กแทน

“ฮ่า เรียบร้อยแล้วฮ่า”

อาจารย์พลวิทย์ลงจากบันไดมายืนบนพื้น มองไปรอบห้องก่อนจะกล่าวว่า“เรียบร้อยแล้วนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปดูเด็กๆ ที่ชมรมก่อนนะครับ”

อาจารย์เพชรยิ้มแหยๆ พยักหน้าตอบคำถามชายหนุ่ม “ฮ่า เรียบร้อยแล้วฮ่า ขอบคุณอาจารย์วิทย์มากๆ นะฮ้า”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ ยินดีรับใช้”

อาจารย์พลวิทย์เดินออกจากห้องไป โดยอาจารย์เพชรทำได้แค่ยืนมองตาละห้อย “คราวหน้าจะไม่ปล่อยให้เดินออกไปง่ายๆ แบบนี้แน่นอน เอาหัวอาจารย์เพชรเป็นประกัน”

ตอนที่ 14

อีกหนึ่งสัปดาห์จะถึงวันจัดงานครบรอบการก่อตั้งโรงเรียนเปรมปรีดา

อาจารย์เพชรเดินนำแมนสรวงตรวจดูการตกแต่งสถานที่สำหรับการจัดงาน ที่ปีนี้มีการจัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ส่วนหนึ่งเพราะโรงเรียนเปรมปรีดาเพิ่งได้รับรางวัลจากหน่วยงานภาครัฐในฐานะที่เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ ขณะที่แมนสรวงเจ้าของโรงเรียนก็เพิ่งได้รับรางวัลนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านธุรกิจและการทำงานเพื่อสาธารณกุศล อาจารย์เพชรซึ่งปกติก็มักทำงานเอาหน้าอยู่แล้ว ก็ไม่พลาดที่จะเสนอกิจกรรมที่ใหญ่โตเพื่อหวังสร้างความพึงพอใจให้กับเจ้านาย และเมื่อแมนสรวงเห็นการจัดการด้านสถานที่และโปรแกรมการจัดกิจกรรมที่อาจารย์เพชรเสนอ ก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ เพราะทุกอย่างเหมือนผ่านการเตรียมการที่ทุ่มเทเป็นอย่างมาก

“จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากให้งานมันออกมาหรูหรามากนัก เพราะโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่อุปถัมป์เด็กด้อยโอกาสทางสังคม ให้เขาได้มีสถานที่ซึ่งเหมือนเป็นที่พักพิงให้กับเขา และให้ความรู้กับเขาเพื่อที่เขาจะได้จบออกไปใช้ชีวิตข้างนอกได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขต่อไป ผมเลยกลัวว่าคนจะครหาถ้าเราจัดงานอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย แตฟังที่อาจารย์เพชรอธิบายคอนเซ็ปต์งานให้ผมทราบ ผมก็โอเคและตกลงให้จัดการไปตามที่อาจารย์เพชรต้องการได้เลย”

อาจารย์เพชรหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเมื่อได้รับคำชื่นชม ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสี่ยสมศักดิ์ก็เดินเข้ามาสมทบกับคนสองคน

“น่าจะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมแห่งปีของจังหวัดเราเลยนะครับคุณแมนสรวง”

“ขอบคุณครับ ส่วนหนึ่งนอกเหนือจากทีมงานของโรงเรียนที่ช่วยกันทำงานจนออกมาเป็นรูปร่างขนาดนี้แล้ว ผมคงต้องขอขอบคุณเสี่ยด้วยครับ ที่ช่วยเหลืออุดหนุนทางด้านการเงินให้กับโรงเรียน ทุกวันนี้ผมไม่ต้องควักเนื้อตัวเองมากนักก็ด้วยความช่วยเหลือจากผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดที่เมตตาคนนอกอย่างผม”

“ไม่ต้องเกรงใจ จริงๆ ที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดของคุณพ่อคุณนี่ คุณถึงเลือกมาเปิดโรงเรียนเปรมปรีดาที่นี่ ตั้งแต่โรงเรียนคุณมาตั้งที่นี่ กลายเป็นว่าจังหวัดเล็กๆ ของเรากลายเป็นที่พูดถึงมาก และเริ่มมีคนเข้ามาท่องเที่ยวกันจนเศรษฐกิจในจังหวัดดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก พวกเราต่างหากที่ต้องขอขอบคุณคุณแมนสรวง ถ้าไม่มีคุณพวกเราคงมีชีวิตที่น่าเบื่อ ไร้สีสันแน่ๆ” ประโยคหลังของเสี่ยส่งความหมายเชิงนัยยะที่รับรู้และเข้าใจกันเอง จนอาจารย์เพชรเริ่มรู้สึกเป็นส่วนเกินจึงขอตัวเดินออกไปเตรียมงานต่อ เพราะเหลือเวลาจัดการไม่ถึงสัปดาห์แล้ว

“แล้วที่คุณบอกว่าเราจะมีงานสังสรรค์สมาชิกแบบจัดคู่ขนานไปกับงานนี้ด้วยนี่มันยังไงกัน?”

“ผมมีแขกพิเศษที่เราจะได้เปิดประมูลกันอีกครั้ง รับรองว่าต้องมีการแย่งประมูลกันดุเดือดแน่ แล้วอีกอย่าง ถึงกำหนดที่หมวดพฤกษ์ต้องเปลี่ยนนายอีกด้วย เราจะจัดประมูลสองงานไปด้วยกันในคืนนั้น ว่าแต่เสี่ยเถอะ จัดการหมวดนั่นสมกับราคาที่ประมูลไปแล้วหรือยัง?”

“แน่นอน นักธุรกิจอย่างผมลงทุนอะไรไปแล้วต้องถอนทุนอย่างคุ้มค่าแน่นอน” เสี่ยสมศักดิ์หัวเราะเสียงดังกึกก้องด้วยความสะใจ

ภาติยะกำลังหลับสบายตอนที่เสียงเคาะประตูดังปลุกเขาขึ้นมา ชายหนุ่มลุกจากเตียงนอนในสภาพสวมเพียงกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเดินไปเปิดประตูห้องพักของเขา เมื่อประตูเปิดออกเขาเห็นไอ้อ๋องและไอ้บอยยืนยิ้มกริ่ม ในแววตามีแววความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ นายตำรวจหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน มันเห็นสายตาของทั้งคู่ที่โลมเลียเรือนร่างเกือบเปลือยของเขาแล้วรู้สึกขนลุกซู่ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือเชื้อเชิญทั้งคู่ให้เข้ามาในห้อง

“มาพร้อมหน้ากันขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ?” ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามผู้มาเยือนทั้งสอง

ไอ้อ๋องยิ้มกริ่มเดินเข้ามาหาเขา “มีข่าวดีมาบอกพี่ เรื่องงานที่พี่ลงทุนแก้ผ้าให้ผมถ่ายรูปไปเสนอเจ้านาย พี่รู้ไหม พอเจ้านายผมเขาเห็นรูปควย เอ๊ย รูปพี่เท่านั้น เขาไม่ถามอะไรผมสักคำ รับพี่เข้าทำงานทันที”

“จริงเหรอวะ นี่ข้าจะได้เข้าไปทำงานในนั้นแล้วเหรอ?” ภาติยะเผลอแสดงอาการลิงโลดออกมาโดยไม่รู้ตัว หลังมองเห็นโอกาสและความก้าวหน้าที่จะได้ตามสืบคดีการหายตัวไปของหมวดพฤกษ์

“เกือบจะจริงแล้วพี่”

คำพูดของไอ้อ๋องทำให้อาการดีใจของภาติยะสะดุดลงทันที เขาหันไปมองหน้ามันแล้วเอ่ยถามว่า “หมายความว่ายังไงวะ?”

“เอ่อ คืออย่างนี้พี่” ไอ้อ๋องทำท่าทางไม่กล้าพูด จนภาติยะต้องขึ้นเสียงดัง

“มีอะไรก็รีบพูดมา มัวแต่อมพะนำข้าจะรู้ได้ยังไง”

“เจ้านายผมเขาอยากมั่นใจว่าพี่จะละทิ้งความอายแล้วทำงานนี้ได้จริงๆ เขาไม่อยากให้พี่เข้าไปในงาน แล้วสุดท้ายไม่กล้าออกไปทำงาน เขาจะเสียหายนะพี่ เขามีแขกเหรื่อคนสำคัญในงานตั้งหลายคน เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น แล้วระหว่างที่พี่ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหาร พี่อาจต้องโดนจับ โดนลูบ โดนอะไรต่อมิอะไรแบบถึงเนื้อถึงตัว ถึงลูกถึงคน เขาต้องมั่นใจว่าพี่จะรับมันได้ทุกอย่าง และไม่ทำอะไรกับแขกในงานจนทำให้เสียชื่อเสียง”

ไอ้อ๋องร่ายคำพูดยาวเหยียดแบบยกแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยาย

“แล้วจะให้ข้าทำยังไง? เจ้านายเอ็งเขาถึงจะเชื่อ”

“พี่ต้องยอมถูกถ่ายคลิปครับ”

“คลิปอะไร?”

“คลิปที่พี่โดนพวกผมเย็ด”

“ห๊ะ!!!!” ภาติยะเผลอร้องเสียงสูงด้วยความตกใจ

“เรื่องจริงไม่อิงนิยายครับ ผมต้องส่งคลิปที่พี่จะโดนพวกผมเย็ดไปให้เจ้านายดูภายในวันนี้ ไม่อย่างนั้นงานนี้พี่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมนะครับ”

“เห้ย เกินไปหน่อยหรือเปล่าไอ้อ๋อง” น้ำเสียงภาติยะแฝงความไม่พอใจนิดๆ

“โถ่พี่ อย่ามาลงที่ผมสิ ผมก็แค่คนรับคำสั่งเขามาอีกที เจ้านายผมเขาสั่งผมมาแบบนี้ ผมก็มาบอกต่อพี่ ผมรู้ว่าผู้ชายแมนๆ แบบพี่คงไม่ยอมถูกใครเย็ดหรอก ได้ๆ ผมบอกเจ้านายให้ว่าพี่ไม่ทำ”

ไอ้อ๋องรีบลุกออกจากห้องเพราะกลัวภาติยะไม่พอใจ ส่วนไอ้บอยเมื่อเห็นลูกพี่มันเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไปมันก็ทำทีเป็นจะออกจากห้องตามลูกพี่มันไป แต่พอไปถึงตัวภาติยะมันกลับประชิดตัว และกระซิบคำพูดที่หูภาติยะว่า “พี่ไม่อยากช่วยหมวดพฤกษ์เหรอ?”

ภาติยะสะดุ้งตาโตตกใจกับคำพูดของไอ้บอย เขาหันหน้าไปหามันช้าๆ เห็นมันจ้องมองหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว

“หมวดโดนทรมานหนักมากนะพี่ ถ้าพี่ไม่ไปช่วยคราวนี้ ไม่รู้ว่าหมวดจะถูกประมูลไปไหน พี่อาจไม่ได้เจอหมวดอีกเลยก็ได้”

“มึงพูดเรื่องอะไร?”

“พี่ไม่ต้องปิดผมหรอก ผมรู้ว่าพี่คือใคร หมวดพฤกษ์เล่าเรื่องพี่ให้ผมฟังแล้ว และหมวดยังบอกด้วยว่าเล่าเรื่องผมให้พี่ฟังไว้เหมือนกัน พี่ต้องไว้ใจผมนะ หมวดพฤกษ์อยู่ในอันตรายมาก และพี่อย่าหวังว่าตำรวจที่โรงพักนั้นจะช่วยอะไรได้ หมู่ยุทธก็คนของมัน”

ภาติยะตกใจกับคำบอกเล่าของไอ้บอย เขารู้สึกว่าความคิดสับสนไปหมดแล้วตอนนี้ ขณะกำลังประมวลเรื่องราวทุกอย่างอยู่ในหัว ไอ้อ๋องก็กลับมาที่ห้อง

“ไอ้บอย มึงจะอยู่ทำเหี้ยอะไร มาได้แล้ว เร็วๆ”

“เดี๋ยว” คำพูดสั้นๆ คำนั้นของภาติยะทำให้บรรยากาศตรงนั้นตกอยู่ในความเงียบงันทันที

“กูคงปฏิเสธไม่ได้สินะ พวกมึงคงกำหนดบทบาททุกอย่างมาให้กูหมดแล้ว” เสียงของนายตำรวจหนุ่มแผ่วเบาคล้ายรำพันกับตัวเอง

“แก้ผ้าออก แล้วขึ้นไปนอนแอ่นตูดรอบนเตียงเลย” ไอ้อ๋องได้ทีออกคำสั่งกับภาติยะทันที

ภาติยะที่นั่งอยู่ขอบเตียงลุกขึ้นยืนช้าๆ ค่อยๆ หันหน้าไปมองไอ้บอย เห็นไอ้บอยกำลังเปิดกล้องในมือถือรอบันทึกภาพช็อตสำคัญในชีวิตของเขา เหลียวมองไปอีกทางเห็นไอ้อ๋องค่อยๆ ถอดเสื้อของมันออกจากตัวช้าๆ ภาติยะเห็นร่างขาวนั้นบวมเผละเต็มไปด้วยไขมัน เนื้อตัวมันอาบ เขาจ้องมองตอบสายตาไอ้อ๋องก่อนจะค่อยๆ เอามือถลกกางเกงตัวเองลงไปกองกับพื้นอย่างช้าๆ ไม่นานควยดุ้นงามของเขาที่มีอาการตื่นเล็กๆ ก็ออกมาอวดศักดาท้าทายสายตาไอ้เด็กดูแลตึกทั้งสอง เขาไม่นึกเลยว่าหน้าที่ตำรวจจะพาเขามาถึงจุดนี้ ชายหนุ่มค่อยๆ เดินไปที่เตียงที่ตอนนี้สำหรับเขามันมีสภาพไม่ต่างจากโรงเชือด สายตาเหลือบมองไอ้อ๋องเห็นมันกำลังรูดควยดำๆ ตัดกับผิวขาวของมันให้ขึ้นลำเต็มที่ เขาก้าวขึ้นเตียงเอาแขนทั้งสองข้างเกาะหัวเตียงเอาไว้ ขณะที่ค่อยๆ โค้งตัวยันเข่าลงกับพื้นเตียงและกระดกก้นรอการมาเยือนของควยดุ้นเขื่องของไอ้อ๋อง

“ไม่นึกเลยนะพี่ว่าจะมีวันนี้ ขอโทษทีที่ไม่มีอะไรหล่อลื่นเลย เดี๋ยวอ๋องใช้ปากเลียดากให้พี่ก่อนแล้วกันนะ”

ไอ้อ๋องค่อยๆ ลงลิ้นไปที่รูตูดของนายตำรวจหนุ่ม ลิ้นของมันเลียกระดกขึ้นลงอย่างช้าๆ รับรู้ถึงความสากจากขนที่ขึ้นอยู่รอบๆ รูตูดของนายตำรวจหนุ่ม ก่อนที่มันจะใช้ลิ้นค่อยๆ ควานเข้าไปในร่องรูทวารของชายหนุ่ม กลิ่นความเป็นชายของภาติยะลอยมาเตะจมูกของไอ้อ๋อง ยิ่งเพิ่มความรัญจวนเสียวซ่านให้กับมันเป็นเท่าทวีคูณ ลิ้นที่ค่อยๆ เลียอยู่นั้นเริ่มไล่จากรูตูดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ภาติยะรู้สึกเสียวจนเผลอขมิบตูดและส่งเสียงร้องครางออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบเข้ากับกล้องมือถือที่กำลังบันทึกภาพอยู่ ใบหน้าที่ปรากฏในกล้องแสดงให้เห็นถึงความเสียวแบบเต็มกำลัง กล้องนั้นโลมเลียไปทั่วร่างของนายตำรวจหนุ่ม ไล่จากใบหน้าไปตามแผ่นหลัง ก่อนจะมาจ่ออยู่ตรงรูตูดของเขา ที่ตอนนี้มีควยท่อนโตที่แข็งเต็มที่ของไอ้อ๋องกำลังจ่อรอเตรียมพังประตูอยู่

ไอ้อ๋องเอามือเอื้อมมาจับหัวไหล่ภาติยะเอาไว้กันไม่ให้เขาขยับตัวหนี แล้วค่อยๆ เอาควยที่แข็งเต็มที่ทะลวงดากของนายตำรวจหนุ่ม กว่าจะผ่านไปแต่ละคืบ มันช่างยากลำบาก เพราะรูตูดของภาติยะฟิตมากเพราะไม่เคยโดนอะไรล่วงล้ำมาก่อน และมันทำให้ภาติยะเจ็บปวดจนร้องโอดโอยเสียงดังลั่นห้อง ภาพสีหน้าเหยเกนั้นถูกไอ้บอยบันทึกไว้จนหมด

“ผมเป็นผัวพี่คนแรกเลยใช่มั้ย มันถึงได้ฟิตขนาดนี้......”

ไอ้บอยใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลในคราวแรกที่มันพิชืตความเป็นชายของนายตำรวจหนุ่ม หากแต่เมื่อควยของมันเข้าที่เข้าทางและเริ่มการซอยแบบไม่ยั้ง น้ำเสียงที่มันพูดกับภาติยะก็เปลี่ยนตามไป

“ไอ้เหี้ย ตูดมึงตอดควยกูชิบหาย เอากับผู้หญิงยังไม่เสียวเท่านี้ เปลี่ยนไปทำอาชีพกะหรี่ดีกว่ามั้ยมึง”

“โอยยยยย......” เสียงร้องโอดโอยพร้อมกับสีหน้าที่เสียวสุดกำลัง ร่างที่กระเพื่อมไปตามแรงเย็ดของไอ้อ๋องถูกไอ้บอยบันทึกไว้หมด แล้วอยู่ๆ ภาพในกล้องก็เปลี่ยนจากที่ซูมตรงตูดที่กำลังโดนควยเย็ดเข้าออก ถูกเลื่อนช้าๆ ไปหยุดอยู่ที่หน้าของภาติยะแทน สักพักควยดุ้นเขื่องสีขาวที่ต่างจากควยของไอ้อ๋องก็โผล่หน้าออกมาร่วมฉากด้วย ควยนั้นค่อยๆ จ่อเข้าไปที่ปากของนายตำรวจหนุ่ม วึ่งเขาพยายามเบือนหน้าหนี แต่ถูกมืออีกมือหนึ่งจับเข้าไปที่คางแล้วบังคับให้หันกลับมาที่ควยดุ้นเดิม

“มาขนาดนี้ ไม่มีอะไรต้องเสียแล้วพี่ โดนเย็ดทั้งดาก แล้วยังมาโดนเย็ดในปากอีก โคตรใช้ชีวิตผู้ชายคุ้มเลยนะพี่”

แล้วไอ้อ๋องกับไอ้บอยก็แผดเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจ ภาติยะหน้าแดงด้วยความอับอาย เขาไม่เคยคิดเลยว่านายตำรวจชาติอาชาไนยสมชายชาตรีอย่างเขา จะมาถูกผู้ชายด้วยกันเย็ด แถมไอ้คนที่เย็ดเขายังเป็นแค่ไอ้เด็กเฝ้าตึก คอยส่งข้าวส่งน้ำให้กับเขา

ไอ้อ๋องไม่บันยะบันยังกระหนำเย็ดเขาอย่างสะใจ คำที่มันพูดกับเขาก็ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นนายตำรวจของเขาแทบหมดไป “ชอบไหมพี่ เสียวไหม ผู้ชายมาดแมนอย่างพี่ต้องยอมมาถูกเย็ด กูโคตรสะใจเลยว่ะ อยากรู้จังว่าถ้าหัวหน้าเห็นคลิปนี้แล้ว จะตบรางวัลให้กูเท่าไร ได้ทำหน้าที่เปิดบริสุทธิ์แบบเย็ดฟรีๆ ไม่ต้องไปเสียเงินประมูล คุ้มยิ่งกว่าคุ้มจริงๆ เลยกู 555”

ขณะที่ไอ้บอยก็กระเด้าควยเข้าๆ ออกๆ ปากเขาจนเขาหายใจแทบไม่ทัน เกือบสำลักอยู่หลายที ไม่นานสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็มาถึง ไอ้บอยน้ำแตกคาปากของเขา ภาติยะรีบถอนปากออกตามสัญชาติญาณแต่กลับถูกมือของไอ้บอยบีบปากเขาไว้ไม่ยอมให้อ้าออก มันคือการบังคับให้เขาต้องกลืนกินน้ำเงี่ยนของมันลงคอ ภาติยะรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวของไอ้บอยที่ผ่านลำคอเขาไป ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้น รูตูดของเขาก็รับรู้ถึงแรงฉีดจากน้ำเงี่ยนของไอ้อ๋องที่เข้ามาในตัวของเขา นาทีนั้นภาติยะรู้สึกหมดสิ้นแล้วซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นชาย นายตำรวจอนาคตไกลอย่างเขาต้องเอาเกียรติเข้าแลกกับการตามสืบคดีที่ยังไม่อาจรับประกันได้เลยว่าผลจะลงเอยอย่างไร ภาติยะฟุบตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนล้าหมดแรง ทั้งที่ตูดยังมีควยของไอ้อ๋องคารูอยู่ เขาพยายามสะกดกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้หลั่งออกมาให้ใครเห็น ทั้งที่ในใจมันไหลรินออกมาเจิ่งนองไม่แพ้น้ำกามจากไอ้เด็กเดนมนุษย์ทั้งสองคนนี้

“สะใจไหมพี่?” ไอ้อ๋องถามน้ำเสียงเจืออารมณ์ขันแกมเย้นหยัน “ผมไม่เคยเสียวกับตูดใครขนาดนี้มาก่อนเลย”

ภาติยะหันมองหน้ามันด้วยสายตาแสดงความอาฆาต “มึงถอดถุงยางออกเหรอไอ้อ๋อง?”

“ใจเย็นๆ พี่ ก็ใส่ถุงยางมันไม่ได้อารมณ์ ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมไม่รังเกียจหรอกว่าพี่ผ่านอะไรมาบ้าง แม้กระทั่งอีสวยก็เถอะ”

“มีงนี่มัน” ภาติยะปรี่จะเข้าไปต่อยไอ้อ๋องด้วยความโมโห แต่ถูกมือของไอ้บอยดึงเอาไว้

“ใจเย็นๆ สิพี่ พี่ยังต้องพึ่งพวกผมอีกหลายเรื่องนะ อย่าเพิ่งเกลียดกันตอนนี้เลย ไปล้างตูด ล้างควย ล้างดาก รวมทั้งล้างปากของพี่ให้สะอาดก่อนเถอะ ดูสภาพตัวเองตอนนี้สิพี่ เหมือนลูกหมาตกน้ำเงี่ยนเลย แม่งไหลนองไปหมดทั้งตัวเลย โคตรน่าสมเพช”

แล้วไอ้เด็กเฝ้าตึกทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยความสะใจ

“เออๆ ชอบว่ะ ลูกหมาตกน้ำเงี่ยน แม่งเหมือนชิบหาย ตอนนี้ไม่รู้น้ำใครเป็นน้ำใคร ไหลรวมกันจนเจิ่งนองไปหมดแล้ว”

ภาติยะได้แต่ยืนคอตกสมเพชตัวเอง

“เอาน่าพี่ อย่างน้อยสิ่งที่พี่เสียไปวันนี้ มันต้องได้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่าแน่นอน ผมรับรอง” ไอ้บอยบอกเป็นนัยๆ

“โอเค ภารกิจพิชิตตูดผู้ชายของเราวันนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีแล้ว พี่เตรียมตัว ฟิตตัวเองรอได้เลย อีกหนึ่งอาทิตย์พี่จะได้ร่วมในสมรภูมิกามอย่างแน่นอน แต่ระหว่างนี้ ถ้าเผื่อพี่เกิดเงี่ยน อยากโดนเยตูดขึ้นมาวันไหน เรียกใช้บริการเราสองคนได้เลยนะ 555”

แล้วไอ้อ๋องและไอ้บอยกรีบแต่งตัวออกจากห้องของภาติยะไปด้วยความสำราญบานใจทันที ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนสะกดกั้นสงบสติอารมณ์อยู่เพียงลำพัง ในหัวของเขาฟุ้งซ่านจนไม่อาจปะติดปะต่อความคิดทั้งหมดที่มีได้อีกต่อไป

อัครตื่นจากสมาธิตอนที่ได้ยินเสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่ให้ตั้งแถวตามเพื่อเดินไปที่สระว่ายน้ำ หลังจากที่เขากลายเป็นสมาชิกของชมรมว่ายน้ำโรงเรียนเปรมปรีดา นี่คือการแข่งขันรายการสำคัญที่สุดของเขา เพราะมันเป็นการแข่งขันเพื่อคัดเลือกตัวแทนระดับจังหวัดเพื่อคัดเป็นตัวแทนทีมชาติ ที่ผ่านมาเขาทุ่มเทเวลาเพื่อการฝึกซ้อมรายการสำคัญนี้อย่างหนัก รวมทั้งอาจารย์พลวิทย์เองก็ให้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อมาฝึกสอนเขา และคุณแมนสรวงที่คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับเขาทุกอย่าง ทั้งหมดนี้ทำให้อัครทั้งรู้สึกกดดัน แต่ขณะเดียวกันก็มีพลังที่จะช่วงชิงเอาชัยชนะนี้มาเป็นของเขาให้จงได้

อัครเดินมาถึงสระว่ายน้ำ และเข้าประจำในตำแหน่งของเขา คือลู่หมายเลข 3 เขาเหลียวมองไปทางอัฒจรรย์ คนบนนั้นมีเป็นจำนวนมากจนเขาไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร แต่เหลียวซ้ายแลขวาไปไม่เท่าไรเขาก็เห็นอาจารย์พลวิทย์โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางคนอื่นๆ อาจารย์ของเขากำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น เขาเห็นความรู้สึกที่หลากหลายแผ่กระจายออกมาจากร่างที่นิ่งไม่ไหวติงนั้น พอมองได้สักพักเขาก็เห็นไอ้โอ๊ตนั่งอยู่ติดๆ กับอาจารย์พลวิทย์ และเห็นเพื่อนสมาชิกในชมรมอีกสองคนนั่งถัดออกไป ไม่นานชื่อของเขาก็ถูกขานออกมาจากผู้บรรยายในสนาม และอัครก็ลุกขึ้นยืนเพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น

เสียงประกาศจากผู้บรรยายในสนามบอกให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเตรียมพร้อมขึ้นไปประจำที่แท่นปล่อยตัว อัครก้าวขึ้นไปยืนโชว์กล้ามแกร่งที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักของเขา กรรมการให้สัญญาณเตรียมพร้อม วินาทีนั้นสายตาของอัครเหลือบมองไปที่โค้ชของเขาอีกครั้ง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือสิ่งที่เขาแทบจะจดจำมันไม่ได้ ทันทีที่ร่างของเขาพุ่งลงไปที่สระว่ายน้ำ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ เขาจ้วงว่ายแบบไม่คิดชีวิต และรู้สึกตัวอีกทีตอนที่มือของเขาเอื้อมแตะขอบสระเป็นคนแรก

เสียงทุกอย่างกลายเป็นความอื้ออึง อัครรู้สึกว่าตัวเองหูดับไปชั่วขณะ เขาหอบหายใจสายตามองผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ทยอยว่ายเข้ามาแตะขอบสระในเวลาไล่เลี่ยกัน พอรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาพยายามกลับไปมองหาโค้ชของเขา แต่กวาดสายตาเท่าไรก็ไม่พบอาจารย์พลวิทย์ เห็นแต่ไอ้โอ๊ตและเพื่อนอีกสองคนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แล้วพยายามหาทางวิ่งลงมาจากอัฒจรรย์

อัครค่อยๆ ขึ้นจากสระว่ายน้ำ เขารู้สึกว่าสายตาทุกคู่ที่อยู่ณ.ที่นั้นต่างมองมาที่เขา พร้อมตั้งคำถามถึงเด็กแปลกหน้าคนหนึ่งที่กลายเป็นผู้ชนะ เขาเห็นไอ้โอ๊ตวิ่งมาที่ด้านหน้าสุดของอัฒจรรย์ แล้วโบกมือพร้อมร้องเรียกเขา อัครเดินเข้าไปหา

“ดีใจด้วยมึง มึงเก่งมาก กูโคตรภูมิใจในตัวมึงเลย”

“อาจารย์วิทย์ล่ะ?”

“แกออกไปรับโทรศัพท์ มีสายเรียกเข้ามาทันทีเลยตอนที่มึงแตะขอบสระเสร็จ”

“ใครโทรมา?”

“มีอะไรวะไอ้นัย” เสียงอาจารย์พลวิทย์ทักเพื่อนผ่านมือถือหลังอัครเอื้อมมือแตะขอบสระเพียงไม่กี่วินาที เขารีบลุกจากที่นั่งบนอัฒจรรย์เพราะเสียงเชียร์ที่ดังอาจทำให้ได้ยินเสียงเพื่อนสนิทไม่ชัดเจน

“ยินดีกับมึงและลูกศิษย์ของมึงด้วย”

“เร็วชิบหาย แต่ก็ขอบใจมึงมาก กูไม่ได้รู้สึกดีกับตัวเองขนาดนี้มานานแล้ว”

“กูแค่จะโทรมาบอกว่า วันงานครบรอบวันก่อตั้งโรงเรียน จะมีช่วงฉลองความสำเร็จให้มึงกับลูกศิษย์ด้วย โดยเฉพาะมึงนะไอ้วิทย์ กูมีเซอร์ไพรส์ใหญ่ให้มึงด้วย”

“อะไรของมึงวะ?”

“บอกไม่ได้ ถ้ารู้ก่อนมันจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอวะ คุณแมนสรวงเขาเปรยกับกูไว้แล้วว่าถ้ามีงชนะ ได้ฉลองใหญ่แน่นอน”

“เออ ขอบใจมากเพื่อน ขอบใจสำหรับทุกๆ อย่างที่มึงทำให้กู แต่ตอนนี้ขอตัวก่อนละกัน กูจะไปยินดีกับลูกศิษย์กู”

“ตามสบาย” สุนัยพูดประโยคสุดท้ายยังไม่ทันจบเขาก็กดวางสายทางฝั่งตัวเองเสียก่อน พลวิทย์จึงไม่มีโอกาสได้ยินคำพูดที่ต่อจากประโยคนั้น

“ก่อนที่มึงจะเจอเซอร์ไพรส์จนพูดไม่ออกเลยไอ้เพื่อนรัก”

ตอนที่ 15

งานฉลองครบรอบวันก่อตั้งโรงเรียนเปรมปรีดาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เอาจริงๆ ควรจะเรียกว่าเป็นการเนรมิตรงานขึ้นโดยอาจารย์เพชรน่าจะถูกต้องมากกว่า งานนี้อาจารย์เพชรจึงเดินเชิดหน้าเฉิดฉายประหนึ่งว่านี่คืองานของตนเอง และด้วยความที่โรงเรียนเปรมปรีดาเป็นโรงเรียนที่อยู่ในจังหวัดเล็กๆ ที่แทบไม่มีอะไรโดดเด่น จึงเป็นไปได้ยากที่จะมีนักข่าวสนใจเข้ามาทำข่าวงานกิจกรรมในโรงเรียน แต่การจัดงานในปีนี้กลับมีนักข่าวมารอทำข่าวเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันจึงสร้างความภาคภูมิใจให้คนในพื้นที่เป็นอย่างมาก และทำให้แขกเหรื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดเดินทางมาเข้าร่วมงานในคืนนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน

บนเวที อาจารย์สุนัยทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ เขากล่าวถึงที่มาของการจัดงานในค่ำคืนนี้ ก่อนที่จะเชื้อเชิญให้แมนสรวงทำหน้าที่เป็นผู้เปิดงาน ทันทีที่แมนสรวงก้าวออกมา ผู้คนที่มาร่วมในงานต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของนักธุรกิจใหญ่ได้เป็นอย่างดี เขากล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติในงาน ก่อนจะพูดถึงความสำคัญของโรงเรียนเปรมปรีดา และบทบาทหน้าที่ของเขา แขกเหรื่อในงานที่นั่งอยู่ล้วนตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด หลายคนแสดงสีหน้าชื่นชม อีกหลานคนรู้สึกยกย่องศรัทธาในตัวเขา ที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่เมืองเล็กๆ แห่งนี้

หลังกล่าวเปิดงานเสร็จ แมนสรวงกล่าวเชิญแขกคนสำคัญให้ขึ้นมาบนเวที

“อย่างที่ผมได้เคยบอกกับทุกท่านเอาไว้ว่า งานในวันนี้จะมีแขกรับเชิญคนสำคัญที่จะมาเซอร์ไพรส์ทุกท่าน ผมขอเกริ่นนำก่อนว่าเขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศที่ทุกๆ ท่านในที่นี้ต้องรู้จักและอาจเคยชมผลงานของเขามาก่อน ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขา และมันทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวเขามาก เพราะความเป็นมืออาชีพที่พร้อมสำหรับทุกอย่าง ซึ่งผมหมายรวมถึงการวางตัวของเขา ที่เป็นกันเอง ไม่ถือตัวว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พูดมาขนาดนี้คิดว่าทุกท่านคงจะสงสัยและอยากรู้แล้วว่าผมกำลังพูดถึงใคร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกท่านพบกับพระเอกหนุ่มชื่อดัง ท็อป ธีรเดช ครับ”

ทันทีที่ชื่อพระเอกดังถูกประกาศออกมา เสียงกรีดร้องของเหล่าสาวแท้สาวเทียมรวมถึงสาวไม่น้อยทั้งหลายก็ดังขึ้น ในจำนวนนั้นคือภรรยาและลูกสาวของเสี่ยสมศักดิ์ที่แสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้า จนสร้างความหมั่นไส้ให้เสี่ยสมศักดิ์เป็นอย่างมาก ขณะที่นักข่าวจำนวนมากที่มาทำข่าว ต่างขยับขึ้นมาที่หน้าเวทีและทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อไปนำเสนอในสื่อของตนเอง

พระเอกหนุ่ม ท็อป ธีรเดช เดินฉีกยิ้มหวานออกมาที่หน้าเวที กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญนี้ เขาพูดถึงปัญหาของเด็กไร้ที่พึ่งพิงซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญในสังคมไทย พร้อมกล่าวชื่นชมแมนสรวงที่อุทิศตนเข้ามาทำงานนี้เพื่อส่วนรวม คำกล่าวของเขาสร้างความรู้สึกตื้นตันและอารมณ์ร่วมให้ผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก ก่อนที่ทุกคนจะยิ่งชื่นชมเขามากยิ่งขึ้นเมื่อพระเอกดังประกาศสละค่าตัวในการออกงานครั้งนี้ และบริจาคเงินส่วนตัวเพิ่มอีก 1 ล้านบาท เพื่อสมทบทุนช่วยเหลือโรงเรียนเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการต่อไป ถึงตรงนี้ช่างภาพต่างรีบเก็บภาพกันยกใหญ่ จนเกิดแสงไฟจากแฟลชกระพริบพรายขึ้นในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันอย่างมากมาย

ท็อป ธีเดช หันไปสบตาแมนสรวงที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ในแววตาของหนุ่มใหญ่นั้นหาได้มีความยกย่อง ชื่นชมให้กับพระเอกคนดังไม่ เพราะเขารู้ว่าคำกล่าวนั้นได้รับการปั้นแต่งมาเป็นอย่างดีเพื่อหวังให้คนฟังรู้สึกประทับใจ รวมทั้งจำนวนเงินบริจาคที่คนอื่นๆ ฟังอาจจะรู้สึกว่าเป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจ แต่สำหรับคนระดับ ท็อป ธีรเดช มันเป็นตัวเลขที่น้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่พระเอกหนุ่มจะได้หลังเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญในคืนนี้แล้ว

หลังกล่าวจบ พระเอกชื่อดังก็ร่วมแสดงโชว์พร้อมกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนเปรมปรีดา ขณะที่แมนสรวงก้าวลงจากเวทีแล้วเข้าไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับสุนัย

ห่างออกไปไม่ไกลจากโรงเรียนเปรมปรีดามากนัก รถคันหนึ่งกำลังขับมุ่งเข้าสู่ตัวโบสถ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างลี้ลับไกลจากสายตาคน บนรถมีคนนั่งอยู่สามคน ที่นั่งคนขับเป็นชายหนุ่มร่างท้วม ข้างๆ คนขับคือหนุ่มวัยรุ่นร่างผอมบาง ขณะที่ด้านหลังมีชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างล่ำสันแข็งแรงสมชายชาตรี นั่งอยู่เพียงคนเดียว เมื่อแสงไฟจากรถสาดไปที่ตัวโบสถ์หลังใหญ่ สายตาของเขาจ้องมองไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างไม่วางตา ดูจากภายนอกไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่านี่คือสถานที่ที่กำลังจะมีงานกิจกรรมใหญ่เกิดขึ้น เพราะบรรยากาศที่ดูเงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่ข้างใน เมื่อรถจอดสนิทลงแล้ว ชายร่างท้วมก็หันมาหาชายที่นั่งข้างหลังแล้วกล่าวขึ้นมาว่า

“ที่นี่นะพี่ เดี๋ยวผมให้ไอ้บอยเดินพาพี่เข้าไป ส่วนผมจะวนไปหาที่จอดรถก่อน ตรงนี้เขาไม่ให้จอด เพราะเดี๋ยวจะมีแขกคนสำคัญตามมาสมทบอีกเพียบ”

ภาติยะ ชายหนุ่มหุ่นล่ำเปิดประตูลงจากรถ ออกมายืนมองสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมาเยือน ตามคำบอกเล่าของคนจากร้านกาแฟ และได้เบาะแสบางอย่างที่ทำให้เขามั่นใจว่าคนที่เขาตามหาต้องเคยมาสถานที่แห่งนี้แล้วอย่างแน่นอน

ขณะกำลังจ้องมองโบสถ์เก่าอยู่นั้น ไอ้บอย เด็กชายร่างผอมที่นั่งข้างคนขับก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ เขา ก่อนจะชักชวนให้เขาเดินตามเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น

ท็อป ธีรเดช พระเอกคนดังเดินลงจากเวทีโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยขนาบข้าง เขาถูกนำตัวไปยังสถานที่ที่ได้รับการจัดเตรียมไว้เพื่อให้นักข่าวได้ใช้เป็นที่สัมภาษณ์พระเอกดัง แต่ไม่ได้มีเพียงนักข่าวที่เดินตามกลุ่มของพระเอกดังมา แต่ยังมีผู้มาร่วมงานอีกจำนวนหนึ่งที่ตื่นเต้นและดีใจที่ได้มีโอกาสมาเห็นพระเอกหนุ่มคนดังตัวเป็นๆ ต่างเดินตามพระเอกดังมาเพื่อหวังที่จะได้มีโอกาสเซลฟี่กับพระเอกคนดัง ซึ่งรวมถึงเมียและลูกสาวของเสี่ยสมศักดิ์ด้วย

เสี่ยสมศักดิ์เมื่อเห็นโอกาสเขาจึงได้บอกไอ้ชื่นที่ทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันเขาให้บอกกับเมียของเขาตอนที่กลับมาว่าเขาถูกตามตัวด่วนด้วยธุระสำคัญ ก่อนที่จะออกจากงานไปพร้อมกับไอ้ชอบ

ภาติยะเดินผ่านประตูโบสถ์ทางด้านหลังเข้ามา และสิ่งที่เขาเห็นมันช่างต่างจากภายนอกอย่างชัดเจน แสงไฟที่สว่างจ้า ผู้คนจำนวนมาก เสียงอึกทึกครึกโครมวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวงนั้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเขามาก

“ชื่ออะไร?” คำถามจากคนที่เฝ้าทางเข้า-ออกปลุกเขาขึ้นมาจากอาการตื่นตะลึง

“เดช เดชชาติ” ภาติยะบอกชื่อปลอมของเขาออกไป

เหมือนเป็นคำถามพอเป็นพิธีเพราะทันทีที่เขาพูดจบ นายคนเฝ้าทางเข้า-ออกก็ไม่ได้สนใจอะไร หันไปคุยกับไอ้บอยแทน ไม่กี่ประโยคก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในงาน

ภาติยะถูกพามาถึงมุมที่ใช้แต่งตัว เขาเห็นชายหนุ่มอีกกว่าสิบชีวิตกำลังเริ่มแต่งตัวกันแล้ว ขณะที่เขากำลังสนใจกับภาพตรงหน้า จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังจนทำให้เขาตกใจ

“หล่อมากไอ้บอย มึงไปหามาจากไหนวะ?”

“จากไหนก็ช่าง ไม่ใช่เรื่องเจ๊”

“อ้าวอีนี่ กูถามดีๆ ไม่ยุ่งกับมึงก็ได้ มาพี่ เดี๋ยวหนูแต่งตัวให้พี่ จริงๆ อย่าเรียกว่าแต่งตัวเลย ควรเรียกว่าเดี๋ยวหนูจับพี่ไปแก้ผ้าน่าจะถูกกว่า” หญิงสาวในร่างชายหนุ่มพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ พร้อมกวักมือให้ภาติยะเดินตามนางไป ชายหนุ่มหันมาสบตาไอ้บอย ต่างฝ่ายต่างไม่อาจหยั่งถึงได้ว่าในแววตาของอีกฝ่ายมีความรู้สึกใดอยู่ในนั้น

จากมุมที่ยืนอยู่ ไอ้บอยสามารถมองเห็นภาติยะได้อย่างชัดเจน มันเห็นนายตำรวจหนุ่มค่อยๆ ปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายออกจากร่างทีละชิ้น ทีละชิ้น จนสุดท้ายเหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า เขาต้องยืนตัวตรงเพื่อให้หญิงสาวในร่างชายหนุ่มบรรจงแต่งตัวให้ จากจุดที่ยืนอยู่มันเห็นควยของภาติยะมีอาการตื่นนิดๆ และเห็นนางกะเทยเผลอหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นผู้ชายตรงหน้าเกิดอาการของขึ้น

“ไวไม่ใช่เล่นนะพี่”

ไอ้บอยยืนมองภาติยะ ที่ตอนนี้ยืนควยโด่ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อให้กะเทยช่างแต่งหน้าเล็มขนรักแร้ที่ดกดำนั้นให้บางลง เมื่อพอใจแล้วก็เปลี่ยนลงไปเล็มขนหมอยของภาติยะต่อทันที แต่การเล็มขนหมอยดูจะสร้างความยุ่งยากอยู่พอสมควร เพราะควยที่ชูชันอยู่นั้นทำให้กะเทยสาวทำงานไม่สะดวก จนนางต้องก้มลงเอาหน้าไปใกล้ๆ เพื่อให้ทำงานได้ถนัดๆ ยิ่งหน้าของกะเทยสาวเข้าไปจ่อใกล้มากเท่าไร ควยของภาติยะก็ยิ่งชูชันขึ้นเท่านั้น ไอ้บอยยืนมองภาพนั้นใจหนึ่งนึกชื่นชมนายตำรวจหนุ่ม แต่อีกใจก็นึกสมเพช ที่ผู้ชายมาดแมน หุ่นล่ำ มีตำแหน่งหน้าที่การงานดีเป็นถึงผู้กอง ต้องมาทำอะไรแบบนี้ แถมยังถูกหลอกใช้ให้ต้องเอาตัวเข้าแลก โดยพวกมันที่เป็นเพียงเด็กเฝ้าตึกธรรมดาๆ ได้รุมเย็ดจนน้ำเงี่ยนพุ่งเข้าร่างทั้งทางปากและทางตูด สูญสิ้นความเป็นชายภายในชั่วพริบตาเดียว

หลังแต่งตัวเสร็จ ภาติยะเดินตรงมาหาไอ้บอย จากร่างล่ำที่สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิด ตอนนี้ทั้งตัวเหลือเพียงหูกระต่ายสีดำชิ้นเล็กๆ พันรอบคอ และท่อนล่างมีเพียงกางเกงหนังสีดำตัวจิ๋วที่ปกปิดอะไรไม่ได้เลย เพราะด้านหน้าถูกเจาะเป็นรูโหว่ไว้เพื่อให้ควยท่อนเขื่องได้ออกมาชมโลกภายนอก ส่วนด้านหลังก็ถูกเจาะเป็นรูโหว่ขนาดไหญ่ไว้ให้บั้นท้ายงอนงามได้ออกมาท้าทายอวดสายตาของคนที่พบเห็น นายตำรวจหนุ่มค่อยๆ เอาหน้ากากสีดำอันเล็กที่ปิดเพียงเฉพาะรอบดวงตาขึ้นมาใส่ เพียงเท่านั้นภาติยะก็ละทิ้งความอาย และพร้อมทำงานแบบควยโด่ต่อหน้าทุกๆ คนในงานได้อย่างไม่ขัดเขินแล้ว

ที่โรงเรียนเปรมปรีดา บนเวทีสุนัยกำลังกล่าวชื่นชมผลงานของนักเรียน ที่เพิ่งทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนด้วยการชนะการแข่งขันว่ายน้ำระดับภาค และได้สิทธิในการคัดตัวเป็นทีมชาติเยาวชน หลังจากนั้นสุนัยได้เชิญนักเรียนที่ทำผลงานดีเด่นดังกล่าวคืออัครให้ขึ้นมารับรางวัลบนเวที โดยที่มีแมนสรวงเป็นผู้มอบรางวัล แต่อัครกลับไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พูดความรู้สึกใดๆ เพราะกลายเป็นแมนสรวงที่เหมือนเป็นผู้ปกครองโดยตรงของอัครที่ทำหน้าที่เป็นคนพูดแทนให้ หลังจากนั้นสุนัยจึงได้เชิญพลวิทย์ ที่เป็นผู้ฝึกสอนของอัครให้ขึ้นมารับรางวัลบนเวที และเช่นเดียวกันพลวิทย์ไม่มีโอกาสที่จะได้กล่าวแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา

เมื่อเห็นว่าสุนัยกำลังจะกล่าวแสดงความชื่นชมยินดีกับพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว พลวิทย์จึงหันไปมองหน้าอัครแล้วส่งสัญญาณเตรียมจะลงจากเวที แต่กลับกลายเป็นเสียงของสุนัยที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มต่างวัยทั้งสองต่างหยุดชะงักแล้วหันกลับมามามองที่สุนัยเป็นตาเดียวกัน

“ยังไม่หมดนะครับ สำหรับรางวัลที่ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ควรจะได้รับ ยังมีของรางวัลพิเศษอีกชิ้นที่ผมรับรองว่าจะทำให้อาจารย์พลวิทย์รู้สึกเซอร์ไพรส์อย่างมากเมื่อได้เห็น” สุนัยหันมาจ้องที่หน้าพลวิทย์ ส่งสายตาและรอยยิ้มเย็นเยียบในแบบที่พลวิทยืไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเมื่อของรางวัลพิเศษนั้นออกมาให้พลวิทย์ได้เห็น หัวใจเขาก็หล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม

ห้องโถงที่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่กลับดูแคบไปถนัดใจเมื่อคนจำนวนมากเข้ามาอยู่รวมกัน ชายหนุ่มหุ่นล่ำในชุดเกือบเปลือยกว่าสิบชีวิตกำลังเดินขวักไขว่ให้บริการกับชายสูงวัยที่มาเป็นแขกรับเชิญในงานสำคัญ เสียงสนทนาที่กำลังดังเซ็งแซ่กลับเงียบลงทันทีเมื่อเสียงของผู้ดำเนินรายการดังแทรกขึ้นมา และทุกสายตาหันไปจับจ้องที่กลางเวทีแทน รวมทั้งภาติยะที่ยืนควยโด่เป็นลำอยู่กลางห้องด้วย

นายตำรวจหนุ่มไม่รู้ว่าผู้ดำเนินรายการบนเวทีเป็นใคร เพราะเครื่องแต่งกายที่จัดเต็มปิดบังตัวตนของเขาไปจนหมด รู้แต่ว่าเป็นชายร่างป้อมตัวไม่สูงใหญ่นัก ขณะที่เขากำลังเพลินๆ กับการจ้องมองผู้ดำเนินรายการอยู่นั้น เขารู้สึกเสียววาบๆ ที่ท่อนควบ พอก้มลงไปดูก็เห็นมือๆ หนึ่งกำลังรูดควยเขาเล่นอย่างสบายใจ พอสบตาภาติยะก็จำได้ทันทีว่านี่คือพ่อเลี้ยงคำอินทร์ ผู้กว้างขวางประจำจังหวัดแห่งนี้ ภาติยะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านั้นอย่างไร จึงยืนปล่อยให้พ่อเลี้ยงยืนรูดควยเขาเล่นต่อไป แต่เพียงสักพักก็มีชายหุ่นล่ำอีกคนเดินมาชนจนเขาเซ ควยหลุดออกจากมือของพ่อเลี้ยงสูงวัย เขาหันไปสบสายตาแสดงท่าทางขอบใจชายลึกลับที่ทำหน้าที่เดียวกับเขา ก่อนจะรีบเดินควยถอกออกจากบริเวณนั้นไป

ภาติยะเดินเข้ามาหลบที่ห้องครัว พยายามสงบจิตสงบใจกลัวความรู้สึกตัวเอง เขาชอบที่มีคนจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขา ชอบที่มีคนพยายามคุกคามร่างกายของเขา นี่เขาไม่ได้เป็นพวกจิตวิปริตใช่ไหม เสียงฮือฮาจากภายนอกปลุกเขาตื่นจากภวังค์ ภาติยะโผล่หน้าออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นบนเวทีมีชายหนุ่มอีกคนออกมายืนอยู่ข้างๆ ผู้ดำเนินรายการ ใบหน้านั้นหล่อสะดุดตา ภาติยะรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นชายหนุ่มคนนั้นที่ไหนมาก่อน

คิด คิด คิด

นั่น ท็อป ธีรเดช พระเอกดังนี่นา มาทำอะไรในงานนี้ ภาติยะไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นพระเอกดังมาอยู่ที่นี่ และไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพระเอกหนุ่มบ้าง

“ขอต้อนรับ วาโย อดีตนักกีฬาว่ายน้ำชุดเยาวชนทีมชาติครับ” เสียงสุนัยกล่าวแนะนำชายหนุ่มที่ออกมายืนอยู่ตรงกลางเวที ชายหนุ่มที่ทำให้พลวิทย์เกิดอาการตกตะลึงถึงกับทำอะไรไม่ถูก เสียงสุนัยยังคงดังต่อ

“วาโยประสบความสำเร็จจากการปลุกปั้นของอาจารย์พลวิทย์ จนทำให้เขาได้รางวัลต่างๆ มากมาย แต่น่าเสียดายที่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องหยุดการเล่นกีฬาที่เขารักไป แต่วันนี้เขากลับมาแล้ว และพร้อมแล้วที่ตอบแทนอาจารย์พลวิทย์ที่เขารักอย่างสาสม และจากวันนี้วาโยจะรับหน้าที่เป็นโค้ชส่วนตัวของอัคร เพื่อส่งคืนอาจารย์พลวิทย์สู่ชมรมว่ายน้ำ เพื่อไปผลักดันเด็กคนอื่นๆ ให้ขึ้นมาสู่ระดับที่อัครเคยทำได้ ให้ชมรมว่ายน้ำของโรงเรียวเปรมปรีดายิ่งใหญ่ เกรียงไกรที่สุดในเขตนี้” เสียงชื่นชมยินดีดังกึกก้อง ขณะที่พลวิทย์และวาโยสบสายตากันอย่างเนิ่นนาน แต่ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของทั้งคู่ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งได้ มีเพียงอัครที่ยืนมองทั้งสองจากด้านหลังด้วยความงวยงงในสิ่งที่เกิดขึ้น

ภาติยะค่อยๆ เดินออกมายืนที่กลางห้อง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีตอนนี้สะกดผู้ที่มาร่วมงานทุกคนจนไม่มีใครสนใจใครแล้ว ผู้ดำเนินรายการยืนพูดคุยกับพระเอกคนดังอยู่ช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเบื่อ เขาก็นำเข้าสู่การแสดงโชว์ที่จะมีพระเอกดังเข้าร่วมการโชว์นี้ด้วย

แล้วไฟบนเวทีก็ดับสนิทไปชั่วครู่ ก่อนจะโหมโรงด้วยเสียงดนตรีที่มีจังหวะระทึกใจ ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มหุ่นล่ำคนหนึ่งจะถูกพาออกมาจากด้านหลังเวที ชายหนุ่มที่ร่างของเขาถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกแขนทั้งสองข้างเขาไว้ด้วยกัน และยกชูชันมันขึ้นจนสุดแขน ตัวเชือกถูกผูกห้องกับเสาเหล็กสูงที่มีโครงหลักและด้านล่างมีล้อเลื่อนทำให้คนที่เข็นออกมาไม่ต้องออกแรงมากนัก ร่างทั้งร่างนั้นเปลือยเปล่าแต่ตอนนี้เห็นเพียงด้านหลังเท่านั้น ก้นที่ฟิตปั๋งนั้นช่างเด่นสะดุดตาเชิญชวนให้จ้องมองยิ่งนัก พอคนเข็นๆ ร่างนั้นมาถึงกลางเวที พวกมันก็หันโครงเหล็กนั้นหมุนกลับด้าน และทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ถูกยึดโยงอยู่นั้นปรากฏต่อสายตาทุกคู่ในที่นั้น

“พฤกษ์!!” เสียงภาติยะอุทานในลำคอ เขาตกตะลึงกับภาพที่เห็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่เกินความคาดหมายของเขานัก แต่ภาติยะรุ้ดีว่าในตอนนี้เขาไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปช่วยนายตำรวจรุ่นน้องคนสนิท เพราะไม่อย่างนั้นทั้งเขาและพฤกษ์อาจจะกอดคอลงหลุมไปด้วยกัน แต่สิ่งที่เขาเห็นกับตานั้นช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีการกระทำที่เป็นขบวนการ

พฤกษ์ตอนนี้เหมือนคนไม่มีสติ คอของเขาพับอ่อนอย่างคนไม่มีสติ เพียงไม่นานด้านหลังเวที ท็อป ธีรเดช พระเอกคนดังก็เดินออกมา ในชุดหนังสีดำเต็มตัวที่รัดรึงแนบเนื้อพระเอกคนดังจนเห็นรูปร่างอย่างชัดเจน ทั้งเนื้อตัวมีเพียงส่วนหัวของเขาเท่านั้นที่ไม่ถูกอะไรปกปิด พระเอกดังยิ้มเหี้ยมเกรียมผิดจากเวลาที่เห็นออกสื่อ ในมือของเขาถือแส้ออกมาด้วย และเมื่อเดินมาถึงตัวหมวดพฤกษ์ เขาก็ไม่รอช้าที่จะใช้แส้นั้นฟาดเข้าไปที่แผ่นหลังนายตำรวจหนุ่ม จนคนที่โดนฟาดฟื้นสติส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดออกมา

แล้วหลังจากนั้นช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ของการเล่นนาย-ทาส และการทรมานก็เริ่มต้นขึ้น

เสียงแส้ที่กระทบร่างนายตำรวจหนุ่มจนเกิดรอยแดงขึ้นทั่วร่าง

พระเอกหนุ่มละเลงลิ้นลงที่ร่างล่ำของนายตำรวจหนุ่ม เริ่มจากใบหน้า ลิ้นที่ใช้อย่างชำนาญนั้นค่อยๆ ไล่เลื้อยไปตามใบหน้า ลงสู่ลำคอ ก่อนที่จะไปโลมเลียที่กลุ่มขนรักแร้ด้านซ้ายแล้วไล้ไปด้านขวา ก่อนที่พระเอกดังจะกลับมาจูบปากแลกลิ้นกับชายหนุ่มที่ถูกทรมานอย่างหื่นกระหาย มันทำให้ควยของนายตำรวจหนุ่มที่นอนนิ่งสงบอยู่ค่อยๆ ตั้งโด่ขึ้นมา เช่นเดียวกับควยของภาติยะที่สงบไปชั่วครู่กลับมาตั้งโด่ใหม่ได้อีกครั้ง

พระเอกหนุ่มถอนปากจากปากฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะลากลิ้นลงมาเรื่อยๆ ผ่านหัวนมที่แข็งเป็นไต เขาใช้ลิ้นวนรอบหัวนมนั้นอย่างชำนิชำนาญ ก่อนจะดูดเลียมันอย่างรุนแรงจนหัวนมนั้นแดงเถือกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพอใจแล้วลิ้นของพระเอกหนุ่มก็ค่อยๆ ไล้ลงมาเรื่อยๆ ผ่านกล้ามท้องที่เป็นลูกแบบที่ผู้ชายทุกคนต้องการ จนมาถึงสะดือก็ไม่พลาดที่จะถูกลิ้นของพระเอกหนุ่มลงไปละเลงเลีย

เสียงครางของนายตำรวจหนุ่มดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้น

จนเมื่อปากของพระเอกหนุ่มครอบลงไปที่ท่อนลำดุ้นเขื่องของนายตำรวจหนุ่ม ปากนั้นดูดเข้าดูดออก ดูดเข้าดูดออก ช้าๆ ลีลาการดูดนั้นสร้างความเสียวซ่านให้คนที่โดนดูดจนบิดตัวเร่าๆ อยู่ตรงนั้น แต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะทั้งมือและขาถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่

แล้วพื้นเวทีตรงส่วนที่ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ก็ค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นรอบแล้วรอบเล่า รอบแล้วรอบเล่า

เสียงดนตรีเปลี่ยนจากร้อนแรงฮึกเหิม เป็นเร่วงเร้ารัญจวน

และจู่ๆ สายน้ำจากเพดานห้องก็พวยพุ่งตกลงมาที่ชายหนุ่มทั้งสอง

ท็อป ธีรเดชกลับขึ้นมาลุกขึ้นยืนดูดปากกับนายตำรวจหนุ่ม แล้วพื้นเวทีก็หยุดหมุนลงทันทีในตอนที่พระเอกหนุ่มยืนหันหลังให้กับผู้ชมเบื้องล่าง หลังจากนั้นชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ตรงเข้าไปที่ด้านหลังของพระเอกหนุ่ม แล้วรูดซิปจากชุดหนังของเขาออกจากตัว อย่างช้าๆ

ร่างของพระเอกหนุ่มค่อยๆ ถูกลอกคราบออกอย่างช้าๆ และผิวขาวเหมือนจะเรืองแสงได้ยามต้องแสงไฟก็ค่อยๆ เผยร่างที่แท้จริงออกมา จนชุดหนังโดนดึงออกจากร่าง และด้านหลังที่เปลือยเปล่านั้นปรากฏสู่สายตาคนในงาน

เพียงไม่นานแสงไฟบนเวทีก็ดับลงอีกครั้ง

เมื่อไฟถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ดำเนินรายการก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที พร้อมขนาบข้างด้วยร่างเปล่าเปลือยทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นนายตำรวจหนุ่มหุ่นล่ำ หมวดพฤกษ์ ไชยยนต์ ส่วนอีกข้างคือพระเอกหนุ่มรูปงาม ท็อป ธีรเดช ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มต่างยืนควยโด่ประชันกัน ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่างกันก็น่าจะเป็นที่พระเอกหนุ่มยืนฉีกยิ้ทหรา ภูมิใจกับการได้โชว์เรือนร่างที่เปล่าเปลือยนี้ให้ทุกคนได้เห็น ขณะที่หมวดพฤกษ์กลับไม่มีทั้งรอยยิ้มที่ริมฝีปาก และในดวงตานั้นก็มีแต่ความสิ้นหวัง

ผู้ดำเนินรายการเริ่มต้นงานประมูลทาสในค่ำคืนนี้ด้วยพระเอกหนุ่มรูปงาม ท็อป ธีรเดชก่อน โดยผู้ที่ประมูลพระเอกดังได้นั้นจะมีโอกาสได้เป็นนายที่จะสามารถสั่งการให้พระเอกดังทำอะไรก็ได้ตั้งแต่หลังประมูลไปจนถึงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นคือ 6 โมงเช้า หรือในความเป็นจริงคือมีเวลาในการเล่นทาสประมาณ 6 ชั่วโมง หลังเริ่มต้นการประมูล ผู้เข้าร่วมงานต่างแย่งชิงการประมูลจนตัวเลขสูงทำลายทุกสถิติที่เคยมี แต่เหมือนผู้ดำเนินรายการจะยังไม่พอใจ สั่งให้พระเอกดังเรียกแขกด้วยการหันหลังแล้วแหกตูดตัวเองโชว์ให้ผู้ร่วมประมูลทุกคนได้ดู รูตูดสีชมพูที่ไม่มีไรขนนั้นช่างเหมือรูตูดของเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยมีอะไรกล้ำกราย ผู้ดำเนินรายการยิ่งยั่วคนดูข้างล่างเสียวมากยิ่งขึ้นด้วยการเอานิ้วตัวเองค่อยๆ ไล่เลื้อยไปตามร่องตูดของพระเอกดัง ก่อนที่จะเอานิ้วกลางแหย่เข้าไปในรูตูดพระเอกทีละนิดๆ แล้วพื้นบนเวทีก็ค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ จนตอนนี้เบื้องหน้าของคนดูที่ได้เห็นคือใบหน้าของพระเอกหนุ่มที่กำลังแสดงสีหน้าเสียวซ่านเพราะโดนนิ้วควงสว่านเข้าไปในรูตูด

“โอกาสที่คุณจะได้เล่นทาสที่มีดีกรีระดับพระเอกแบบนี้จะมีอีกไหม จะยอมพลาดโอกาสนี้ไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?” นิ้วที่แหย่ร่องตูดพระเอกดังถูกดึงออก และผู้ดำเนินรายการเอานิ้วนั้นดูดเลียเข้าปากตัวเองพร้อมแสดงท่าทางเอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่พระเอกดังพอไม่มีนิ้วแหย่ที่รูตูดแล้วก็ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้นยืนแอ่นควยที่กำลังลุกชันเต็มที่อวดทุกคนในห้องนั้น ผู้ดำเนินรายการค่อยๆ นั่งลงเอาหน้าเข้าหาควยพระเอกเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูด ควยท่อนขาวสมกับตัวเจ้าของถูกมือของผู้ดำเนินรายการจับถอกช้าๆ จนหัวควบสีชมพูเรื่อยๆ ออกแดงนิดๆ ค่อยโผล่ออกมาจากหนังหุ้มปลายที่ปิดมันอยู่ ผู้ดำเนินรายการค่อยๆ เอาลิ้นออกลาเลียที่หัวหยักอย่างช้าๆ ช้าๆ พระเอกหนุ่มบิดเกร็งตัวด้วยความเสียวกระสัน ลิ้นนั้นค่อยๆ เลียจากปลายจรดโคน แล้วขึ้นจากโคนจรดปลาย ขนหมอยของพระเอกดังที่ขึ้นหรอมแหลมก็ถูกจมูกของผู้ดำเนินรายการสูดดมจนฉ่ำปอด แต่ก่อนที่อารมณ์ของทุกคนจะเตลิดมากไปกว่านี้ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังทะลุกลางวงขึ้นมา

“ยี่สิบล้านบาท”

ทุกสายตาหันมาทางต้นเสียงที่ดังขึ้น และเห็นว่าเป็นแมนสรวงนั่นเองที่เป็นคนให้ราคาประมูลที่สูงลิบนั้น เสี่ยสมศักดิ์ที่หมายมั่นปั้นมือที่จะประมูลพระเอกดังไปถึงกับหัวเสียเพราะคิดว่าคงไม่มีทางเอาเงินก้อนโตขนาดนั้นเข้าแลกกับความสุขแค่หกชั่วโมงเป็นแน่ ขณะที่ผู้ร่วมประมูลคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าประมูล เพราะทั้งตัวเลขราคาประมูลที่สูงจนเกินจ่าย และยังรวมถึงไม่อยากจะคานอำนาจกับแมนสรวงด้วย

แล้วในที่สุดแมนสรวงก็ชนะการประมูล และพระเอกคนดังก็ค่อยๆ เดินเปลือยเปล่าลงจากเวทีตรงไปหาแมนสรวงที่ยืนรออยู่ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องนั้นไป

หลังจากนั้นการประมูลจึงกลับมาเริ่มใหม่ที่ตัวหมวดพฤกษ์ ที่แม้จะผ่านสมรภูมิศึกจากการประมูลครั้งแรกมาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังมีคนสนใจประมูลเขาอยู่ไม่น้อย และเป็นพ่อเลี้ยงอินทร์คำที่ชนะการประมูลครั้งนี้ไป

ภาติยะยืนมองเพื่อนรุ่นน้องด้วยความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ในตอนนี้ แล้วในชั่วขณะหนึ่งสายตาของหมวดพฤกษ์ก็หันมาสบตานายตำรวจรุ่นพี่โดยบังเอิญ แล้วเพียงแวบเดียวเท่านั้นหมวดพฤกษ์ก็จำสายตาที่ลอดผ่านหน้ากากดำนั้นได้ทันที ภาติยะเห็นริมฝีปากของหนุ่มรุ่นน้องเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา แววตาของหมวดพฤกษ์ฉายความกลัวออกมาทันที เขาส่ายหน้าให้ภาติยะช้าๆ แต่ยังไม่ทันที่จะมีโอกาสสื่อสารกันให้เข้าใจ หมวดพฤกษ์ก็ถูกคนของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ลากลงหลังเวทีไป

แล้วทุกอย่างในความทรงจำของภาติยะก็ดับวูบไปตรงนั้น

ตอนที่ 16

ภาติยะรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาเกือบค่ำของวันใหม่แล้ว เขางัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอน ในหัวยังสับสนปะติดปะต่ออะไรได้ไม่เข้าที่นัก ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง เขาสำรวจร่างกายของตัวเองอย่างช้าๆ ก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่มีอะไรปกปิดร่างกายสักชิ้น ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สิ่งที่ภาติยะจำได้คือสีหน้าแววตาที่แสดงความหวาดกลัวของหมวดพฤกษ์ นั่นคือความจำสุดท้ายของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เขาไม่รู้ว่าความทรงจำหลังจากนั้นมันดับสูญไปได้อย่างไร พยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก สุดท้ายจึงตัดสินใจเลิกคิด สลัดทุกอย่างออกจากหัวแล้วลุกขึ้นจากเตียง แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บที่บั้นท้าย คล้ายถูกอะไรบางอย่างยัดเข้าไปในรูตูด เมื่อลองเอามือลงไปคลำดูเขาก็พบว่ามีคราบเมือกลื่นๆ คาวๆ เกรอะกรังคาอยู่ที่รูตูดของเขา ภาติยะแน่ใจว่าเมื่อคืนเขาโดนเย็ดอย่างแน่นอน แต่ที่ไม่แน่ใจคือใครที่เป็นคนเย็ดเขา และเขาโดนเย็ดไปกี่ครั้ง จากคนกี่คน อาจจะไอ้อ๋อง หรือไอ้บอย หรือทั้งคู่ ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกะหรี่วูบเข้ามาในความนึกคิดของเขาแวบนึง แต่ภาติยะไม่ปล่อยให้มันมีผลกับตัวเขานานมากนัก เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเสียความเป็นชาย พอโดนเข้าบ่อยๆ ก็ชักจะเริ่มชิน แต่ไม่ได้รู้สึกติดใจอยากจะโดนอีก เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว แล้วเดินตัวเปล่าเปลือยเข้าห้องน้ำไป พยายามทำความสะอาดร่างกายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะตรงบริเวณรูตูด เขาไม่ได้คิดว่าสายน้ำจะช่วยชำระล้างรอยมลทินที่เกิดขึ้นได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสะอาดขึ้นมาบ้าง

หลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาติยะรีบโทรศัพท์หาสารวัตรสุวิทย์ทันที เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ต้นให้สารวัตรสุวิทย์ฟัง รวมทั้งเรื่องที่เขารู้มาจากไอ้เด็กบอยว่าหมู่ยุทธนาอาจมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ด้วย เมื่อเล่าเสร็จภาติยะได้ยินเสียงถอนหายใจจากจากฝั่งตรงข้ามดังลอดออกมาจากโทรศัพท์

“เรื่องใหญ่ ใหญ่มากจริงๆ เรากำลังเล่นอยู่กับผู้มีอิทธิพลระดับจังหวัด ที่มีผู้มีอิทธิพลหลายระดับชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้พิทักษ์ใช้กฎหมาย เราคงนิ่งดูดายไม่จัดการอะไรไม่ได้ เอาอย่างนี้ ถ้าคิดว่าตอนนี้เราไม่สามารถไว้ใจใครได้ เราควรจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ไปก่อนน่าจะดีกว่า ตำแหน่งสารวัตรของผมก็พอจะทำให้คนเกรงกลัวอยู่ได้บ้างหรอก เพราะฉะนั้นเราเริ่มจัดการไปที่ละเรื่อง ทีละคน ก่อนค่อยๆ ขยายผลน่าจะดีกว่า”

“สารวัตรหมายถึง?”

“พ่อเลี้ยงคำอินทร์”

ย่ำค่ำคืนนั้น รถของสารวัตรสุวิทย์ขับมาจอดลงที่หน้าสถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ มันเป็นสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลแบบที่น่าจะเรียกว่าอาณาจักรมากกว่า เจ้าหน้าที่รักษความปลอดภัยที่ตั้งป้อมอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้าเดินเข้ามาที่รถของสารวัตร ทันทีที่เห็นหน้ามันก็รีบทำความเคารพนายตำรวจใหญ่ทันที

“ไม่เห็นมีใครแจ้งผมว่าสารวัตรจะมา” พูดพลางเหลือบสายตาไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับ ซึ่งเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่มันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“อั๊วไม่ได้นัดพ่อเลี้ยงไว้หรอก แต่มีเรื่องต้องมาขอพบ ขอความร่วมมือสักหน่อย”

“งั้นผมต้องขอแจ้งพ่อเลี้ยงก่อน” รปภ.เดินกลับไปที่ป้อม สื่อสารกับคนที่อยู่ด้านในได้สักพัก ก็เปิดที่กั้นและส่งสัญญาณให้รถของสารวัตรแล่นผ่านเข้าไปได้ รถของสารวัตรแล่นฝ่าความมืดมิดเข้าไปตามเส้นทางที่สองข้างทางเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด รถแล่นมาได้สักพักใหญ่ๆ ก็มองเห็นแสงไฟสว่างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะมองเห็นเรือนไม้สักขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราอลังการกว่าบ้านเรือนทั่วๆ ไปตั้งตระหง่ายอยู่ตรงหน้า

ทันทีที่รถของสารวัตรเข้าไปจอด ก็มีชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาที่รถ เขารีบทำความเคารพ และเชื้อเชิญสารวัตรขึ้นไปข้างบนตัวบ้านทันที เมื่อเดินขึ้นไปสารวัตรเห็นพ่อเลี้ยงคำอินทร์ยืนรออยู่แล้ว พ่อเลี้ยงสวมใส่ชุดคลุมผ้าไหมอย่างดี สารวัตรทักทายพ่อเลี้ยงอยู่สักครู่ เมื่อเห็นว่าพ่อเลี้ยงเหลือบสายตามามองไปที่ชายหนุ่มที่เดินตามสารวัตรมาด้วย เขาจึงรีบแนะนำให้ชายต่างวัยได้รู้จักกัน

“นี่ผู้กองภาติยะ เข้ามารับตำแหน่งใหม่ในพื้นที่เราได้สักพักแล้ว และผมให้เริ่มสืบทางลับคดีการหายตัวไปของหมวดพฤกษ์ ซึ่งจากข้อมูลที่ผู้กองได้รับมา มีการกล่าวหาว่าหมวดพฤกษ์ถูกขบวนการค้ามนุษย์จับตัวไป และถูกนำมาขายกันเป็นทอดๆ”

พ่อเลี้ยงหัวเราะเสียงดัง “สารวัตรจะบอกว่านายตำรวจอย่างหมวดพฤกษ์ถูกคนร้ายจับเอาตัวไป ตำรวจถูกจับตัวเสียเอง ผมอยากจะหัวเราะ เป็นตำรวจแต่เสียท่าเอง แล้วประชาชนตาดำๆ จะหวังพึ่งใครได้ แล้วใครนะที่มันกล้าลักพาตัวตำรวจช่างกล้าจริงๆ ว่าแต่ สารวัตรมาถึงบ้านผม มาบอกเรื่องนี้กับผม ไม่ใช่เพราะคิดว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นะ”

“พ่อเลี้ยงเป็นคนฉลาด ผมรู้ว่าพ่อเลี้ยงก็ทราบดีว่าผมมีวัตถุประสงค์อะไรถึงมาที่นี่ แต่ด้วยความที่ยังไม่ได้มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ผมจึงยังไม่ได้มาขอตรวจค้นหรือดำเนินการอย่างเป็นทางการ เพียงแต่จะมาขอความร่วมมือหากพ่อเลี้ยงมีเบาะแส เพราะมีคนแจ้งว่าพ่อเลี้ยงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ การกักขังหน่วงเหนี่ยวลักพาตัวเจ้าหน้าที่มีความผิดร้ายแรงนะพ่อเลี้ยง”

พ่อเลี้ยงคำอินทร์เลือดขึ้นหน้า “ไอ้หมาตัวไหนมันคาบข่าวมาบอกสารวัตร มันจ้องจะเล่นงานผมล่ะสิ ถ้าสารวัตรติดว่าผมมีส่วนกับเรื่องนี้ ผมเสนอให้สารวัตรค้นบ้านผมตอนนี้ได้เลย จะได้รู้กันว่าความจริงมันเป็นยังไง”

สารวัตรแสดงสีหน้าหนักใจ แต่ภาติยะกลับลุกขึ้นเตรียมตรวจค้น เขามั่นใจว่าการจู่โจมแบบไม่ให้พ่อเลี้ยงตั้งตัวทัน น่าจะทำให้ได้เบาะแสอะไรบ้างไม่มากก็น้อย และหากมีโชคเขาน่าจะได้เจอตัวหมวดพฤกษ์และช่วยออกมาจากวงเวียนกามของคนพวกนี้ได้

“ผู้กองแน่ใจเหรอ” สารวัตรเข้าไปกระซิบกระซาบกับผู้กองหนุ่ม เมื่อเห็นผู้อ่อนวัยกว่าหันมาพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาจึงหันไปขออนุญาตกับเจ้าของบ้าน หลังจากนั้นนายตำรวจทั้งสองจึงได้แยกกันทำการสำรวจบ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ โดยมีลูกน้องของพ่อเลี้ยงคอยเดินตามประกบอยู่ห่างๆ

หลังใช้เวลาตรวจค้นอยู่นาน ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ สารวัตรเริ่มหน้าเสีย หันไปมองผู้กองหนุ่มที่แสดงสีหน้าท่าทางร้อนรนออกมาให้เห็นเป็นระยะ พ่อเลี้ยงคำอินทร์ทำหน้าเย้ยหยันเดินเข้ามาหาทั้งคู่

“ผมบอกเลยว่ากลับไปคราวนี้ สารวัตรควรจัดการกับไอ้คนที่มันคาบข่าวมาบอกสารวัตรนะ ไม่แน่มันอาจอยากสร้างความเดือดร้อนให้สารวัตรมากกว่าจะช่วยก็เป็นได้นะ เอาเป็นว่าผมถือว่าสารวัตรทำตามหน้าที่ และการที่สารวัตรแอบมาเงียบๆ แบบนี้ถือว่าเป็นการให้เกียรติผมแล้วละกัน ผมจะลืมเรื่องในคืนนี้ไป”

“เดี๋ยว....” เสียงภาติยะดังขึ้น ดึงให้สายตาทุกคู่หันไปมองที่เขา และเห็นว่าสายตาของนายตำรวจหนุ่มกำลังจ้องไปที่จุดๆ หนึ่ง มันเป็นกำแพงขนาดใหญ่ ที่มีคนของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ยืนอยู่ และสังเกตเห็นได้ว่าคนของพ่อเลี้ยงมีทีท่ากระสับกระส่ายแสดงพิรุธออกมาอย่างเห็นได้ชัด ภาติยะรีบเดินไปตรงนั้น แล้วดันให้ลูกน้องของพ่อเลี้ยงหลบออกไปจากที่ตรงนั้น ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือคลำไปที่กำแพงนั้น โดยไม่ทันตั้งตัวอยู่ๆ ส่วนหนึ่งของกำแพงก็เปิดออกมาเหมือนเป็นประตู สารวัตรรีบเดินตามมา และพอมองลงไปก็เห็นว่านั่นคือทางลับที่จะพาลงไปยังห้องที่อยู่ใต้ดิน นายตำรวจทั้งสองหันกลับมามองหน้าพ่อเลี้ยงที่ตอนนี้ยืนทำหน้าถอดสีมองตอบอยู่ก่อนแล้ว

แสงไฟในห้องใต้ดินสว่างวาบขึ้น และทำให้ทุกคนได้เห็นร่างของหมวดพฤกษ์ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน ถูกจับห้อยโหนโดยโซ่เส้นใหญ่ห้อยอยู่ที่มุมห้อง มีกรงเหล็กขนาดพอดีตัวล้อมเขาอยู่เหมือนอยู่ในคุก

ภาติยะรีบวิ่งไปที่กรงที่กักขังหมวดพฤกษ์อยู่ แต่ยังไม่ทันถึงเขาก็ได้ยินเสียงปืนขึ้นลำพร้อมยิง เขาหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมอง ก็เห็นสารวัตรกำลังเล็งปืนจ่อมาที่เขา และเห็นพ่อเลี้ยงคำอินทร์ยืนเสยะยิ้มอยู่ข้างๆ พ่อเลี้ยงเดินก้าวขึ้นมา ค่อยๆ ปลดชุดคลุมผ้าไหมราคาแพงออกจากตัว เผยให้เห็นกางเกงชั้นในหนังมันวับสวมติดตัวอยู่เพียงตัวเดียว

“สารวัตรรู้ไหมว่ามาขัดจังหวะตอนที่ผมกำลังสนุกกับการเล่นทาสตัวนี้อยู่”

“ต้องขออภัยพ่อเลี้ยงด้วยครับ”

“ไม่เป็นไร พอผมเห็นคนที่สารวัตรพามา ผมก็อภัยให้สารวัตรทุกอย่าง เพราะรู้ว่างานนี้สารวัตรตั้งใจจะทำอะไร” พ่อเลี้ยงเดินมาที่ภาติยะ และเริ่มลูบไล้ที่เนื้อหนั่นของชายหนุ่ม

“พอตั้งใจดูดีๆ ผมรู้สึกคุ้นๆ กับหน้าตา ท่าทาง ของผู้กองอยู่นะ ผมเคยเจอผู้กองมาก่อน แต่ยังไม่แน่ใจเพราะสถานที่ที่ผมคิดว่าน่าจะได้เจอผู้กองมันไม่น่าใช่ที่ที่คนอย่างผู้กองจะเข้าไป แต่ผมก็อยากพิสูจน์ตัวผู้กองเหมือนที่ผู้กองอยากพิสูจน์ผม และผมมั่นใจว่าผมมองผู้กองไม่ผิดเช่นกัน มีบางอย่างที่ผมจะจดจำผู้กองได้แม่นแน่นอนถ้ามีโอกาสได้เห็น เพราะผมมีโอกาสได้จ้องมันใกล้ๆ และได้สัมผัสมันด้วย”

“ยังไงหรือพ่อเลี้ยง?” เสียงสารวัตรเอ่ยถาม ขณะที่ภาติยะมีอาการเหงื่อตก

“แก้ผ้าเอาควยมาให้ดูหน่อย แล้วผมจะบอกให้ว่าใช่หรือไม่ใช่”

ภาติยะไม่ยอมขยับตัว ทำให้สารวัตรมีอาการหัวเสีย

“ลีลาอยู่ได้ผู้กอง รีบๆ แก้ผ้าออกมาเลย ได้ข่าวว่าแก้ผ้าให้ไอ้พวกเด็กเฝ้าตึกมันดูบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ แถมพอมันขอเย็ดก็อ้าขาให้มันเย็ดทันที ผมว่าเผลอๆ ผู้กองเองอาจจะอยากเปลี่ยนตำแหน่งกับหมวดพฤกษ์ก็เป็นได้นะ”

ภาติยะรู้ว่ายังไงเขาก็คงเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกช้าๆ ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนเหลือแต่ร่างที่เปลือยเปล่า แม้ในห้องนั้นจะมีแค่สารวัตรสุวิทย์ พ่อเลี้ยงคำอินทร์ และหมวดพฤกษ์ที่สลบไสลไม่ได้สติ แต่ชายหนุ่มก็เกิดความรู้สึกอายจนเขาต้องเอามือปิดควยตัวเองเอาไว้

“อ้าว จะเอามือกำควยตัวเองทำไมผู้กอง มาขนาดนี้แล้ว ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อการสืบคดีได้ เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย ไหนเดินแกว่งควยมาหากูหน่อยสิ จะได้พิสูจน์ว่าที่กูสงสัยมันจริงนึเปล่า”

ภาติยะจำต้องเอามือที่ปิดบังควยตัวเองออก แล้วเดินเข้าไปหาพ่อเลี้ยงคำอินทร์ที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังตรงมุมห้อง ขณะที่เดิน ภาติยะไม่อาจห้ามความรู้สึกไม่ให้ควยของเขาตั้งโด่ขึ้นมาได้ ภาพดังกล่าวสร้างความขบขันให้พ่อเลี้ยงวัยกลางคนเป็นอย่างมาก

“มีอารมณ์เหรอผู้กอง เดินควยโด่มาเชียว อยากให้กูช่วยสงเคราะห์อะไรหรือเปล่า?” พ่อเลี้ยงคำอินทร์กล่าวล้อเลียน เขาดึงตัวภาติยะที่เดินเข้ามาใกล้ให้ขยับมายืนอยู่เบื้องหน้า แล้วค่อยๆ เอาหน้าเข้าไปจ่อใกล้ๆ ควยของนายตำรวจหนุ่ม ก่อนจะเอามือเข้าไปจับที่ควยดุ้นงามที่แผดผงาดท้าทายสายตานั้น แล้วค่อยๆ รูดหนังหุ้มปลายลงช้าๆ ให้หัวควยนั้นถอกออกมาให้ได้เห็นมันอย่างชัดเจน

“นั่นไง ไม่ผิดแน่ๆ ควยดุ้นนี้แหล่ะที่กูเจอในงาน นี่ยอมลงทุนแก้ผ้าเพื่อเข้าไปสืบถึงในนั้น แต่น่าเสียดายเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ไม่ได้อะไรตอบแทน แถมอาจจะยังเสียเพิ่มขึ้นอีก”

“พ่อเลี้ยงอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสิน บางทีอาจจะเป็นการลงทุนที่ยิ่งกว่าคุ้มค่าก็เป็นได้ ไม่แน่ตอนนี้ผู้กองคนเก่งอาจจะติดใจการแก้ผ้าและการถูกเย็ดไปแล้วก็เป็นได้ 555”

ภาติยะรู้สึกเหลืออดกับคำพูดที่หยามศักดิ์ศรี เขาจึงโพล่งออกไปบ้าง

“พวกมึงยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่อีกไหม จิตใจพวกมึงทำด้วยอะไร สารวัตร กูไม่นึกเลยว่าคนที่มีตำแหน่งหน้าที่อย่างมึงจะเห็นผิดเป็นชอบได้ขนาดนี้ วันนี้กูอาจจะทำอะไรมึงไม่ได้ แต่มันคงไม่ใช่ทีของมึงทุกครั้งหรอก”

“โกรธซะควยโด่เชียวไอ้ผู้กองตูดบาน มึงยังหวังว่าชีวิตมึงจะมีวันข้างหน้าที่ดีอยู่อีกเหรอ ในเมื่อมึงเอาตัวสอดเข้ามาเสือกกับเรื่องนี้เอง กูยืนยันกับมึงได้เลยว่า หลังจากนาทีนี้ชีวิตมึงจะเหมือนตกนรกลงไปช้าๆ กูจะทำให้มึงได้อาย อายอย่างที่ไม่คิดว่ามึงจะอายได้ขนาดนี้ แล้วสุดท้ายมึงจะมาร้องขอให้กูจบชีวิตมึงซะ เพราะมึงไม่สามารถทนมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เลย” สารวัตรตอบกลับอย่างเหลืออดเช่นกัน ชายต่างวัยจ้องตากันอย่างดุดันแบบไม่มีใครยอมกัน เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศสงครามที่เหมือนฝ่ายหนึ่งจะถือไพ่ที่เหนือกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

“เอาล่ะๆ เรายังมีเวลาอีกยาวที่จะได้เล่นสนุกกัน ผู้กอง นับว่าโชคมึงยังดีที่คืนนี้เราได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการจัดการมึง เพราะฉะนั้นมึงถึงยังไม่เจออะไรจากความปากดีของมึง แต่หลังจากนี้พวกกูมีสิทธิ์ทำอะไรกับมึงได้เต็มที่ ก่อนที่จะถึงการประมูลทาสครั้งหน้า เพราะฉะนั้นถ้ามึงไม่โอหัง อาจจะช่วยลดความเลวร้ายที่มึงเจอได้บ้าง กูขอเตือนมึงเอาไว้”

“แต่คืนนี้มึงจะเริ่มต้นจากการได้อายก่อน เดินกลับขึ้นไปชั้นบน หมดเวลาของการตรวจค้นแล้ว”

ภาติยะกัดฟันเดินกลับมาหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาจะสวม

“เดี๋ยวก่อน ไม่ได้มีตอนไหนที่กูบอกให้มึงใส่เสื้อผ้านะ สิ่งที่มึงต้องทำคือเดินแก้ผ้ากลับไปที่รถ”

ภาติยะหันมามองสารสัตรสุวิทย์ด้วยสายตาแข็งกร้าวรุนแรง แต่สุดท้ายก็จำต้องยอมทำตามที่สารวัตรสั่ง เขาเดินนำหน้าชายอีกสองคนขึ้นไปบนบ้าน และค่อยๆ เดินกลับไปตามทางที่เดินเข้ามา และก่อนจะถึงทางออกเขาเห็นลูกน้องของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ยืนรอกันเป็นกลุ่ม พอพวกมันเห็นร่างเปลือยของนายตำรวจหนุ่มก็หัวเราะขบขัน และพูดแซวแสดงความสมเพชที่นายตำรวจหนุ่มมาเดินเป็นชีเปลือยอยู่ในพื้นที่ของพวกมัน

“เป็นตำรวจหรือเป็นกะหรี่วะเนี่ย?”

“อากาศมันร้อนมากเหรอลูกพี่? ถึงต้องแก้ผ้าเดินในบ้านกันเลย”

“ดูสิวะ ควยแม่งโด่ขึ้นเรื่อยๆ อยากถูกพวกกูเย็ดหรือเปล่า 555”

ภาติยะเดินกลับขึ้นไปนั่งที่รถตามเดิม และเมื่อสารวัตรขึ้นรถ เขาก็เปิดไฟในรถจนสว่างโล่ง ก่อนจะขับรถออกไปจากบ้านของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ ภาติยะรู้ว่าที่สารวัตรเปิดไฟในรถเพราะต้องการกลั่นแกล้งเขาให้รู้สึกอาย และเขาก็ได้อายจริงๆ เมื่อรถแล่นมาถึงป้อมยาม และเมื่อ รปภ. เห็นความผิดสังเกตของคนที่นั่งมาในรถ จึงเดินมาที่รถและได้เห็นภาติยะโชว์ควยไปเต็มๆ จนต้องร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถามอะไร ปล่อยให้รถสารวัตรแล่นออกจากที่แห่งนั้นไป

ตลอดทางนายตำรวจหนุ่มต้องลุ้นไปตลอด ทั้งกลัวว่าจะมีรถวิ่งผ่านสวนมา หรือกลัวว่าสารวัตรเจ้าเล่ห์จะเอาเขาไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไหน แต่สารวัตรก็ขับพาเขามาส่งถึงที่พักของเขา ก่อนลงสารวัตรหันไปบอกกับผู้กองหนุ่ม

“พรุ่งนี้มึงขนของออกจากที่นี่ แล้วไปรายงานตัวแต่เช้า มึงจะต้องเข้าพักที่บ้านพักนายตำรวจ ต้องอยู่ใกล้ๆ คอยรับฟังคำสั่งของกู และต้องปฏิบัติตามทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นชีวิตเจ้าหน้าที่ตำรวจของมึงมีปัญหาแน่ๆ พ่อแม่ญาติพี่น้องของมึงจะได้รับรู้พฤติกรรมแสนบัดสีที่มึงทำกับไอ้เด็กเฝ้าตึก และหมวดพฤกษ์ที่นับถือมึงเหมือนพี่ชาย จะไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน”

คำขู่ของสารวัตรทำให้ผู้กองกนุ่มเสียวสันหลังวาบ

“นี่กูยังเมตตาให้มึงได้ร่ำลาไอ้เด็กสองตัวนั่นจนถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้าเงี่ยนมากก็อย่าลืมเรียกมันมาเย็ดเป็นการสั่งลาล่ะ หึหึ กูล่ะอายแทนมึงจริงๆ เป็นถึงนายตำรวจกลับมาถูกไอ้เด็กเมื่อวานซืนมันหลอกเย็ด ถ้ามีกระโปรงกูจะให้มึงสวมมาทำงานเลย เอ้า ลงไปได้แล้ว”

ภาติยะต้องลงมายืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงริมถนนหน้าที่พักของเขา ดีที่มันเป็นช่วงเวลาที่ดึกมากแล้ว จึงไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แม้แต่ตรงเคาท์เตอร์ที่ปกติจะต้องได้เห็นไอ้อ๋องหรือว่าไอ้บอยอยู่ตรงนั้น ภาติยะจึงอาศัยจังหวะนั้นรีบวิ่งกลับขึ้นห้อง และทันทีที่ถึงห้อง เขาก็ล้มฟุบลงอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ในหัวตอนนี้ต่อสู้กันระหว่างการอยู่สู้ต่อ หรือหนีไปตั้งหลัก ทุกความคิดตีกันไปมาจนสุดท้ายเขาเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

ตอนที่ 17

ภาติยะขับรถมาจอดที่หน้าสถานีตำรวจตั้งแต่เช้าตรู่ นี่คือวันแรกในการย้ายมาประจำการที่สถานีตำรวจแห่งนี้ หลังจากที่เขาทำหน้าที่สืบสวนทางลับคดีของหมวดพฤกษ์มานานนับเดือนแล้ว และในที่สุดเขาก็มีโอกาสเข้าใกล้หมวดพฤกษ์ แต่ยังไม่ทันที่จะช่วยอะไรนายตำรวจรุ่นน้องคนสนิทได้ ตัวเขาเองก็ตกลงไปในบ่วงที่พวกกลุ่มคนชั่วมันขุดดักเขาเอาไว้ อะไรที่ทำให้เขาหน้ามืดตามัวมองเกมนี้ไม่ออก ภาติยะได้แต่ถอนหายใจ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมก้าวลงจากรถขึ้นไปข้างบนสถานีตำรวจได้

บนโรงพักเงียบเหงา มีเพียงนายตำรวจเวรเพียงคนเดียวที่นั่งประจำการอยู่ เมื่อเห็นภาติยะสวมเครื่องแบบเต็มยศมาก็แสดงท่าทีประหลาดใจ แต่ก็เข้ามาต้อนรับขับสู้เพราะเห็นว่าเป็นนายตำรวจที่มียศสูงกว่าเขา ภาติยะถูกพาไปนั่งรอที่โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งว่างเปล่าไม่มีข้าวของอะไรอยู่บนนั้น สักพักก็มีหญิงวัยกลางคนเดินเอาแก้วน้ำมายื่นให้เขา

“เอ่อ คุณเป็นตำรวจใหม่หรือเจ้าคะ” เสียงนั้นมีความเกรงใจอยู่ในที อาจเพราะเห็นยศของเขา

“ใช่ครับป้า แล้วป้าคือ...”

“ศรีนวลค่ะ เป็นแม่บ้านดูแลทำความสะอาด ความเรียบร้อย”

“สวัสดีครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ผมชื่อภาติยะ โต๊ะที่ผมนั่งอยู่นี่คือ....”

“โต๊ะของหมวดพฤกษ์ แกหายไปเสียเฉยๆ หายไปไหนไม่มีใครรู้ เสียดาย แกเป็นนายตำรวจที่ดีมาก ไม่น่าเลยพ่อคุณ” เสียงป้าแม่บ้านสั่นเครืออย่างกับรู้ว่าชะตากรรมของหมวดพฤกษ์ไม่น่าเป็นไปในทางที่ดี

“พฤกษ์เป็นน้องที่ผมรักมากคนนึง ผมจะพาเขากลับมาให้ได้”

“คุณรู้จักหมวดพฤกษ์ด้วยเหรอคะ ฟังแล้ว ป้าค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ตามหมวดพฤกษ์กลับมาให้ได้นะคะ”

“ผู้กองครับ สารวัตรมาถึงแล้ว อยากพบผู้กองตอนนี้เลยครับ”

เสียงของนายตำรวจเวรดังแทรกขึ้น ภาติยะจำต้องลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินตรงไปที่ห้องของสารวัตรสุวิทย์ นายตำรวจเวรเคาะประตูห้อง เมื่อได้ยินคำอนุญาติจากคนในห้อง เขาจึงเปิดประตูเพื่อพาผู้กองหนุ่มเข้าไปพบผู้บังคับบัญชา

“นั่งสิผู้กอง เรามีเรื่องที่ต้องตกลงกันยาว เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของคุณที่นี่”

น้ำเสียงสารวัตรเยือกเย็นจนภาติยะขนลุกซู่ ดูเหมือนชีวิตหลังจากนี้ของเขาเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าจะบัดซบขนาดไหน

วันที่สองแล้วหลังงานโรงเรียนที่พลวิทย์ไม่มีโอกาสได้เจอกับอัครเลย และไม่เห็นความเคลื่อนไหวของวาโยด้วย นอกจากนี้ดูเหมือนว่าทางโรงเรียนเองจะพยายามจำกัดสิทธิของเขาหลายๆ อย่าง จนวันนี้เขาต้องขอเข้าพบแมนสรวงเพราะต้องการเคลียร์ปัญหาทุกๆ อย่างที่ค้างคาใจเขาอยู่ เมื่อถึงเวลานัดพลวิทย์จึงเดินมาเข้าพบแมนสรวงที่ห้องผู้อำนวยการ

“กฎบ้ากฎบออะไรของมันวะเนี่ย”

พลวิทย์บ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด เพราะชุดที่เขาต้องใส่มาพบแมนสรวง เนื่องจากกฎใหม่ที่ให้ทั้งคณาจารย์และนักเรียนของโรงเรียนเปรมปรีดาทุกคนต้องแต่งเครื่องแบบของตนเองเท่านั้นในการเข้าพบผู้อำนวยการ พลวิทย์รู้สึกตะหงิดใจตั้งแต่ตอนที่อาจารย์เพชรย้ำนักย้ำหนาถึงกฎนี้กับเขา เขาจึงไปเปิดดูคู่มือการแต่งกายก่อนจะพบว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นไปแบบที่เขาคิดไม่มีผิด เขาต้องเข้าพบแมนสรวงในชุดว่ายน้ำ พลวิทย์จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใส่กางเกงว่ายน้ำมาเข้าพบ ยังดีหน่อยที่มีเสื้อวอร์มมาปกปิดร่างท่อนบน ทำให้ความอุจาดในความรู้สึกของเขาลดลงไปได้บ้าง

พอเดินมาถึงหน้าห้องของแมนสรวง พลวิทย์ก็เห็นอาจารย์เพชรยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว อาจารย์สาวในร่างหนุ่มทำหูตาแพรวพราวทันทีที่เห็นชุดที่เขาใส่มา รีบจีบปากจีบคอบอกว่า “คุณแมนสรวงรออยู่ในห้องแล้ว” พลวิทย์จึงเตรียมจะเดินเข้าไป แต่ถูกอาจารย์เพชรเอ่ยทักขึ้นก่อน “จุ๊ๆ เดี๋ยวฮ่ะ คือยังแต่งกายผิดระเบียบอยู่นะฮะ”

พลวิทย์รู้ความหมายทันที จึงทำสีหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “ต้องขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

อาจารย์เพชรพยักหน้าช้าๆ พลวิทย์จึงจำต้องค่อยๆ ถอดเสื้อวอร์มออก รวมทั้งหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองที่เอาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อวอร์ม ส่งให้อาจารย์เพชรที่แบมือรอรับอยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะเดินตามอาจารย์เพชรเข้าไปในห้อง

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาในห้องผู้อำนวยการ แต่มันคือครั้งที่เขารู้สึกอึดอัดลำบากใจมากที่สุด เขาเห็นแมนสรวงนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง สายตามองมาที่เขาอย่างพินิจพิจารณา ที่ด้านหน้าโต๊ะแมนสรวงที่เคยมีเก้าอี้อยู่สองตัว ตอนนี้อันตรธานหายไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาต้องยืนคุยกับแมนสรวงในสภาพนี้

“ผมอยากทราบเรื่องของอัครครับ รวมถึงบทบาทหน้าที่ของผมต่อจากนี้ ผมไม่เจออัครเลยหลังงานโรงเรียน และไม่รู้ว่าตัวเองควรจัดการชีวิตต่อไปยังไงดี?”

“ใจเย็นๆ นะฮะอาจารย์วิทย์ ดื่มน้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจก่อน” พลวิทย์รู้ว่าอาจารย์เพชรรีบเดินเอาน้ำดื่มมาเบรกจังหวะ เขาจึงรีบดื่มน้ำให้หมดแก้วโดยเร็ว เพราะไม่ต้องการจะเสียเวลา

“คุณเป็นอาจารย์ที่ดีมากนะคุณพลวิทย์ คุณพาอัครไปถึงฝั่งตามที่เขาต้องการแล้ว ผมคิดว่าอัครมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ แต่ต้องได้รับคำแนะนำที่ดีจากมืออาชีพ พออาจารย์สุนัยเสนอชื่อวาโย โดยบอกคุณสมบัติของเขา พร้อมกับข้อมูลที่ผมได้รับรู้ว่าเขาก็เคยเป็นลูกศิษย์ของคุณมาก่อน ผมจึงได้เชิญเขามาเป็นโค้ชส่วนตัวให้อัครต่อจากนี้ เพื่อพัฒนาอัครไปสู่การเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติให้จงได้ ส่วนที่คุณถามผมถึงบทบาทหน้าที่ของคุณต่อจากนี้ มันง่ายมากเลยคุณพลวิทย์ หน้าที่ของคุณคือการกลับไปที่ชมรมว่ายน้ำ และให้ความสุขกับเด็กๆ เหล่านั้น รวมถึงสปอนเซอร์ของเราด้วย”

“ความสุข...” พลวิทย์รู้สึกงงงันกับคำพูดของแมนสรวง แต่แมนสรวงยังไม่ทันให้คำตอบ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อมกับที่อาจารย์เพชรพาอาจารย์สุนัยเข้ามาในห้อง

พลวิทย์ยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เกือบสายแล้วตอนที่หมู่ยุทธนาได้รับข้อความให้เข้าร่วมประชุมด่วน เขารีบลุกขึ้นแต่งตัวทันทีทั้งที่วันนี้เป็นเวรหยุดของเขา เขาวิ่งกระหืดกระหอบเมื่อมาถึงสถานีตำรวจ รีบวิ่งเอาข้าวของส่วนตัวเข้าไปเก็บในห้องพักนายตำรวจ ซึ่งเป็นห้องที่ใช้เป็นที่พัก ที่แต่งตัว และที่เก็บของ ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าห้องไปก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ที่มีชายหนุ่มหุ่นล่ำคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเข้าล็อกเกอร์ของตนเอง ในสภาพเปลือยเปล่าโชว์ก้นกลมกลึง กำลังชะโลมครีมบำรุงผิวทาร่างกายตัวเองอยู่ ชายคนนั้นหันหน้ามาทันทีที่รู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้อง

“อ้าว หมู่ยุทธ” ชายคนดังกล่าวทักทาย ใบหน้ายิ้มแย้ม

“ผู้กองติยะ” หมู่ยุทธอุทานอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นหน้าชัดๆ ของคนที่แก้ผ้าอยู่ตรงหน้าเขา

“เดี๋ยวเจอกันในห้องประชุม ขอผมแต่งตัวก่อน” ว่าแล้วผู้กองหนุ่มก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเอามือที่มีครีมบำรุงผิวทาลงไปที่ส่วนน่องนั้น หมู่ยุทธเหลือบเห็นควยของผู้กองหนุ่มห้อยลงมาที่หว่างขา ทำให้เขาคิดว่าของจริงมันต้องใหญ่ไม่ใช่เล่นแน่ๆ นายตำรวจหนุ่มแอบคิดในใจว่า ตำรวจจากกรุงเทพฯนี่ช่างหน้าไม่อายแท้ แก้ผ้าแก้ผ่อนแต่งตัวกันในห้องได้ขนาดนี้เลย มิน่าถึงกล้าแก้ผ้าให้เด็กมันถ่ายรูปตอนตัวเองโป๊ได้ เขาค่อยๆ เดินออกจากห้องไปหลังจากที่เก็บของเสร็จเรียบร้อย

ในห้องประชุม สารวัตรสุวิทย์นั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม ทางด้านซ้ายเป็นที่นั่งของหมวดชาตรี และหมู่ยุทธนา ทั้งคู่เป็นนายตำรวจรุ่นใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเข้ามาทำงานในพื้นที่นี้ได้ไม่นานนัก แต่ก็เริ่มรู้จักพื้นที่และคุ้นชินกับคนในพื้นที่นี้แล้ว ถัดไปเป็นจ่าสงคราม นายตำรวจชั้นประทวนที่มีอายุพอสมควรแล้ว แต่ด้วยความที่เรียนมาน้อยทำให้โอกาสที่จะก้าวหน้าไม่ค่อยมี แต่ความที่จ่าสงครามเป็นคนในพื้นที่นี้มาตั้งแต่เกิด จึงทำให้พอเป็นที่รู้จักและมีความกว้างขวางในวงสังคมนี้อยู่บ้าง บางทีอาจจะมากกว่านายตำรวจที่มียศสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ

ทางด้านขวาของโต๊ะประชุม มีนายตำรวจหน้าใหม่นายหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าของเขาหล่อเหลาคมสัน เนื้อตัวมีกล้ามแกร่ง ดูแล้วไม่ต่างจากพระเอกนักบู๊ในจอโทรทัศน์เลย จ่าสงครามมองหน้านายตำรวจหน้าใหม่ที่เขาไม่เคยเห็น แล้วแอบประเมินคร่าวๆ ว่างานนี้หัวกระไดบ้านพักนายตำรวจต้องไม่แห้งแน่ๆ เพราะจะมีสาวๆ สมัครใจขอทำหน้าที่เป็นคนส่งข้าว ส่งน้ำมาให้นายตำรวจหนุ่มหน้าใหม่คนนี้ไม่ขาด คิดแล้วก็อิจฉาความหนุ่ม ความหล่อที่นายตำรวจหนุ่มหน้าใหม่มี

สารวัตรสุวิทย์เมื่อเห็นว่าครบองค์ประชุมแล้วก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา เขาเข้าเรื่องที่ต้องเรียกให้ทุกคนในที่นี้มาร่วมประชุมทันที โดยเริ่มจากการแนะนำสมาชิกใหม่ในทีมตำรวจแห่งนี้ คือผู้กองภาติยะ ที่จะเข้ามามีบทบาทในการติดตามสืบสวนคดีการหายตัวไปของหมวดพฤกษ์ ไชยยนต์

“อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่าคดีของหมวดพฤกษ์นั้นมีความคืบหน้าน้อยมาก เนื่องจากไม่มีพยานหรือหลักฐานที่มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อมโยงได้เลยว่าหมวดพฤกษ์หายไปไหน แต่จากข้อมูลที่หมวดพฤกษ์ส่งให้ผู้กองภาติยะทราบเป็นการส่วนตัวก่อนที่เขาจะหายตัวไป ทำให้เราได้รู้ว่าบางทีคดีนี้อาจไม่ใช่คดีการหายตัวธรรมดาๆ หรือเป็นคดีที่เป็นความแค้นส่วนตัว แต่น่าจะมีการชักใยจากผู้มีอิทธิพลในท้องที่นี้ เพียงแต่เรายังไม่สามารถระบุได้ว่าคือใคร ทำไปเพื่ออะไร และต้องการอะไรจากสิ่งที่ทำ และในเมื่อหมวดพฤกษ์ได้ให้ความไว้วางใจกับผู้กองยะ ให้เป็นผู้เก็บข้อมูลสำคัญทุกอย่างที่หมวดพฤกษ์มี นั่นจึงน่าจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า คงไม่มีนายตำรวจคนไหนที่จะเหมาะกับการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการสืบจับหาตัวคนร้ายในคดีนี้เท่ากับผู้กองภาติยะอีกแล้ว ผมจึงได้ขอให้ผู้กองมารับหน้าที่ในการสืบสวนคดีนี้ และจะขอความร่วมมือจากพวกเราทุกคนให้เป็นผู้ช่วยของผู้กองในการคลี่คลายคดีนี้”

นายตำรวจทุกคนต่างปรบมือต้อนรับผู้กองหนุ่มคนใหม่ ภาติยะจำต้องลุกขึ้นกล่าวแนะนำตัวและเล่าถึงความคืบหน้าในการสืบสวนทางลับของคดีนี้ให้ทุกคนได้รับทราบ สายตาของนายตำรวจหนุ่มแม้จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทำให้ทุกคนในที่นั้นรู้สึกอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยคลี่คลายคดีสำคัญนี้ แต่หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นแววตาแห่งความหวั่นวิตกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ และเมื่อผู้กองภาติยะกล่าวจบ สารวัตรสุวิทย์ก็กล่าวต่อทันที

“สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับการสืบสวนทางลับในคดีนี้คือ ผู้กองติยะมีความทุ่มเทให้กับคดีนี้เป็นอย่างมากโดยไม่ห่วงสวัสดิภาพของตนเองเลย ก่อนหน้านี้เขาเอาตัวเข้าไปแทรกซึมอยู่ในกลุ่มคนที่คิดว่าน่าจะเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังในคดีนี้ และผมจะให้ทุกท่านได้เห็นความทุ่มเทที่ผู้กองติยะมีให้กับการสืบสวนคดีนี้”

สารวัตรส่งรูปถ่ายผู้กองหนุ่มที่แก้ผ้าเปลือยกายให้ไอ้อ๋องถ่ายรูปส่งไปให้นายตำรวจคนอื่นๆ ดู จนสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วห้อง ผู้กองหนุ่มได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากคนในห้องดังขึ้น “ต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ?”

รูปถ่ายของภาติยะที่โชว์ควยให้เห็นจะๆ ในขณะที่ควยแข็งตัวอย่างเต็มที่ หรือรูปที่ภาติยะขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนเตียง เพื่อโชว์บั้นท้ายที่ฟิตปั๋งและรูตูดที่มีขนขึ้นปกคลุมอยู่พอประมาณ ผู้กองหนุ่มเริ่มมีอาการเหงื่อแตกและเริ่มไม่รู้ว่าจะปั้นหน้าอย่างไรดี เมื่อนายตำรวจที่มียศต่ำกว่าเขา และต้องรับฟังคำสั่งของเขาต้องมาได้เห็นภาพถ่ายของเขาแบบนี้ก่อนที่จะได้เริ่มงานกัน

“นี่เหรอครับที่ผู้กองเคยเล่าว่าต้องแก้ผ้าให้ไอ้อ๋องถ่ายรูปไว้” สิ่งที่หมู่ยุทธนาโพล่งขึ้นมายิ่งทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ เชื่อมั่นว่าเป็นความสมัครใจของผู้กองภาติยะ

“ผมเป็นตำรวจมานาน ไม่เคยต้องทุ่มเทอะไรขนาดนี้ตอนไปจับคนร้ายเลย ถามจริงๆ ผู้กองไม่อายเหรอตอนทำอะไรแบบนี้” น้ำเสียงของจ่าสงครามมีความไม่เชื่อมั่นและรู้สึกหมดศรัทธาในตัวนายตำรวจจากกรุงเทพฯมากกว่าจะชื่นชมในความทุ่มเท

“ผู้กองอาจเห็นว่าเป็นผู้ชายเหมือนๆ กันก็ได้ครับเลยไม่รู้สึกอาย ใช่ไหมครับผู้กอง เหมือนตอนที่เราเรียนนายร้อยตำรวจเราก็ยังแก้ผ้าอาบน้ำกัน หรืออย่างเมื่อกี๊ผู้กองก็แก้ผ้าแต่งตัวอยู่ในห้องพักพวกเรา” หมู่ยุทธนาแก้แทน ทั้งที่ตัวเองก็คลางแคลงใจในความทุ่มเทที่เกินความจำเป็นของผู้กองภาติยะ

“นี่คือสิ่งที่ผมจะบอกทุกคน” เสียงภาติยะสั่นเครือ แต่ละประโยคที่กล่าวออกมาเหมือนเขาต้องกลั้นใจเป็นอย่างมากกว่าจะพูดออกมาได้ “คดีนี้มันมีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ที่มีตัวการรายใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นี้ การเข้าถึงข้อมูลจึงต้องมีการใช้เนื้อตัว ร่างกายของเราเพื่อแลกเอาข้อมูลที่สำคัญมา ซึ่งสิ่งที่ผมทำทำให้ผมได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก และน่าจะเป็นแนวทางในการตั้งต้นการสืบสวนของเราต่อจากนี้ และหากว่าการสืบสวนต่อจากนี้มีเรื่องที่ทำให้เกิดความลำบากใจ ในการที่เราต้องใช้เนื้อตัว ร่างกายเพื่อเป็นใบเบิกทางเพื่อให้เข้าถึงข้อมูล ขอให้ทุกคนมาบอกผม ผมพร้อมจะเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้การสืบสวนคดีนี้ได้รับความกระจ่างโดยเร็วที่สุด”

สิ้นคำพูดของผู้กองภาติยะ เสียงปรบมือของนายตำรวจที่เข้าร่วมการประชุมก็ดังกึกก้อง หากแต่ผู้ที่ได้รับเสียงปรบมือนั้นกลับไม่รู้สึกยินดีอย่างที่ควรเป็น

หลังออกจากห้องประชุม ข้อความของสารวัตรสุวิทย์ถูกส่งมาถึงผู้กองภาติยะ

“นี่แค่เริ่มต้น ยังมีอะไรที่น่าสนุกว่านี้อีกเยอะ มึงเตรียมรอพร้อมรับได้เลย และถ้ามึงทำตัวดีๆ คลิปเด็ดๆ ของมึง ก็ยังจะอยู่ในที่ปลอดภัย”

คลิปเด็ดๆ

ภาพจากคลิปวิดีโอถูกเปิดผ่านจอ LCD ภายในห้องผู้อำนวยการโรงเรียนเปรมปรีดา มีแมนสรวงเจ้าของห้องสวมชุดสูทสีเข้มนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง อาจารย์เพชรฝ่ายจัดการสวมชุดสูทสีครีมยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์สุนัยที่สวมชุดวอร์มสีเทาอ่อน ส่วนอาจารย์พลวิทย์ยืนห่างออกไปที่อีกฝั่งของห้องในชุดกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียว ทั้งหมดต่างหันหน้าไปที่จอ LCD พร้อมกันหมด เพียงอึดใจภาพชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

“สวัสดีครับ ผมวาโย เกียรติบดินทร์ อดีตนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ ตอนนี้ผมมารับหน้าที่เป็นโค้ชส่วนตัวให้กับอัคร ซึ่งกำลังจะเข้าแข่งขันคัดตัวนักกีฬาเยาวชนทีมชาติในอีกครี่งปีต่อจากนี้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะบอกเล่ากับทุกคนในที่นี้ ความจริงสิ่งที่ผมต้องการจะบอกกับทุกคนคือ สิ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดบทบาทการเป็นนักกีฬา นั่นเพราะอาจารย์พลวิทย์คนเดียวเลย”

ทุกสายตาในห้องหันมาจับจ้องชายหนุ่มในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว ขณะที่เจ้าตัวเริ่มรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข

วาโยเล่าต่อ “ก่อนหน้าที่ผมจะได้เป็นนักกีฬาเยาวชน ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์พลวิทย์ แกเป็นโค้ชที่ผมรักและนับถือมาก เพราะแกสามารถพัฒนาผมที่เป็นเด็กที่มีความสามารถระดับหนึ่ง ให้มีพัฒนาการจนสามารถเอาชนะการแข่งขันได้แทบทุกรายการ รวมไปถึงการที่แกสามารถพาผมไปถึงการคัดตัวเยาวชนทีมชาติได้ แต่แล้วก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นในวันที่ผมได้รับชัยชนะและได้เป็นตัวแทนทีมชาติไทย ผมได้รู้จักธาตุแท้ของอาจารย์พลวิทย์

วันนั้นเราดื่มฉลองกันจนดึก ผมเริ่มรู้สึกไม่ได้สติ จนอาจารย์พลวิทย์ต้องหิ้วปีกผมกลับที่ห้องพัก ผมไม่รู้เลยว่านั่นคือความตั้งใจ ผมผล็อยหลับไปเพราะความมึนเมา แต่ก็มารู้สึกตัวตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน พอเริ่มได้สติ ผมจึงรู้ว่าอาจารย์พลวิทย์กำลังทะเลาะกับแฟนของเขาอยู่ ผมไม่รู้ว่าแฟนแกมาถึงห้องตั้งแต่ตอนไหน ผมเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันหนักมาก ผมจึงแกล้งทำเป็นหลับไม่ได้สติ แอบมองทั้งคู่ที่ไม่รู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น”

วาโยพูดไม่ออกไปพักใหญ่ เขายังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น บรรยากาศในห้องผู้อำนวยการจึงปกคลุมไปด้วความเงียบงันอยู่พักใหญ่ๆ

“แล้วแฟนอาจารย์วิทย์ก็ถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่ชุดชั้นใน แล้วตรงเข้ามาหาผม แล้วแกก็ค่อยๆ โลมเล้าที่ตัวผม มันรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น ผมพยายามจะหยุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะหยุดมัน สุดท้ายแฟนของอาจารย์พลวิทย์ก็ขึ้นคร่อมบนตัวผม แกพยายามปลุกอารมณ์ผม และผมไม่สามารถต้านทานความรู้สึกนั้นได้ อารมณ์ตอนนั้นของผมเตลิดไปไกล และตอนที่ผมถึงจุดสุดยอดนั้นเองที่ผมเห็นว่า อาจารย์วิทย์กำลังบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างลงบนกล้องวิดีโอ เหตุการณ์วันนั้นทำให้จิตใจผมเตลิดเปิดเปิง อาจารย์พลวิทย์เอาคลิปนั้นมาข่มขู่ผมให้ผมต้องยอมมีอะไรกับแฟนแกอีกหลายครั้ง และใช้มันบังคับให้ผมต้องยอมแบ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับแกตอนที่ผมประสบความสำเร็จได้เป็นทีมชาติ จนทำให้ผมเครียดสะสมส่งผลให้การแข่งขันล้มเหลวไม่เป็นท่า จนสุดท้ายทำให้ผมตกต่ำลงจนถูกปลดจากนักกีฬาชุดเยาวชน และนั่นคือฟางเส้นสุดท้าย ผมกินยาฆ่าตัวตาย แต่มีคนช่วยไว้ได้ทัน มันส่งผลทำให้อาจารย์วิทย์ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ และทำให้ผมกลับมามีวันนี้ได้อีกครั้ง และนี่คือหลักฐานว่าผมพูดความจริง”

ภาพบนจอ LCD ตัดไปเป็นคลิปภาพการร่วมเพศระหว่างหญิงชายคู่หนึ่ง คลิปดังกล่าวแม้จะมีความยาวไม่มาก แต่ก็เห็นหน้าของคนที่อยู่ในคลิปทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายชายคือวาโย ส่วนฝ่ายหญิงนั้นอาจารย์สุนัยช่วยยืนยันได้ว่านี่คือ วันวิสา แฟนสาวของพลวิทย์จริงๆ

“เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกคุณกำลังถูกวาโยปั่นหัว” เสียงพลวิทย์ดังแทรกขึ้นมา ทุกสายตาในนั้นหันกลับมามองที่เขา พลวิทย์หันไปสบสายตาเพื่อนสนิทก่อนจะพูดขึ้นว่า “อาจารย์สุนัยรู้ดีว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่โดนกล่าวหา ใช่มั้ยไอ้นัย กูเคยเล่าเรื่องนี้ให้มึงฟังว่ายังไง บอกทุกคนที”

“ใช่ครับทุกคน อาจารย์พลวิทย์เคยเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังตั้งแต่เพิ่งเกิดปัญหาระหว่างอาจารย์วิทย์กับวาโยใหม่ๆ พอผมได้เห็นคลิปนี้ของวาโยมันทำให้ผมไม่เชื่อในทันที และต้องการคนที่จะมาช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้อาจารย์พลวิทย์ ผมจึงตามหาวันวิสา อดีตแฟนสาวของอาจารย์พลวิทย์ ซึ่งพอเธอเข้าใจวัตถุประสงค์ที่ผมมาพบเธอ เธอจึงได้เล่าความจริงทุกอย่างให้ผมฟัง ความจริงเป็นดังที่ทุกท่านจะได้เห็นในคลิปถัดไปนี่แหล่ะครับ”

ภาพบนจอตัดมาที่หญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ หญิงสาวอยู่ในอาการนั้นสักพักใหญ่ๆ ก่อนจะค่อยๆ รวบรวมสติและสะกดกลั้นน้ำตา ก่อนจะเริ่มพูดกับกล้องที่กำลังบันทึกภาพเธออยู่ หญิงสาวพลั่งพรูในสิ่งที่เป็นความทุกข์ทรมานจากการเป็นแฟนของพลวิทย์ ที่บังคับให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับลูกศิษย์ของเขา คนแล้ว คนเล่า คนแล้ว คนเล่า เพื่อสนองตอบรสนิยมทางเพศแบบที่เธอมองว่าสุดแสนวิปริตของเขา และมันมาถึงจุดแตกหักเมื่อเขาบังคับให้เธอร่วมเพศกับวาโยและถ่ายคลิปเอาไว้ มันกลายเป็นคลิปที่เปลี่ยนชีวิตของทั้งวาโยและตัวเธออย่างสิ้นเชิง จนทุกวันนี้วันวิสายืนยันว่าเธอยังไม่สามารถสู้หน้าพลวิทย์ได้ เพราะความกลัวที่เป็นปมอยู่ในใจนั้นยังไม่ได้รับการสะสาง หญิงสาวกล่าวจบก็ก้มหน้าเอามือปิดใบหน้าร้องไห้ต่ออย่างคนเสียสติ

พลวิทย์ดูคลิปนั้นไปก็เหงื่อตกไป ตาของเขาเบิกค้าง ขณะที่ปากได้แต่พึมพำอย่างคาดไม่ถึงว่า “ไม่จริง ไม่จริง”

“ถ้าจะว่าไป เดี๊ยนก็เห็นความวิปริตน่าบัดสีของอาจารย์วิทย์หลายอย่างอยู่นะ” อาจารย์เพชรกล่าวบ้าง “อย่างวันนั้นที่อาจารย์วิทย์มาช่วยจัดห้องเก็บของแล้วก็มาช่วยยกนั่นยกนี่ แล้วก็ใส่กางเกงว่ายน้ำมาตัวเดียว มีหลายครั้งเลยที่แกเอาเป้ามาจะโดนหน้าเดี๊ยน นี่เดี๊ยนต้องพยายามหาทางเบี่ยงหลบ แต่ตอนนั้นก็คิดว่าอาจารย์วิทย์อาจไม่ได้ตั้งใจ แค่พอได้ดูคลิปวันนี้...” อาจารย์เพชรเล่าไปทำท่าขยะแขยงไป

“ผมก็นึกถึงวันที่ผมเข้าไปคุยกับอาจารย์วิทย์ในห้อง ตอนนั้นอาจารย์วิทย์คุณก็ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวยืนคุยกับผม นี่คุณจงใจยั่วผมหรือเปล่า?” แมนสรวงตั้งข้อสังเกตขี้นบ้าง

“ไอ้วิทย์ แล้วตอนที่กูเข้าไปเห็นมึงลูบๆ คลำๆ อัครในห้องอาบน้ำ มันไม่ใช่แค่การนวดกันอย่างที่มึงอ้างใช่มั้ย กูเห็นอัครมันควยตุงกางเกงว่ายน้ำเลย แล้วพอกูแกล้งจับควยมึงบ้าง มันก็แข็งอยู่ก่อนแล้ว ตอนนั้นกูคิดว่าควยมึงแข็งรอกูมาจับ แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ มึงมีอารมณ์กับลูกศิษย์ตัวเอง มีงนี่แม่งโคตรวิปริตเลย”

“ไม่ใช่นะ ทุกคนกำลังเข้าใจผมผิด”

“แต่อาจารย์พลวิทย์ ควยคุณกำลังแข็งอยู่นะตอนนี้ ดูที่กางเกงว่ายน้ำตัวเองสิ หัวควยคุณโผล่ออกมาแล้ว”

ตอนที่ 18

อาคารกีฬาของศูนย์ฝึกกีฬาในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้นช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก แถมยังครบครันด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย บางอย่างเป็นสิ่งที่อัครได้เคยเห็นมาบ้าง บางอย่างเคยได้เห็นและเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ แต่บางอย่างเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขามาก การมาดูทัศนศึกษาของอัครในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับตัวเขา เครื่องมือบางตัววาโยซึ่งเป็นผู้ดูแลคนใหม่ของเขาถึงกับออกปากว่าอยากได้เอาไว้ใช้ที่โรงเรียนเปรมปรีดาบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นประโยขน์ไม่ใช่แค่เฉพาะชมรมว่ายน้ำ แต่ชมรมอื่นๆ ก็น่าจะได้ใช้ประโยชน์ด้วยเช่นเดียวกัน

เจ้าหน้าที่คนที่เป็นผู้แนะนำพาพวกเขามาจนถึงศูนย์ฝึกกีฬาว่ายน้ำโดยเฉพาะ ที่นี่ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างเทียบไม่ได้กับขนาดของชมรมว่ายน้ำโรงเรียนเปรมปรีดา ไม่ใช่เท่านั้น ความทันสมัยของการออกแบบสถาปัตยกรรม เทคโนโลยี ก็ทำให้เด็กหนุ่มผู้มาจากแดนไกลตื่นตะลึงไปได้ตลอด มีหลายสิ่งที่วาโยสามารถอธิบายแทนผู้แนะนำได้มากกว่า เนื่องจากเป็นคนที่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ยิ่งทำให้อัครรู้สึกทึ่งกับผู้ดูแลคนใหม่ของเขาเป็นอย่างมาก และเป็นช่วงที่อัครได้ตักตวงวิชาความรู้อย่างเต็มที่

ขณะกำลังเดินดูสิ่งต่างๆ ภายในตัวอาคารไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ก็มีเสียงดังกรี๊ดกร๊าดดังขึ้น และมีคนจำนวนมากวิ่งไปทางเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย วาโยและอัครได้ยินเสียงที่จับความได้เพียงเลาๆ ว่า “พี่มอนกำลังจะลงว่ายแล้ว ไปดูกันเร็ว” เมื่อหันมามองที่ผู้แนะนำก็เห็นเพียงการพยักเพยิดให้กลุ่มของพวกเขาตามคนกลุ่มนั้นไป เมื่อพวกเขาไปถึงบริเวณอัฒจรรย์ของสระว่ายน้ำ ก็พบคนจำนวนมากกำลังมุ่งมองลงไปที่สระว่ายน้ำ ที่เหมือนมีการแข่งขันเกิดขึ้นตรงนั้น มันเป็นการแข่งขันว่ายฟรีสไตล์ที่มีชายหนุ่มกำลังว่ายแข่งขันกันอยู่ต่างลู่จำนวนสี่คน และคนที่นำห่างจากคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด น่าจะเป็นคนที่ทำให้เกิดเสียงกรี๊ดกร๊าดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง อัครมองภาพการแข่งขันนั้นนิ่งนานเหมือนถูกสะกดอยู่ก็ไม่ปาน จนชายคนที่ว่ายนำหน้าเอามือแตะขอบสระ เสียงกรีดร้องที่ดังระงมขึ้นรอบสระจึงปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

ชายหนุ่มผู้ชนะดันตัวขึ้นจากสระว่ายน้ำ มีเพื่อนๆ ที่ว่ายประชันขันแข่งกับเขาเข้ามาแสดงความยินดี ลำตัวของเขาเต็มไปด้วยเนื้อหนั่นที่แข็งแรง หยดน้ำที่เกาะพราวไปทั้งตัวเป็นสิ่งที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับเขามากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มหันมาโบกไม้โบกมือให้กองเชียร์ พร้อมส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มาให้ จนเกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกรอบ ก่อนที่เขาจะถอดหมวกคลุมศีรษะและแว่นตากันน้ำออก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาหันมาทางอัคร สายตาสองคู่จึงสบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่นิ่งนานอยู่สักพักใหญ่ๆ

“โตมร แชมป์กีฬาเยาวชนแห่งประเทศไทย พวกคุณคงรู้จักเขาดี” ผู้แนะนำบอกกับอัครและวาโย

“สถิติที่ดีที่สุดของรุ่นเยาวชน และเป็นกำแพงอันใหญ่ที่เราต้องปีนข้ามไปให้ได้”

แล้วเสียงกรี๊ดกร๊าดรอบสระก็เงียบลงไปทันทีที่หญิงสาวคนหนึ่งในชุดว่ายน้ำแบบเต็มตัววิ่งเข้ามากอดแสดงความยินดีกับผู้ชนะ สายตาของนักว่ายน้ำหนุ่มจึงละจากอัครไปจับจ้องหญิงสาวผู้มาเยือน จากท่าทีที่แสดงออก อัครมั่นใจว่าไม่น่าเป็นเพียงคนรู้จักธรรมดา ยิ่งบวกกับปฏิกิริยาของสาวๆ รอบสระที่ค่อยๆ ผละออกไปจากตรงนั้นทีละคนสองคนยิ่งทำให้รู้ว่าเธอคือหญิงผู้กุมหัวใจนักว่ายน้ำเจ้าของสถิติเยาวชนแห่งชาติ

เสียงข้อความเข้าจากสมาร์ทโฟนของวาโยดังปลุกให้อัครตื่นจากความคิดคำนึงอีกครั้ง สายตาของเขาเหลือบไปมองหน้าจอของวาโยตามสัญชาตญาณ และเห็นว่าเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเครื่องของอาจารย์พลวิทย์ แต่วาโยกลับไม่สนใจที่จะเปิดดู เขาปิดมันไปเหมือนไม่ต้องการรับรู้ สร้างความแปลกใจให้อัครเป็นอย่างมาก แต่ความที่ยังไม่สนิทกับผู้ดูแลคนใหม่มากนัก จึงใช่เรื่องที่เขาจะเอ่ยถาม เพราะจะกลายเป็นคนสู่รู้เอาหากเจ้าตัวไม่ต้องการจะตอบ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้แนะนำเสนอให้ทั้งคู่ไปต่อ อัครจึงเลิกสนใจข้อความเข้าของอาจารย์พลวิทย์ไป

เวลาเดียวกันที่โรงเรียนเปรมปรีดาเป็นช่วงเวลาเรียนที่นักเรียนทุกคนต่างอยู่ในห้องเรียน ยกเว้นไอ้โอ๊ตและไอ้โก้สองคนที่แอบโดดเรียนออกมาจากห้องเรียนกันสองคน เพราะไอ้โก้รบเร้าอยากจะขอเย็ดไอ้โอ๊ตในตอนนี้

“เป็นเหี้ยอะไรของมึง? มาเงี่ยนในเวลาเรียน” ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามอย่างมีอารมณ์ แต่ก็ยอมตามไอ้โก้ออกมาจากห้อง พวกมันทั้งคู่หลบเดินออกมาจากตัวอาคารเรียนโดยไม่ให้ รปภ. เห็นได้สำเร็จแล้ว แต่อยู่ๆ ไอ้โก้ก็ถามขึ้น

“แล้วเราจะไปที่ไหนดีวะ? ไปที่เรือนนอนแม่งก็ไกล แถมต้องผ่านด่านไอ้พี่ยามคุมตึกอีก”

“นั่นสิ ที่ไหนใกล้ๆ”

ไอ้โก้ใช้ความคิดแวบนึงก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ชมรมว่ายน้ำของมึงไง อยู่เลยไปข้างหลังนี้เอง แถมยังมีพื้นที่เป็นสัดส่วน”

“แต่ถ้าโดนจับได้กูตายเลยนะ”

“ใครจะมาจับได้วะ นี่ไม่ใช่เวลาฝึกซ้อม ไม่มีใครอยู่ที่ชมรมหรอก”

ไอ้โอ๊ตนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เออ ก็ได้ เดี๋ยวกูนำมึงไปเอง”

แล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็พากันไปที่ชมรมว่ายน้ำ ใช้เวลาไม่นานทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้าแล้วเข้าไปโรมรันกันอยู่ในห้องอาบน้ำของชมรมแล้ว

ในรถตู้ตอนที่อัครและวาโยกำลังเดินทางต่อ อยู่ๆ เสียงข้อความจากสมาร์ทโฟนของวาโยก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากอาจารย์พลวิทย์อีกแล้ว สิ่งนี้ย้ำความสงสัยให้กับอัครจนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอ่ยปากถาม

“พี่วาไม่อยากรู้เหรอครับว่าอาจารย์วิทย์ส่งข้อความอะไรมา ขอโทษนะครับ ที่ละลาบละล้วง ผมเห็นมันดังขึ้นมาหลายทีแล้ว แต่ไม่เห็นพี่เปิดดูสักที”

“ไม่เป็นไรอัคร คือ เรื่องระหว่างพี่กับอาจารย์วิทย์มันซับซ้อน พี่ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของอาจารย์ดูไม่ดี”

“ทำไมล่ะครับ พี่กับอาจารย์วิทย์มีเรื่องผิดใจอะไรกันอยู่เหรอครับ เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“ถ้าพี่เล่า อัครต้องสัญญาว่าจะไม่เอาไปบอกใคร เพราะมันอาจทำให้อาจารย์วิทย์เสื่อมเสียได้ แต่ พี่ก็แทบจะทนกับอะไรแบบนี้ไม่ไหวแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นครับ ข้อความที่ส่งมามีอะไร?”

วาโยหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมา ยื่นไปตรงหน้าอัคร แล้วเปิดข้อความที่อาจารย์พลวิทย์ส่งมาถึงเขาให้อัครได้ดู มันเป็นรูปภาพที่ถ่ายไปที่ตรงเป้ากางเกงว่ายน้ำของใครคนหนึ่ง ซึ่งอัครสามารถรับรู้ได้ว่ามันคือกางเกงว่ายน้ำของอาจารย์พลวิทย์นั่นเอง แต่สิ่งที่น่าตกใจคือมีควยขนาดเขื่องกำลังตั้งเด่โผลพ้นขอบกางเกงว่ายน้ำออกมาโชว์หัวถอกให้ได้เห็น

“ตั้งแต่พี่รับงานนี้ พี่ได้รับข้อความรูปภาพแบบนี้เกือบทุกวัน จนพี่เริ่มกลัวที่กลับไปโรงเรียนเปรมปรีดาแล้ว”

อัครรู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของวาโย ในหัวของเขามึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเขาตั้งตัวไม่ติด

อาจารย์เพชรถ่ายรูปควยของอาจารย์พลวิทย์ที่โด่ออกมาจากขอบกางเกงว่ายน้ำ แล้วจึงค่อยๆ ถอยออกมายืนชมภาพนั้นด้วยสายตาที่ลิงโลด ตอนที่อาจารย์พลวิทย์ยื่นสมาร์ทโฟนมาฝากไว้ อาจารย์พลวิทย์เพิ่งเช็คข้อมูลทุกอย่างเสร็จ หน้าจอจึงยังไม่ดับ อาจารย์เพชรจึงใช้ช่วงเวลานั้นรีบแอดเบอร์โทรของวาโยทันที และจัดการส่งข้อความไปหาวาโยเป็นระยะเมื่อวาโยให้สัญญาณ และพอแผนที่นางกับอาจารย์สุนัยวางล่อพลวิทย์ให้มาติดกับได้ จนทำให้อาจารย์หนุ่มต้องมายืนควยโด่ออกมานอกกางเกงว่ายน้ำต่อหน้าทุกคนตรงนี้ได้ นางจึงรีบใช้สมาร์ทโฟนของพลวิทย์เอง ในการจัดการเจ้าของของมัน ป่านนี้อัครคงได้เห็นภาพนี้แล้ว อาจารย์เพชรยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงของรางวัลที่นางจะได้จากความสำเร็จนี้

“บัดสี น่าไม่อาย ผมไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาใช้กับคุณดี อาจารย์พลวิทย์ คุณทำให้ผมผิดหวังมาก ไม่นึกเลยว่าคนที่มีประวัติผลการทำงานดีอย่างคุณจะมีความวิปริตอย่างนี้ แล้วนี่อะไร มายืนควยโด่ทั้งที่ผมกำลังด่าคุณอยู่ โรคจิตชัดๆ อาจารย์เพชร อาจารย์สุนัย ผมทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมขอให้พวกคุณจัดการลงโทษอาจารย์พลวิทย์แทนผมด้วย ผมให้สิทธิพวกคุณเต็มที่ รีบๆ พาเขาออกไป”

“ได้ครับ”

อาจารย์สุนัยเดินมาลากตัวพลวิทย์ที่ยืนตัวสั่นออกจากห้องในสภาพที่ควยยังโด่คากางเกงว่ายน้ำ โดยมีอาจารย์เพชรเดินตามด้วยสีหน้าท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องที่ดำเนินแผนการสำเร็จ

“กูล่ะเชื่อมึงเลยไอ้วิทย์ ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ มึงกลายเป็นคนโรคจิตแบบนี้ไปได้ยังไง?”

อาจารย์สุนัยบ่นไปก็เดินลากอาจารย์พลวิทย์ไป ดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเรียนนักเรียนทุกคนยังอยู่ในห้อง จึงไม่มีใครได้เห็นภาพอันอุจาดตาของอาจารย์พลวิทย์

“มีงจะพากูไปไหน กูไม่ได้ทำอะไรผิด มึงต้องช่วยกูนะไอ้นัย”

“ไปคุยที่ชมรมว่ายน้ำของมึง”

ทั้งสามพากันเดินไปที่ชมรมว่ายน้ำ แต่ยิ่งเดินไปอาจารย์พลวิทย์ก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติกับร่างกายตัวเองขึ้นเรื่อยๆ เขามีความต้องการทางเพศ เขาอยากปลดปล่อย อยากเอาน้ำเงี่ยนออกจากควยโด่ๆ ของตัวเอง ตอนนี้เลย มันเกิดอะไรขึ้น

อยากเอาน้ำออก

น้ำ

น้ำ

น้ำที่อาจารย์เพชรยื่นมาให้เขา และเขาดื่มจนหมดแก้ว

“ไอ้นัย” อาจารย์สุนัยชะงัก และขบวนของทุกคนหยุดกึกอยู่ตรงนั้น หน้าห้องอาบน้ำของชมรมว่ายน้ำ

“กูต้องไป”

“ไปไหน”

“ไปเอาน้ำออก กูไม่ไหวแล้ว กูมีอารมณ์”

“เหี้ยอะไรของมึง มีอารมณ์อะไรตอนนี้”

“ให้กูไปเถอะ กูขอร้อง” อาจารย์พลวิทย์แสดงสีหน้าอ้อนวอน มือของเขาจับรูดควยตัวเองชักไปมาอย่างน่าสมเพช ใครจะคิดว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างดี มีดีกรีเป็นถึงโค้ชนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จอย่างพลวิทย์ ต้องมาร้องขอเพื่อนสนิทให้อนุญาตให้เขาได้ปลดปล่อยความเงี่ยนของตัวเองในห้องน้ำ รู้ถึงไหนอายไปถึงนั้น เขาคงไม่มีหน้าที่จะอยู่ในสังคม แต่ตอนนี้ความเงี่ยนมันบดบังสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาไปจนหมด และพลวิทย์ต้องทำในสิ่งที่ถ้าเป็นในเวลาปกติเขาคงไม่มีทางทำมันอย่างแน่นอน

“ให้อาจารย์วิทย์ไปเถอะฮ่ะ อาจารย์สุนัย”

สุนัยทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะตอบตกลง “ได้ แต่มีข้อแม้ว่ามึงจะไม่ได้ทำมันเอง แต่ให้อาจารย์เพชรเป็นคนทำให้”

“ได้ๆ กูยอมทุกอย่าง”

“งั้นมึงแก้ผ้าออกตรงนี้ แล้วเข้าไปให้ห้องอาบน้ำเลย”

อาจารย์พลวิทย์รีบถอดกางเกงว่ายน้ำออกจากตัว แล้วเดินนำหน้าอาจารย์เพชรเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่รู้ว่าตอนนี้ไอ้โก้และไอ้โอ๊ตกำลังอยู่ในห้องนั้น

ห้องอาบน้ำห้องแรกของขมรมว่ายน้ำในตอนนี้ ไอ้โก้กำลังยืนชิดกำแพงห้องให้ไอ้โอ๊ตนั่งดูดควยให้อยู่ ท่อนควยที่แข็งตัวเต็มที่ของไอ้โก้มีขนาดพอดีตัว แต่ขนหมอยของมันนั้นดูจะยาวรุงรังเกินกว่าวัยไปสักหน่อย และเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญให้ไอ้โอ๊ตอยู่ไม่น้อย เพราะขนหมอยนั้นมักจะหลุดติดลิ้นและเผลอไหลลงคออยู่บ่อยครั้ง คราวนี้ไอโอ๊ตเลยปล่อยท่อนควยออกจากปากแล้วหันมาเลียที่พวงไข่ของไอ้โก้แทน แต่ท่อนควยที่มีทั้งคราบน้ำลายและคราบน้ำหล่อลื่นของไอ้โอ๊ตก็คอยทิ่มแทงหน้ามันอยู่ตลอด จนไอ้โอ๊ตตัดสินใจบอกไอ้โก้ว่า

“เย็ดกูเถอะ กูอยากเต็มทีแล้ว เนี่ยกูปลุกอารมณ์ให้มึงมานานแล้วนะ”

“ก็มึงดูดควยเก่งชิบหาย กูโคตรเสียวเลย อยากให้มึงดูดควยกูนานๆ”

“กลัวมึงจะแตกคาปากกูซะก่อน”

“งั้นมา เมียกู ผัวจะเย็ดให้ตูดฉีกสมใจอยากเลย”

ไอ้โก้ลงไปประคองไอ้โอ๊ตขึ้นมา และเตรียมจะเปลี่ยนท่าให้ไอ้โอ๊ตหันหน้าเข้ากำแพงแล้วโก่งตูดรอรับท่อนควยจากมัน แต่ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มทั้งสองได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนคุยกันอยู่ที่หน้าห้องอาบน้ำ เพียงไม่นานไอ้โอ๊ตก็ได้สติร้องขึ้นมาว่า

“มีคนมา ชิบหายแล้ว “ หลังจากนั้นมันก็วิ่งออกไปเอากองเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ตรงกลางห้องเข้ามาในห้องอาบน้ำที่มันอยู่กับไอ้โก้ ก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูห้องน้ำลงจนเกือบสนิท เหลือช่องไว้ให้เห็นภาพภายนอกบ้างเล็กน้อย แล้วเพียงไม่นานมันก็เห็นอาจารย์พลวิทย์เดินเข้ามาในห้อง ในสภาพเปลือยล่อนจ้อนไม่มีอะไรปกปิดเรือนร่างแม้แต่ชิ้นเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นอาจารย์พลวิทย์แก้ผ้า และที่ไม่ธรรมดาคือท่อนควยของอาจารย์พลวิทย์กำลังแข็งตัว มันยาวใหญ่อย่างที่เด็กหนุ่มทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนตกใจยิ่งกว่าคือ อาจารย์พลวิทย์ไม่ได้เข้ามาในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แต่เขากลับเดินไปหยุดอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง แล้วเริ่มต้นการสาวควยตัวเองขึ้นลงทันที อาการของอาจารย์พลวิทย์ตอนนี้คือแสดงความเสียวออกมาอย่างรุนแรงมาก และเป็นความโชคร้ายของอาจารย์พลวิทย์เป็นอย่างมาก ที่มุมที่เขาเลือกใช้สำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง ดันเป็นมุมที่เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าไอ้โอ๊ตไม่รีรอที่จะเอื้อมมือไปควานหาเครื่องมือสื่อสารของมันที่อยู่ในกางเกงนักเรียนเพื่อเอามาบันทึกภาพเก็บเอาไว้ทันที

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไปเงี่ยนมาจากไหนวะ ดูสิ ลักษณะนี้แม่งไม่ใช่เงี่ยนธรรมดา แต่เงี่ยนจัดมาก ควยแม่งก็ใหญ่ชิบหาย” ไอ้โก้เข้ามากระซิบข้างๆ หูไอ้โอ๊ตทั้งที่มือยังจ่อถ่ายคลิปอาจารย์พลวิทย์สาวควยชักว่าวอยู่ต่อไป ขณะที่ไอ้โอ๊ตรับรู้ถึงแท่งควยของไอ้โก้ที่ดุนดันอยู่ที่ร่องก้นของมันด้วย จนมันต้องจับท่อนควยของไอ้โก้รูดขึ้นรูดลงบ้าง ขณะที่ชายทั้งสามในห้องอาบน้ำกำลังทั้งตื่นเต้น ทั้งเสียวซ่านกับอารมณ์ทางเพศของตนเอง อยู่ๆ อาจารย์เพชรก็เดินเข้ามาในห้อง

“เชี่ย อาจารย์เพชรโผล่มาจากไหน?”

เสียงไอ้โอ๊ตกระซิบไปครางไปด้วยความเสียว ภาพที่อาจารย์เพชรเดินเข้าไปหาอาจารย์พลวิทย์ยิ่งเพิ่มความเสียวให้มันมากยิ่งขึ้น แต่อยู่ๆ ไอ้โอ๊ตก็หยุดสาวควยให้กับมัน

“ไอ้เหี้ยโอ๊ต หยุดทำไม?”

เหลือบไปมองอีกทีไอ้โก้ก็เห็นไอ้โอ๊ตหยิบสมาร์ทโฟนของมันขึ้นมาถ่ายคลิปเหตุการณ์ด้วยอีกคน ภาพที่ปรากฏบนจอที่กำลังถูกบันทึกคืออาจารย์พลวิทย์ถูกอาจารย์เพชรจับเอามือของเขาออกจากการชักควยตัวเอง แล้วอาจารย์เพชรก็จับแขนทั้งสองข้างของอาจารย์พลวิทย์ชูเหยียดขึ้นไปด้านบน ตอนนี้อาจารย์พลวิทย์อยู่ในท่าเปลือยเปล่าโชว์สัดส่วนด้านหน้าของตัวเองแบบที่ไม่เหลืออะไรให้ต้องจินตนาการ

อาจารย์พลวิทย์เป็นชายหนุ่มเชื้อสายจีน ผิวของเขาจึงออกขาวแม้จะทำงานที่โดนแดดโดนลมก็ตามที ขนบนตัวของเขาไม่ดกหนา ซึ่งไม่รู้เพราะเป็นกรรมพันธุ์ของคนไทยเชื้อสายจีน หรือเพราะหน้าที่การงานที่ทำให้เขาต้องคอยและเล็มขนตัวเองไม่ให้มันมีมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ดูไม่ดีในสายตาคนที่พบเห็น ภาพของอาจารย์พลวิทย์ตอนนี้จึงเกือบจะเหมือนกับคนไร้ขนเลยทีเดียว

อาจารย์เพชรเดินสำรวจเนื้อตัวอาจารย์พลวิทย์ ก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารของตัวเองขึ้นมาเก็บภาพอาจารย์พลวิทย์เปลือยเปล่าโชว์ควยแข็งเก็บเอาไว้ สิ่งที่เด็กทั้งสองไม่มีโอกาสได้ยินคือเสียงการสนทนาระหว่างอาจารย์ทั้งสองคน

“อาจารย์เพชร อย่าทรมานผมอีกเลย ให้ผมได้เอาน้ำออกเถอะนะครับ”

“แหม ทีอย่างนี้มาขอร้อง ทีแต่ก่อนละเล่นตัว”

“ผมยอมแล้วจริงๆ ครับ อาจารย์เพชรอยากทำอะไรผม จัดการได้เต็มที่เลย ผมยอมเป็นทาสอาจารย์”

“อาจารย์พลวิทย์ หลังจากวันนี้คุณจะเป็นทาสชั้นไปตลอดชีวิต 555”

อาจารย์เพชรเอามือตรงเข้าไปรูดหนังหุ้มปลายควยอาจารย์พลวิทย์ลงไปจนสุด จนอาจารย์พลวิทย์ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด อาจารย์เพชรจ้องมองควยดุ้นเขื่องในมือนั้นอย่างหิวกระหาย

“บทจะได้ก็ได้มาง่ายๆ 555”

อาจารย์เพชรกรีดร้องอย่างคนเสียสติ แล้วเอาปากครอบลงไปที่ควยดุ้นเขื่องนั้น แล้วเริ่มต้นการดูด ดม อม เลีย ทั้งควยอาจารย์ ก่อนจะจับอาจารย์พลวิทย์โก้งโค้งแล้วเปลี่ยนไปเลียร่องตูดที่ไร้ขนของอาจารย์พลวิทย์ สลับกันไปมา ขณะที่อาจารย์พลวิทย์ก็ยอมทุกอย่าง หวังแค่ให้อาจารย์เพชรช่วยสำเร็จความใคร่ให้ตนเองเท่านั้น การจัดการของอาจารย์เพชรทำให้ไอ้โอ๊ตเผลออุทาน

“โคตรซาดิสต์เลยว่ะ สงสารอาจารย์วิทย์ชิบหาย ผู้ชายแท้ๆ มาโดนตุ๊ดรุมยำ เสียเชิงชายชิบหาย”

ไอ้โอ๊ตกดหยุดบันทึก แล้วตัดสินใจส่งไฟล์นั้นไปทางไลน์ ให้กับเพื่อนสนิทของมันได้ดูด้วย

“เห็นคลิปนี้แล้วมึงรู้สึกยังไงบ้างวะอัคร”

ในห้องแต่งตัวนักกีฬาชายภายในศูนย์ฝึกนักกีฬาทีมชาติเยาวชน ตอนนี้ไม่หลงเหลือใครอยู่ในห้องนอกจากโตมรที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อเชิ๊ตขาวเม็ดสุดท้าย แล้วอยู่ๆ ก็มีมือเรียวสวยเอื้อมมาปิดตาเขาจากด้านหลัง กลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวใส่ มือเรียวบางที่ปิดตาเขา และเนินอกที่บดหลังเขาอยู่ ทำให้โตมรตอบโดยไม่ต้องคิด

“กุ๊กไก่เหรอครับ?”

“เดี๋ยวเถอะ กุ๊กไก่ไหนบอกมานะ”

“ก็กุ๊กไก่ตัวน้อยๆ ของผมนี่ไงครับ”

โตมรหันไปคว้าร่างเล็กบอบบางนั้นมาโอบกอดไว้ แล้วระดมทั้งกอด ทั้งจูบ สูดดมไปที่ตัวของหญิงสาวที่อยู่ในกำมือเขา

“มอน รินเสียว ไม่เอานะ เดี๋ยวใครมาเห็น” พูดไปก็แอ่นตัวนอนราบไปบนพื้นโต๊ะวางของที่ตอนนี้ถูกโตมรกวาดของทิ้งลงไปบนพื้นจนหมดแล้ว ชายหนุ่มก้มลงใช้ลิ้นโลมเลียหญิงสาวที่รักไปทีละจุด ทีละจุด สร้างความเสียวให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก จนร่างบางนั้นบิดเร่าๆ อยู่กับโต๊ะ หลังจากนั้นชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนมือลงมาจับที่หน้าอกสมส่วนของหญิงสาว เขาบีบคลึงมันอย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อของเธอออกทีละเม็ด จนสามารถเอามือสอดเข้าไปคลำที่ด้านในของเสื้อนั้นได้ เขาค่อยๆ ปลิ้นเสื้อชั้นในของหญิงสาวแล้วควักนมของเธอออกมาดูดเลียอย่างหื่นกระหาย แม้ปากจะโลมเลียที่เนินอกนั้นเนิ่นนาน แต่มือของเขาค่อยๆ เลื่อนลงมา แล้วสอดเข้าไปที่ใต้กระโปรง ก่อนจะค่อยๆ ดึงกางเกงชั้นของหญิงสาวลงมา ช้าๆ ช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็เลื่อนตัวลงมาที่ท่อนล่างของหญิงสาว ทันที่ชายกระโปรงถูกเลิกขึ้น หีที่โหนกนูนกลีบเป็นสีชมพูก็ปรากฎท้าทายสายตาเขาทันที ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่ทำให้อารมณ์ขาดห้วง รีบลงลิ้นละเลงไปที่กลีบหีของหญิงสาวทันที เล็บของชายหนุ่มกรีดไปที่แขนของหญิงสาว ปากของเขาพร่ำคำด่าที่หยาบคายเข้าใส่เธอ ทั้งหาว่าเป็นกะหรี่ร้อยควย เป็นอีผู้หญิงร่านสวาท มาให้ท่าผู้ชายถึงในห้อง เป็นอีฮีสทีเรียขาดควยผู้ชายไม่ได้

อารมณ์เสียวของโตมรมาถึงขีดสุดแล้ว เขารีบถอดกางเกงตัวเอง แล้วจับควยขนาดพอดีตัวของเขาเข้าไปในตัวหญิงสาว แต่แทนที่เขาจะจ่อควยเย็ดเธอที่หี เขากลับไปเย็ดเธอที่ตูดแทน แต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกผิดปกติกับพฤติกรรมของชายหนุ่ม กลับรู้สึกชอบความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมากกว่า โตมรเย็ดตูดหญิงสาวด้วยความเสียว จากที่หลับตาซอยควยเข้ารูตูดไม่ยั้ง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาจ้องใบหน้าเธอ แต่หน้าที่เขาเห็นกลับไม่ใช่หน้าของหญิงสาว กลับเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนแทน

“อัคร”

แล้วน้ำเงี่ยนของชายหนุ่มก็ไหลทะลักเข้าไปที่รูตูดของหญิงสาว แล้วเขาก็ฟุบร่างลงไปทับที่ตัวเธออย่างหมดแรง

ตอนที่ 19

วันสุดท้ายแล้วที่สองหนุ่มจากบ้านเปรมปรีดาจะอยู่ที่กรุงเทพ วันนี้วาโยจึงขอออกไปจัดการธุระส่วนตัวของเขา เพราะหลังจากนี้อาจจะต้องไปอยู่ที่บ้านเปรมปรีดานานนับเดือน ส่วนอัครเองแม้จะเป็นคนกรุงเทพ แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งผูกพันกับสถานที่แห่งไหน นอกจากสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาเพิ่งได้ไปเยือนมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

อัครเดินทางมาถึงศูนย์กีฬาระดับชาติในตอนสาย วันนี้ไม่มีกิจกรรมอะไรจึงทำให้ความคึกคักเช่นเมื่อวันก่อนหายไปจนหมด อัครแลกบัตรก่อนจะเดินเข้าไปยังศูนย์ฝึก เดินไปตามสถานที่ที่เขาเคยผ่านเมื่อคราวมาเยือนเมื่อครั้งก่อน แล้วเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่อัฒจรรย์ของสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มมองลงไปเบื้องล่างเขาเห็นนักกีฬาว่ายน้ำกำลังฝึกซ้อมกันอยู่

แต่ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในสระ มีชายร่างสูงคนหนึ่งสวมกางเกงว่ายน้ำแบบยาวคลุมทั้งขาที่นักกีฬาว่ายน้ำนิยมสวมใส่กัน ยืนพักอยู่ที่ส่วนหน้าของสระว่ายน้ำ

โตมร

เขายืนโก้งโค้งเอาแขนทั้งสองข้างพักไว้กับราวเหล็กอันหนึ่งอยู่ อัครยืนมองชายหนุ่มตรงหน้านิ่งนานอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ก็พอดีกับที่มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามายืนข้างๆ โตมร แล้วตะโกนสั่งให้นักกีฬาที่ฝึกซ้อมอยู่เลิกการฝึกซ้อม แล้วชายคนนั้นก็หันมาพูดอะไรบางอย่างกับโตมร

“โค้ชนนท์” เสียงอัครพึมพำเบาๆ

มือของหนุ่มใหญ่จับที่แผ่นหลังของชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่า ระหว่างที่พูดคุยมือนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนลงมา ลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บั้นท้ายหนั่นแน่น แล้วมือนั้นก็ลูบไล้วนไปเวียนมาอยู่ตรงนั้น สักพักชายสูงวัยกว่าก็ผละจากโตมรไปหานักกีฒาคนอื่นๆ ที่กังเดินเข้าห้องพักนักกีฬา โตมรที่ยืนโก้งโค้งหันมองตามร่างของผู้ฝึกสอนไปจนลับตา เขาจึงหันกลับมายืนเอาตัวพิงราวเหล็กแทน แล้วเป็นตอนนั้นเองที่สายตาของเขาสบเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านบนอัฒจรรย์

อัครค่อยๆ เดินลงมาหาชายที่อยู่เบื้องล่าง

“ไม่เจอกันนานเลยนะ” โตมรเป็นฝ่ายทักก่อน เขาแค่นยิ้มที่มุมปากส่งให้

“ห้าปี”

“ห้าปีที่มึงทิ้งให้กูให้อยู่กับมัน”

“มึงจะให้กูทำยังไง ตอนนั้นเราอายุแค่สิบสอง ใครจะเชื่อสิ่งที่เราพูด”

“แต่มึงทิ้งกู มึงไม่กลับมาดูเลยว่ากูต้องเจอกับอะไร”

“แต่สิ่งที่มึงต้องเจอก็ทำให้มึงมีวันนี้ไม่ใช่เหรอ?”

“แล้วมึงคิดว่ามันคุ้มค่าไหม?”

“ถ้าไม่ มึงคงออกมานานแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมึงก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของมึง และไม่ใช่ความผิดของกู”

“ถ้าอย่างนั้นมึงมาหากูทำไม?”

“กูแค่อยากให้เราไม่มีอะไรติดค้างกัน หลังจากนี้เราจะเป็นคู่แข่งกัน เป็นคู่แข่งที่ไม่มีความหลังอะไรมาเกี่ยวข้อง และเราจะแข่งขันกันด้วยสปิริตของความเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริง”

อัครยื่นมือส่งให้เพื่อนเก่าของเขา โตมรยื่นมือมาจับตอบ ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งนานสักพักก่อนที่อัครจะปล่อยมือแล้วหันหลังเดินกลับออกไป เขาได้ยินเสียงโตมรดังขึ้นมา

“กูไม่เคยลืมมึงเลยนะ”

แต่อัครไม่ได้หันหลังกลับไป เพราะไม่อยากให้โตมรเห็นความอ่อนแอในแววตาเขา ภาพตอนอายุสิบสองผุดขึ้นมาในความคิด

ไอ้โค้ชนนท์ ทำให้เด็กๆ อย่างพวกเขาต้องแปดเปื้อน ต้องมีมลทิน ดีที่เรื่องโกหกปลอมๆ ที่เขาเล่าให้พ่อฟัง ทำให้พ่อไม่ส่งเขากลับไปเรียนกับมันอีก แต่สิ่งที่เขาทำผิดคือ เขาไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงกับพ่อ มันทำให้เด็กคนอื่นๆ ต้องถูกกระทำทารุณทางเพศ รวมทั้งโตมรด้วย

มันเป็นตราบาปที่เขาไม่มีวันลืมเลือน

ที่สถานีตำรวจ ไอ้อ๋องและไอ้บอยถูกเรียกตัวมาให้ปากคำในคดีการหายตัวไปของหมวดพฤกษ์ เนื่องจากมีข้อมูลที่อาจเชื่อได้ว่าพวกมันรู้เห็นอะไรบางอย่างในคดีนี้ ตอนนี้พวกมันนั่งอยู่ในห้องสอบสวน มีหมวดชาตรีทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานสอบสวน มันถูกเค้นถามถึงความข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์การหายตัวไปของหมวดพฤกษ์เมื่อเดือนก่อน รวมถึงข้อมูลสำคัญที่หมวดพฤกษ์ให้ไว้ก่อนที่จะหายตัวไป ที่ระบุว่าไอ้บอยเป็นสายให้กับเขา แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะงัดอะไรมาถามก็ไม่มีทีท่าว่าไอ้เด็กแสบทั้งสองจะยอมเปิดปาก จนสุดท้ายหมวดชาตรีต้องนำรูปถ่ายภาพเปลือยเห็นทุกสัดส่วนของชายหนุ่มหุ่นล่ำคนหนึ่งขึ้นมาให้พวกมันทั้งสองคนได้ดู พร้อมบอกว่าเป็นหลักฐานที่ได้มาจากโทรศัพท์มือถือของไอ้อ๋องเอง

“มึงจำผู้ชายในรูปที่อยู่ในมือถือของมึงได้มั้ย?”

“จำได้สิครับคุณตำรวจ นี่เราถ่ายกันเล่นๆ เก็บไว้ดูเอง ไม่ได้เผยแพร่ที่ไหน ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะครับ”

“มึงยืนยันใช่มั้ยว่ารูปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคดี งั้นขอเชิญผู้กองภาติยะ”

ไอ้อ๋องไอ้บอยทำหน้าเลิ่กลั่กไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อมันได้เห็นชายหนุ่มในชุดนายตำรวจเต็มยศนายหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสอบสวน

“มึงดูให้ดีๆ แล้วบอกกูมาทีว่าจำหน้าผู้ชายคนนี้ได้ไหม หน้านี้กับหน้าในรูปมันเหมือนกันรึเปล่า? ตอบกูมาหน่อยสิ”

ไอ้อ๋องเหลือบมองหน้าผู้กองภาติยะแบบกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้ามองหน้าตรงๆ แต่มันก็ยังทำปากดี

“ก็คล้ายๆ แต่พี่คนนั้นเขาไม่ได้เป็นตำรวจ แต่พี่คนนี้แต่งชุดตำรวจเข้ามา ผมเลยไม่มั่นใจว่าใช่คนเดียวกันรึเปล่า”

“โยกโย้นักนะมึง แล้วจะต้องทำยังไงมึงถึงจะมั่นใจ”

“ให้พี่เขาแก้ผ้าโชว์ควยโชว์ตูดให้ดูสิ รับรองผมตอบได้แน่นอนว่าใช่หรือไม่ใช่”

“ไอ้อ๋อง มึงนี่เกินไปตลอดเลยนะ” ผู้กองภาติยะหันไปตวาดไอ้เด็กเฝ้าตึก

“แต่มันก็ฟังดูมีเหตุผลนะครับผู้กอง ผมว่าวิธีนี้พิสูจน์ได้ชัวร์ๆ และผู้กองก็เคยบอกเองว่าจะให้ความร่วมมือกับการทำคดีนี้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นผมคงต้องขอให้ผู้กองแก้ผ้า ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ให้ไอ้เด็กเวรพวกนี้มันดูหน่อย ผมมั่นใจว่ามันต้องจำได้แน่ๆ ไม่หน้าตา รูปร่าง ก็อาจเป็นควยหรือตูดของผู้กอง”

หมวดชาตรีกล่าวน้ำเสียงหยันๆ จนผู้กองภาติยะต้องสะกดกลั้นความโกรธที่มี แต่ก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ เขาจึงจำใจปลดเปลื้องเครื่องแบบตำรวจอันทรงเกียรติออกจากกาย แล้วก้าวขึ้นไปนั่งโชว์ควยให้ไอ้เด็กเวรทั้งสองได้พิจารณาเรือนร่างของเขาอย่างละเอียดบนโต๊ะสอบสวน

“ควยไม่แข็ง ดูไม่ออกเลย ปั่นให้แข็งหน่อยสิครับผู้กอง”

“เปลี่ยนเป็นหันรูตูดมาให้ดูหน่อย เอาท่าเดียวกับในรูปเลย จะได้เทียบกันได้ชัดๆ”

“เห้ย มึงดูสิวะ ควยแข็งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

“รูตูดบานๆ อยู่นะผู้กอง ไม่ค่อยฟิตเหมือนคนในรูปเลย ถามจริงๆ ผู้กองผ่านอะไรมา”

ไอ้เด็กเวรทั้งสองพูดไป วิจารณ์เรือนร่างของผู้กองภาติยะไป ด้วยความสนุกคึกคะนองปาก ทันใดนั้นประตูห้องสอบสวนก็ถูกเปิดออก มีสารวัตรสุวิทย์เดินเข้ามาในห้องพร้อมเสี่ยสมศักดิ์ สารวัตรเห็นกองเสื้อผ้าตกอยู่จึงหยิบขึ้นมา แล้วจึงเห็นผู้กองภาติยะกำลังโก่งตูดโชว์อยู่บนโต๊ะสอบสวนพอดี ภาติยะพอเห็นชายผู้เข้ามาในห้องก็เกิดความละอายใจกับพฤติกรรมที่ตัวเองกำลังทำอยู่

“เห้ย ทำอะไรกันอยู่วะ มีชีเปลือยอยู่ในห้องด้วย 555” เสียงหัวเราะของสารวัตรมีความเย้ยหยันผู้กองภาติยะอยู่ ขณะที่หมวดชาตรีรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพและอธิบายให้สารวัตรเข้าใจถึงวิธีการดำเนินการสอบสวน พอฟังจบเสี่ยสมศักดิ์ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า

“โรงพักคุณนี่ลงทุนน่าดูเลยนะสารวัตร นี่จ้างนายแบบนู้ดมาแก้ผ้าทำแผนให้สมจริงด้วย ดูสิสมจริงจนควยโด่ขนาดนั้นเลย” เสี่ยสมศักดิ์หัวเราะร่วนชี้มือมาที่ควยแข็งเป็นลำของผู้กองภาติยะ

“โอ๊ะๆๆ นี่ไม่ใช่นายแบบครับเสี่ย แต่เป็นนายตำรวจของเรานี่เอง ผู้กองภาติยะ เพิ่งย้ายจากกรุงเทพฯเข้ามารับหน้าที่ในเขตพื้นที่ของเราเมื่อไม่กี่วันนี้เอง”

“โห ผู้กอง นี่ต้องลงทุนทำขนาดนี้เลยเหรอครับ? สงสัยสิ้นปีจะได้เลื่อนหลายขั้นเลยนะครับเนี่ย” น้ำเสียงนั้นยังคงเย้นหยันต่อไป หาได้มีความเคารพยำเกรงใดๆ ไม่

“ลงทุนก็ส่วนหนึ่ง แต่ความจริงผู้กองติยะแกชอบโชว์ควยอยู่แล้วครับ ไม่เห็นเหรอครับว่าลงทุนฟิตหุ่นมาซะขนาดนี้ แถมขนาดควยก็ไม่เบา เป็นธรรมดาที่จะอยากโชว์ อ้าว ผู้กอง ลงมาได้แล้ว แอ่นตูดโชว์อยู่นั่นแหล่ะ ไม่รู้จักอายแขกบ้างเลย”

“ตามสบายๆ ถ้าชอบโชว์ก็ตามสบายเลย โอ้ ควยใหญ่จริงๆ” เสี่ยสมศักดิ์ร้องทักทันทีที่เห็นผู้กองภาติยะลงมายืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าห่างจากตัวเขาเพียงไม่กี่ก้าว

“แล้วนี่หมวดสอบปากคำไอ้สองตัวนี้เสร็จรึยังล่ะ?”

“ยังเลยครับ ไอ้สองตัวนี่มันปากแข็งมาก ผมอุตส่าห์พาพยานมาช่วยยืนยันว่ามันเกี่ยวข้องกับคดี มันก็ไม่ยอมรับท่าเดียวเลย” น้ำเสียงของหมวดชาตรีมีแววกลุ้มใจ

“อ้าว งั้นผู้กองจะมายืนหำโด่อยู่ทำไม กลับขึ้นไปทำหน้าที่ต่อสิ ส่วนผมกับพ่อเลี้ยงสมศักดิ์จะขอยืนดูอยู่ตรงนี้นะ” สาวัตรสุวิทย์ส่งเสียงตวาดไล่

ภาติยะแม้จะแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพวกของสารวัตรสมศักดิ์ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ สารวัตรหนุ่มหล่อจึงต้องปีนขึ้นไปโก้งโค้งอยู่บนโต๊ะตามเดิม

“อ่ะนี่ มึงสองตัวมาช่วยพินิจพิจารณาใกล้ๆ หน่อยสิ ว่านี่คือคนที่เป็นแบบให้พวกมึงถ่ายรูปเล่นใช่มั้ย”

ไอ้อ๋องหยิบรูปถ่ายเปลือยของผู้กองภาติยะขึ้นมา แล้วเดินมาดูตัวจริงของผู้กอง มันเดินวนไปวนมา พิจารณาที่รูป กับตัวจริง สลับกันไปมา พอมายืนดูที่ตูดผู้กอง มันก็เอารูปมาเปรียบเทียบ แต่ตอนนี้ผู้กองภาติยะโก้งโค้งอยู่ในท่าที่ขาชิดกัน ไม่เหมือนรูปที่อ้าขาออกจากกัน ทำให้เปรียบเทียบได้ไม่ชัดเจน ไอ้อ๋องจึงออกคำสั่ง

“เอ่อ ผู้กอง เขาคือผู้กองใช่มั้ยครับ?” เมื่อหมวดชาตรีพยักหน้า มันจึงพูดต่อ “ผู้กองอ้าขาออกจากกันหน่อย แหกขาออกเลยครับ นั่นแหล่ะ อ้าแบบให้เห็นรูตูดชัดๆ แบบในรูป ถ้าผู้กองมั่นใจว่าคนเดียวกับในรูปก็ไม่ต้องอาย วัวเคยค้า ม้าเคยขี่กันมาแล้ว อ้ากว้างๆ ให้ดากแหกไปเลยครับ พี่คนนั้นเค้าไม่มีกระมิดกระเมี้ยน แถมยังทำมากกว่าที่ผมสั่งซะอีก นั่นแหล่ะครับดีมาก”

แล้วไอ้อ๋องก็เอามือลูบที่ร่องตูดของนายตำรวจหนุ่ม นิ้วของมันไล่ผ่านขนตูดที่ขึ้นเป็นทางคล้ายพงหญ้าที่ปิดปากทางเข้าถ้ำ

“ดูจากขนตูดก็เหมือนกันอยู่นะครับ ผู้กอง รู้มั้ยครับว่าขนตูดตัวเองดกดำแค่ไหน เคยเห็นมั้ยครับ ลองดูรูปนี้สิ อาจจะไม่ใช่รูปผู้กองแต่ความดกคล้ายกันอยู่” ไอ้อ๋องเดินเอารูปตูดของภาติยะไปยื่นให้เจ้าตัวดู ภาติยะทนมองไม่ได้รีบเบือนหน้าหนีด้วยความอับอายทันที

“นี่ไงครับ จะบอกว่าคนๆ เดียวกันได้ยังไง ผู้กองเค้าทนดูตูดผู้ชายอื่นไม่ไหว เขาเลยเบือนหน้าหนี ถ้าเป็นตูดตัวเองคงไม่รังเกียจขนาดนี้”

“มีงนี่เจ้าเล่ห์เหลือเกินนะ” หมวดชาตรีกล่าวอย่างขันๆ ไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องจริงจังอะไร

“ถ้าอยากให้แน่ใจ ผมขอให้ผู้กองเปลี่ยนท่าอื่นบ้างดีกว่า เผื่อมันจะช่วยฟื้นความจำผมได้”

“เอ้าๆๆ ว่ามา จะเอาท่าอะไร” หมวดชาตรีทำท่าเหมือนพูดปัดความรำคาญ แต่ดูก็รู้ว่าสมรู้ร่วมคิดกับไอ้อ๋องเพื่อกลั่นแกล้งภูกองภาติยะ

“ผมขอให้ผู้กองทำท่าสะพานโค้ง ผมอยากเห็นความอึดของผู้กอง”

“555 สบายมาก คนระดับผู้กอง ผ่านอะไรมาเยอะ เดี่ยวมึงจะได้เห็นความอึดแบบที่มึงไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน”

หมวดชาตรีเอาไม้ฟุตเหล็กมาตีที่หน้าขาของผู้กองภาติยะ เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ผู้กองหนุ่มเปลี่ยนไปทำท่าตามที่ไอ้อ๋องออกคำสั่ง ภาติยะจึงจำต้องเปลี่ยนท่าจากโก้งโค้งให้กลายเป็นท่าสะพานโค้ง ซึ่งเป็นท่าที่คนทำต้องผ่านการฝึกฝนและมีความแข็งแกร่งจริงๆ จึงจะอยู่ในท่านี้ได้อย่างหยัดยืน

แน่นอนพอทำท่าสะพานโค้ง ควยของผู้กองหนุ่มก็โดดเด่นเด้งออกมาทันที เพียงแต่ตอนนี้มันดูอ่อนตัวลงเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีฤทธิ์มีเดชแล้ว ไอ้อ๋องเอารูปที่ชายหนุ่มถ่ายแอ่นควยที่กำลังชูชันอย่างเต็มที่ขึ้นส่งให้ผู้กองหนุ่มดู

“ไม่เหมือนในรูปเลยนะครับผู้กอง แล้วแบบนี้ผมจะพิสูจน์ความจริงได้ยังไง ช่วยทำให้มันแข็งหน่อยสิครับ”

“พี่อ๋อง พี่นี่แม่งเชี่ยได้ใจจริงๆ” ไอ้บอยเดินมากระชิบชมเชย ขณะที่ผู้ชายที่เหลือในห้องก็ยืนหัวเราะซิกกับคำสั่งแบบนุ่มนวลของไอ้อ๋อง

ผู้กองหนุ่มอาศัยความแข็งแรงค่อยๆ ยกมือข้างขวาขึ้นมาอย่างช้าๆ พยายามถ่ายเทน้ำหนักตัวไปทางซ้าย มือขวาของเขายกขึ้นรูดควยตัวเอง สาวขึ้นสาวลงเพื่อหวังให้ควยตัวเองแข็งชูชันโดยเร็ว เพียงไม่นานควยของเขาที่อ่อนตัวอยู่ก็กลับตั้งชันขึ้นมาได้อีกครั้ง

“ผู้กอง คุณนี่มันมนุษย์ควยสั่งได้จริงๆ นะ” เสี่ยสมศักดิ์ทำตาโตจ้องควยที่กำลังลุกชันพร้อมกับกล่าวชมเชย

“มนุษย์เงี่ยนล่ะสิไม่ว่า 555” สารวัตรหัวเราะหยัน

พอควยตั้งชันเต็มที่ผู้กองหนุ่มก็ถอกหัวควยให้เหมือนในรูปเพื่อโชว์ให้ทุกคนได้เห็น หลังจากนั้นเขาจึงเอามือข้างขวาลงไปยันกับพื้นตามเดิม ภาพของผู้กองภาติยะในตอนนี้ ถ้าเปรียบเป็นงานประติมากรรมก็เป็นงานที่สวยงามทรงคุณค่า เพราะมันโชว์ความแข็งแกร่งกำยำของเรือนกาย และความสวยงามขององคชาติที่ได้รูปทรงจริงๆ ไอ้อ๋องเดินเข้าไปพินิจพิจารณาควยดุ้นงามนั้นใกล้ๆ ก่อนที่มันจะเอามือขึ้นไปไล้ลูบที่กล้ามท้องที่กำลังเกร็งจนขึ้นรูป มันไล้มือมาจนถึงกลุ่มพงขนหมอยที่ขึ้นดกหนา แล้วเอานิ้วชี้และนิ้วกลางกางออก แล้วเอารูดควยของผู้กองภาติยะขึ้นลง ขึ้นลง สร้างความเสียวเล็กๆ ให้ผู้กองหนุ่ม ไอ้บอยที่ยืนดูอยู่นานควักเอาไข่สั่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดให้มันทำงาน มันเดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของผู้กองหนุ่ม ที่อ้าขาแหกออกจากกันจนเห็นรูตูดลอยเด่นขึ้นมา ไอ้บอยเอาไข่สั่นค่อยๆ แหย่เข้าไปที่รูตูดของผู้กองภาติยะ อย่างช้าๆ แต่ก็สร้างความเสียวให้ผู้กองหนุ่มจนเผลอส่งเสียงครางออกมา สารวัตรสุวิทย์และเสี่ยสมศักดิ์ที่อยู่ด้านบนมองเห็นสีหน้าของภาติยะที่แสดงความเสียวซ่านได้เป็นอย่างดี มือของผู้กองหนุ่มเกร็งจิกกับโต๊ะ ขณะที่มือของไอ้อ๋องเปลี่ยนมากำควยผู้กองหนุ่มรูดขึ้นรูดลง เสี่ยสมศักดิ์หักห้ามความเสียวไม่ไหว ปลดกระดุม รูดซิบกางเกงตัวเองลง แล้วรูดกางเกงลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า แล้วเดินตรงเอาควยที่แผดผงาดเข้าไปจ่อที่ปากผู้กองหนุ่ม ตอนนี้ภาติยะรับศึกหนักทุกทาง และมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยได้เจอ เขากลายเป็นกะหรี่ขี้โชว์ที่มีความสุขกับการได้เล่นเสียวกับผู้ชายด้วยกัน แถมยังมีอารมณ์ที่มีคนอื่นดูเขาโดนกระทำด้วย ยิ่งคิดภาติยะก็ยิ่งเสียว จนหยุดอารมณ์ความเงี่ยนของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เขาเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการโดนกระทำ

“เย็ดกูเถอะ เย็ดกูที กูไม่ไหวแล้ว”

แล้วสายน้ำเงี่ยนของผู้กองหนุ่มก็พุ่งกระฉูดเลอะเต็มตัวเขาเอง แล้วมันยังกระเซ็นไปทั่วทั้งห้อง และมันทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงจนปล่อยตัวลงไปกองกับพื้นโต๊ะ รู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าน้ำเงี่ยนของเสี่ยสมศักดิ์ฉีดเข้าหน้าจนเขามองอะไรแทบไม่เห็น และตอนนี้เกมกามกิจจบลง และเหลือเขาแค่เพียงคนเดียวในห้องนั้น

เขาดึงไข่สั่นออกจากรูตูด แล้วลุกขึ้นมาทำความสะอาดร่างกายตัวเองเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นจึงตามหาคราบน้ำเงี่ยนของตัวเขาเองและของเสี่ยสมศักดิ์ เพื่อเช็ดถูมันให้หมดจดไม่ให้มีหลักฐานอะไรหลงเหลืออีก ภาติยะรู้สึกว่าการทำความสะอาดห้องให้สะอาดนั้น อีกด้านคือการพยายามทำให้ตัวเขากลับไปขาวสะอาดเหมือนเดิมด้วย เขาไม่ต้องการให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกะหรี่ กลับมาในห้วงคิดของเขาอีก

ภาติยะเดินไปที่กองเสื้อผ้า หยิบมันขึ้นมาจะสวมใส่ แต่ก็พบว่ากางเกงในของเขาหายไป เขารู้ว่าตัวเองโดนแกล้งอีกแล้ว แต่คร้านที่จะทำอะไรได้ จึงจำใจใส่เครื่องแบบโดยไม่มีกางเกงในออกไปข้างนอก พอไม่มีกางเกงในสวมอยู่ ควยของผู้กองหนุ่มก็ลุกชันขึ้นมาอีกครั้ง ภาติยะตัดสินใจละทิ้งความอาย เดินอกผายไหล่ผึ่งออกมาจากห้อง ตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ขณะเดินผ่านหมู่ยุทธนาเป้ากางเกงที่ตุงเด่ของเขาก็สะดุดเข้ากับสายตาของหมู่ยุทธนา จนทำให้ต้องเหลียวกลับไปมอง หมู่ยุทธนาเห็นแล้วถึงกับอุทานอยู่ในใจ

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย ควยแม่งตุงกางเกงไม่อายบ้างเหรอวะ แถมไม่ได้ตุงอย่างเดียว ยังมีน้ำซึมๆ เลอะเป้ากางเกงอีก ไอ้นี่มันโรคจิตหรือเปล่าวะเนี่ย” หมู่ยุทธรู้สึกขนลุกและคลื่นไส้ไปพร้อมๆ กัน ขณะที่ผู้กองหนุ่มก็กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานโดยที่ไม่กล้าลุกไปไหนเลยตลอดทั้งวัน

ที่ชมรมว่ายน้ำโรงเรียนเปรมปรีดา วันนี้เป็นวันแรกหลังงานโรงเรียนที่สมาชิกชมรมได้กลับมาฝึกซ้อมร่วมกันอีกครั้ง จากเดิมที่มีสมาชิกอยู่สี่คน การทำผลงานที่น่าชื่นชมของอัคร ทำให้มีนักเรียนสนใจสมัครเข้าชมรมเพิ่มมากขึ้น จนตอนนี้มีสมาชิกสิบเอ็ดคนแล้ว และวันนี้สมาชิกทั้งเก่าใหม่จะได้ลงฝึกซ้อมร่วมกัน

อาจารย์พลวิทย์สวมกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวออกมายืนคุมการฝึกซ้อม เขาพอจะมองเห็นแล้วว่าใครพอจะมีแววผลักดันได้ ส่วนใครเป็นคนที่เข็นยังไงก็ไม่น่าขึ้น แต่ในฐานะที่ทุกคนเป็นสมาชิกเหมือนๆ กัน พาจารย์พลวิทย์จึงทุ่มเทกำลังฝึกสอนทุกคนอย่างเท่าเทียม และพร้อมจะให้โอกาสทุกคนเท่ากัน

ขณะที่ทุกคนในชมรมว่ายน้ำกำลังขมักขเม้นกับการฝึกซ้อมกันอยู่ จู่ๆ อาจารย์เพชรก็เดินเฉิดฉายอารมณ์ดีเข้ามาหาพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“สวัสดีฮ่าทุกๆ คน เห็นว่าวันนี้มีสมาชิกชมรมใหม่หลายคน เลยมีข่าวดีมาบอก” อาจารย์เพชรใบหน้ายิ้มกริ่มแฝงความเจ้าเล่ห์จนอาจารย์พลวิทย์รู้สีกใจคอไม่ดี

“โรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดของเรา ส่งจดหมายเชิญสมาชิกชมรมว่ายน้ำ ให้ไปแข่งขันกีฬาเพื่อเชื่อมความสามัคคีในวันพรุ่งนี้ อาจารย์วิทย์คงต้องเตรียมสมาชิกไปเข้าแข่งขันสัก 4 คนนะฮ้า”

“ไม่กะทันหันไปเหรอครับอาจารย์เพชร? วันเดียวเอง พวกเด็กๆ ไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย”

“ถึงจะบอกว่าเป็นการแข่งขัน แต่มันไม่ได้วัดผลแพ้ชนะกันหรอกฮ่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจ เราแค่ไปแข่งเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และหาประสบการณ์นะฮ้า”

อาจารย์พลวิทย์ไม่ได้กล่าวท้วงอะไรต่อ เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไร อาจารย์เพชรจึงกล่าวต่อไปว่า

“ขอให้ทุกคนโชคดีในการแข่งขันนะฮ้า”

อาจารย์เพชรเดินกลับออกไปอย่างอารมณ์ดี ไม่มีทีท่าก้อร่อก้อติกอาจารย์พลวิทย์อย่างเช่นทุกครั้ง จนตัวเขาเองรู้สึกแปลกใจ แม้จะเป็นเรื่องดีก็ตามที แต่บางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็ทำให้เขาอดสงสัยอะไรบางอย่างไม่ได้

เมื่อถึงเวลาเลิกการฝึกซ้อม อาจารย์พลวิทย์ปล่อยเด็กๆ ไปทำความสะอสดร่างกาย ส่วนตัวเขานั้นจัดการเก็บอุปกรณ์และดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างก่อนจะเดินเข้าห้องพักครูไป ขณะที่กำลังยืนดูกองเอกสารบนโต๊ะ อยู่ๆ ไอ้โอ๊ตก็เดินเข้ามาในห้อง

“มีอะไรหรือเปล่า วาสุ?” อาจารย์พลวิทย์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“เรื่องลงแข่งพรุ่งนี้ครับ อาจารย์เลือกคนไปลงแข่งไว้รึยังครับ?”

“อืม ก็พอมีในใจ” อาจารย์พลวิทย์หยิบกองเอกสารขึ้นมา เหลือบสายตามองไปที่สมาชิกในทีมที่ยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เดินเอาเอกสารไปเก็บไว้ในตู้

“ผมอยากให้อาจารย์เลือกผมลงแข่งด้วย”

“เธอคิดว่าเธอพร้อมแล้วเหรอสำหรับการลงแข่ง”

“ผมอาจไม่ใช่คนที่เก่ง หรือพร้อมที่สุดในทีม แต่ผมมีบางอย่างที่อาจารย์ไม่สามารถปฏิเสธผมได้”

เสียงที่ดังอยู่ไกลๆ ลอยใกล้เข้ามา โดยเฉพาะประโยคหลังเสียงนั้นเหมือนดังอยู่ข้างๆ หูของเขาเลย พลวิทย์ขนลุกซู่ และขนลุกหนักขึ้นตอนที่มือของไอ้โอ๊ตลูบคลึงที่บั้นท้ายของเขา

“นายกำลังทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“มีอาจารย์เพชรคนเดียวหรือครับ ที่ทำให้อาจารย์ได้ ผมเห็นนะครับ ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ในห้องน้ำ ห้องอาบน้ำห้องแรกพอดี อาจารย์อยากเห็นคลิปมั้ยครับ มันเห็นหน้าอาจารย์ชัดแจ๋วเลย”

มือที่ลูบไล้บั้นท้ายอาจารย์พลวิทย์เปลี่ยนมาเป็นค่อยๆ เกี่ยวกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวของอาจารย์หนุ่มลงไปกองกับพื้นอย่างช้าๆ

พลวิทย์ได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟนกำลังทำงาน

“อาจารย์นี่ทั้งหล่อ ทั้งหุ่นดี ไม่มีที่ติเลยนะครับ เสียอย่างเดียว รสนิยมทางเพศห่วยไปหน่อย การเลือกอาจารย์เพชรเป็นคู่ขา เป็นความคิดที่แย่มากๆ แต่เอาเถอะ ถ้ามันเป็นความชอบของอาจารย์ ผมก็คงไม่ก้าวก่าย คราวนี้ ผมอยากให้อาจารย์สาวควยตัวเองให้แข็ง แล้วค่อยๆ หันหน้ามาหาผม ช้าๆ นะครับ ช้าๆ”

พลวิทย์ต้องยอมทำตามที่โอ๊ตบอกเพราะไม่มีทางเลือกไหนให้เขาไปต่อได้เลย ไม่คิดเลยว่าการมาเป็นโค้ชที่โรงเรียนนี้คือการตัดสินใจที่นำพาความฉิบหายมาให้ตัวเขา

พลวิทย์สาวควยของเขาจนควยโด่ ความใหญ่ยาวของมันสร้างความตื่นเต้นให้กับคนที่เห็นได้ทุกครั้ง ไอ้โอ๊ตบันทึกภาพอันน่าตื่นเต้นนั้นไว้ในสมาร์ทโฟนของมัน

“คราวนี้อาจารย์เดินไปนั่งบนโต๊ะทำงาน ไม่ใช่เก้าอี้ บนโต๊ะครับ นั่นแหล่ะ สวยงามมาก คราวนี้อาจารย์ช่วยชักว่าวให้ผมดูหน่อย”

พลวิทย์ปั่นควยชักว่าวต่อหน้าลูกศิษย์ตัวเองที่กำลังทำหน้าที่บันทึกวิดีโอไปด้วย ตอนแรกเหมือนเขาจะไม่มีอารมณ์ แต่คำพูดของไอ้โอ๊ตกลับกระตุ้นอารมณ์เสียวของเขาได้แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“อาจารย์รู้ไหมครับว่าผมเข้าชมรมนี้มาเพราะไอ้อัคร ผมแอบชอบมัน อยากอยู่ใกล้มัน อยากเห็นมันมากกว่าที่เคยได้เห็น แต่พอมาอยู่ในชมรมจริงๆ ผมกลับชอบมันน้อยลง จนตอนนี้ผมเริ่มจะเกลียดมันแทนแล้ว ผมเกลียดมันเพราะอาจารย์นั่นแหล่ะครับ อาจารย์ให้ทุกอย่างกับมันเพียงคนเดียว ความลำเอียงของอาจารย์ทำให้ผมเกลียดทั้งอาจารย์และเกลียดไอ้อัครด้วย แต่ผมก็ต้องเก็บกดความรู้สึกอันนั้นเอาไว้ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ที่ทำให้ผมได้เห็นความวิปริตของอาจารย์ ผมจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดถ้าผมไม่ได้เห็นมันกับตาตัวเอง อาจารย์ที่ผมและทุกคนนับถือ เดินแก้ผ้าเข้ามาให้อาจารย์เพชรแม่งอมควยให้ กลางวันแสกๆ ในห้องอาบน้ำที่พวกเราทุกคนใช้งาน อาจารย์ทำแบบนั้นได้ยังไง”

พลวิทย์สาวควยไป ฟังคำที่พรั่งพรูจากความรู้สึกของลูกศิษย์ตัวเองไป เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงเกิดความเสียวขึ้นมาได้ ยิ่งในประโยคต่อไป

“ผมจะลงโทษอาจารย์จากพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของอาจารย์ ผมส่งคลิปนั้นให้อัครได้ดูแล้ว และสำหรับพวกเราที่เหลือ ที่ยังไม่ได้เห็น มันจะได้เห็นตัวตนจริงๆ ของอาจารย์ หลังจากนี้”

พลวิทย์เกร็งตัว เกร็งหน้า เกร็งทุกส่วนของร่างกายแม้แต่ความรู้สึก แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ปล่อยน้ำเงี่ยนให้พุ่งไหลทะลักออกมากองเต็มพื้นห้องไปจนหมด เขาหอบตัวโยนหายใจถี่หลังความเสียวนั้นสิ้นสุดลง แต่ขนาดควยของเขากลับหดตัวลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“การลงโทษครั้งต่อไป อาจารย์พลวิทย์ ผมขอสั่งให้อาจารย์เดินออกจากห้องไปในสภาพนี้ แล้วเข้าไปล้างตัวในห้องอาบน้ำ เดี๋ยวนี้”

อาจารย์พลวิทย์ยืนเก้ๆ กังๆ ละล้าละลังไม่อยากทำตาม แต่ไอ้โอ๊ตชูสมาร์ทโฟนของมันที่บันทึกคลิปเมื่อสักครู่เอาไว้ มันทำให้อาจารย์หนุ่มต้องยอมเดินออกจากห้องไป พอออกมานอกห้อง พลวิทย์รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่น่าแปลกที่ความหนาวนั้นไม่ได้ทำให้ควยเขาหด มันกลับยิ่งตั้งตระหง่านชูชันแบบที่เขาห้ามมันไม่ไหว เขาเดินควยโด่มีน้ำเงี่ยนไหลซึมตรงไปที่ห้องอาบน้ำ และพอเดินผ่านเข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของสมาชิกในชมรม และเมื่อเขาเดินผ่านพวกนั้นไป เสียงที่ดังอยู่ก็เงียบลงในพริบตา ทุกคนทำสีหน้าตกใจ หันหน้ามองหากันเลิ่กลัก

“ไอ้เหี้ย มึงเห็นอย่างที่กูเห็นรึเปล่า”

“ทำไมอาจารย์พลวิทย์อยู่ในสภาพนั้น”

“ควยแม่งตั้งโด่ไม่พอ มีน้ำเงี่ยนไหลเยิ้มออกมาเลย อู๊ย พูดแล้วขนลุก”

เด็กๆ ต่างทำท่าขยะแขยงกับสิ่งที่ได้เห็น พวกมันรีบแต่งตัวแล้วเก็บของออกจากห้องไป พลวิทย์พอทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย เขาก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องอาบน้ำ กลับไปที่ห้องพักครูตามเดิมในสภาพที่ควยยังตั้งชัน ไอ้โอ๊ตไม่อยู่ในห้องแล้ว มีเพียงแต่ข้อความของมันที่ถูกส่งมายังโทรศัพท์ของเขา

“อาจารย์พลวิทย์ครับ ต่อจากนี้ผมขอให้อาจารย์เชื่อฟังผมทุกอย่าง และยอมเป็นทาสของผม ไม่ว่าผมจะสั่งอะไรก็ตาม ถ้าอาจารย์ทำตัวดีๆ ผมรับรองว่าคลิปที่ผมมี ไม่ว่าตัวไหน มันจะอยู่ในที่ปลอดภัยสำหรับอาจารย์ และสำหรับพรุ่งนี้ จารย์คงมีคำตอบแล้วใช่มั้ยครับ ว่าใครจะได้เป็นตัวจริงบ้าง”

เวลาเลิกงานมาถึงแล้ว ภาติยะที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขตลอดเวลารีบเด้งตัวออกจากโรงพักขับรถกลับที่พักทันที พอกลับถึงบ้านพักเขาพบความผิดปกติบางอย่าง ประตูบ้านเปิดอยู่แต่ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้สะเพร่าเปิดประตูทิ้งไว้เองแน่ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบเข้าไปสำรวจในบ้านทันที เขาตรวจตราดูจนทั่วก็ไม่พบว่ามีอะไรหายไป จนเข้าไปในห้องนอนก็พบว่าตู้เสื้อผ้าถูกค้นจนระเนระนาด และแล้วเขาก็พบสิ่งที่หายไป ลิ้นชักที่เขาเอาไว้ใส่กางเกงชั้นในถูกเทกระจาด และกองชุดชั้นในของเขาหายไปจนเกลี้ยง

ภาติยะนั่งลงถอนหายใจ ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังโดนเล่นเอาล่อเอาเถิดอยู่กับอะไร เขารู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง แต่เพียงสักพักเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปสตาร์ทรถแล้วขับไปยังซูเปอร์สโตร์เล็กๆ ประจำอำเภอที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาตรงดิ่งไปที่แผนกขายชุดชั้นในทันที และเลือกหยิบชั้นในตัวใหม่มาหลายตัว

“ซื้อเยอะจังเลยนะคะ”

ภาติยะสะดุ้งตกใจหันไปทางต้นเสียง เห็นกะเทยพนักงานขายยืนอยู่หลังเขา แทบจะเอาเป้ากางเกงมาชนกับตูดของเขาที่กำลังก้มๆ เงยๆ ดูชุดชั้นในอยู่

“ซื้อเยอะขนาดนี้ หนูว่าพี่ไปลองก่อนดีกว่ามั้ยคะ จะได้ได้ตัวที่ถูกใจจริงๆ เดี๋ยวหนูพาไปลอง” พนักงานรีบจับมือภาติยะเตรียมพาไปห้องลองชุด แต่นายตำรวจหนุ่มรีบสะบัดมือทิ้งแล้วตอบปฏิเสธทันที

“ไม่เป็นไร ผมรู้ขนาดตัวๆ เองดี เดี๋ยวผมไปจ่ายตังค์เลยดีกว่า”

“ไม่ต้องๆๆ เดี๋ยวหนูไปจ่ายให้ พี่รออยู่ที่นี่แหล่ะค่ะ” ว่าแล้วพนักงานท่าทางออกสาวก็รับเงินจากภาติยะแล้วเดินไปที่พนักงานแคชเชียร์ทันที เป็นเวลาเดียวกันกับที่พนักงานสาวจากแผนกชุดชั้นในสตรีเดินมาจ่ายเงินพอดีเช่นกัน ทั้งสองจึงเปิดฉากเม้ามอยลูกค้าของตัวเองทันที

“นี่ๆๆ อีอ้อย แกดูลูกค้าชั้นสิ นายตำรวจรูปหล่อคนนั้นน่ะ หลงมาจากไหนไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มาขนซื้อชุดชั้นในไปเป็นโขยงเลย สงสัยตอนนี้จะไม่มีกางเกงในใส่ ดูสิ เป้าตุงออกมาเชียว”

“เออๆ หล่อจริงๆ ด้วยว่ะ แล้วแกดูของชั้นสิ อีกะเทยความคนนั้นน่ะ รูปร่างแม่งบึกขนาดนั้น มาหาซื้อกางเกงในซีทรูผู้หญิง เห็นแล้วโคตรขนหัวลุกเลย”

“เออ กะเทยความจริงๆ ด้วยว่ะ รูปร่างอย่างกับพี่ตำรวจของชั้นเลย ตัวขนาดนี้มาซื้อซีทรูใส่ ต้องเอาไว้ล่อผัวแน่ๆ เลย คิดแล้วขนลุกซู่เลย 555” แล้วทั้งสองก็หัวเราะร่วนพร้อมกัน

“เอานี่ จะเอาไปให้ลูกค้ามั้ย เค้ายืนรออยู่นานแล้วนะยะ ระวังเถอะ นินทาลูกค้า อายุการทำงานจะสั้นเอานะ”

พนักงานแคชเชียร์เตือนพนักงานขายที่รับถุงใส่ของๆ ตัวเองได้ก็ต่างแยกย้ายเพราะไม่ต้องการมีเรื่องมีราว พนักงานท่าทางออกสาวเอาถุงกางเกงชั้นในมาส่งให้นายตรวจหนุ่ม ภาติยะรับของเสร็จก็รีบจ้ำอ้าวกลับไปที่รถของตัวเอง เขาโยนถุงกางเกงชั้นในที่ซื้อไปไว้ที่เบาะข้างๆ คนขับ ก่อนจะขับรถพุ่งออกไปจากตรงนั้นทันที

ตอนที่ 20

ผู้กองภาติยะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาเดินออกจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียว ชายหนุ่มเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาขยี้ผมและเช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวทั้งตัว หลังจากนั้นจึงเอาผ้าเช็ดตัวไปผึ่งไว้ที่พนักเก้าอี้ เมื่อคืนนี้ชายหนุ่มนอนหลับไม่เต็มตา เหมือนๆ กับหลายคืนก่อนหน้านี้ การได้ตื่นมาอาบน้ำช่วยทำให้เขารู้สึกสดชื่นผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง เขาเดินไปหยิบเครื่องแบบนายตำรวจจากตู้เสื้อผ้า แล้วจึงลงไปนั่งควานหากางเกงชั้นในจากลิ้นชักตู้เสื้อผ้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากางเกงชั้นในที่มีอยู่ถูกขโมยไปจนหมดแล้ว เขาจึงเปลี่ยนไปเดินหาถุงกางเกงชั้นในที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อคืนนี้ ก่อนจะพบมันกองอยู่ที่เก้าอี้รับแขก เขาจึงหยิบมันมาทั้งถุงเตรียมเอาไปใส่ลิ้นชัก

พอเดินมาถึงลิ้นชักตู้เสื้อผ้า เขาเทกล่องชุดชั้นในลงมากองกับพื้น แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจ เพราะมันไม่ใช่กางเกงชั้นในที่เขาเลือก แต่มันกลายเป็นกล่องชุดชั้นในของผู้หญิง ชายหนุ่มงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาหยิบแต่ละกล่องขึ้นมาสำรวจดู ละล้าละลังไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี แต่สักพักก็ลองแกะออกมาดูกล่องหนึ่ง พอลองคลี่ตัวกางเกงชั้นในออกมาเขาก็ต้องตกใจ เพราะกางเกงในตัวนั้นมันเป็นกางเกงในแบบเซ็กซี่ ซีทรู ที่ปิดอะไรแทบไม่มิด พอลองแกะกล่องอื่นๆ ก็พบว่ามีลักษณะไม่ต่างกัน อาจเปลี่ยนแค่รูปทรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภาติยะเอามันมากองไว้ที่บนเตียงนอน ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี แต่พอลองพิจารณาดูดีๆ เขาก็พบว่ามันมีขนาดที่ใหญ่พอที่เขาจะสวมใส่ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มเกิดความลังเลใจอยู่ไม่น้อยว่าเขาควรจะใส่มันดีไหม

แล้วภาติยะก็คิดว่าใส่มันไปก่อนแล้วเดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปหาซื้อเอาใหม่ การใส่กางเกงชั้นในน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะถึงจะถูกพวกของสารวัตรสุวิทย์แกล้งให้ต้องแก้ผ้าแล้วเห็นเขาใส่กางเกงในแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอายแล้ว เพราะถึงไม่โดนล้อเลียนเหยียดหยามเรื่องนี้ เขาก็โดนเรื่องอื่นอีกอยู่ดี แต่ถ้าไม่ใส่ไป อาจโดนมันแกล้งให้ควยโด่ตุงกางเกงต่อหน้าธารกำนัลแบบเมื่อวานก็เป็นได้ และมันทำให้เห็นแล้วว่าการไม่ใส่กางเกงชั้นในทำให้เขาขาดความมั่นใจมากขนาดไหน สุดท้ายเมื่อลองชั่งน้ำหนักดีแล้ว ภาติยะจึงหยิบกางเกงตัวหนึ่งขึ้นมาใส่ โดยเลือกเอาตัวที่ดูวาบหวิวและสะดุดตาน้อยที่สุด แล้วเขาจึงแต่งเครื่องแบบตำรวจแล้วออกเดินทางไปทำงาน

ระหว่างที่กำลังขับรถไปที่ทำงาน ภาติยะได้ยินสัญญาณเรียกจากจ่าสงคราม ที่ขอกำลังเสริมไปยังย่านชุมชนแห่งหนึ่งที่มีสายรายงานว่าจะมีกำลังจะมีการซื้อขายยาเสพติดเกิดขึ้น ในตอนแรกภาติยะคิดว่าจะตอบรับจ่าสงครามไป แต่ถูกตัดหน้าโดยหมู่ยุทธนาเสียก่อน เขาจึงไม่ได้ตอบกลับข้อความของจ่าสงคราม แต่ก็เลี้ยวรถไปยังพื้นที่ดังกล่าวเพราะเห็นว่าไม่ไกลจากที่เขากำลังเดินทางนัก และเห็นว่าเผื่อจะช่วยอะไรหมู่ยุทธนาและจ่าสงครามได้บ้าง ตอนนี้ถ้ามีอะไรซื้อใจเพื่อนร่วมงานได้เขาก็อยากจะทำ

รถของภาติยะจอดห่างออกไปจากชุมชนเล็กน้อย ที่นี่เป็นย่านที่คนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่าง บ้านช่องในอาณาบริเวณนี้จึงค่อนข้างเล็กและแออัด ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วคิดว่าชุมชนแห่งนี้น่าจะเป็นย่านที่มีโอกาสก่อเหตุผิดกฎหมายได้ง่าย เพราะใครต่อใครต่างไม่ค่อยอยากเข้ามายุ่งเกี่ยว รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เพราะที่จริงแล้วชุมชนแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ห่างจากสถานีตำรวจของเขาเพียงไม่เท่าไรนัก แต่ก็ไม่เคยเห็นมีตำรวจนายไหนเข้ามาตรวจตราในพื้นที่นี้เลย ภาติยะเองก็เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาในชุมชนนี้เป็นครั้งแรก เขาเดินเข้าไปในตัวชุมชน ซึ่งแน่นอนว่าชุดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เขาสวมใส่ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตา ชาวบ้านหลายคนซุบซิบและหันมามองเพราะยังไม่คุ้นหน้าเขา ในจำนวนนี้มีสาวๆ หน้าแฉล้มที่คงได้ยินเสียงพูดแบบปากต่อปากกัน ต่างก็ออกมายืนมองภาติยะอยู่ไกลๆ ด้วย

นายตำรวจหนุ่มเดินเข้าไปเรื่อยๆ นอกจากจะตามหาจ่าสงครามและทีมงานคนอื่นๆ แล้ว เขายังถือโอกาสสำรวจพื้นที่และดูสิ่งที่ผิดปกติอื่นๆ ด้วย เขาเดินจนมาถีงเกือบสุดซอยด้านในสุดก็พอดีกับที่มีชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้าเขาออกมาจากซอยย่อยอีกซอยหนึ่ง ท่าทางที่วิ่งดูก็รู้ว่ากำลังหนีอะไรบางอย่างอยู่ ภาติยะได้ยินเสียงดังอยู่ไกลๆ คล้ายเสียงของจ่าสงครามตะโกนมาให้ช่วยสกัดจับคนร้าย ผู้กองหนุ่มจึงออกวิ่งตามชายคนนั้นไปทันที และด้วยความที่เขาเป็นนายตำรวจที่ทำงานภาคสนามมามาก ไม่นานเท่าไรเขาก็วิ่งกวดจนเกือบทันคนร้าย

ภาติยะเห็นชายตรงหน้าเป็นหนุ่มร่างผอม ตัดผมทรงสกินเฮดย้อมผมเป็นสีทอง กะจากด้านหลังที่เขาเห็นน่าจะเป็นชายหนุ่มรุ่นๆ ที่อายุยังไม่มากนัก ในมือของชายหนุ่มกำอะไรบางอย่างที่อยู่ในถุงพลาสติก ภาติยะคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายแต่ก็สำคัญมากจนชายหนุ่มไม่กล้าโยนทิ้งไปเพราะกลัวมันจะสูญหายอย่างแน่นอน

ชายคนนั้นอาศัยความได้เปรียบในความชำนาญในพื้นที่วิ่งฉีกตัวเข้าซอยแคบๆ ไป ภาติยะที่ไม่ทันตั้งตัวเลี้ยวตามไม่ทันทำให้เขาเสียจังหวะไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาวิ่งตามชายหนุ่มตรงหน้าไป เขาเห็นมันวิ่งขึ้นบ้านหลังหนึ่งขึ้นไปบนชั้นที่สองของตัวบ้านหลังนั้น เขาจึงถือวิสาสะวิ่งตามขึ้นไปบ้าง เมื่อขึ้นไปเขาเห็นประตูห้องๆ หนึ่งเปิดอยู่เขาจึงวิ่งเข้าไปยังห้องนั้น ทันเห็นผู้ต้องสงสัยดันลิ้นชักตู้อันหนึ่งปิดลง ก่อนจะออกวิ่งต่อไปที่ด้านในห้องที่มีทางเดินเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ภาติยะวิ่งไปตามไปแต่สุดท้ายสิ่งที่เขาเห็นคือหน้าต่างที่เปิดทิ้งค้างเอาไว้ พอวิ่งไปดูที่หน้าต่างเขาเห็นชายเสื้อของชายหนุ่มคนที่เขาวิ่งตามปลิวหายไปในซอยเล็กๆ อีกซอย

“บ้าชิบ...” นายตำรวจหนุ่มบ่นเพราะเขาปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยหลบหายไปต่อหน้าต่อตา ภาติยะประเมินสถานการณ์แล้วว่าแม้จะกระโดดตามลงไปก็ใช่ว่าจะมีโอกาสตามมันทัน แถมอาจจะได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะหยุดวิ่งไล่ตาม แล้วเดินกลับมาที่ลิ้นชักตู้ที่เขาเห็นชายคนนั้นหย่อนอะไรบางอย่างลงไปในนั้น ภาติยะหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าของห้อง แต่ที่ตรงนั้นมีแต่ความเงียบงันคล้ายไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่นอกไปจากเขา นายตำรวจหนุ่มจึงถือวิสาสะดึงลิ้นชักตู้อันนั้นออกมา แล้วเดินไปที่เตียงนอนที่ตั้งอยู่ริมห้อง แล้วจัดการเทของที่อยู่ในลิ้นชักออกมา

สิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าเขาคือ ชุดชั้นในผู้หญิงกองใหญ่ ภาติยะลงมือคุ้ยกองชุดชั้นในนั้นเพื่อหาสิ่งของบางอย่างที่อาจจะเป็นเบาะแสสำคัญ แต่โดยไม่ทันตั้งตัวก็มีอะไรบางอย่างมาผลักร่างของเขาลงไปกองกับเตียงนอน สิ่งนั้นมีแรงดันมหาศาลที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มขยับกายได้ลำบาก เหมือนมันรู้ว่าจะจัดการอย่างไรที่จะทำให้เขาหมดทางขัดขืน ตอนนั้นเองที่ภาติยะรู้สึกว่าเข็มขัดของเขาถูกดึงออก แล้วตามมาด้วยกางเกงตำรวจที่ถูกถอดออกไปทางปลายขา ต่อมาคือกางเกงชั้นในซีทรูที่ถูกดึงลงมากองที่หัวเข่า แล้วอยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงนั้นดังจนเขาแสบแก้วหู แต่มันทำให้สิ่งที่กดทับเขาอยู่ผละออกไป ภาติยะรีบดันกายลุกขึ้นหวังจะหันไปหาร่างที่กดทับเขาไว้ แต่โดยไม่ทันตั้งตัวเขากลับถูกผลักให้ไปชนกับร่างของหญิงร่างใหญ่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง หญิงคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของห้องและเป็นเจ้าของเสียงกรีดร้องนั้นเอง

ภาติยะที่อยู่ในสภาพเปลือยท่อนล่างมีเพียงกางเกงชั้นในผู้หญิงซีทรูกองอยู่ที่หัวเข่าเซไปหาหญิงสาวเจ้าของห้อง หญิงคนดังกล่าวเมื่อเห็นภาติยะเซมาก็ยิ่งเกิดอาการกลัวหนักกว่าเดิม นางจึงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมร้องขอความช่วยเหลือ บอกว่ามีโจรโรคจิตบุกห้องนาง พร้อมกับทั้งผลัก ทั้งดัน ไม่ยอมให้ภาติยะเข้ามาแตะต้องตัวเธอ จนเกิดเป็นการต่อสู้ขัดขืนจนทำให้สุดท้ายทั้งสองลงไปกองรวมกันที่เตียงนอน ในสภาพภาติยะนอนทับไปที่ร่างของหญิงสาวคนนั้น ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดมา และทันทีที่คนที่ขึ้นมาเห็นต่างก็ร้องตกใจกับภาพที่เห็น เสี้ยวนาทีนั้นเองภาติยะได้ยินเสียงกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป และเสียงร้องของหญิงสาวคนดังกล่าวที่แหบต่ำไม่เหมือนเสียงผู้หญิงทั่วไป ดังขึ้นว่า

“ช่วยด้วยค่ะ ไอ้บ้ากามนี่มันจะปล้ำหนู”

ทุกอย่างหลังจากนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกทีภาติยะก็ถูกนำตัวกลับมาที่สถานีตำรวจที่เขาประจำการอยู่แล้ว หมวดชาตรีนั่งสอบสวนเขาอยู่ มีหญิงสาวคนดังกล่าว ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่หญิงแท้กำลังให้การอยู่ เจ้าหล่อนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปก็ร้องไห้ไป รอบๆ โต๊ะนั้นมีชาวบ้านมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างส่งเสียงซุบซิบนินทา บางคนตามมาจากชุมชนนั้น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นภาติยะจอดรถไว้ใกล้ๆ ซอยแล้วเดินโอ่เข้าไปในซอยแบบไม่สนใจใคร ทุกคนต่างเห็นเป็นตำรวจจากเครื่องแต่งกาย จึงไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นคนร้ายเสียเอง

ภาติยะแม้จะปฏิเสธหรือหาทางแก้ต่างข้อกล่าวหาอย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะจำนนด้วยหลักฐานชุดชั้นในที่ถูกรื้อกองเต็มเตียงนอน และภาพจากผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่ถ่ายได้ เห็นเขาที่เปลือยท่อนล่างกำลังคร่อมอยู่บนร่างของกะเทยร่างใหญ่ที่เป็นผู้เสียหาย ขณะที่หมวดชาตรีกำลังสอบสวน อยู่ๆ ป้าศรีนวลแม่บ้านของโรงพักก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา แหวกกลุ่มคนที่มุงดูเข้ามาถึงโต๊ะสอบสวน พอเห็นกะเทยร่างใหญ่นางก็รีบวิ่งไปโผกอดทันที

“ญาญ่า ไม่เป็นไรใช่มั้ยลูก ขวัญเอ๋ยขวัญมานะ” ป้าศรีนวลหันไปหาหมวดชาตรี “มีคนมาบอกว่าหลานป้าโดนไอ้โรคจิตมันจะข่มขืน ป้ารีบวิ่งกลับไปที่บ้าน พอไปถึงเขาก็บอกว่าทุกคนมาที่โรงพักแล้ว นี่ป้าใจหายใจคว่ำ เป็นห่วงหลานมาก เลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่นึกเลยว่าจะโดนทำอะไรแบบนี้ นี่คนร้ายอยู่ไหน แล้วใครเข้าไปช่วยญาญ่าจากไอ้โรคจิตได้คะ”

ป้าศรีนวลหันซ้ายแลขวาเห็นภาติยะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ ญาญ่าก็เดินไปหานายตำรวจหนุ่มทันที

“ผู้กองใช่มั้ยคะที่ช่วยหลานป้าไว้ ขอบใจมากจริงๆ นะคะ อ้าว แล้วนี่กางเกงหายไปไหนคะ ทำไมใส่แต่ผ้าขาวม้า”

“นั่นแหล่ะครับไอ้โรคจิตคนที่ว่า” นักข่าวหนุ่มหันเป็นคนบอกป้าศรีนวล พร้อมเปิดกล้องโชว์รูปเปลือยภาติยะที่คร่อมร่างของกะเทยสาวอยู่

“หา” ป้าแม่บ้านร้องเสียงหลง ทำหน้าตื่น หันไปมองภาติยะด้วยความแค้น

“มีง อย่าอยู่เลย” ป้าศรีนวลกระโจนเข้าใส่ร่างของภาติยะทันที นายตำรวจหนุ่มไม่ทันระวังจึงเบี่ยงหนีไม่ทัน ตัวเขาล้มลงจากเก้าอี้ ผ้าขาวม้าหลุดออกจากร่าง ทั้งตัวมีเพียงเสื้อตำรวจกับกางเกงในซีทรูเท่านั้น พอทุกคนเห็นกางเกงในที่นายตำรวจหนุ่มสวมใส่ก็แสดงท่าทางรังเกียจ และวิพากษฺวิจารณ์ว่าเขาที่เป็นถึงนายตำรวจแต่ทำเรื่องเสื่อมเสีย

และเหมือนเคราะห์จะยังซ้ำภาติยะไม่หมด ตอนนั้นเองที่มีกะเทยสาวอีกนางเดินขึ้นมาที่โรงพักพอดี นางเดินมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วกรีดร้องขึ้นมาตอนที่เห็นหน้าภาติยะ จนหมวดชาตรีต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไอ้นี่มันไอ้โรคจิตที่เคย...” เสียงหยุดไว้แค่นั้น ภาติยะมองหน้ากะเทยนางนั้นด้วยความคุ้นหน้าคุ้นตา

“เคยอะไร” หมวดชาตรีถาม

“มันใช้กำลังข่มขู่ให้หนูนอนกับมัน แต่มันขอให้หนูเป็นคนเอามันทางตูด ตอนนั้นหนูกลัวมาก แต่ก็แอบบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้”

นางรีบหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดวิดีโอที่บันทึกเอาไว้ ที่แสดงภาพการสมสู่ร่วมเพศกันระหว่างคนสองคน คนหนึ่งเป็นกะเทย มีนม ผมยาว แต่ยังไม่ได้แปลงท่อนล่าง กำลังเอาควยเย็ดรูตูดชายหนุ่มหุ่นล่ำคนหนึ่งอยู่ และชายคนนั้นก็คือภาติยะที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพอยู่ตอนนี้ ผู้คนต่างไปรุมล้อมดูคลิปพร้อมเสียงก่นด่า ที่นายตำรวจอย่างภาติยะทำเรื่องบัดสี น่าอาย ควรถูกประจานและดำเนินคดี ขณะที่คนเปิดคลิปหันมายิ้มเยาะใส่ภาติยะ ตอนนั้นเองที่เขากลับฟื้นความจำขึ้นมาได้ นางคือกะเทยช่างแต่งหน้าที่แต่งหน้าให้เขาในวันที่เขาเข้าไปสอดแนมงานประมูลทาส และคนที่เย็ดเขาในคืนนั้นคืออีกะเทยคนนี้นี่เอง ภาติยะรู้สึกหมดสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นชาย ที่ถูกกะเทยหลอกเย็ด แล้วเอามาเผยแพร่ให้คนได้เห็นกันจนหมด เขาคงไม่สามารถสู้หน้าใครที่นี่ได้อีกแล้ว

สารวัตรสุวิทย์ทนไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เดินออกมาสั่งให้ภาติยะถอดเครื่องแบบตำรวจที่เหลืออยู่ให้หมด จนตอนนี้ร่างของนายตำรวจหนุ่มเหลือแต่ชั้นในซีทรูเพียงตัวเดียว ภาพชายหนุ่มหุ่นล่ำที่สวมกางเกงในซีทรูของผหู้หญิง ตอนนี้ยืนอยู่กลางโรงพัก ให้ชาวบ้านรุมประนามให้อับอาย โดยที่เขาไม่สามารถตอบโต้หรือปกป้องอะไรเพื่อตัวเองได้เลย แล้วยังถูกนักข่าวเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ ชาวบ้านเองต่างก็เข้ามาถ่ายรูปจากมือถือ ซูมไปที่เป้าของภาติยะที่ตอนนี้ไม่มีอะไรปิดบังได้ เพราะเขาถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังอยู่ ควยของเขาค่อยๆ แข็งตัวประจานความโรคจิตให้เพิ่มมากขึ้น

ภาติยะถูกหมวดยุทธนาพาตัวไปค้นบ้านตามคำสั่งของสารวัตรสุวิทย์ เขาต้องเดินทางไปด้วยวิธีการเดิน ทั้งเนื้อตัวมีเพียงกุญแจมือที่คล้องมือของเขาไพล่ไว้ที่ด้านหลัง กับกางเกงในซีทรูแค่ตัวเดียว ที่มองเห็นขนาดความเป็นชายได้อย่างชัดเจน ตลอดทางที่เดินมาชาวบ้านมามุงดูตลอดสองข้างทาง ต่างมองเขาด้วยสายตาที่แสดงความรังเกียจ บางคนเดินเข้ามาถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา บางคนเดินมาแซวเขาให้ได้อาย มาถกกางเกงในเขาที่ด้านหลังจนก้นโผล่ออกมา หรือบางคนเข้ามาจับควยเขาเล่นจนควยแข็งต่อหน้าคนที่มามุงดู และเมื่อมาถึงบ้าน กางเกงชั้นในที่กองอยู่บนเตียงนอนก็กลายเป็นสิ่งที่ตอกฝาโลงภาติยะจากการเป็นนายตำรวจอนาคตไกล กลายเป็นผู้ร้ายขึ้นมาทันที ภาติยะเดินก้มหน้าอับอายออกมาจากบ้าน เขาโดนยึดทุกอย่าง และโดนปลดจากการเป็นนายตำรวจ และต้องไปอยู่ในคุกแทนแบบที่เขาเองก็คงไม่คาดคิดว่าชีวิตจะมีวันนี้

แล้วอยู่ๆ ขณะกำลังเดินกลับ หมวดยุทธนาก็เผลอสะดุดล้มลง จนภาติยะหลุดจากการควบคุม หมวดยุทธส่งสัญญาณให้ภาติยะวิ่งหนีไป ภาติยะได้สติรีบทำตามทันที เขารู้ดีว่าถ้าเขากลับไปอนาคตเขาต้องจบลงแค่ตรงนี้ สู้หนีไปตั้งหลักแล้วค่อยหาวิธีกลับมาสู้ใหม่น่าจะดีกว่า ตอนที่วิ่งอกกมามีชาวบ้านรีบวิ่งตามมาจับตัวเขา ก็พอดีกับที่กำลังจะเข้าตาจน ก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดที่ข้างๆ เขา ประตูรถเปิดออก เขาได้ยินเสียงคนในรถบอกให้เขาขึ้นรถมา ภาติยะรีบก้าวขึ้นรถโดยไม่คิดอะไรทันที

ในคาเฟ่สุดหรูในกลางเมือง หญิงสาวและชายหนุ่มในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังกำลังนั่งออดอ้อนกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งที่มุมห้อง แม้จะนั่งห่างออกไปจากสายตาของคนส่วนใหญ๋ในร้าน แต่เสียงหัวร่อต่อกระซิก และการแสดงท่าทางออดอ้อนกันแบบออกนอกหน้าไม่แคร์สายตาใครในร้าน ทำให้คนในร้านต่างรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะทั้งคู่ทำราวกับว่าโลกใบนี้มีพวกเขาเพียงแค่สองคน บางครั้งมือของฝ่ายชายก็ล้วงเข้าไปในกระโปรงชุดนักศึกษาที่สั้นกุดนั้น บางครั้งหญิงสาวก็หอมแก้มชายหนุ่ม ทำให้คนที่อยู่ในร้านแอบนินทาคนทั้งคู่ที่ไม่รู้จักสำรวมและทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ

ไม่นานหญิงสาวก็ลุกเดินออกจากร้านไป ปล่อยชายหนุ่มให้นั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง เขานั่งปล่อยใจมองออกนอกร้านไปด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่สักพักใหญ่ๆ เหมือนจิตใจกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะดึงสติกลับมา แล้วพาตัวเองเข้าสู่โหมดสังคมก้มต้า เปิดมือถือของตัวเองเช็คอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย ตอนนั้นเองที่มีร่างสูงของชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเขาแล้วเอ่ยทักขึ้นมาว่า

“คุณคือโตมร นักว่ายน้ำชื่อดังใช่มั้ย?”

ชายหนุ่มละสายตาจากมือถือเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาคนที่เดินเข้ามาหาเขา เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่ดูจะมีอายุ แต่มีเสน่ห์แบบที่ผู้ชายวัยอย่างเขาน้อยคนนักจะมี รอยยิ้มที่ส่งมาให้โตมรรู้สึกดีอย่างประหลาด ชายตรงหน้าขอนั่งร่วมโต๊ะกับเขา ซึ่งโตมรก็ผายมือเชิญชวน เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีคนเข้ามาหาเขา และจำได้ว่าเขาเป็นใคร

“คุณจำผมได้เหรอครับ?”

“จำได้สิ คุณดังจะตาย เป็นนักว่ายน้ำเยาวชนทีมชาติที่เก่งมาก ทำลายสถิติประเทศหลายอย่างเลย ผมได้ดูคุณแข่งบ่อยๆ หลานชายผมก็เป็นนักว่ายน้ำ กำลังจะแข่งคัดเลือกทีมชาติ เขาน่าจะอายุอ่อนกว่าคุณสักปีหรือสองปี”

“ขอโทษนะครับ คุณคือ?” โตมรแปลกใจกับความสุภาพของตัวเอง ปกติเขาไม่ใคร่จะใช้คำพูดคำจาที่ไพเราะเป็นทางการแบบนี้ แต่ชายสูงวัยตรงหน้ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้โดยอัตโนมัติ

“ผมชื่อแมนสรวง ทำธุรกิจหลายอย่าง และที่ผมภูมิใจคือโรงเรียนอุปการะเด็ก บ้านเปรมปรีดา เป็นโรงเรียนที่เราส่งเสริมทั้งด้านวิชาการ และด้านวิชาชีพต่างๆ ให้เด็กที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา หลานชายผมก็เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ และเรากำลังพัฒนาชมรมว่ายน้ำของเราให้ทัดเทียมโรงเรียนชื่อดังในเมือง ซึ่งผมคิดว่าเรากำลังประสบความสำเร็จ เพราะเราส่งเด็กคนหนึ่งให้ติดคัดเลือกตัวแทนเยาวชนทีมชาติได้แล้ว”

“หลานชายคุณชื่ออะไรครับ?”

“อัคร อัครพิบูลย์สิน”

ชื่อนั้นทำให้หัวใจของโตมรเต้นแรง จนอาจทำให้คนตรงหน้าสังเกตได้

“ตอนนี้ผมกำลังทำบ้านที่อยู่ของผมให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับฝึกซ้อมว่ายน้ำที่ทันสมัยที่สุด โอ่อ่าสวยงามที่สุด เวลาที่อัครเขามาฝึกซ้อมที่นี่จะได้พัฒนาความสามารถขึ้นมาได้เร็วๆ”

“น่าสนใจนะครับ”

“ใช่ครับ น่าสนใจมาก ผมคิดว่ามันจะทันสมัยและมีความครบครันไม่ต่างจากศูนย์กีฬาขนาดใหญ่ ถ้าคุณสนใจ ผมอยากชวนให้คุณได้ไปดู ไปเห็นมัน สักวันหนึ่ง”

แมนสรวงหยิบนามบัตรของเขาขึ้นมาส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“ผมรับรองและการันตีว่าคุณจะต้องติดใจ”

โตมรหยิบนามบัตรนั้นขึ้นมาดูตอนที่ชายสูงวัยตรงหน้าขอตัวออกไปแล้ว เขากำลังนึกฝันถึงภาพความโอ่อ่าสวยงามของสถานที่ตามคำบอกเล่า เขาคิดว่าจะไปเยือนมันสักครั้ง มันอาจทำให้เขาพบใครบางคนที่นั่น คนที่เขาอยากเจอมากที่สุด

“อัคร”

อัครเดินทางมาถึงโรงเรียนเปรมปรีดาตอนเกือบเย็นแล้ว เขาลงจากรถแล้วแยกกับวาโยเพื่อกลับเข้าห้องพัก แต่ห้องแรกที่เขาตรงไปหากลับไม่ใช่ห้องของตัวเอง แต่เป็นห้องของอาจารย์พลวิทย์แทน เพราะมีสิ่งที่เขาคาใจหลายอย่างที่อยากจะเคลียร์กับอดีตโค้ชของเขา แต่ไม่ว่าเขาจะเคาะประตูห้องของพลวิทย์เท่าไร ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา เขาจึงเดินกลับมาที่ห้อง หวังจะสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับไอ้โอ๊ตแทน แต่ก็พบว่าห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีแม้เงาของเพื่อนร่วมห้อง เขาทิ้งตัวลงไปกองกับพื้นอย่างอ่อนแรงเมื่อไม่ได้ทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้ แล้วเขาก็เผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย

ขณะที่ทางด้านอาจารย์พลวิทย์เดินทางมาถึงโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์แล้ว ตลอดทางเขาถูกไอ้โอ๊ตที่พาเขาขึ้นไปนั่งเบาะหลังของรถตู้เอาคลิปและรูปถ่ายขึ้นมาข่มขู่ และจับเขานั่งแก้ผ้าท่อนล่างมาตลอดทาง มันจับควยเขาถอกเล่น และสาวควยเขาจนเขาเกือบแตกคามือไอ้โอ๊ต แต่เพราะความกลัวว่าเด็กที่นั่งอยู่ด้านหน้าจะเห็นเหตุการณ์ ทำให้พลวิทย์ไม่เสร็จสมอารมณ์หมายของไอ้โอ๊ตอย่างที่ตั้งใจ

พอรถเข้าเขตโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ ไอ้โอ๊ตก็ยอมให้พลวิทย์ใส่กางเกงได้ รถเลี้ยวเข้ามาในตัวโรงเรียน แต่แทนที่นายมิ่งคนขับรถจะขับไปจอดที่หน้าอาคารเรียนหรือโรงพละอย่างที่ควรจะเป็น กลับขับรถพาอ้อมมาที่ด้านหลังโรงเรียน เป็นครั้งแรกที่อาจารย์พลวิทย์เห็นว่าโรงเรียนแห่งนี้ มีอาคารแบบนี้อยู่ นายมิ่งจอดรถแล้วลงมาเปิดประตูรถให้ทุกคนลง แต่ละคนต่างแปลกใจกับสถานที่ที่นายมิ่งพาพวกเขามา

“โรงเรียนนี้มันมีตึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ?”

“นั่นดิ ตึกโคตรสวยแต่มาอยู่ท้ายโรงเรียน แล้วแม่งก็โคตรเงียบเหมือนคนละโลกกับตัวโรงเรียนเลย”

“นี่คืออาคารเอนกประสงค์ของโรงเรียนค่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้กลุ่มชายหนุ่มที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ตกใจ หันไปทางต้นเสียง แล้วก็พบนักเรียน.... กะเทยสี่คน ยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่

“หนูชื่อจีน่า เป็นนักเรียนชั้น ม.6 และเป็นหัวกองงานดูแลอาคารเอนกประสงค์ค่ะ คุณคงจะเป็นอาจารย์พลวิทย์?”

“ใช่ แล้วนี่คือสถานที่ที่เราจะแข่งกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์กัน?”

“ใช่ค่ะ มีสระว่ายน้ำในตัวอาคาร”

“แล้วนอกจากพวกหนูแล้วไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นๆ เหรอ?”

“อาจารย์ท่านติดภารกิจหลายอย่าง สั่งให้หนูเป็นตัวแทนดำเนินการได้เลย อาจารย์และคนอื่นๆ ช่วยเซ็นชื่อในใบเข้าร่วมกิจกรรมด้วยนะคะ มันจะเป็นผลงานของกลุ่มพวกหนู”

พลวิทย์และเด็กชมรมว่ายน้ำลงชื่อในเอกสารที่ทีมงานนำมาให้ ก่อนถูกพาตัวเข้ามาตัวอาคาร ที่นี่โอ่อ่า ทันสมัย จนผู้มาเยือนอ้าปากค้างแบบคาดไม่ถึง พวกเขาต่างเดินสำรวจสถานที่ ก่อนจะถูกพาไปที่ส่วนของสระว่ายน้ำในร่มที่แสนทันสมัย ที่นั่นมีททีมงานด้านสื่อรออยู่อีกสองสามคน พวกเจามีกล้องถ่ายรูป กล้องวิดีโออยู่พร้อม

พอคุยรายละเอียดของงาน ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองฝ่ายก็เข้าไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ และออกมาทำการแข่งขันกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย รวดเร็ว แต่ก็ทำให้พลวิทย์แปลกใจกับอะไรบางอย่าง เขาจึงรีบทำให้การแข่งขันดำเนินการไปอย่างเร็วที่สุด จะได้กลับโรงเรียนเปรมปรีดาเสียที

กลายเป็นว่าทีมชายหนุ่มนักว่ายน้ำต้องมาแข่งว่ายน้ำกับทีมกะเทยสาวของโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ ซึ่งทีมนักเรียนชายโรงเรียนเปรมปรีดาต่างยิ้มหยันและคิดว่าเป็นการแข่งขันที่หวานหมูสำหรับพวกเขา ซึ่งในผลัดแรกๆ ของการแข่งฟรีสไตล์ 4 คูณ 100 เมตร ผลก็เป็นดังนั้น ทีมกะเทยสาวปัญญาอนุสรณ์ตกเป็นรองและถูกทิ้งห่างอย่างเห็นได้ชัด จนมาถึงผลัดสุดท้ายที่ไอ้โอ๊ตเป็นคนว่าย กลับเกิดเหตุกลับตาลปัตรที่มันโดนกะเทยสาวของปัญญาอนุสรณ์แซงได้ใน 50 เมตรสุดท้าย และว่ายแตะขอบสระได้ก่อน สร้างความเจ็บใจและอับอายให้กับทีมโรงเรียนเปรมปรีดาที่คุยข่มเอาไว้มากก่อนการแข่งขัน

สุดท้ายอาจารย์พลวิทย์ต้องเข้ามาเป็นกันชน และขอตัวกลับหลังความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น แต่อยู่ๆ เสียงของจีน่าก็ดังขึ้น

“ยังกลับไม่ได้นะคะ เพราะมีบทลงโทษสำหรับผู้แพ้”

อาจารย์พลวิทย์และสมาชิกชมรมว่ายน้ำที่เดินผละออกไปแล้วต่างหันกลับมามองสมาชิกของโรงเรียนปัญยอนุสรณ์ด้วยความงงงวย เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีการพูดถึงบทลงโทษให้รู้มาก่อน

“ในใบยินยอมการลงแข่งมีบอกเรื่องการลงโทษคนแพ้ไว้ด้วยนะคะ ต้องมีตัวแทนทีมคนหนึ่งเข้าแข่งขันกับทีมของเราอีกครั้ง แค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าคุณชนะ คลิปการแข่งขันอันน่าอัปยศจะถูกลบไป ถ้าแพ้หรือคุณไม่ทำตามเงื่อนไข เราจะลงคลิปการแข่งขัน และพวกคุณจะถูกประจาน หนุ่มๆ อย่างพวกคุณแพ้กะเทยอย่างพวกเรา”

สมาชิกทีมโรงเรียนเปรมปรีดาต่างไม่ยอมให้คลิปถูกเผยแพร่ท่าเดียว เพราะมันจะสร้างความอับอายให้พวกเขา โดยเฉพาะไอ้โอ๊ต ที่เป็นคนพาทีมแพ้อย่างยับเยิน มันเข้าไปหาอาจารย์พลวิทย์ และบังคับข่มขู่ให้พลวิทย์ลงแข่งในนามตัวแทนทีม ทำให้พลวิทย์ปฏิเสธไม่ได้ เขาเดินออกมาหาจีน่า บอกเงื่อนไขไปว่าเขาไม่มีชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยน จีน่าจึงขอถุงกางเกงว่ายน้ำมาจากทีมงานอีกคนส่งให้พลวิทย์ไปเปลี่ยนชุดพลวิทย์จะออกมาจากห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายได้ก็กินเวลานานโข จนไอ้โอ๊ตต้องเข้าไปตาม เขาเดินออกมาใชขุดว่ายน้ำแบบ tong ที่เป็นสายรัดอันนิดเดียว ด้านหน้าจึงปล่อยกลุ่มสาหร่ายที่อยู่ตามง่ามขาให้ออกมาเชยชมโลกภายนอก ดีที่ขนเขาไม่ยาวมากเพราะเขาต้องตัดแต่งมันอย่างดีเพราะไม่อยากประเจิดประเจ้อยามต้องใส่กางเกงว่ายน้ำต่อหน้าเด็กๆ ที่ฝึกสอน แต่เขาก็ไม่ได้แต่งมันสำหรับต้องมาใส่กางเกงว่ายน้ำที่เว้าสูงแบบนี้ ขณะที่ด้านหลังเป็นแค่เชือกเส้นเดียวปล่อยให้ตูดทั้งหมดออกมาเชยชมโลกภายนอก พวกเด็กสมาชิกชมรมต่างร้องแซวที่เห็นพลวิทย์ในชุดที่แสนเซ็กซี่ขนาดนี้ ระหว่างพลวิทย์เดินออกมา เขาถูกทีมสื่อของโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์รุมถ่ายรูปถ่ายคลิปเอาไว้ เขาจึงขอให้รีบแข่งขันให้เสร็จโดยไว แต่กลับกลายว่าการแข่งขันแก้ตัวนี้ ไม่ใช่การแข่งว่ายน้ำ แต่เป็นการแข่งอย่างอื่นแทน

ทั้งหมดพากันมาที่ห้องๆ หนึ่ง ทันทีที่เห็นสมาชิกจากชมรมว่ายน้ำต่างร้องเสียงหลง เพราะตรงหน้าคือสนามแข่งมวยปล้ำ แลพลวิทย์จะแข่งด้วย เป็นชายร่างเล็กที่แต่งชุดสำหรับแข่งมวยปล้ำแบบเต็มยศ รวมทั้งหน้ากากที่ปิดคลุมใบหน้าไว้ แต่ถึงจะปอดขนาดนั้น สมาชิกทุกคนของบ้านเปรมปรีดาก็จำได้ว่านั่นคือ

“อาจารย์เพชร”

อาจารย์เพชรทำไมมาแข่งในนามโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ เป็นสิ่งที่ทำให้ใครต่อใครต่างแปลกใจ แต่สมาชิกชมรมว่ายน้ำต่างรู้สึกสนุกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และลุกขึ้นเชียร์ให้อาจารย์พลวิทย์จัดการอาจารย์เพชรให้จงได้ แต่กลายเป็นว่าพอลงสนามจริง ชายร่างใหญ่กว่ากลายเป็นผู้ได้เปรียบแค่ในตอนต้นเท่านั้น พอแข่งไปสักพักเขากลับตกเป็นรอง เพราะอาจารย์เพชรแลดูเป็นผู้เชี่ยวชาญและออกท่าออกทางของการแข่งมวยปล้ำได้ราวกับเป็นมืออาชีพ ขณะที่อาจารย์พลวิทย์รู้บ้างเท่าที่ได้เคยเรียนทฤษฎีมา หากแต่ไม่เคยได้ลงมือปฏิบัติ สุดท้ายเขาก็กลายเป็นรองอาจารย์เพชร

อาจารย์เพชรจับอาจารย์วิทย์ทำท่าสะพานโค้งจนควยของอาจารย์พลวิทย์โด่ขึ้นมา นางเปลี่ยนท่าเพื่อโจมตีอาจารย์พลวิทย์ที่จุดสำคัญของผู้ชายจนทำให้อาจารย์พลวิทย์รู้สึกจุก และท่าทีเด็ดคือการจับอาจารย์พลวิทย์พลิกตัวให้หัวทิ่มลงกับพื้นสนามและตัวงอขาชี้ฟ้า ตอนนี้ก้มกลมกลึงอาจารย์พลวิทย์ปรากฏอยู่ต่อหน้านางแล้ว อาจารย์เพชรค่อยๆ จับขาที่ชี้ฟ้านั้นแยกออกจากกัน รูตูดของอาจารย์หนุ่มในฝันจ่ออยู่ที่หน้านาง ขนตูดที่ขึ้นหรอมแหรมนั้นสร้างความรัญจวนใจจนนางต้องเอาลิ้นลงไปโลมเลีย อาจารย์พลวิทย์พยายามใช้กำลังที่มีสะบัดหวังให้ตัวหลุดจากการถูกจับพันธนาการ แต่ทำยังไงก็ไม่หลุด อาจารย์พลวิทย์จึงถูกสั่งสอนกลับด้วยการถูกจับแก้ผ้าจนกลายเป็นชีเปลือยต่อหน้าทุกคนทันที

เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือปลุกให้อัครตื่นจากการหลับไหล ในห้องเริ่มมืดแล้ว แต่ไฟไม่สว่างแสดงว่าไอ้โอ๊ตยังไม่กลับมา เขาเอามือควานหาโทรศัพท์มือถือและหยิบมันขึ้นมาเช็คข้อความ ก็เห็นการแจ้งเตือนเฟสบุ๊คว่ามีเพื่อนของเขาที่อยู่ชมรมว่ายน้ำสี่คน กำลังไลฟ์สดกันอยู่ เขากดข้าไปดูของไอ้โอ๊ตก็เห็นมันถ่ายทอดการแข่งขันมวยปล้ำอยู่ ตอนแรกเขาจะกดทิ้ง จนเห็นว่าชายหนุ่มที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัว ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดเลย เขารู้สึกสงสัยว่าไอ้โอ๊ตโพสต์ทำไม จึงดูที่ชื่อคลิปพบว่าเขียนกำกับว่า โค้ชวิทย์กับงานอดิเรกเล่นมวยปล้ำแก้ผ้า แม่งแก้ผ้าให้กูถ่ายตัวเองโดนปล้ำ 555 พออัครเพ่งมองดีๆ ก็เห็นว่าคนที่แก้ผ้าอยู่นั้นคืออาจารย์พลวิทย์จริงๆ ด้วย

จำนวนคนดูพุ่งสูงขึ้นๆ พร้อมกับคอมเม้นท์แสดงความตลก ขบขัน วิจารย์ควย ตูด และการโดนกระทำของอาจารย์พลวิทย์กันอย่างสนุกปาก หนึ่งในนั้นคือวาโยที่ส่งข้อความมาว่า

“ความโรคจิตที่ติดตัวเขาอยู่เสมอ เรื่องแก้ผ้าโชว์ขอให้บอก ทำประจำจนชิน ติดเป็นนิสัยชอบโชว์”

พอวาโยโพสต์ข้อความ คราวนี้แต่ละคนต่างส่งข้อความให้อาจารย์พลวิทย์โดนลงโทษหนักๆ และเหมือนคนที่เป็นคู่ปล้ำจะรู้จึงจัดหนัก ทั้งบีบควย เอาตีนนาบหน้า เอาตีนเหยียบลงไปทีควย จับอาจารย์พลวิทย์สาวควยโชว์ จับถอนขนรักแร้ ขนหมอย ขนตูด แล้วเอาขนเหล่านั้นให้อาจารย์พลวิทย์กินลงไป อาจารย์พลวิทย์โดนกระทำกระหน่ำจนตั้งตัวไม่ติด และอ่อนกำลังลงจากตอนแรกที่โดนตัดกำลังจากท่าล็อกคอ ทำให้เขาหมดทางสู้ และกลายเป็นเหมือนซากที่ยังหายใจให้ฝ่ายตรงข้ามกระทำอย่างเดียว แล้วสุดท้ายสิ่งที่ทุกคนต่างเรียกร้อง

“เย็ดมัน เย็ดมัน เย็ดโชว์ เย็ดสด แตกในเลย”

ข้อความขึ้นมาเป็นคำนี้ไม่ขาดสาย จนสุดท้ายมหกรรมเย็ดโชว์สดๆ จึงเกิดขึ้นจริงๆ

“เหี้ยเอ๊ย อาจารย์วิทย์กู ยอมโดนเย็ดออกสื่อจริงๆ”

“หมดกัน ความแมนที่มี”

“ยังจะกล้ามาสอนนักเรียนอยู่อีกไหม”

“อยากเห็นน้ำเงี่ยนออกจากรูตูดอาจารย์”

“เย็ดนานๆ เอาหนักๆ เลยนะ เอาให้อาจารย์ต้องคลานเป็นหมามาสอนเลย”

อัครอ่านข้อความไปใจเขาก็สั่นเต้นแรง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น แต่ไอ้โอ๊ตเหมือนจะอยากเพิ่มความสะใจ เช่นเดียวกับกลุ่มสมาชิกชมรมเปรมปรีดาที่เหลือ ที่ต่างวิ่งกรูเข้าไปถ่ายทอดสดการเย็ดอย่างชิดติดจอ เคลื่อนกล้องไปที่รูตูดของอาจารย์พลวิทย์ที่กำลังโดนกระหน่ำเย็ดอย่างหนัก ก่อนจะเคลื่อนมาถ่ายที่ใบหน้าเหยเกแสดงความเจ็บปวดจากการซอยไม่ยั้งของอาจารย์เพชร เสียงของคนที่คุยกันดังลอดเข้ามาในไลฟ์ บอกให้อาจารย์วิทย์ครางออกมาดังๆ จะช่วยลดความเจ็บ ขอให้อาจารย์วิทย์ทำหน้าเสียวให้สุดๆ แต่ก็ยังให้เก็กหล่อไปด้วย เพราะตอนนี้หน้าขณะโดนเย็ดกำลังออกสื่อให้ทุกคนทั้งโลกได้ดู สาวๆ เหล่ากะเทยมาช่วยซับหน้า และแต่งผมให้อาจารย์วิทย์กันใหญ่ และมีคนหนึ่งเอามือลงไปสาวควยชักให้อาจารย์วิทย์

“อาจารย์ ไหนๆ ก็โดนเย็ดท่าหมาแล้ว หอนแบบหมาให้ได้ยินหน่อย”

แล้วอาจารย์พลวิทย์ก็หอนออกมาจริงๆ หอนไปเสียวไป เผลอครางออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามเย็ดแรงกว่านี้ เอาอีกๆ ทุกคนตรงนั้นต่างหัวเราะสมเพชกับอาการเหมือนหมาติดสัตว์ของอาจารย์พลวิทย์ แล้วภาพที่เห็นก็สร้างความน่าสมเพขเพราะมีกะเทยสาวนางหนึ่งลุกขึ้นฉี่ใส่ตัวอาจารย์พลวิทย์ สร้างความตลกขบขันให้คนอื่นๆ กันยกใหญ่ สุดท้ายอาจารย์พลวิทย์โดนกระหน่ำเย็ดแล้วแตกในจริงๆ ช่างภาพต่างเคลื่อนกล้องไปถ่ายภาพน้ำคาวกามไหลล้นออกมาจากร่องตูดอาจารย์พลวิทย์กันยกใหญ่ บางคนเอามือรองแล้วเอามาป้ายใส่กัน สร้างความขยะแขยง และคนหนึ่งรองน้ำเงี่ยนนั้นเอาไปป้อนใส่ปากอาจารย์พลวิทย์

แล้วการไลฟ์สดก็จบลงตรงที่สมาชิกทีมว่ายน้ำช่วยกันหามอาจารย์พลวิทย์ที่หมดสภาพในสภาพแก้ผ้า น้ำเงี่ยนไหลย้อยจากตูดเป็นทางกลับขึ้นรถตู้ไป

อัครมองภาพหน้าจอที่ดับลงพร้อมใจที่สั่นของเขาก็ดับลงตามไปด้วย

ตอนที่ 21

สามวันหลังเหตุการณ์อันสุดแสนอัปยศของสมาชิกชมรมว่ายน้ำโรงเรียนเปรมปรีดา อาจารย์พลวิทย์ที่เป็นผู้ถูกกระทำจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมากที่สุดหายหน้าหายตาไปจากโรงเรียนเลย เขาไม่ได้มาทำหน้าที่ที่ชมรมว่ายน้ำอย่างเคย และไม่ได้กลับมาที่ห้องพักของเขาในหอพักนักเรียนด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดในวันนี้คือห้องพักของอาจารย์พลวิทย์ว่างเปล่า ไม่มีข้าวของของเจ้าของห้องหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไร ขณะที่ห้องทำงานในชมรมว่ายน้ำของอาจารย์พลวิทย์ ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นของวาโยโค้ชคนใหม่แทน สมาชิกชมรมว่ายน้ำเห็นถึงความผิดปกตินี้ จึงชวนกันจับกลุ่มคุยตอนพักเที่ยงที่โรงอาหาร

“พวกมีงว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลมั้ยวะ ทำไมอยู่ ๆ อาจารย์เพชรก็เข้ามาขอให้พวกเราไปแข่งกับไอ้พวกโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ แต่พอไปถึงกลับไม่มีคนของทางโรงเรียนมาต้อนรับพวกเราเลย นอกจากอีกะเทยพวกนั้น” ตั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งข้อสังเกต

“กูก็ได้กลิ่นทะแม่ง ๆ เหมือนกัน มึงว่ายังไงบ้างวะไอ้โอ๊ต” ตี๋ สมาชิกอีกคนที่ได้ไปแข่งว่ายน้ำด้วยหันไปถามความคิดเห็นจากโอ๊ต

“กลิ่นทะแม่ง ๆ ที่พวกมึงสงสัยอ่ะ กูจะบอกความจริงให้ฟังก็ได้ พวกมึงจะได้ตาสว่างกันสักที” ประโยคหลังโอ๊ตหันมาสบตากับอัครที่นั่งนิ่งเงียบมองอยู่

“อาจารย์วิทย์นั่นแหล่ะที่เป็นคนจัดฉากงานนี้ขึ้นมาเอง”

“ห๊ะ” ทุกคนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจพร้อมกัน

“มึงจะบ้าเหรอ จัดฉากให้ตัวเองโดนเย็ดออกสื่อเนี่ยนะ มันจะเป็นไปได้ยังไง” ตี๋ถามด้วยความสงสัย

“มึงไม่เชื่อเพราะมึงไม่ได้เจอแบบกูไง”

“มึงเจออะไรก็พูดมาสิวะ มากั๊ก ๆ แบบนี้ใครจะรู้เรื่องกับมึงด้วย” เอก สมาชิกอีกคนแสดงท่าทางรำคาญโอ๊ตที่ไม่ยอมเล่าทุกอย่างให้เคลียร์หมด

“มึงดูออกมั้ยว่าไอ้โม่งที่จับอาจารย์วิทย์เย็ดน่ะคือใคร?” โอ๊ตโยนคำถามเข้าใส่วง

“ถึงจะไม่เห็นหน้า แต่รูปร่าง ท่าทางแบบนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าคืออาจารย์เพชร”

“แล้วมึงรู้ไหมว่าอาจารย์เพชรกับอาจารย์วิทย์เขาเป็นคู่ขากัน”

“ห๊ะ มึงจะบ้าเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง” เสียงแสดงความตกอกตกใจดังขึ้นอีกครั้ง โอ๊ตจึงหยิบมือถือของตัวเองออกมาเปิดคลิปเหตุการณ์ในห้องอาบน้ำวันที่มันแอบมาเย็ดกับไอ้โก้แล้วเห็นอาจารย์พลวิทย์เดินแก้ผ้าเข้ามาในห้อง แล้วมีอาจารย์เพชรตามเข้ามาดูดควยให้ ให้ทุกคนในกลุ่มได้ดู ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น

“ตอนที่กูเห็นกูตกใจมาก แต่กูก็ยังเชื่อใจอาจารย์วิทย์ และคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน กูเลยเข้าไปหาอาจารย์วิทย์ เพื่อถามความจริงกับแก แต่สิ่งที่อาจารย์วิทย์ทำคือการปิดปากกูไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ โดยแลกกับการใส่ชื่อกูเป็นคนไปแข่งว่ายน้ำโรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ ทั้งที่เขาก็รู้ว่ากูว่ายไม่เก่ง ไม่เท่านั้น หลังจากวันนั้นเขาเรียกกูเข้าไปหาตอนหลังซ้อม แล้ว....”

“แล้วอะไร ไอ้ห่าโอ๊ต เล่า ๆ ขาด ๆ ฟังแล้วเสียอารมณ์”

“มันก็ทำแบบนี้ ให้กูถ่ายรูปตอนตัวเองแก้ผ้า แล้วก็นั่งชักว่าวสาวควยตัวเองให้กูดูบนโต๊ะทำงาน แถมยังบอกให้กูถ่ายเก็บไว้ดูตอนกูช่วยตัวเองอีก พูดแล้วขนลุกฉิบหาย แล้วแม่งถามกูว่าอยากเห็นตอนมันโดนอาจารย์เพชรเย็ดมั้ย บอกว่าครูอยากโดนเย็ดโชว์ให้พวกเธอได้ดู แม่งคงไม่ทันนึกว่าจะโดนพวกเราถ่ายเฟสบุ๊คไลฟ์ประจานมันออกสื่อแบบนี้ ป่านนี้แม่งคงอายเลยไม่กล้าออกมาสู้หน้า”

“เหี้ย จริงเหรอวะเนี่ย” แต่ละคนต่างวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของอาจารย์พลวิทย์หลังจากได้ยินสิ่งที่โอ๊ตเล่าให้ฟัง โดยเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตัวเองเคยได้เจอ

“กูจำได้เรื่องนึง วันนั้นกูมาถึงชมรมเร็ว แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปฉี่ แล้วเจออาจารย์วิทย์แม่งยืนฉี่อยู่ก่อนแล้ว” ตี๋เปิดประเด็นเป็นคนแรก เขานึกถึงตอนที่เห็นอาจารย์พลวิทย์ยืนฉี่ที่โถ ตอนนั้นอาจารย์พลวิทย์ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว แล้วยืนฉี่โดยดึงขอบกางเกงว่ายน้ำเพื่อควักควยออกมาฉี่ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ตี๋เล่ากลับแต่งเติมเสริมเรื่องเข้าไปอีกจนกลายเป็น “แต่แทนที่แกจะดึงแค่ขอบกางเกงด้านหน้าแล้วควักกะเจี๊ยวออกมาเยี่ยว แกกลับดึงกางเกงว่ายน้ำลงไปหมดทั้งตัวเลย จนกูเห็นตูดขาว ๆ ของแกเลย แล้วแกหันมาเห็นกูเดินเข้ามา แต่ก็ดูเหมือนแกจะไม่สะทกสะท้านหรือเขินอะไรกูเลย ยังตั้งหน้าตั้งตาเยี่ยวต่อไป ตอนนั้นกูก็ไม่ทันได้คิดอะไร นึกว่าสิ่งที่อาจารย์ทำเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกนักกีฬา กูก็เลยเฉย ๆ แต่ตอนนี้กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ”

พอตี๋เปิดประเด็น สมาชิกในทีมคนอื่น ๆ ก็ช่วยกันผสมโรงต่อทันที

“กูเห็นอาจารย์เป็นกันเองดี วันนึงกูเลยแกล้งเอามือไปบีบควยแกเล่น แกถามว่าทำอะไร กูเลยแกล้งบอกว่า เห็นเป้ากางเกงวอร์มของอาจารย์มันตุง เลยสงสัยว่าอาจารย์ยัดอะไรไว้ แกตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า แค่บีบจะรู้เหรอ เปิดออกมาดูเลยสิ แต่ตอนนั้นกูไม่กล้าไง ไม่รู้ว่าแกพูดเล่นพูดจริง ก็เลยไม่ได้ทำอย่างที่อาจารย์บอก”

ขณะที่หนุ่ม ๆ ชมรมว่ายน้ำกำลังคุยกันอย่างออกรส โก้ สมาชิกชมรมฟุตบอลก็เดินเข้ามาร่วมวงพร้อมกับสมาชิกชมรมฟุตบอลที่เดินตามมาด้วยอีกสองคน

“กูมาส่งข่าว คิดว่าพวกมึงคงอยากรู้เรื่องอาจารย์พลวิทย์โค้ชของพวกมึง ตอนนี้อาจารย์วิทย์กลายเป็นสมาชิกใหม่ของชมรมฟุตบอลแล้วนะเว้ย หลังจากที่ประชุมคณาจารย์เมื่อวันก่อนมีมติสั่งปลดอาจารย์พลวิทย์ออกจากทุกตำแหน่งในโรงเรียน เพราะคลิปไลฟ์สดของพวกมึงนั่นแหล่ะ แต่โชคของอาจารย์วิทย์ยังดีที่มีเพื่อนสนิทอย่างโค้ชนัยของพวกกู ที่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่าที่ยาวนาน ช่วยพูดให้คณาจารย์ยอมรับอาจารย์วิทย์ให้มาทำงานที่ชมรมฟุตบอลต่อได้ พอโค้ชนัยช่วยรับรอง โค้ชวิทย์ของพวกมึงเลยยังพอมีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กิน มีงานให้ทำ กูมาส่งข่าวแค่นี้เพื่อให้พวกมึงสบายใจ เผื่ออยากจะไปเยี่ยมอดีตโค้ชก็เชิญตามสบายเลยนะ”

โก้พูดจบก็ยิ้มหยัน ๆ เดินจากไป สิ่งที่มันเล่าทำให้กลุ่มเด็กหนุ่มชมรมว่ายน้ำหน้าซีดเพราะเพิ่งสำนึกได้ว่าความคึกคะนองของพวกมันส่งผลต่อโค้ชของตัวเองอย่างไร สุดท้ายโอ๊ตก็เป็นคนที่ช่วยพูดให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นและผิดน้อยลง

“พวกมึงอย่าคิดมากสิวะ อย่างที่กูบอก อาจารย์วิทย์แกอยากจัดงานนี้เพื่อมาโชว์เองนี่หว่า พวกเราผิดแค่เผยแพร่มันออกไปแค่นั้นเอง เอางี้ เราไปหาโค้ชวิทย์แล้วขอโทษแกกัน แกคงไม่ว่าอะไรหรอกเพราะอย่างน้อยแกก็ยังมีงานทำในชมรมฟุตบอลอยู่”

ทุกคนเออออตามความคิดที่โอ๊ตเสนอ ต่างยกขบวนกันไปที่ชมรมฟุตบอล พอเดินไปถึงหน้าชมรม รปภ. ที่เฝ้าอยู่ที่ด้านหน้าก็ถามพวกเขาว่ามาทำอะไรที่นี่ โอ๊ตเป็นคนตอบไปว่า

“เอ่อ มาหาอาจารย์พลวิทย์ครับ”

“อาจารย์พลวิทย์” รปภ.ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ๋อ ไอ้วิทย์เหรอ นู่น ทำงานอยู่ในห้องน้ำชาย ไปหามันได้ที่นั่น” รปภ. ชี้นิ้วไปที่ด้านหลัง ขณะที่สมาชิกทีมชมรมว่ายน้ำต่างแปลกใจและสงสัยว่าทำไมอาจารย์พลวิทย์ถึงไปทำงานที่ห้องน้ำด้านหลัง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามเพราะคิดว่าอีกไม่นานก็จะได้เจออาจารย์พลวิทย์แล้ว ทุกคนจึงได้เดินไปตามทางที่ รปภ. บอกเอาไว้

เมื่อมาถึงไอ้โอ๊ตเป็นคนอาสาเดินเข้าไปดูในห้องน้ำชายให้ พอมันเดินเข้าไปก็เป็นช่วงที่สมาชิกชมรมฟุตบอลคนหนึ่งเดินสวนออกมาพอดี และนักฟุตบอลคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของโอ๊ต จึงเอ่ยปากทักทายกัน

“อ้าว ไอ้โอ๊ต มาทำแพไรถึงนี่วะ? อ๋อ หรือมาดูภารโรงใหม่ปฏิบัติหน้าที่วะ” เด็กหนุ่มคนนั้นทำเสียงเยาะหยันตอนท้ายประโยค ก่อนจะหันหน้ากลับเข้าไปยังห้องน้ำ แล้วชี้มือไปที่สุดมุมห้อง

“นั่นไง” โอ๊ตมองตามไปแล้วก็ต้องตกใจ ตาเบิกโพลงกับสิ่งที่มันได้เห็น อาจารย์พลวิทย์นั่งคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งเนื้อตัวไม่มีอะไรใส่ปกปิดเรือนร่างสักชิ้น บนหัวของอาจารย์พลวิทย์ไม่มีผมเหลืออยู่เลยสักเส้น แล้วสิ่งที่อาจารย์พลวิทย์กำลังทำอยู่คือการใช้ปากอมและลิ้นเลียที่ปลายหัวควยให้เด็กนักฟุตบอลคนหนึ่งที่เพิ่งเยี่ยวที่โถเสร็จ

“ทำไมนานจังวะไอ้โอ๊ต” เพื่อนสมาชิกชมรมว่ายน้ำที่เหลือตามเข้ามาหลังจากเห็นว่าโอ๊ตหายไปพักใหญ่ แล้วทุกคนก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น พวกเขายืนนิ่งไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมาเพราะกลัวอาจารย์พลวิทย์จะหันมาเห็นและเกดิดความอับอาย

“หน้าที่ใหม่ของโค้ชวิทย์คือ คอยเลียควยให้นักกีฬาที่เพิ่งเยี่ยวเสร็จ แล้วก็คอยเลียดากให้นักกีฬาที่เพิ่งล้างตูดหลังจากที่ขี้เสร็จ เป็นหน้าที่ที่สมเกียติของอดีตโค้ชมั้ยล่ะมึง 555” เด็กหนุ่มสมาชิกชมรมฟุตบอลพูดไปหัวเราะไปด้วยความสมเพชเวทนา เสียงหัวเราะของเขาดังจนทำให้ทุกคนในห้องน้ำหันมามอง รวมทั้งอาจารย์พลวิทย์ที่เคยเป็นอาจารย์และโค้ชชมรมว่ายน้ำอนาคตไกล แต่ตอนนี้ต้องกลายสภาพมาเป็นภารโรงวิทย์ที่มีหน้าที่อันน่าอดสู

ภารโรงวิทย์หันมาเจอหน้าอดีตลูกศิษย์ก็เกิดความอับอายอย่างถึงที่สุด เขารีบลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะล็อกประตูปิดดีก็ถูกพวกสมาชิกชมรมฟุตบอลลากตัวออกมา พวกมันลากตัวภารโรงวิทย์มาทิ้งไว้ที่กลางห้องน้ำ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากกลุ่มอดีตลูกศิษย์เพียงไม่เท่าไร แต่ทุกคนไม่มีใครเข้าไปช่วยเขาเลย ทุกคนต่างยืนมองดูด้วยสายตาที่อดสูสังเวชใจ

แล้วก็มีสมาชิกชมรมคนหนึ่งเดินตรงไปหาภารโรงวิทย์ แล้วเอาเท้าไปหเยียบที่แก้มข้างหนึ่งทำให้หน้าของอาจารย์พลวิทย์แนบไปกับพื้นห้องน้ำ

“ภารโรงวิทย์ เห็นมั้ยว่าพื้นห้องน้ำสกปรกขนาดไหน ช่วยเอาลิ้นออกมาขัดพื้นห้องน้ำให้มันสะอาดกว่านี้หน่อยสิ” ภารโรงวิทย์ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ เขาจำต้องยอมทำตามที่สมาชิกชมรมฟุตบอลสั่งการ ค่อย ๆ แลบลิ้นออกมาเลียที่พื้นห้องน้ำ

“เออ คลานไปทั่วห้องเลยนะ แล้วใช้ลิ้นเลียให้พื้นสะอาดขึ้นกว่านี้ ถ้ายังมีคราบอยู่มึงห้ามหยุดเด็ดขาด”

สมาชิกชมรมฟุตบอลต่างรู้สึกสะใจกับภาพที่เห็นและสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันต่างส่งเสียงเชียร์ โห่ร้อง และใช้คำพูดเหน็บแนมอดีตโค้ชสุดหล่อเพื่อสร้างความอับอายต่อหน้าเด็ก ๆ ที่เป็นลูกศิษย์ของเขาด้วย

“นี่ ไอ้พวกชมรมว่ายน้ำ เดินมานี่ เดินมาดูตูดโค้ชมึงสิ เมื่อคืนเจอพวกกูรับน้อง โดนไปกี่ดุ้นนะภารโรงวิทย์”

“11 คนครับ” เสียงภารโรงพลวิทย์ตอบมาอ่อย ๆ

“โดนเย็ดไป 11 คน ตูดแม่งจะบานขนาดไหน พวกมึงดูกันเองเลย เอ้า ไอ้วิทย์ มึงลุกขึ้นนั่งโก้งโค้ง แหกตูดของมึงให้ลูกศิษย์มึงดูเป็นบุญตาหน่อยสิ 555”

ภารโรงวิทย์ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งโก้งโค้ง แล้วเอามือแหกตูดตัวเองให้เด็ก ๆ ชมรมว่ายน้ำที่เดินมามุงดู

“ไอ้เหี้ย รูตูดบวมเป็นลูกมะนาวเลย” หลายคนต่างเบือนหน้าหนีรับไม่ได้ โอ๊ตเป็นคนแรกที่หันกลับจะเดินออกจากห้อง

ไอ้โอ๊ต มึงอย่าว่าพวกกูโหดเลยนะ เพราะมึงเองก็ทำกับโค้ชมึงไว้ไม่น้อยไม่ใช่เหรอ วันที่มึงเอาอาจารย์มึงกลับมาจากการโดนเย็ด ไม่ใช่พวกมึงกับไอ้มิ่งคนขับรถเหรอ ที่พาอาจารย์มึงไปแวะขึ้นสวรรค์กันมาก่อน พากันไปไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ที่บวมขนาดนี้ก็เริ่มจากพวกมึงก่อนนั่นแหล่ะ”

สมาชิกชมรมว่ายน้ำที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันมองหน้าโอ๊ตกันเป็นตาเดียวเพื่อจะหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ก็อย่างที่กูบอก ไอ้โค้ชวิทย์มันเงี่ยนอยากโดนเย็ดอยู่แล้วนี้หว่า” โอ๊ตส่งเสียงดังพยายามปัดความผิดให้พ้นตัว

“นั่นสินะ ภารโรงวิทย์ มึงนี่งานดีกะหรี่ยังอายเลยนะ โก่งตูดรับควยวันละหลายดุ้น แถมถูกเย็ดฟรีอีกต่างหาก น่าสมเพชเวทนามึงจริง ๆ” สมาชิกชมรมฟุตบอลต่างหัวเราะอย่างสนุกสนาน ในขณะที่สมาชิกชมรมว่ายน้ำต่างทนอยู่ไม่ไหว ต้องเดินออกมาด้วยความรู้สึกที่อับอายขายขี้หน้า

อัครที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เขาพูดอะไรไม่ออก ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนตัวสั่นไปหมด แต่ในความรู้สึกของอัครเขาคิดว่าสิ่งที่เจอมีความไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์พลวิทย์ที่เขารู้จักจะเป็นอย่างที่คนอื่น ๆ พูดถึง เขาตั้งปณิธานเอาไว้ในใจว่า

“อาจารย์วิทย์ ผมจะหาทางช่วยอาจารย์เอง อาจารย์รอผมหน่อยนะครับ”

ช่วงเวลาเดียวกัน ที่ห้องพักสุดหรูในโรงแรมใหญ่ประจำจังหวัด อาจารย์สุนัยลุกขึ้นจากเตียงนอนขนาดคิงไซส์ภายในห้องพักโรงแรมหรู ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า เดินอวดหุ่นล่ำที่ปกติจะถูกชุดวอร์มปิดบังอำพรางสายตาไว้ รวมทั้งควยดุ้นเขื่องที่ตอนนี้อยู่ในสภาพกึ่งแข็งกึ่งอ่อนตัว อาจารย์หนุ่มเดินมารินไวน์ลงแก้ว แล้วลงนั่งที่โซฟายาวที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงนอนนัก เขาจิบไวน์ไปพร้อมกับจ้องมองมาที่เตียงนอนที่มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนเปลือยกายหลับสนิทอยู่

“วันวิสา ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้”

อาจารย์สุนัยจ้องมองผู้หญิงที่เขาหลงรักมานานนับสิบปี แต่เพิ่งมีโอกาสได้ชมชิมเรือนร่างเธอ เพราะก่อนหน้านี้หัวใจของวันวิสามอบให้กับพลวิทย์เพื่อนสนิทของเขาเพียงคนเดียว เขาเฝ้ารอโอกาสที่จะแย่งวันวิสาออกมาจากอกของพลวิทย์ ซึ่งในที่สุดการปรากฏตัวของวาโยก็ช่วยทำให้ความฝันของเขาเป็นความจริง

วาโยศิษย์ทรยศที่คิดกับพลวิทย์มากกว่าความเป็นลูกศิษย์และอาจารย์ เมื่อพลวิทย์ล่วงรู้ความจริงเขาจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นโค้ชของวาโย สร้างความโกรธแค้นให้วาโยเป็นอย่างมาก และเขาเอาคืนโดยการเข้าหาวันวิสา ซึ่งตอนนั้นกำลังมีเรื่องระหองระแหงเพราะพลวิทย์ไม่มีเวลาให้กับเธอ นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เกินเลยจนทำให้คนทั้งสามต้องแตกหักและแยกเส้นทางออกจากกันนับแต่นั้นมา

วาโย คือ พรจากฟ้าที่ประทานมาให้กับเขา ชายผู้อดทนอย่างสุนัย เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนหน้านี้

วันประชุมคณาจารย์โรงเรียนเปรมปรีดา พลวิทย์โดนไล่ออกจากมติที่ประชุมที่เป็นเอกฉันท์ แต่สุนัยเป็นคนขอให้พลวิทย์ยังทำงานต่อในโรงเรียนในตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่อาจารย์และโค้ชชมรมว่ายน้ำ โดยเขาขันอาสาเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ซึ่งที่ประชุมยอมรับข้อเสนอในที่สุด สุนัยพาพลวิทย์มาที่ชมรมฟุตบอล และปิดห้องเจรจาเพื่อเจรจากัน

“มึงฟังกูให้ดี ๆ นะไอ้วิทย์ มึงไม่มีทางเลือกอื่นในชีวิตอีกแล้ว แม้ดูเหมือนว่ามึงจะมี ถ้ามึงคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ หางานที่อื่นทำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ มึงจะโดนคลิปที่โดนอาจารย์เพชรเย็ดนั้นตามไปหลอกหลอน ถ้ามึงจะไปสมัครสอนเด็กนักเรียนเรียนว่ายน้ำ มึงจะโดนคลิปของวาโยส่งตรงไปถึงครอบครัวเด็กที่มึงจะสอน และถ้ามึงคิดจะก้าวออกไปจากโรงเรียนนี้ กูจะบอกให้มึงรู้ไว้เลยว่า มึงจะได้นอนขวัญผวาทุกวันว่าจะมีใครตามมึงเจอไหม แล้วมึงจะโดนจัดการอย่างไร คนที่มึงรู้ว่าเป็นใครมันไม่ยอมให้มึงออกไปใช้ชีวิตปกติสุขหรอก เพราะเขาก็กลัวว่ามึงจะไปบอกสังคมข้างนอกว่าไอ้โรงเรียนนี้มันอัปรีย์เพียงใด เพราะฉะนั้นมึงอยู่ที่โรงเรียนนี้ แล้วทำตัวดี ๆ ทำตามทุกอย่างที่กูบอกดีกว่า อย่างน้อยมึงก็ยังมีที่คุ้มกะลาหัว มีที่หลับนอน มีข้าวให้มึงกิน และมีอะไรสนุก ๆ ให้มึงเล่น”

พลวิทย์ไม่ยอมรับข้อเสนอของสุนัย เขารู้ว่าการออกตายนอกโรงเรียนเป็นทางเลือกที่น่าจะดีกว่า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนที่คิดร้ายนั้นไม่ได้ปรากฏในรูปแบบของศัตรูเสมอไป เพื่อนสนิทบางคนก็พร้อมแทงข้างหลังเขาได้เสมอ เขาจึงลุกเดินออกจากห้องไป แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเดินออกประตู เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงดังขึ้นมาไม่ไกล เสียงนั้นเขาจำได้ดี เป็นเสียงของหญิงที่เขาเคยรัก วันวิสา

พลวิทย์เดินไปตามเสียงร้องนั้น ก่อนจะพบวันวิสาถูกจับถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ชุดชั้นใน ถูกผูกมัดโยงตัวไว้ที่กลางห้องฝึกซ้อมในร่ม เธอนั่งอยู่บนโต๊ะขาวตัวยาว รอบ ๆ ตัวรายล้อมไปด้วยสมาชิกชมรมฟุตบอลที่ต่างถอดเสื้อ สวมเพียงกางเกงบอลตัวเดียว วันวิสาเมื่อเห็นพลวิทย์ก็กรีดร้องขอให้เขาช่วย พลวิทย์เหงื่อตก เขาเกิดความลังเลใจ กลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเหยื่อคนพวกนี้ที่รวมหัวกันวางแผนเล่นงานเขาอีกครั้ง ขณะที่เขาลังเล เด็กชายคนหนึ่งก็เข้าไปกระชากเสื้อชั้นในของวันวิสาจนเต้านมของเธอหลุดออกมา แล้วหลายคนก็กรูกันเข้าไปรุมทึ้งเธอเหมือนอดอยากไม่มีอะไรตกถึงท้องมานาน วันวิสากรีดร้องสุดเสียง เสียงนั้นร้าวเข้าไปถึงใจพลวิทย์ เขาวิ่งเข้าไปช่วยเธอ แต่กลายเป็นเขาที่โดนรุมทึ้งจับถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ถูกจับมัดด้วยเชือกแทนที่วันวิสา และถูกพาขึ้นไปนั่งบนโต๊ะตัวยาวนั้นแทน

ตอนนั้นเองที่วาโยเดินเข้ามาพร้อมมีดโกนในมือ เขาเริ่มลงมือโกนผม โกนขนพลวิทย์ออก พลวิทย์พยายามดิ้นขัดขืนแต่ถูกจับขึงโดยหนุ่ม ๆ สมาชิกชมรมฟุตบอล และเมือมีดโกนกรีดลงไปที่ตัวเขามันจึงทำให้พลวิทย์ยอมสงบลง วาโยลงใบมีดไปทุกสัดส่วนที่มีขนขึ้นอยู่ พอใบมีดกรีดลงไปที่ขนหมอย ควยของพลวิทย์ก็ค่อย ๆ ตื่นตัวขึ้น ๆ จนแข็งเต็มที่ในที่สุด ขนเส้นแล้วเส้นเล่าถูกโกนออกไป จนตัวของอาจารย์หนุ่มไม่มีเหลือขนติดกายเลยสักเส้น

พลวิทย์ในสภาพที่หมดสภาพถูกปล่อยตัวจากพันธนาการของเชือกที่มัดเขาอยู่ เขาถูกนำมาวางไว้บนพื้นห้องซ้อม เด็กหนุ่มสมาชิกชมรมฟุตบอลต่างเดินแยกย้ายกันขึ้นไปนั่งที่บนอัฒจันทร์เล็ก ๆ ที่ล้อมรอบตัวสนาม ตอนนี้ไฟในห้องเหลือให้เห็นเพียงดวงที่สาดส่องไปที่ร่างเปลือยของอาจารย์พลวิทย์ที่นอนแผ่หลาอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่

แล้ววาโยก็เดินเข้ามาหาพลวิทย์ ในสภาพที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยเช่นกัน เขายืนจ้องหน้าอดีตโค้ชส่วนตัว นี่คือคนที่เขาเฝ้าฝันอยากจะเย็ดด้วยมากที่สุด และเมื่อโอกาสมาถึงวาโยก็จัดการพลวิทย์แบบไม่ให้เหลืออะไรที่จะค้างคาใจอีกเลย

ขณะที่พลวิทย์กำลังโดนกระหน่ำเย็ดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงครางดังมาไม่ไกลนัก เมื่อลองมองฝ่าความมืดไป เขาก็เห็นสุนัยกำลังเย็ดวันวิสา สายตาของอดีตคนรักหันมาสบกันพอดี พลวิทย์รู้สึกใบหน้าระเรื่อด้วยความอับอาย ที่จากเป็นคนที่เคยเย็ดหญิงสาว กลับมาโดนผู้ชายด้วยกันเย็ดต่อหน้าเธอ และคนที่เย็ดเขาตอนนี้ก็กระหน่ำพ่นคำหยาบคายกับพฤติกรรมที่ไม่ต่างจากกะหรี่ของเขา และสุดท้ายวาโยก็แตกน้ำควยพุ่งเข้าใส่ตัวเขา มันมากมายมหาศาลจนเกินกว่าเขาจะเก็บเอาไว้ไหว พอวาโยลุกจากไป เด็กคนใหม่ก็เดินลงมาจากอัฒจันทร์ คนแล้วคนเล่า ต่อไปไม่สิ้นสุด พลวิทย์หันไปมองอีกที สุนัยและวันวิสาก็หายตัวไปแล้ว

ในห้องพักของโรงแรมหรู สุนัยรินไวน์ใส่แก้ว แล้วเดินตรงไปที่เตียงนอน มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่บนเตียง ก่อนจะเอาแก้วไวน์นั้นเทราดไปที่ตัวของวันวิสา แล้วก้มลงเลียไวน์ที่อยู่เต็มร่างของหญิงอันเป็นที่รัก เป็นเวลาเดียวกันกับที่ ลิ้นของพลวิทย์ยังคงเลียเพื่อทำความสะอาดพื้นห้องน้ำของชมรมฟุตบอลอยู่ต่อไป

ตอนที่ 22

ท็อป ธีรเดช พระเอกดังกำลังนั่งเงี่ยนอยู่กลางกองถ่ายละครที่เขารับบทเป็นพระเอก ที่เงี่ยนเพราะเขาไม่ได้เย็ดใครหรือถูกใครเย็ดมาหลายวันแล้ว มันทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเสียวกระสันเป็นอย่างมาก ช่วงที่ผ่านมาเขารู้สึกหงุดหงิดเพราะไม่สามารถติดต่อกับแมนสรวงได้ ทั้ง ๆ ที่ช่วงนี้แมนสรวงก็อยู่ที่กรุงเทพ ทุกครั้งที่แมนสรวงเข้าเมืองมาจะต้องติดต่อขอนัดเจอเขาเป็นสิ่งแรกเสมอ แมนสรวงมักจะย้ำว่าการมีเซ็กส์กับเขาทำให้หนุ่มใหญ่มีพลังในการใช้ชีวิต ท็อปจึงรู้สึกว่าเขามีความสำคัญสำหรับแมนสรวงเป็นอย่างมาก หากแต่ครั้งนี้เมื่อแมนสรวงปฏิบัติตัวต่างออกไป เขาจึงรู้สึกว่าความสำคัญของตัวเองลดน้อยถอยลงไป และมันเป็นสิ่งที่ทำให้พระเอกดังหงุดหงิดและฟุ้งซ่าน จนบางครั้งเขาเริ่มสงสัยว่าตนเองอาจกำลังตกหลุมรักชายหนุ่มรุ่นพ่อคนนี้อยู่ก็เป็นได้

ท็อปรู้สึกว่าควยเขากำลังโด่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ และเขาอยากจะหาทางปลดปล่อยความกำหนัดนั้น เพียงแต่ตอนนี้เขาอยู่ในกองถ่ายละครที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เขาจะจัดการกับมันอย่างไรดี พระเอกหนุ่มรูปหล่อหันซ้ายแลขวาไปทั่วกอง แล้วอยู่ ๆ สายตาก็ประสานเข้ากับไอซ์ นักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน และมีละครเรื่องนี้เป็นงานแสดงชิ้นแรกในชีวิต ไอซ์เป็นเด็กหนุ่มวัย 15 ปี ที่มารับบทเป็นน้องชายต่างมารดาของเขา คาแรกเตอร์ในเรื่องของไอซ์คือเป็นเด็กเนิร์ด สวมแว่น เรียนเก่ง เก็บตัว และมีความเครียดสูงเพราะโดนกดดันจากทางบ้าน ซึ่งไอซ์แคสบทนี้ผ่านเพราะตัวตนจริง ๆ ของเขาก็เหมือนกับตัวละคร ราวกับว่าคนเขียนสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นเพื่อไอซ์โดยเฉพาะ ท็อปรู้สึกว่าตั้งแต่ทำงานกันมา เขากับไอซ์พูดคุยกันแบบนับครั้งได้ การพูดคุยส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับงานเท่านั้น มันเลยทำให้เขาไม่ค่อยได้รู้จักนิสัยใจคอของนักแสดงรุ่นน้องคนนี้ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ ท็อปถึงรู้สึกอยากจะทำความรู้จักกับนักแสดงรุ่นน้องคนนี้ดู อาจจะเพราะอารมณ์หงี่จัดของเขาก็เป็นได้

ตรงที่ที่พระเอกดังนั่งอยู่นั้น ทางกองถ่ายจัดที่ให้ท็อปได้อยู่อย่างเป็นส่วนตัว เพราะเขามักจะต้องทำสมาธิก่อนที่จะเข้าฉากถ่ายทำ ตรงที่ที่เขานั่งอยู่จึงไม่มีใครอยู่ใกล้ในบริเวณนี้ และเพราะความปลอดคนทำให้เขากล้าทำอะไรบางอย่างออกไป พระเอกดังค่อย ๆ แหกขาให้กว้างออก แล้วใช้มือค่อย ๆ ลูบที่โคนขาตัวเองผ่านกางเกงสแล็คสีควันบุหรี่ที่ฟิตพอดีตัว ท็อปทำไปตาของเขาก็จ้องมองไอซ์ที่นั่งจ้องเขาอยู่จากฟากตรงข้ามที่ไม่ไกลออกไปนัก ตรงที่ไอซ์นั่งอยู่นั้นตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ เพราะนักแสดงคนอื่น ๆ ไปรวมตัวปูเสื่อเพื่อทำส้มตำกินกันอย่างสนุกสนาน

ไอซ์ไม่หลบสายตาและจ้องมองการกระทำของพระเอกรุ่นพี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไร แม้เมื่อพระเอกรุ่นพี่จะเคลื่อนมือของเขาขึ้นมาลูบที่เป้ากางเกง และมันค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม สักพักพระเอกหนุ่มท็อป ธีรเดช ก็ลุกขึ้นยืนโชว์เป้าที่อวบอูม เขาใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ลูบเพื่อแสดงให้เห็นขนาดความใหญ่ของสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ในนั้น ก่อนที่เขาจะเดินออกจากที่นั่งตรงนั้นไป ขณะที่นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องก็ใช้เวลาสักพักก่อนจะลุกเดินตามพระเอกดังไป เขาเดินตรงไปที่รถตู้สุดหรูสีครีมของพระเอกดัง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ารถกำลังติดเครื่องอยู่ เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าไม่ได้มาผิดที่ เขาเดินเข้าไปที่รถพยายามหาช่องที่จะมองเข้าไปในตัวรถ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงลองเคาะกระจกรถดู สักพักพระเอกท็อปก็เปิดม่านด้านในตัวรถออก และเมื่อเห็นว่าคนเคาะคือนักแสดงหนุ่มรุ่นน้อง ท็อป ธีรเดชจึงเปิดหน้าต่างรถแง้มออกมาพูดคุยด้วย

“อ้าว ไอซ์ มีอะไรหรือเปล่า?” ท็อปเอ่ยถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องหน้าซื่อตาใสเหมือนไม่รู้ว่าไอซ์จะเดินตามเขามา

“ผมออกมาดูพี่ท็อป เห็นพี่ท็อปมีอาการแปลก ๆ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่ไม่รู้โดนมดที่ไหนรุม อยู่ ๆ มันก็ไต่เข้ามาในกางเกงพี่ แล้วมันก็กัดทำเอาพี่คันไปหมด เลยต้องแอบมาหาในรถนี่ ไม่อยากประเจิดประเจ้อ”

“ให้ไอซ์ช่วยหามั้ยครับ?”

“ไอซ์เต็มใจช่วยเหรอ”

“ครับพี่ ถ้ามันจะทำให้พี่หายคันได้” ไอซ์เน้นเสียงตรงคำว่าคัน

“แต่ว่ามันจะน่าอายน่ะสิ เพราะพี่ต้องแก้ผ้าหา”

“ไม่ต้องอายหรอกครับ ไอซ์ไม่บอกใครหรอก”

“จะดีเหรอ”

นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องไม่ตอบได้แต่พยักหน้ายิ้ม ๆ พระเอกดังจึงบอกให้เขาเปิดประตูเข้ามาดูเอง หลังจากที่เขาปิดม่านหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว พอไอซ์เห็นม่านหน้าต่างถูกรูดปิดสนิท เขาจึงค่อย ๆ ดันประตูรถเปิดออก และก้าวขึ้นไปในรถ

พอขึ้นไปถึงสิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกคือ พระเอกดังที่สุดของประเทศตอนนี้กำลังหันหลังคุกเข่าเอาตัวพิงไปที่เบาะนั่ง ด้านบนของตัวเขามีเสื้อเชิ้ตสวมอยู่ หากแต่ท่อนล่างกลับไม่มีอะไรสวมใส่อยู่เลย ท็อป ธีรเดชที่ไอซ์เห็นอยู่จึงแอ่นตูดโชว์ก้นขาวมาให้เขาเห็นเต็มตา

พอเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องยืนตะลึงอยู่ ท็อป ธีรเดชจึงหันหน้ามาหา

“ไหนว่าจะช่วยหาไงครับ พี่อุตส่าห์ไม่อาย แก้ผ้ารอให้ไอซ์มาช่วยขนาดนี้”

หนุ่มรุ่นน้องจึงเดินเข้าไปหาพระเอกหนุ่ม แล้วเริ่มต้นการสำรวจเรือนร่าง เขาจับพระเอกรุ่นพี่แหกดากออกจนมองเห็นรูตูดสีชมพูสดที่รกไรขน ไอซ์เอานิ้วไล่เลื้อยผ่านกลุ่มขนนั้นเพื่อควานหามดตัวดี แต่พอหาไม่เจอเขาก็เอานิ้วลองแหย่เข้าไปในรูตูดพระเอก แล้วควานไปมา จากนิ้วเดียวเริ่มเพิ่มเป็นสองนิ้ว สามนิ้ว และแหย่ลึกไปเรื่อย ๆ ควาน ๆ หมุน ๆ ควานเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนพระเอกดังเผลอร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปนเสียว

“มดกัดเจ็บมากมั้ยครับพี่ท็อป?”

“กำลังดีเลยครับ เอาอีก ชอบมาก ๆ”

ไอซ์จัดการพระเอกหนุ่มคนดังตามคำขอ พอทำด้านหลังจนสาใจ เขาบอกให้พระเอกรุ่นพี่หันหน้ามาแล้วแอ่นตัวไปตามเบาะที่นั่ง ตอนนี้ท็อป ธีรเดช นอนหงายโชว์ควยดุ้นเขื่องอยู่ตรงหน้า ไอซ์จ้องมองหน้าของของพระเอกดัง ก่อนจะเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับควยของเขา ไอซ์เอามือลงไปควานหาในกลุ่มหมอยที่รกชันเพื่อควานหามดที่สร้างความคันให้พระเอก พอไม่เจอเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่แท่งควยของพระเอกหนุ่มที่พอโดนมือของนักแสดงรุ่นน้องเข้าไปมันก็ค่อย ๆ สู้มือขึ้นเรื่อย ๆ ไอซ์จึงจับควยพระเอกดังถอกหนังหุ้มปลายออกเพื่อหามดที่อาจจะกัดจนทำให้พระเอกดังคันไปทั้งตัวตอนนี้ พระเอกดังโน้มตัวลงมาจูบปากหนุ่มรุ่นน้อง แล้วกระซิบข้างหูให้ช่วยใช้ปากสำเร็จความเงี่ยนให้เขาที ก่อนที่จะเอามือมาดึงแว่นของหนุ่มรุ่นน้องออก แต่กลับถูกหนุ่มรุ่นน้องห้ามเอาไว้

“อย่าถอดครับ ผมอยากเห็นภาพของพี่ท็อปแบบชัด ๆ”

ท็อปเลยสวมแว่นนั้นกลับไปตามเดิม ไอซ์จ้องหน้าพระเอกรุ่นพี่นิ่งนาน ก่อนจะก้มลงเอาปากครอบไปที่ลำควยของพระเอกดัง แล้วเริ่มต้นอมควยเพื่อสำเร็จความใคร่ให้พระเอกคนดัง กามกิจของหนุ่มต่างวัยจึงดำเนินไปบนรถตู้คันหรูนั้น

ในช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ที่อาณาจักรสุดหรูของแมนสรวง เขามีโอกาสได้ต้อนรับนักกีฬาว่ายน้ำเยาวชนทีมชาติอย่าง โตมร ที่ติดต่อขอเข้ามาดูสถานที่ที่เขาจัดไว้เป็นที่ฝึกซ้อมว่ายน้ำของอัคร เด็กหนุ่มที่เขารับอุปการะและตั้งใจจะส่งลงแข่งขันเพื่อเป็นนักกีฬาทีมชาติ

โตมรตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นมาก เพราะอุปกรณ์ที่แมนสรวงซื้อมาไว้มันทันสมัยเหมือนกับที่สโมสรนักกีฬามี แถมบางเครื่องทันสมัยยิ่งกว่าด้วยซ้ำ นี่ยังไม่รวมการออกแบบที่หรูหราไฮโซอย่างที่เขาไม่นึกว่าสถานที่ออกกำลังส่วนบุคคลจะเนรมิตได้อลังการงานสร้างถึงเพียงนี้

แมนสรวงพาเขามาถึงสระว่ายน้ำส่วนตัว เพียงแค่เดินเข้าไป โตมรก็คิดว่าตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในสระว่ายน้ำของโรงแรมหรูระดับ 7 ดาว สิ่งที่ยิ่งทำให้มันดูเลอค่ามากยิ่งขึ้นไปอีกคือการใช้ธีมสีขาวทองสลับกัน ซึ่งมันช่วยสะท้อนรสนิยมของเจ้าของสถานที่ได้เป็นอย่างดี

โตมรสงสัยว่าแมนสรวงทำงานอะไร ทำไมเขาถึงได้มีเงินมีทองมาเนรมิตความสุขส่วนตัวได้ขนาดนี้ ยิ่งเดินชมสถานที่เขาก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาอัครเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่ามันทำบุญด้วยอะไร ยิ่งหวนกลับมาคิดถึงตัวเองเขาก็ยิ่งรู้สึกเกลียดเพื่อนในวัยเด็กของตัวเองมากยิ่งขึ้น

เกลียด....

ใช่ เขาเกลียดอัครใช่มั้ย

“เธอคงไม่ได้แค่มาดูใช่มั้ย ชั้นอยากเห็นฝีมือการว่ายของนักกีฬาทีมชาติเยาวชน แสดงฝีมือของเธอให้ชั้นได้ดูหน่อย”

โตมรเดินมายืนตรงหน้าแมนสรวง แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น จากเสื้อนอก มาถึงเสื้อชั้นใน ตามด้วยกางเกง จนตอนนี้ร่างของเขาเหลือเพียงกางเกงว่ายน้ำสีเหลืองตัวเดียวปิดร่างกาย แมนสรวงจ้องมองชายหนุ่มวัยอ่อนตรงหน้าเดินไปล้างตัวที่ฝักบัวที่อยู่เลยออกจากที่แมนสรวงนั่งอยู่เล็กน้อย พอกางเกงว่ายน้ำเปียกน้ำมันก็แนบไปกับเนื้อตัวของผู้ที่สวมใส่ทันที แมนสรวงจึงเห็นว่ามันเป็นกางเกงว่ายน้ำที่ไม่มีซับใน เพราะตอนที่โตมรหมุนตัวไปขณะที่อาบน้ำ ส่วนที่อยู่ภายใต้ร่มผ้านั้นออกมาปรากฏต่อสายตาอย่างเห็นได้ชัด เห็นกระทั่งขนหมอยของโตมรด้วย

โตมรปิดฝักบัว แล้วเดินไปที่ขอบสระว่ายน้ำแล้วกระโดดลงไปแหวกว่าย ตอนแรกเขาเพียงแต่ว่ายวอร์มร่างกายก่อน ก่อนที่จะเร่งสปีดขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้แมนสรวงต้องลุกจากที่นั่งขึ้นมาดูการแหวกว่ายของเขา โตมรพริ้วไหวในสายน้ำ เขาเหมือนกับปลาโลมาที่มีความสุขยามเมื่ออยู่ในสายน้ำ และไหลลื่นไปกับกระแสน้ำนั้นอย่างมีความสุข แมนสรวงรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โตมรว่ายมาแตะที่ขอบสระตรงหน้าเขาแล้ว ชายหนุ่มกระโจนขึ้นจากสระน้ำ ขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้าชายสูงวัย เนื้อตัวที่พราวหยดน้ำ กับรูปร่างที่ฟิตเฟิร์มเห็นกล้ามเนื้อชัดเจนนั้น ทำให้แมนสรวงเหมือนถูกมนต์สะกด จิตใจของชายสูงวัยที่ตายด้านมานานกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

“ผมดีพอสำหรับคุณมั้ยครับ?”

“ชั้นไม่เคยเจอใครที่ดีเท่าเธอ”

“งั้นไปเปลี่ยนชุดนะครับ แล้วลงมาว่ายน้ำกับผม เราจะมีความสุขกันในนั้น”

แล้วโตมรก็ลงไปแหวกว่ายในสระว่ายน้ำต่ออย่างมีความสุข รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำของแมนสรวงแล้ว เขาจึงว่ายตรงไปหาชายหนุ่มที่สูงวัยกว่า แมนสรวงทำให้โตมรคิดถึงพ่อ คิดถึงโค้ช คิดถึงผู้ชายอายุมากที่พยายามตักตวงผลประโยชน์จากเด็กหนุ่มอย่างเขา แต่แน่นอนเขาจะไม่เป็นฝ่ายเดียวที่เสียเปรียบ เขาต้องได้อะไรจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้

โตมรว่ายตรงไปหาแมนสรวง เอื้อมมือไปสัมผัสกับท่อนล่างของหนุ่มใหญ่ แล้วเผลอหัวเราะออกมา

“คุณไม่มีชุดว่ายน้ำ หรือปกติก็ไม่ใส่อยู่แล้ว หรือ...”

“ใส่ทำไม เดี๋ยวก็ต้องถอด เธอเองก็เหมือนกัน กางเกงว่ายน้ำแบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ใส่”

โตมรยิ้ม ก่อนที่จะดำน้ำมุดลงไปหาท่อนควยของแมนสรวงที่มันชูชันรอต้อนรับเขาอยู่ก่อนแล้ว

“ถึงว่า ทำไมคุณไม่ติดต่อมาหาผมเหมือนทุกที มีของใหม่นี่เอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านบนสระ แมนสรวงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น เขาเห็นพระเอกหนุ่มท็อป ธีรเดชยืนอยู่ ท็อปยืนจ้องหน้ามองแมนสรวง และหันไปสบสายตามองโตมรที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำ

แม้จะรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ท็อปก็ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีง้องอนแมนสรวง เขาตัดสินใจเดินออกมาแล้วไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่รถกำลังแล่นด้วยความเร็ว ข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมา มันมาจากแมนสรวง ท็อปหยิบมือถือขึ้นมาเช็คข้อความ

“คุณจะไปจากผมก็ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชีวิตคุณจะเป็นอิสระ”

ข้อความที่ถูกส่งต่อมาเป็นคลิปสั้น ๆ ท็อปกดเปิดมันขึ้นมาดู แล้วเขาก็เห็นตัวเอง เปลือย ควยแข็ง แล้วกำลังโดนใครสักคนที่มองไม่เห็นดูดควยให้อยู่

ท็อปตกใจกับภาพที่เห็น เขารีบกดมันทิ้ง เห็นเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไหน เมื่อไร แต่ มันถูกบันทึกไว้อย่างไง เขาพยายามนึก เมื่อลองดูจากมุมกล้องที่ไม่เห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาเลย ตอนที่มีอะไรกันไอซ์ไม่ได้มีเครื่องมือสื่อสารอยู่กับตัว แล้วมันบันทึกไว้ได้ยังไง

“อย่าถอดครับ ผมอยากเห็นภาพของพี่ท็อปแบบชัด ๆ”

แว่นตาของไอซ์ มันเป็นเครื่องบันทึกภาพ

ท็อปเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว นี่เขาพลาดอย่างมหันต์จริง ๆ ความเงี่ยนพาตัวเองตกหลุมพรางอย่างง่าย ๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เสียงข้อความดังขึ้นมาอีกครั้งจนท็อปสะดุ้ง เขาไม่อยากเปิดดูมัน แต่ก็อดใจไม่ไหว คราวนี้มันไม่ได้ถูกส่งมาจากแมนสรวง แต่เป็นข้อความที่มาจากนักแสดงรุ่นน้องตัวแสบ

“พี่ท็อปครับ ยินดีกับตำแหน่งทาสมือใหม่ด้วยนะครับ หลังจากนี้เรามีเรื่องที่ต้องตกลงกันหลายเรื่องเลย ครั้งหน้าที่เราเจอกันในกองถ่าย ผมจะแจกแจงรายละเอียดที่ทาสจะต้องทำให้ฟังนะครับ แล้วไว้เจอกัน อ้อ ต่อไปนี้ผมอยากให้พี่เรียกผมว่านายด้วยนะครับ”

ใจของพระเอกหนุ่มตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาไม่สามารถบังคับรถที่ขับได้ดังใจ รู้สึกตัวอีกทีมันก็ไหลลงข้างทางไปแล้ว

ขณะที่ในอาณาจักรของแมนสรวง หนุ่มใหญ่กำลังกระหน่ำเย็ดนักกีฬาเยาวชนทีมชาติอยู่อย่างเมามัน ความหนุ่ม ความแน่น ความฟิต ของนักกีฬานำพาความเสียวแบบที่เขาไม่เคยได้เจอมาก่อน เขาไม่เคยคิดเลยว่าการเย็ดเด็กหนุ่ม ๆ จะทำให้มีความสุขได้ขนาดนี้ และยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปใหญ่ ที่ได้กำจัดคนที่ไม่ต้องการทิ้งได้อย่างง่ายดาย และเมื่อรู้สึกตัวอีกที น้ำเงี่ยนเขาก็แตกเข้าไปในตัวของเด็กหนุ่มนักกีฬาเยาวชนทีมชาติแล้ว

ตอนที่ 23

ที่คฤหาสน์เรือนไทยหลังงามของพ่อเลี้ยงอินทร์คำ เจ้าของบ้านนั่งเป็นองค์ประธานอยู่ที่หัวโต๊ะ ถัดมาทางด้านซ้ายมือของเขามีหมวดพฤกษ์นั่งอยู่ ข้าง ๆ หมวดพฤกษ์มีหมู่ยุทธนานั่งถัดลงมา ทางด้านขวาของพ่อเลี้ยงคำอินทร์เป็นชายแปลกหน้า ดูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเลี้ยงอินทร์คำ แต่ดูสมาร์ทและภูมิฐานกว่ากันมาก ชายหนุ่มทั้งสี่กำลังนั่งมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ชายหนุ่มคนนั้นกำลังแสดงท่าทีงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น การที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ และมีบุคคลสี่คนที่ไม่น่าจะร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้ว

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกผู้กองภาติยะ นี่ไม่ใช่ความฝัน ผมกำลังจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง เพียงแต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณเล่าให้ผมฟังก่อน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้” พ่อเลี้ยงอินทร์คำกล่าวถามเพื่อย้อนความทรงจำของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขา

นั่นสิ เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ความทรงจำสุดท้ายของเขาอยู่ที่ไหนกันนะ ผู้กองภาติยะนั่งทบทวนความทรงจำ

เขาจำภาพตัวเองถูกนำตัวออกมากบ้านพักนายตำรวจของเขาเองได้ เขาใส่แค่กางเกงในซีทรูตัวเดียว แถมมันยังเป็นกางเกงชั้นในผู้หญิงด้วย เขาถูกจับใส่กุญแจมือโดยเอามือไพล่หลังไว้ แน่นอนที่มันทำให้เขาปิดเป้าบังควยตัวเองไม่ได้เลย แล้วควยเจ้ากรรมก็ดันแข็งขึ้นมาชี้หน้าทุกคน เขาอายไม่รู้จะอายยังไง คนที่เดินนำตัวเขามาคือหมู่ยุทธนา ตอนนี้เขาเหลือบสายตาขึ้นมามองสบตาหมู่ยุทธนา ก็เห็นนายตำรวจรุ่นน้องนั่งมองเขาอยู่ก่อนแล้ว หมู่ยุทธนาช่วยเขาให้หลุดพ้นจากการถูกจับกุมตัว และการรุมประชาทัณฑ์ เขาจำได้ว่าตอนที่เดินออกมา มีชาวบ้านมามุงดูกันเยอะมาก ต่างคนต่างพูดประณาม หยามเหยียดศักดิ์ศรีความเป็นตำรวจของเขา และเขาเชื่อว่าถ้านายตำรวจที่ควบคุมตัวเขาอยู่เผลอ ไม่แคล้วเขาคงโดนรุมประชาทัณฑ์โดยกลุ่มชาวบ้านพวกนี้แน่ ๆ

แล้วหมู่ยุทธนาก็ช่วยเขาไว้โดยการแกล้งทำเป็นเดินสะดุดลัม แล้วทำให้เขาอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีออกมา เขาวิ่งสุดชีวิต แต่ก็เหมือนจะไปได้ช้ามาก เพราะไอ้กุญแจมือที่มันล็อกเขาเอาไว้ ตอนที่กำลังถูกวิ่งตามจนจะทันอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็มีรถคันหนึ่งมาจอดข้าง ๆ พอประตูเปิดออกแล้วคนขับรถบอกให้เขาขึ้นไปบนรถ ผู้กองภาติยะจึงตัดสินใจขึ้นไปบนรถโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น

ผู้กองถามชายที่ขับรถว่าจะพาเขาไปไหน แต่โดนคนขับตอกกลับว่าไม่ต้องถามและให้นั่งอยู่เฉย ๆ ภาติยะจึงเลิกพูดคุยอะไรแล้วนั่งอยู่ในมุมของเขาไป เขาจำได้ว่านั่งอยู่บนรถนานมากกว่าจะถึงที่หมาย และเมื่อรถจอดลงเขาก็จำได้ว่านี่คือพื้นที่ของพ่อเลี้ยงคำอินทร์นั่นเอง ผู้กองภาติยะรู้สึกตกใจมาก เขาคิดว่าตัวเองกำลังหนีเสือปะจระเข้ พยายามหนีจากเหตุการณ์ร้าย ๆ มาเจอเหตุการณ์ที่อาจจะร้ายกว่า แล้วสถานการณ์มันก็เป็นจริงตามนั้น เมื่อเขาโดนสั่งให้ลงไปบอกยามที่เฝ้าทางเข้าให้เปิดแผงกั้นให้รถที่เขานั่งมาผ่านเข้าไปได้ ภาติยะรู้สึกว่าเขาโดนแกล้งเพราะแทนที่คนขับจะบีบแตรให้ยามตื่น กลับเลือกให้เขาลงไปบอก ทั้งที่ก็รู้ว่าเขาสวมชุดเพียงเท่านี้

เขาเดินเข้าไปที่ป้อมยาม และเห็น รปภ. กำลังหลับอยู่ ทั้งที่เพิ่งย่ำค่ำ ความมืดยังเข้าปกคลุมไม่หมดด้วยซ้ำ เขาส่งเสียงเรียกให้ รปภ. ตื่น แต่ส่งเสียงเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาดังใจ สุดท้ายเขาเลยตัดสินใจจะเดินเอาตัวเข้าไปสะกิด แต่พอใกล้จะถึง รปภ. นายนั้นก็กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วดันลืมตามาประสานกับควยของผู้กองภาติยะที่อยู่ในกางเกงชั้นในแบบซีทรู รปภ. เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่ผู้กองภาติยะเองก็ตกใจและรีบเดินถอยออกมาจากตรงหน้า รปภ. ทันที

รปภ. ถามนายตำรวจหนุ่มว่าเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาในนี้ด้วยชุดนี้ แต่เพียงไม่นาน รปภ. ก็จำได้ว่าภาติยะเป็นใคร

“มีงที่คราวที่แล้วแต่งชุดนายตำรวจมา แต่ขากลับดันแก้ผ้ากลับใช่มั้ย วันนี้จะมาทำอะไรอีก เป็นขี้เงี่ยนชอบโชว์เหรอมึง ถึงแต่งตัวมาแบบนี้ แถมมีใส่กุญแจมือด้วย มาปลุกกูนี่อยากโดนกูจับเย็ดใช่มั้ย?”

ภาติยะต้องรีบอธิบายทำความเข้าใจทันที แต่ รปภ. ก็ยังไม่เชื่อใจนัก จนเมื่อเขาลุกขึ้นไปเห็นรถที่จอดรออยู่ เขาจึงรีบกลับมาเปิดแผงที่กั้นให้ทันที

“มากับคุณคเชนทร์ทำไมไม่รีบบอกวะ”

ผู้กองภาติยะหาได้สนใจไม่ เขารีบเดินออกจากป้อมแล้วกลับไปที่รถทันที แต่ยังไม่ทันถึงรถ รปภ. ก็ส่งเสียงเปรยตามลมมา

“ถ้าเงี่ยนมากอยากได้คนสงเคราะห์ก็มาหากูได้ทุกเมื่อนะอีกะหรี่”

ผู้กองภาติยะรีบเดินก้มหน้ามาที่รถ ยังไม่ทันนั่งดีรถก็กระชากออกตัวไปทันที รถแล่นผ่านพื้นที่ที่เป็นป่าสักพัก ก็มาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่ ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง และกลายเป็นความน่าอับอาย สุดอัปยศอดสูสำหรับเขา

เขาลงมายืนรอรับคำสั่งที่ไม่รู้ว่าจะโดนจัดการอย่างไรบ้าง และทันทีที่คนขับรถลงมาจากรถเขาก็เดินตรงมากระชากกางเกงในของผู้กองภาติยะออกจากตัว จนตอนนี้ร่างของผู้กองภาติยะเหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า คนขับรถลากผู้กองภาติยะให้เดินตามเขาขึ้นไปบนเรือน พอขึ้นไปถึงเขาก็เห็นหมวดพฤกษ์กำลังถูกพ่อเลี้ยงอินทร์คำเย็ดอยู่ที่บนโซฟากลางห้อง ผู้กองพฤกษ์อยู่ที่หลังโซฟายืนโก้งโค้งเอามือจับเบาะให้พ่อเลี้ยงคำอินทร์ยืนเย็ดอย่างเมามันอยู่ ทั้งคู่มองมาที่ผู้มาเยือน แล้วพ่อเลี้ยงอินทร์คำก็ส่งเสียงดังขึ้นมา

“มาเลยคเชนทร์ จับไอ้ทาสตำรวจนั่นมาเย็ดกัน ชายได้ยอดชายคือยอดชาย แต่ยิ่งได้นายตำรวจถือเป็นยิ่งกว่ายอดชายนะ โอ๊ย...โอ๊ย เสียวจริง ๆ” ว่าแล้วพ่อเลี้ยงอินทร์คำก็รัวเย็ดหมวดพฤกษ์แล้วตบตูดจนตูดของนายตำรวจหนุ่มขึ้นผิวเป็นสีแดงเถือก ผู้กองภาติยะเห็นภาพตรงหน้าแล้วเขาควยแข็งขึ้นมาทันที ขณะที่ชายคนขับรถก็ลากผู้กองภาติยะไปที่หลังโซฟาแล้วจับกดลงข้าง ๆ หมวดพฤกษ์ที่หันมาสบตากับนายตำรวจรุ่นพี่ทั้งที่ใบหน้าเสียวสุดกำลัง แต่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น เสียงของคนขับรถกลับพูดขึ้นว่า

“เชิญพวกคุณตามสบาย ผมพาไอ้นี่มาส่ง หมดหน้าที่ของผมแล้ว ผมขึ้นไปนอนก่อนล่ะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

ว่าแล้วหนุ่มใหญ่ก็เดินขึ้นเรือนไปทันที ทำให้พ่อเลี้ยงอินทร์คำแลพะหมวดพฤกษ์หมดสนุกตามไปด้วย พวกเขาหยุดกิจกรรมการเย็ดลงทันที และเดินไปหาเสื้อผ้ามาคลุมร่างเปลือยของตน หมวดพฤกษ์เองก็หยิบผ้าอีกผืนมาส่งให้นายตำรวจรุ่นพี่พร้อมกับเอากุญแจมาไขกุญแจมือที่พันธนาการภาติยะเอาไว้ด้วย

“ผู้กองภาติยะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ คุณเหนื่อยมามากแล้ว ไปพักก่อน แล้วเมื่อทุกอย่างพร้อม เราค่อยคุยกัน” อยู่ ๆ พ่อเลี้ยงอินทร์คำก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมาจนภาติยะอดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขายืนดูพ่อเลี้ยงอินทร์คำเดินจากไปพร้อมกับหมวดพฤกษ์ โดยที่หมวดพฤกษ์ไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ แต่ยังไม่ทันที่ภาติยะจะหาทางทำให้ความสงสัยนั้นคลี่คลาย ก็มีคนของพ่อเลี้ยงเดินเข้ามาพาตัวเขาไปยังห้อง ๆ หนึ่งบนชั้นสอง พอชายคนนั้นพาภาติยะมาส่งเสร็จเขาก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน ภาติยะจึงเดินเข้าไปในห้องแบบที่ไม่มีคำตอบในสิ่งที่เขาสงสัย

เขาเห็นอาหารจัดวางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง ใกล้ ๆ กันมีเสื้อผ้าจัดวางพาดไว้ที่เก้าอี้นั่ง เขาตัดสินใจหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำแล้วจัดการชำระคราบไคลที่เหนอะหนะสะสม เขารู้สึกว่าสายน้ำนั้นช่วยขับไล่ความน่ารังเกียจ น่าสมเพชที่เขาโดนยัดเยียดให้ตลอดหลายวันนี้ได้ ภาติยะจึงอาบน้ำแล้วถูสบู่ขัดตัวอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากห้องน้ำ แม้จะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกหิวเลยในตอนนี้ ความรู้สึกเดียวที่มีคืออยากนอนพักนิ่ง ๆ ผู้กองหนุ่มจึงเดินไปลงนอนบนเตียง และเพียงไม่นานเขาก็ผลอยหลับไป คืนนั้นภาติยะนอนหลับเป็นตาย และนอนยาวข้ามวันข้ามคืน เขาตื่นขึ้นมาอีกทีตอนพลบค่ำของวันไหนก็ไม่อาจทราบได้ เขาเดินไปเปิดไฟในห้อง มองไปที่โต๊ะอาหารเห็นสำรับอันใหม่ถูกนำมาจัดวางไว้ บนสำรับมีกระดาษแผ่นหนึ่ง เขาเดินเข้าไปอ่าน “ถ้าผู้กองทานอาหารเสร็จแล้ว ขอเชิญประชุมที่ห้องประชุม กดสัญญาณเรียกที่ข้างสวิทช์ไฟ สักครู่จะมีคนมาพาผู้กองไปที่ห้องประชุม” ภาติยะจึงรีบจัดการทุกอย่างตามคำสั่ง เพราะเขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

และนี่คือการเจอหน้ากันอย่างพร้อมหน้าเป็นครั้งแรก ภาติยะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่มานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมอีกด้านตรงข้ามพ่อเลี้ยงอินทร์คำ

“ยินดีต้อนรับผู้กองภาติยะ ผมคิดว่าคุณคงรู้จักทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ดีแล้ว ยกเว้น...” พ่อเลี้ยงอินทร์คำหันไปหาชายที่นั่งอยู่ด้านขวามือของเขา ชายผู้ขับรถพาภาติยะมาที่นี่

“ผม คเชนทร์ เป็นเพื่อนของพ่อเลี้ยง” ชายคนขับรถแนะนำตนเอง

“คเชนทร์ไม่ใช่เพื่อนธรรมดา เขาเป็นอดีตนายตำรวจมือปราบชื่อดัง เป็นเพื่อนที่เรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกับสารวัตรสุวิทย์ แต่ปัจจุบันเขาหันหลังให้กับอาชีพนี้แล้ว เพราะ...”

“ลูกและเมียผมตาย และผมโดนกล่าวร้ายจากพวกตำรวจเลวที่คิดว่าผมขัดผลประโยชน์มัน” น้ำเสียงนั้นแสดงความเจ็บแค้นฝังใจ

“ผู้กอง คุณคงรู้แล้วว่าที่เมืองนี้ มีคดีการค้ามนุษย์รายใหญ่เกิดขึ้น โดยเริ่มมาจากเด็กโรงเรียนเปรมปรีดาที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยหลายคน ตั้งแต่โรงเรียนเปรมปรีดาเข้ามาเปิดที่เมืองนี้ และมีคนจากต่างพื้นที่เข้ามา เมืองนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกดึงเข้าไปในขบวนการนี้ และเป็นคนให้ข้อมูลที่สำคัญกับพวกคุณได้ว่าใครเป็นใคร สิ่งที่เราจะทำต่อจากนี้คือการกระชากหน้ากากคนพวกนี้ออกมาให้จงได้ เพื่อให้เมืองที่ผมอยู่กลับมาสุขสงบเหมือนเดิม แต่ผมคงจัดการมันคนเดียวไม่ได้ ผมจึงไปขอความช่วยเหลือจากคเชนทร์เพื่อนเก่า และตอนนี้ผมมีพวกคุณ นายตำรวจฝีมือดีที่อาจจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของไอ้พวกคนชั่วนักวางแผน แต่ผมเชื่อว่าประสบการณ์ที่พวกคุณเจอ จะช่วยทำให้พวกคุณรับมือกับพวกมันได้ดียิ่งขึ้น คุณสมัครใจจะเข้ามาส่วนหนึ่งกับพวกเรามั้ยล่ะ ผู้กองภาติยะ”

ทุกสายตาในนั้นหันมามองภาติยะกันหมด จนชายหนุ่มรู้สึกกดดัน แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้ารับคำเชิญชวนนั้น ทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างตึงเครียดนั้นได้ผ่อนคลายลง

หลังการประชุมเสร็จสิ้น สมาชิกทั้งห้ารับประทานอาหารค่ำร่วมกัน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูผ่อนคลายและทำให้ความรู้สึกของภาติยะดีขึ้นมาก ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาเจอเรื่องราวไม่คาดฝันจู่โจมเข้ามามากมาย จนเขาเกือบถอดใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ตั้งแต่เข้ามาเป็นนายตำรวจ ทำคดีมาก็มาก ไม่เคยมีคดีไหนที่ทำให้ชีวิตของเขาหนักหนาสาหัสเท่านี้มาก่อน ภาติยะคิดว่าถ้าไม่ได้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตของเขาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

หมู่ยุทธนาขอตัวกลับหลังทานอาหารเสร็จ ภาติยะเดินออกมาส่งและกล่าวขอบใจนายตำรวจรุ่นน้องที่มีส่วนสำคัญที่ช่วยเขาเอาไว้ เมื่อเขาเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารเป็นเวลาเดียวกับที่พ่อเลี้ยงอินทร์คำลุกขึ้นขอตัวไปคุยธุระสำคัญกับคเชนทร์ตามลำพัง บนโต๊ะอาหารจึงเหลือภาติยะกับพฤกษ์เพียงสองคน นี่เป็นครั้งแรกของประจันหน้ากันจริง ๆ ของภาติยะและพฤกษ์ หลังจากที่พวกเขากระโจนลงมาเกี่ยวข้องกับคดีสุดโหดนี้

“พฤกษ์ นายเป็นยังไงบ้าง ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้?” ภาติยะเอ่ยถามก่อน

“อย่างที่พ่อเลี้ยงบอกนั่นล่ะครับพี่ยะ ผมถูกประมูลมาโดยพ่อเลี้ยง แต่เขาไม่ได้ประมูลผมมาทำอะไร ๆ แบบที่ผมเคยเจอ แต่เขาต้องการช่วยผม และอยากเปิดโปงไอ้ขบวนการนรกนี่ ทุกอย่างที่พี่เห็นในครั้งก่อนคือการจัดฉากเพื่อให้สารวัตรสุวิทย์และคนอื่น ๆ เชื่อว่าพ่อเลี้ยงเล่นไปตามเกมของมัน แต่ตลอดเวลาที่ถูกประมูลมา พ่อเลี้ยงวางแผนการที่จะเปิดโปงขบวนการนี้มาตลอด โดยมีคุณคเชนทร์และหมู่ยุทธคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด

“แล้วที่พี่เห็นตอนมาถึง มันคือหนึ่งในการจัดฉากด้วย?” ภาติยะถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ครับ สิ่งที่พี่เห็นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พี่ยะจะรังเกียจมั้ยครับ ถ้าผมจะบอกว่า ผมแพ้ความดีของพ่อเลี้ยง ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ เขาดูแลเอาใจใส่ผมดีทุกอย่าง ตอนที่มาถึงใหม่ ๆ ผมมีความต้องการทางเพศสูงมาก เพราะไอ้พวกเสี่ยสมศักดิ์มันทำให้ผมกลายเป็นคนติดเซ็กส์ พ่อเลี้ยงอินท์คำพยายามช่วยผม เขาบำบัดเพื่อให้ผมหายจากอาการติดเซ็กส์ให้ได้ พยายามให้ผมไม่รังเกียจในพฤติกรรมทางเพศของตัวเอง และสิ่งที่ผมต้องเจอมา แต่ก่อนที่การบำบัดจะเสร็จสิ้น ผมบอกกับพ่อเลี้ยงว่า ผมไม่อยากลืมความรู้สึกนี้ และผมยินดีหากต่อจากนี้จะเป็นพ่อเลี้ยงที่จะช่วยเติมเต็มมัน พี่ยะครับ ผมแพ้ความดีของพ่อเลี้ยง และรู้สึกว่าเขาคือเจ้าชีวิตของผม ถ้าหลังจากคดีนี้สิ้นสุด ผมจะลาออกจากการเป็นตำรวจ และจัใช้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้กับพ่อเลี้ยงครับ”

“พฤกษ์ ถ้านายคิดดีแล้ว พี่ก็ไม่ห้ามความต้องการของนาย พี่รู้ว่าสิ่งที่เราเจอมันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตของเราคงไม่เหมือนเดิม และถ้ามีอะไรที่จะทำให้ชีวิตนายดีขึ้น พี่ก็พร้อมสนับสนุนลัยินดีกับนาย”

“ขอบคุณมากครับพี่ยะ แล้วพี่ยะล่ะครับ จะจัดการชีวิตของตัวเองต่อจากนี้อย่างไร”

ภาติยะนิ่งอึ้งคิดหาคำตอบมาตอบน้องชายที่เขารักไม่ได้ ทุกอย่างข้างหน้าช่างดูมืดมนสำหรับเขา แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร พ่อเลี้ยงอินทร์คำและคเชนทร์ก็เดินเข้ามาสมทบกับคนทั้งสอง

“ผมเพิ่งคุยกับคเชนทร์ และมีเรื่องใหม่มากที่เราเพิ่งได้ข่าวมา กลุ่มที่เราจะต้องจัดการไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียวอย่างที่เราเข้าใจ แต่มันมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังซ้อนแผนของคนกลุ่มแรกอยู่ และผมคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่หวังจะโค่นล้มคนกลุ่มแรกด้วย เรื่องนี้มันซับซ้อนและซ่อนเงื่อนมาก ไว้ผมจะสรุปทุกเรื่องให้ทุกคนได้รู้กันอีกที”

ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่แสดงความวิตกกังวล

สองกลุ่ม กลุ่มไหนทีเพิ่มขึ้นมา การจัดการที่ยากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาจะทำอย่างไร

“เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งคิดมาก นอนพักเอาแรงกันก่อนดีกว่า คเชนทร์ คุณพักที่นี่นะคืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”

คเชนทร์พยักหน้ารับคำเพื่อนสนิท ก่อนจะขอตัวกลับขึ้นห้องที่เขาใช้พักประจำ ขณะที่พ่อเลี้ยงคำอินทร์ก็เดินโอบฟมวดพฤกษ์ขึ้นห้องไปด้วยกัน ภาติยะจ้องมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหวั่นไหว เขากลับเข้าห้องไป แต่เกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจ ร้อนวูลวาบไปทั้งตัว เขาพยายามไม่คิดว่านี่คือเขามีความต้องการทางเพศ แต่เขาห้ามไม่ให้ควยของเขาแข็งตัวขึ้นมาไม่ได้ เขารู้สึกว่าเขาต้องปลดปล่อยความกำหนัดนั้นออกไปจากตัว เขาต้องเย็ดใครสักคนให้หายเงี่ยน แต่จะเย็ดใคร เย็ดใคร

เขาเดินเหมือนหนูติดจั่นอยู่ให้ห้อง วนไปวนมา ก่อนที่ความเงี่ยนจะพาให้เขาเดินออกจากห้อง เขาตรงไปยังห้องของพ่อเลี้ยงอินทร์คำ และได้ยินเสียงการร่วมรักระหว่างพ่อเลี้ยงและหมวดพฤกษ์ดังเล็ดลอดออกมาจนทำให้เขาขนลุกซู่ เสียงหมวดพฤกษ์ครางออกมาด้วยความเสียว มันทำให้ภาติยะอยากเย็ดใครสักคนบ้าง เย็ดใคร เย็ดใคร

ไม่

ไม่ใช่

เขาไม่ได้อยากเย็ดใคร แต่เขาอยากถูกเย็ด ใคร จะเย็ดเขา เย็ดเขาดี

แล้วเขาก็นึกถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมา

“ถ้าเงี่ยนมากอยากได้คนสงเคราะห์ก็มาหากูได้ทุกเมื่อนะอีกะหรี่”

ไอ้ รปภ. คนนั้น ที่อยู่ด้านหน้า ความไกลไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่คว่ามไม่ได้โดนเย็ดนี่สิที่จะทำให้เขาลงแดงตาย ความทรู้สึกอยากโดนเย็ดมาก ๆ ทำให้ภาติยะค่อย ๆ ย่องลงไปข้างล่าง และรีบเดินเพื่อไปให้ถึงประตูทางออกจากเรือนนี้ให้ได้ก่อนที่ใครจะมาเห็น

มือของผู้กองหนุ่มเอื้อมไปถึงประตูแล้วตอนที่ไฟในบ้านสว่างวาบขึ้นมา พร้อมกับใจของภาติยะที่หล่นวูบลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันที

“จะไปไหนหรือครับ ผู้กอง?”

ภาติยะหันกลับมามองตามเสียงนั้น เขาเห็นคเชนทร์ยืนมองอยู่

“ผมอีดอัดน่ะครับ อยู่แต่ในนี้มาหลายวัน อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง เผื่อจะช่วยให้หายเครียด”

“ออกไปตอนค่ำมืดดึกดื่น ผู้กองไม่กลัวอันตรายเหรอครับ ข้างนอกนี้มีแต่ป่าแต่ดง”

“ให้ผมไปเถอะครับ ผมทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

“ผมคงห้ามผู้กองไม่ได้ ถ้าผู้กองอยากจะออกไป แต่แค่อยากให้ผู้กองคิดให้ดี ๆ ว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยงเอาตัวเข้าไปแลกมั้ย?”

ผู้กองภาติยะยืนนิ่ง ใช้เวลาคิดทบทวนสักพัก แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไป โดยไม่หันกลับมามองคเชนทร์อีกเลย ภาติยะจึงไม่เห็นว่าหลังจากที่เขาออกจากเรือนมาได้ไม่ไกล ไฟที่สว่างอยู่นั้นก็ดับลงไปทันที

รอบตัวของภาติยะตอนนี้มีแต่ความมืดมิดและเงียบงัน แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินต่อไป

ภายในห้องพักสุดหรูหราของอาจารย์เพชร เจ้าของห้องตอนนี้กำลังสาละวนอยู่กับการตกแต่งกรอบรูปอยู่ อารมณ์ของอาจารย์เพชรคงอยู่ในช่วงที่กำลังดี มีความสุข นางจึงฮัมเพลงตามแผ่นเสียงที่เปิดอยู่ไปด้วย พร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้ม อาจารย์เพชรหยิบนั่นหยิบนี่มาจัดแต่งกรอบรูปจนเสร็จ จึงเดินนำเอากรอบรูปนั้นไปติดที่ผนังห้อง มันเป็นรูปของชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ยืนในชุดกีฬาเสื้อโปโลกางเกงวอร์ม ข้างล่างของรูปมีรายละเอียดของภาพติดกำกับเอาไว้ว่า ‘หมายเลข 2 อาจารย์พลวิทย์ สุขบุญ’พอติดเสร็จอาจารย์เพชรก็ส่งจูบให้รูปนั้น ก่อนที่จะหันไปมองที่ด้านข้างรูปนั้น มันเป็นกรอบรูปของนายตำรวจสุดหล่อที่แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ข้างใต้ภาพมีรายละเอียดเขียนไว้ว่า ‘หมายเลข 1 ร.ต.อ.ภาติยะ ภาคีไนย’ พออาจารย์เพชรมองไปรอบ ๆ ก็เห็นกรอบรูปเปล่าวางเป็นแถวเรียงรายติดกำแพงไว้รอบห้องแล้ว รอเพียงเอารูปมาใส่ลงในกรอบ ใบหน้าของอาจารย์เพชรยิ้มมีความสุขชื่นมื่นมากขึ้นไปเมื่อนึกถึงวันที่รูปจะเต็มกำแพงห้อง ตอนนั้นเองที่มีสัญญาณสื่อสารส่งเข้ามา อาจารย์เพชรจึงเปิดวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เพื่อสื่อสารกับผู้ติดต่อเข้ามา

“สวัสดีค่ะแม่เพชรสุดสวย จีน่าค่ะ วันนี้หนูนำเหยื่อรายล่าสุดมาส่งให้อาจารย์...”

อาจารย์เพชรเดินไปนั่งที่โซฟาสุดหรู ดูภาพจากจอภาพขนาดใหญ่ที่เห็นจีน่ากำลังยืนสื่อสาร ก่อนที่ภาพจะตัดไปเป็นภาพนิ่งของเด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง ที่สับเปลี่ยนไปในอิริยาบถต่าง ๆ กัน

“อิฐ พิชัยยุทธ อายุ 16 ปี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปัญญาอนุสรณ์ ที่บ้านรวยมาก ทำธุรกิจส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ อิฐถูกสปอยมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ได้ แต่มันก็เก่งจริงนะคะแม่ อยากเป็นนักกีฬาเทควันโด เลยขอที่บ้านไปเรียนตั้งแต่เด็ก และสอบได้สายดำตั้งแต่อายุ 13 ปี อนาคตเคยบอกว่าจะไปเรียนต่อที่เกาหลี และตั้งใจจะเป็นนักกีฬาอาชีพให้จงได้ และข้อมูลสำคัญสุดคือ มีแฟนแล้ว คบกันมาตั้งแต่เรียน ม.3 และได้รับคำยืนยันว่าได้กันเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายหญิงยอมเพราะอยากจะจับฝ่ายชายที่โปรไฟล์ด้วย”

“ประวัติน่าสนใจ หน้าตาก็ดี รูปร่างก็บึกบึนแข็งแรง ไม่ทราบว่าลูก ๆ แม่ไปทำอีท่าไหนถึงเด็ดเขามากินได้?”

“ก็อย่างที่บอก เด็กมันถูกสปอยจนเคยตัวไงคะ มันก็เลยมีความห้าว มีความรั้น มีความไม่ยอม มีความอยากเอาชนะ โดยเฉพาะเวลาโดนกะเทยอย่างพวกหนูท้าทาย พวกหนูก็จับจุดอ่อนตรงนี้มาเล่นงานมัน มันแพ้พนันพวกหนูค่ะ เลยโดนพวกหนูจับรุมเลยค่ะ”

ภาพจากวิดีโอเปลี่ยนจากภาพนิ่งของหนุ่มนักเรียนมัธยมสุดหล่อ กลายเป็นคลิปวิดีโอแทน ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังยืนทำหน้าสลด ถอดชุดเทควันโดออกช้า ๆ ทีละชิ้น ตอนนี้ได้ยินเสียงของแก๊งค์กะเทยสาวหัวเราะขบขัน พอชายหนุ่มถอดจนเหลือแต่กางเกงชั้นในแบบขาสั้นเต็มตัว เขาก็ยืนนิ่งไม่กล้าทำอะไรต่อ จนเสียงสาว ๆ ต่างพูดท้าทายว่าเขาไม่กล้าทำตามที่พนันกันเอาไว้

“ใจตุ๊ดกว่าพวกกูอีกว่ะ”

“เดี๋ยวเหอะอีแพร กูไม่ได้ตุ๊ดเว้ย” ชายหนุ่มขึ้นเสียงกลับ ท่าทางเข่นเขี้ยวอยากจะเข้าไปจัดการกับคนที่ล้อเลียนเขา

“ไม่ตุ๊ดมึงก็ถอดกางเกงในออกมาสิ สัญญาต้องเป็นสัญญานะรูปหล่อ”

ชายหนุ่มทำท่าทีฟึดฟัด รู้สึกไม่อยากทำ แต่ตนเองก็เป็นคนรับคำท้าเอง แถมมั่นใจว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะด้วย การที่นักกีฬาอย่างเขาต้องแพ้กะเทย นั้นก็ทำให้อายแล้วระดับหนึ่ง แต่การต้องมาแก้ผ้าต่อหน้านี่สิ ยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่เข้าไปอีก

“ไม่ใช่แค่แก้ผ้านะคะอิฐ มันยังมีต้องแหกตูดและชักว่าวโชว์จนน้ำแตกด้วยนะคะ”

“อย่าคิดว่ากูไม่กล้า” อิฐรู้สึกถูกหยามสุดทน เขาจึงตัดสินใจถอดกางเกงในออกจากตัว แล้วยืนแอ่นตัวโชว์ให้เห็นเรือนร่างทุกสัดส่วน ก่อนที่จะหันหลังโชว์ตูด แล้วโก้งโค้งแหกตูดให้ดู กล้องซูมเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นในตอนนี้ จนเห็นปากทางเข้าถ้ำและพงหญ้าที่ขึ้นปกคลุมหน้าปากทาง พอกล้องค่อย ๆ ปรับภาพกลับมาเห็นอิฐทั้งตัว คนดูจึงเห็นว่าตอนนี้อิฐเริ่มต้นสาวควยตัวเองแล้ว

“มึงจะหันหลังชักว่าวไม่ได้นะ” เสียงกะเทยสาวนางหนึ่งดังเตือนขึ้น สักพักอิฐจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมา ตอนนี้ควยของเขาใหญ่โตชูชันขึ้นอย่างเต็มที่แล้ว เขาสาวควยไปเกร็งตัวไปด้วย

“คิดถึงใครอยู่เหรอ อิฐ” เสียงกะเทยสาวแซวแล้วหัวเราะ แต่อิฐไม่ได้สนใจ คิดว่าเป็นเสียงลมพัดผ่านมาแล้วก็ไป จิตใจตอนนี้เขากำลังล่องลอยไปในจินตนาการแสนลึกล้ำ

อาจารย์เพชรจ้องมองคลิปนั้นไปด้วยอารมณ์สุดสยิว ตอนนี้ภาพบนจอมีกะเทยสาวนางหนึ่งก้าวเข้าไปหาอิฐ แล้วรับอาสาจัดการทำให้เขาสำเร็จความใคร่โดยการใช้ปากให้แทน อารมณ์ที่จุดติดไปแล้วทำให้อิฐยอมให้กะเทยสาวอมควยให้ ภาพบนจอเริ่มปรากฏร่างของกะเทยสาวที่เข้าไปถึงตัวอิฐทีละคน ๆ จนครบทั้งสี่นางในที่สุด แต่ละคนต่างรุมกันช่วยสำเร็จความใคร่ให้นักกีฬาหนุ่มได้น้ำแตกตามสัญญา แต่อิฐเป็นหนุ่มอึดพอทน ไม่ว่าสาว ๆ จะทำอย่างไร เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเสียน้ำง่าย ๆ แต่ขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปแบบที่ทุกคนปล่อยใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยู่ดี ๆ กะเทยสาวนางหนึ่งก็จัดการเอาควยตัวเองที่กำลังแข็งตัวกระแทกเข้ารูตูดของนักกีฬาหนุ่ม จนนักกีฬาหนุ่มส่งเสียงร้องดังออกมาด้วยความเจ็บปวด จนอาจารย์เพชรเองยังต้องอุดหู

“อีเหี้ย เอาออก กูเจ็บ มึงทำแบบนี้กับกูไม่ได้ อีเหี้ย เอาออกไปนะ”

อิฐ นักกีฬาหนุ่มตอนนี้กลับไม่สามารถต้านทานพลังของกะเทยสี่นางได้ เพราะความเงี่ยนที่กำลังเข้าที่ มหกรรมการรุมเย็ดนักกีฬาของกะเทยสาวสี่นางจึงเริ่มต้นขึ้น จากคนที่หนึ่งเวียนไปคนที่สอง คนที่สาม จนครบทั้งสี่นาง จนตอนนี้นักกีฬาเทควันโดหนุ่มไม่เหลือสภาพหนุ่มหล่อในฝันอีกแล้ว เขาโดนเย็ดจนลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว เขาไม่กล้าขยับขาเพราะขยะแขยงน้ำเงี่ยนที่ไหลนองออกมาจากรูตูดตัวเอง และต้องสมเพชตัวเองที่ต้องมาโดนกระทำอะไรแบบนี้ ที่ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาต้องแปดเปื้อนไป

“อิฐ ชั้นจะรอดูวันที่เธอได้เป็นนักกีฬาระดับชาตินะ ตอนที่เธอแข่งชั้นก็จะคอยเชียร์ แล้วจะนึกถึงภาพตอนที่ได้เย็ดเธอ เวลาที่เห็นเธอทุ่มคนอื่น”

“อิฐ ต่อไปนี้ชั้นจะทำหน้ายังไงดีเวลาเจอมิ้นต์ ชั้นต้องไม่มีทางหยุดคิดได้เลยว่า ชั้นได้ผัวนางมาเป็นเมียชั้นแล้ว”

“อิฐ ถ้าวันนี้เธอติดใจที่โดนเย็ด บอกพวกเราได้นะ หรือถ้าอยากลองอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ บอกพวกเราได้ เรายังมีพวกเราอีกเยอะที่พร้อมบริการเธอ

“อิฐ ขอบใจมากนะที่แกล้งยอมแพ้เรา และแกล้งทำเป็นสู้เราไม่ได้ ทั้งที่ความจริงเธอสู้เราได้สบายมาก ชั้นรู้ว่าเธออยากลอง และชั้นรู้ว่าเธอติดใจการลองแล้ว ตูดของเธอต่อจากนี้คงไม่ได้มีไว้ขี้อย่างเดียวแล้วล่ะ

“ไว้เจอกันอีกนะ อิฐ” สี่กะเทยสาวซูมกล้องไปที่ชายหนุ่มที่ยืนกางขาแล้วมีน้ำเงี่ยนไหลหยดลงมาตรงหน้า เขาระเบิดเสียงคำรามก่อนจะวิ่งตรงมาที่กล้องด้วยอารมณ์โกรธ ก่อนที่ภาพจะตัดไป

“แม่ไม่ต้องตกใจนะคะ ไม่มีใครในพวกเราที่เป็นอะไร นอกจากชายหนุ่มที่โดนเตะผ่าหมาก ลงไปกองกับพื้น แล้วโดนตีนเหยียบไข่ จนมันนอนร้องโอดโอย แล้วที่น่าสมเพชสุด ๆ คือ โดนเอาตีนไปแหย่ตูดแล้วเอาตีนที่เลอะคราบน้ำเงี่ยนพวกเรา ไปยัดใส่ปากมันอีก เสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายคลิปเอาไว้ แต่มีคลิปความน่าสมเพชที่สุดของมันหลังจากนั้นค่า”

คลิปเปิดมาที่ภาพนักกีฬาสุดหล่อนอนบิดตัวกุมควยตัวเองนอนร้องโอดโอย กล้องซูมไปที่ปากตอนนี้มีคราบน้ำเงี่ยนเลอะเปรอะเปื้อนไหลนองลงมา กะเทยสาวนางหนึ่งยังคงเอานิ้วตีนแหย่ลงไปที่รูตูดของนักเทควันโดรูปหล่อ กล้องซูมไปที่รูตูดนั้น แล้วโดยไม่ทันคาดฝัน ขี้เหลว ๆ ของนักกีฬาหนุ่มก็ไหลออกมาจากรูตูดตัวเอง จนกะเทยสาวกรีดร้องออกมาด้วยความขยะแขยง แล้วนางก็เอานิ้วเท้าที่เปรอะเลอะขี้เหลว ๆ ของนักกีฬาหนุ่มไปยัดปากเข้าปากของเขา จนชายหนุ่มรีบลุกหนีขึ้นมา อาเจียนออกมา แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานจมกองอ้วกกองขี้ตัวเอง เป็นที่น่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างมาก แล้วภาพวิดีโอก็ตัดไปอีกครั้ง

“สุดยอดมากค่ะลูกสาว ที่เราทำให้ผู้ชายแท้ ๆ ขายหน้าได้ขนาดนี้ และพวกมันจะตกเป็นทาสกะเทยอย่างเราไปจนตาย เดี๋ยวแม่จะขึ้นกรอบรูปให้นะคะ แล้วรางวัลที่ลูกจะได้จะส่งตามไปถึงที่ค่ะ”

วิดีโอคอนเฟอเรนซ์จบลงตรงนั้น อาจารย์เพชรเดินไปเปิดแชมเปญดื่มเฉลิมฉลองกับตัวเอง

“กะเทยจะครองโลก และผู้ชายจะตายแทบเท้ากะเทย ฉันสัญญา”

อาจารย์เพชรมองไปที่กระดานใหญ่ที่ติดผนังอีกมุมหนึ่งอยู่ มันมีภาพถ่ายของผู้ชายอยู่เต็มไปหมด อาจารย์เพชรเดินไปดูภาพเหล่านั้น

“สุวิทย์ สุนัย แมนสรวง และหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย เตรียมรอรับความหฤหรรษ์จากกะเทยสาวอย่างพวกเราได้เลยนะ 555” เสียงหัวเราะของอาจารย์เพชรดังก้องกังวาลไปทั่วห้องชวนขนหัวลุกเป็นที่สุด

ตอนที่ 24

วันนี้สมาชิกชมรมเปรมปรีดารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่ได้รับคำสั่งให้เข้ามาฝึกซ้อมโดยพร้อมเพรียงกัน ห้ามสาย ห้ามขาด และเมื่อมาถึงก็พบว่าบริเวณชมรมทั้งด้านใน ด้านนอกถูกจัดตกแต่งใหม่อย่างสะอาดหมดจดงดงาม จนก่อให้เกิดคำถามต่อทุกคน ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น วาโยที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ดูแลชมรมว่ายน้ำคนใหม่ก็ไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้ ทำได้เพียงต้อนสมาชิกชมรมให้ลงมือฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นตามที่ได้รับมอบหมายคำสั่งมาจากอาจารย์เพชรอีกที ทำให้สมาชิกชมรมต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่ขณะที่ทุกคนกำลังฝึกซ้อมกันอย่างขะมักเขม้นอยู่นั้น อยู่ ๆ อาจารย์เพชรก็เดินเข้ามาที่สระฝึกซ้อมด้วยใบหน้ายิ้มพรายตามสไตล์ของแก อาจารย์เพชรเดินตรงเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับวาโย ซึ่งทำให้สมาชิกชมรมต่างหยุดการฝึกซ้อมแล้วหันมาซุบซิบตามด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ จนเมื่อวาโยเดินมาที่สระแล้วมองตรงมาที่อัครที่กำลังลอยคออยู่ในสระว่ายน้ำ

“อัคร อาจารย์เพชรมีเรื่องขอให้ช่วย ตามอาจารย์เพชรไปหน่อย”

ทุกสายตาของสมาชิกชมรมหันมามองอัครกันเป็นตาเดียว แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ เขาขึ้นจากสระตรงไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายนักกีฬา แต่ถูกอาจารย์เพชรร้องห้ามไว้

“ไม่ต้อง ไปทั้งชุดนี้แหล่ะ ธุระแป๊บเดียวไม่นานอะไร เดี๋ยวเธอก็ต้องกลับมาลงฝึกซ้อมใหม่อยู่ดี”

อัครงุนงงแต่ก็เดินตามอาจารย์เพชรไป พอไปถึงที่ประตูหน้าทางเข้าชมรม เขาก็ต้องตกใจที่เห็นคณะกรรมการโรงเรียนนับสิบคนยืนรออยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไร อาจารย์เพชรก็ส่งพานที่มีพวงมาลัยดอกมะลิมาให้เขาถือ อัครยืนถือมันด้วยความงุนงง และจำต้องก้าวตามอาจารย์เพชรอออกมาที่ประตูด้านหน้า ซึ่งเหล่าคณะกรรมการนักเรียนต่างจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

เด็กหนุ่มหน้าตาดี สวมเพียงกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียว ตามลำตัวยังมีหยดน้ำเกาะตามตัว เขาคนนี้คือสมาชิกชมรมว่ายน้ำของโรงเรียนเปรมปรีดาที่ได้เป็นตัวแทนระดับภูมิภาคเข้าคัดเลือกนักกีฬาเยาวชนทีมชาติในรุ่นถัดไป

อัครรู้สึกขวนเขินต่อสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาที่เขาอยู่ไม่น้อย

แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น รถตู้คันหรูของโรงเรียนเปรมปรีดาก็แล่นเข้ามาจอดเทียบท่าที่หน้าประตูชมรมเสียก่อน ประตูรถเปิดออกอัตโนมัติ และชายคนที่ก้าวลงจากรถลงมาทำให้อัครตกตะลึง เขารู้สึกตัวชาขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

โตมร....เขามาทำอะไรที่นี่

“สวัสดีฮ่า นี่คือน้องโตมรนักกีฬาว่ายน้ำเยาวชนทีมชาติ วันนี้โตมรให้เกียรติพวกเรามาดูการฝึกซ้อมของชมรามว่ายน้ำโรงเรียนเปรมปรีดาและจะให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกซ้อมของพวกเราด้วย น้องโตมรฮะ นี่คือคณะกรรมการโรงเรียน รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสต้อนรับคนดังแห่งวงการกีฬาฮ่า”

โตมรยิ้มขันกับตำแหน่งที่อาจารย์เพชรมอบให้

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีมากครับที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมการฝึกซ้อมของชมรมว่ายน้ำโรงเรียนเปรมปรีดา ขอบคุณคุณแมนสรวงที่เชิญชวนผมมาที่นี่ครับ”

“คุณแมนสรวงคงดีใจที่ได้ยิน และนี่ค่ะ ของที่ระลึก มอบให้โดยนักเรียนของเราที่เป็นสมาชิกชมรมว่ายน้ำ และเป็นตัวแทนในการเข้าแข่งขันคัดตัวนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ”

“ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสที่เราจะได้ร่วมงานกันและอาจจะเป็นคู่แข่งของผมในอนาคตใช่มั้ยครับ” โตมรหันมาสบตาอัครโดยที่อัครไม่ทันตั้งตัว มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย

“แหม ไม่ขนาดนั้นหรอกฮ่ะ อัครเขายังต้องพัฒนาอีกเยอะ” อาจารย์เพชรช่วยพูดคลี่คลายสถานการณ์ แล้วเดินเอาพวงมาลัยดอกมะลิไปคล้องคอนักกีฬาหนุ่มผู้มาเยือน

“งั้นเชิญน้องโตมรทางนี้เลยฮ่า”

โตมรถูกพาเข้าไปภายในชมรมว่ายน้ำ ตามด้วยคณะกรรมการโรงเรียน มีอัครเดินตามรั้งท้าย พวกเขาเดินชมส่วนต่าง ๆ ของชมรมไปเรื่อย ๆ โดยมีอาจารย์เพชรทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำ ซึ่งตอนนี้อัครเดินเลี่ยงไปยังสระว่ายน้ำ และทำหน้าที่เป็นคนแจ้งข่าวกับสมาชิกชมรมว่าเกิดอะไรขึ้น มันจึงทำให้เมื่อกลุ่มผู้มาเยือนเดินมาจนถึงสระว่ายน้ำที่ใช้สำหรับฝึกซ้อม บรรยากาศของการฝึกซ้อมมันจึงดูจริงจัง ขึงขังกว่าทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาฝึกซ้อมกันเอง

อาจารย์เพชรแนะนำวาโยให้โตมรได้รู้จัก ซึ่งในความเป็นจริงทั้งคู่ต่างรู้จักกันดีอยู่แล้ว ในฐานะรุ่นพี่-รุ่นน้องนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ

ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และขณะที่ทางฝั่งของโรงเรียนเปรมปรีดากำลังหน้าบานกันอยู่นั้น อยู่ ๆ โตมรก็ตั้งคำถามแทงในดำทุกคนขึ้นมาว่า

“ผมได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้ อาจารย์ที่คุมชมรมว่ายน้ำคืออาจารย์พลวิทย์ ที่เคยเป็นโค้ชส่วนตัวของพี่โยนี่ครับ แล้วไม่ทราบว่าตอนนี้อาจารย์พลวิทย์ไปไหนซะแล้วล่ะครับ แกไม่ได้เป็นทีมฝึกสอนแล้วเหรอ”

เงียบ ไม่มีใครให้คำตอบอะไรกับโตมรได้ จนอาจารย์เพชรที่ทนอึดอัดไม่ไหวทะลุกลางปล้องขึ้นมา

“อาจารย์พลวิทย์ตอนนี้ไปทำหน้าที่อื่นที่เหมาะสมแล้วฮ่า ไม่ได้มาดูแลชมรมว่ายน้ำแล้ว”

“เสียดายจังเลยนะครับ ผมมาที่นี่ส่วนหนึ่งเพราะอยากเจออาจารย์พลวิทย์ ได้ยินชื่อเสียงของแกมานาน ยังคิดเลยว่ามาที่นี่คงจะได้เจอและได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์พลวิทย์ ไม่ทราบว่าจะรบกวนเกินไปมั้ยครับ ที่จะเรียนเชิญแกมาที่ชมรม ผมอยากเห็นพี่โยว่ายน้ำแข่งกับอาจารย์พลวิทย์ คงเป็นความทรงจำที่ดีมาก ๆ สำหรับผม” กลายเป็นทุกคนยิ่งอึดอัดและเงียบกริบไปกันใหญ่ ต่างหันมามองอาจารย์เพชรว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไรดี

“ขอไปถามอาจารย์พลวิทย์ก่อนนะฮ้า ตอนนี้อาจารย์พลวิทย์แกมีปัญหาสุขภาพ ร่างกายไม่ได้ฟิตเฟิร์มเหมือนก่อนแล้ว ไม่รู้แกจะแข่งไหวรึเปล่า”

“อย่างน้อยให้ผมได้เจอแกสักครั้งนะครับ”

อาจารย์เพชรไม่รู้จะหาข้ออ้างไหนมาปฏิเสธโตมรดี จึงตอบรับคำของเด็กหนุ่มผู้มาเยือน โดยชักชวนวาโยเป็นคนไปตามอาจารย์พลวิทย์ ขณะที่คณะกรรมการโรงเรียนและเหล่าสมาชิกชมรมว่ายน้ำต่างก็รู้สึกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะต่างรู้กันอยู่แก่ใจดีว่าตอนนี้อาจารย์พลวิทย์อยู่ในสถานะอะไร มีเพียงอัครเท่านั้นที่สงสัยว่าทำไมอยู่ ๆ โตมรถึงถามถึงอาจารย์พลวิทย์ขึ้นมา

ไอ้อ๋องกับไอ้บอยกำลังนั่งดูคลิปโป๊อยู่ในห้องพักพนักงานดูแลตึก พวกมันกำลังหัวร่อต่อกระซิกกันตอนที่เห็นหญิงสาวสวย นมโต ที่อยู่ในชุดที่ปิดเรือนร่างตัวเองแทบไม่มิด กำลังตกเป็นเหยื่อของกลุ่มหนุ่ม ๆ กลัดมัน ปิดล้อมหวังจะเข้าไปมีอะไรกับเจ้าหล่อน

“มึงดูนมแม่งเด้งเอา ๆ กูว่าจริง ๆ อีนี่มันไม่ได้กลัวหรอก มันกำลังให้ท่าเชิญชวนให้ไอ้พวกนี้มาเย็ดมันอยู่”

“นั่นสิพี่ ผมก็ว่าอย่างนั้น เห็นฉากแบบนี้แล้วผมคุ้น ๆ มันเหมือนใครนะที่มันชอบแต่งตัวให้ท่าคนอื่นแบบนี้”

“ก็จะใคร นายตำรวจร่านควยทั้งไอ้ผู้กองภาติยะ ทั้งไอ้หมวดพฤกษ์ไง แต่งตัวล่อควยดีนัก สุดท้ายได้ควยเย็ดตูดเพลินไปเลย ไม่รู้ป่านนี้รูบานไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“เออ ๆ นั่นสิพี่ ผมนี่ไม่อยากจะคิดเล้ย เป็นถึงนายตำรวจอนาคตไกล หน้าตาก็ดี ท่าทางก็แมนสุด ๆ แต่ตัวจริงแม่งโคตรร่านควยเลย โดนเย็ดแทนที่จะกระดกตูดหนี เสือกตอดควยเอา ๆ เสียชาติเกิดเป็นตำรวจจริง ๆ 5555”

“นั่นสิ พูดแล้วเปรี้ยวปาก กูว่าจะหาทางขอสารวัตรสุวิทย์เข้าไปเย็ดดากไอ้ผู้กองในห้องขังสักหน่อย เย็ดใครแม่งก็ไม่เร้าใจเท่าเย็ดไอ้ผู้กองหน้าหล่อ”

“ผมก็คิดถึงตูดไอ้หมวดพฤกษ์อยู่เหมือนกัน มันคงไม่นึกไม่ฝันนะว่าจะถูกเด็กที่ตัวเองช่วยเหลือ เป็นคนเบิกโพรงสวรรค์ให้ ไม่รู้ป่านนี้รูขี้ของผู้หมวดสุดที่รักของผมจะป่านปี้ไปขนาดไหนแล้ว”

“พวกมึงอยากเห็นมั้ย” อยู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา สองเดนนรกหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นพ่อเลี้ยงอินทร์คำยืนอยู่ โดยไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร

“เห้ย พ่อเลี้ยง เข้ามาได้ยังไง”

“กูก็เปิดประตูเข้ามา มันจะยากตรงไหน ว่าแต่ที่มึงสองคนพูดเมื่อกี๊ มึงสนใจกันจริงหรือเปล่า”

“สนใจสิ สนใจ” เสียงไอ้อ๋องกระตือรือร้นขึ้นมาทันที มันไม่รู้หรอกว่าพ่อเลี้ยงพูดเล่นหรือพูดจริง แต่มันรู้ว่ามันสามารถพูดเรื่องนี้กับพ่อเลี้ยงได้โดยไม่ต้องปิดบัง เพราะความเป็นพวกเดียวกัน

“ตอนนี้ไอ้สองตัวนั้นมันอยู่กับกูทั้งคู่ และที่กูมาวันนี้เพราะพวกมันอยากชวนมึงสองตัวไปร่วมสนุกด้วย”

“จริงเหรอพ่อเลี้ยง ลาภควยฉิบหาย” เสียงไอ้อ๋องแสดงความรู้สึกยินดีอย่างปิดไม่มิด ความเงี่ยนทำให้พวกมันหน้ามืดไม่ทันระแวงระวังอะไรเลย

พ่อเลี้ยงอินทร์คำยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาโชว์คลิปให้ไอ้เดนนรกทั้งสองดู ผู้กองภาติยะ และหวดพฤกษ์ถูกจับให้นั่งอยู่ในท่าคลานสี่ขาแบบหมา ทั้งตัวไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ติดตัวเลย มีเพียงโซ่ที่ล่ามไว้ที่ข้อเท้า ข้อมือทั้งสองข้าง และที่คอของทั้งคู่ กล้องค่อย ๆ แพนไปรอบตัวของทั้งคู่ เมื่อถึงรูตูดกล้องค่อย ๆ ซูมเข้าไปใกล้ จนเห็นได้ชัดว่ารู้ตูดของทั้งคู่อยู่ในสภาพไหนแล้วตอนนี้ ก่อนจะเคลื่อนกล้องไปที่ใบหน้า และซูมเข้าไปจนเห็นแววตาที่เหนื่อยล้าของทั้งคู่ไอ้อ๋องและไอ้บอยรู้สึกควงยกระดกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รูตูดของนายตำรวจหนุ่มรูปหล่อทั้งสองช่างมีมนต์ทำให้พวกมันเกิดอารมณ์แบบที่ไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน

“พ่อเลี้ยง พาพวกผมไปที ตอนนี้ควยผมมันแข็งเต็มที่แล้ว มันส่งสัญญาณให้รู้ว่าพร้อมเย็ดแล้ว”

“5555 ได้ แล้วพวกมึงจะลืมไม่ลงเลย” เสียงของพ่อเลี้ยงอินทร์คำในประโยคหลังดังอยู่ในลำคอ โดยที่ไอ้อ๋องและไอ้บอยต่างก็ไม่เอะใจเลยว่าจะต้องไปเจอกับอะไร

อาจารย์เพชรเดินกลับเข้ามาในสระที่ฝึกซ้อมเพื่อมาบอกข่าวดีกับโตมร

“อาจารย์พลวิทย์ตอบตกลงจะแข่งว่ายน้ำกับอาจารย์วาโยแล้วค่ะ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเตรียมตัวกันอยู่”

ทั้งคณะกรรมการโรงเรียนและเหล่าสมาชิกชมรมว่ายน้ำต่างตกใจกับคำตอบของอาจารย์เพชร โดยเฉพาะสมาชิกชมรมว่ายน้ำที่มีโอกาสไปเห็นสภาพของอาจารย์พลวิทย์ต่างไม่คิดว่าอดีตโค้ชของพวกเขาจะกล้าออกมาสู้หน้าใครได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัครยิ่งคิดว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่หลังเรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปทำอะไรเพื่อช่วยอาจารย์พลวิทย์ในเรื่องนี้ได้

เหล่าคณะกรรมการโรงเรียนพอได้ยินที่อาจารย์เพชรพูดก็ขึ้นนั่งรอชมการแข่งขันบนอัฒจันทร์ทันที รวมถึงสมาชิกชมรมว่ายน้ำที่ต่างขึ้นจากสระไปจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ด้านหนึ่งของอัฒจันทร์ หลังจากวันที่พวกเขาได้ไปเห็นสภาพของอาจารย์พลวิทย์ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเจอกับอดีตโค้ชของพวกเขาอีกเลย

“กูไม่อยากจะเชื่อว่าอาจารย์วิทย์จะกล้าออกมาสู้หน้าคนอื่น ๆ อีก”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลับมาที่ชมรมว่ายน้ำ เป็นกูคงอายแทบแทรกแผ่นดินหนีหรือไม่ก็ฆ่าตัวตายหนีอายไปแล้ว”

“แล้วมึงกล้าลงไปใช้สระต่อจากไอ้ภารโรงวิทย์เหรอวะ แค่คิดกูก็ขยะแขยงจะแย่แล้ว” ไอ้โอ๊ตทำท่าทีแสดงความรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน

“เออว่ะ ถึงน้ำในสระมันจะมีคลอรีนก็เถอะ แต่กูคงลงไปใช้แบบสนิทใจไม่ได้จริง ๆ”

สมาชิกชมรมว่ายน้ำจับกลุ่มกันนินทาอดีตโค้ชกันสนุกปากอย่างไม่คิดถึงความเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการผลักดันจากอาจารย์พลวิทย์เหมือนเช่นที่อัครได้รับ จึงไม่ได้รู้สึกสำนึกถึงบุญคุณของอาจารย์พลวิทย์เลย กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เป็นวาโยต่างหากที่กลุ่มสมาชิกชมรมว่ายน้ำต่างเชียร์ให้ชนะการแข่งขันนี้ และทันทีที่วาโยสวมชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วเดินออกมา สมาชิกชมรมว่ายน้ำต่างก็ส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มอย่างออกนอกหน้านอกตา

“พี่โยนี่ดูบึกบึนและสมบูรณ์กว่าตอนเป็นนักกีฬาเยอะเลยนะครับ” โตมรกล่าวชมเชยอดีตรุ่นพี่ทีมชาติเยาวชน

ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในสระว่ายน้ำต่างรอคอยการปรากฏตัวของอาจารย์พลวิทย์ด้วยใจจดจ่อ

และเพียงไม่นานอาจารย์พลวิทย์ก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวนักกีฬา

ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น เหล่าคณะกรรมการนักเรียนต่างลุกขึ้นยืนมองลงมาจากอัฒจันทร์ ไม่ต่างจากกลุ่มสมาชิกชมรมว่ายน้ำที่หันมองหน้ากันเลิกลักอย่างไม่เชื่อสายตา โดยเฉพาะอัครที่สุดแสนสะเทือนใจกับภาพที่เห็นจนเขาเผลอน้ำตาไหลออกมา

อาจารย์พลวิทย์คลานสี่ขาเดินออกมาจากห้องแต่งตัวในท่าหมา ที่คอของเขามีปลอกคออันใหญ่ผูกจูงไว้ มีอาจารย์สุนัยเป็นคนถือสายจูงเดินนำออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งเนื้อทั้งตัวอาจารย์พลวิทย์ไม่มีเสื้อผ้าติดกาย แต่ตอนนี้ผมและขนตามตัวเริ่มกลับมาดกดำอีกครั้งแล้ว แม้อาจารย์พลวิทย์จะเงยหน้าขึ้นมาแต่แววตานั้นเหม่อลอยไม่สบสายตาใคร อัครเห้นแต่ความเหนื่อยล้าและสิ้นหวังอยู่ในแววตานั้น

แล้วอยู่ ๆ เสียงหัวเราะอย่างขบขันของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น อัครหันไปตามเสียงหัวเราะนั้นก็เห็นโตมรจ้องมองไปยังอาจารย์พลวิทย์แล้วหัวเราะจนตัวโยน เสียงหัวเราะนั้นทำให้บรรยากาศที่มีแต่ความเงียบงันก่อนหน้านี้หายไป แล้วทุกคนในที่นั้นยกเว้นอัครต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะตามโตมรไปด้วย

หัวเราะอย่างขบขัน

หัวเราะอย่างสมเพชเวทนา

หัวเราะด้วยความสมน้ำหน้า

ที่คนที่เคยขึ้นไปสูงสุดในอาชีพหน้าที่การงานกลับตกต่ำลงมาได้ขนาดนี้ ต่ำจนกลายเป็นสัตว์คลานสี่ขากันเลยทีเดียว

พอทุกอย่างกลายเป็นความสนุก หลังจากนั้นเกมการเล่นสนุกอันน่าอดสูใจกับอาจารย์พลวิทย์จึงเริ่มขึ้น

มันเริ่มจากการที่อาจารย์เพชรและอาจารย์วาโยปล่อยอาจารย์พลวิทย์ลงไปในสระว่ายน้ำ ก่อนจะปล่อยลูกปิงปองจำนวนมากลงไปในสระ แล้วสั่งให้อาจารย์พลวิทย์ตะกุยว่ายอย่างหมาเวลาลงไปในน้ำ ใช้ปากคาบลูกปิงปองขึ้นมาให้หมด ตามเวลาที่ถูกกำหนดไว้

ในรอบแรกอาจารย์พลวิทย์ไมสามารถคาบลูกปิงปองขึ้นมาได้หมดตามเวลา เขาจึงโดนลงโทษโดยไอ้โอ๊ตนำทีมสมาชิกชมรมว่ายน้ำอีกสองคนลงไปจัดการอาจารย์พลวิทย์ โดยพวกมันเดินไปที่ริมสระแล้วเอามือจิกผมอาจารย์พลวิทย์ลากขึ้นมาจากน้ำ หลังจากนั้นจึงจับอาจารย์พลวิทย์ขึงพืดลงกับพื้น แล้วเอามีดโกนจัดการโกนขนรักแร้ของอาจารย์พลวิทย์ทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ อาจารย์พลวิทย์ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาเพราะความกลัวใบมีดที่กรีดเนื้อและความร้อนของพื้นที่ฉาบไปทั่วแผ่นหลัง

สมาชิกคนหนึ่งว่ายลงไปควานลูกปิงปองที่ยังเหลืออยู่ในสระสามลูก แล้วเอาขึ้นมา ตรงไปยังร่างของอาจารย์พลวิทย์ที่ตอนนี้ขนรักแร้ที่ดกดำโดนโกนออกไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงเลือดซิบ ๆ ที่ไหลออกมา ไอ้โอ๊ตพอเห็นเพื่อนเอาลูกปิงปองขึ้นมา มันก็วางมีดโกนลง และเปลี่ยนมาจับอาจารย์พลวิทย์แหกขาออกจนเห็นรูตูดกลวงโบ๋อย่างคนที่ผ่านสึกการโดนเย็ดมาอย่างหนัก และลูกปิงปองนั้นก็ถูกจับดันเข้ารูตูดของอาจารย์พลวิทย์ไปทีละลูกจนหมด แม้อาจารย์พลวิทย์จะกรีดเสียงร้องและดิ้นรนขัดขืนอย่างไรก็ไม่เป็นผล

เกมยังดำเนินต่อไป ลูกปิงปองชุดต่อมาถูกปล่อยลงไปในสระ แล้วอาจารย์พลวิทย์ก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องถูกลงโทษ และในเสี้ยววินาทีสุดท้ายเขาก็สามารถเก็บลูกปิงปองทั้งหมดได้ทัน แต่ก่อนเสียงเป้าหมดเวลา ลูกปิงปองลูกหนึ่งดันหลุดออกจากรูตูดของเขา ทำให้เขาพ่ายแพ้ไปอีกรอบ เขาโดนลากขึ้นมาบนพื้นสระอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป้าหมายคือการโกนขนหมอยที่ดกดำฟูฟ่อง มีดโกนถูกกรีดลงไปที่เหนือท่อนควยที่หดอยู่ มันค่อย ๆ เฉือนเส้นหมอยทีละเส้น ทีละเส้น แต่ขณะเดียวกันการกรีดนั้นก็ทำให้ท่อนควยของอาจารย์พลวิทย์แข็งชูชันขึ้นมาทันที เสียงหัวเราะขบขันดังระงมรอบสระ มีดโกนนั้นกรีดมาจนถึงขนตูดของอาจารย์พลวิทย์ด้วย อาจารย์พลวิทย์เกร็งรูตูดไปตลอดเวลาที่ถูกมีดโกนกรีดลงไปบนเนื้อ ขนตูดเส้นแล้วเส้นเล่า ถูกโกนออกไปอย่างช้า ๆ จนสะอาดเกลี้ยงเกลาในที่สุด และทันที่ที่ใบมีดโกนถูกถอนออก อาจารย์พลวิทย์ก็คลายอาการเกร็งที่รูตูดลงทันที และมันส่งผลให้รูตูดขยายออกจาลูกปิงปองที่อยู่ด้านในสองลูกหลุดออกมาจากรูตูดนั้น ไอ้โอ๊ตใช้นิ้วหยิบลูกปิงปองนั้นขึ้นมาด้วยความขยะแขบง มันอาลุกปิงปองรั้นไปล้างน้ำให้สะอาด โดยการให้อาจารย์พลวิทย์อม ก่อนจะเอากลับมายัดรูตูดใหม่อีกครั้ง ก่อนที่เกมสุดท้ายจะเริ่มขึ้น และตามมาด้วยความปราชัยของอาจารย์พลวิทย์อีกครั้ง และเขาถูกลากขึ้นมาโกนผมออกจากหัวจนเกลี้ยง และโดนจับยัดลุกปิงปองเข้าไปในรูตูดอีก 4 ลูก รวมเป็นตอนนี้เขามีลูกปิงปองคาอยู่ในรูตูด 7 ลูก อาจารย์พลวิทย์ในสาภพหมดสภาพ นอนแหกแข้งแหกขาเหมือนร่างที่ไม่มีชีวิตอยู่ข้างสระ

โตมรลุกขึ้นปรบมือหลังโชว์จบ เขากล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนมากครับ โดยเฉพาะคุณแมนสรวงที่เขียนบทมาให้ผมได้เจออะไรแบบนี้ ทำให้ผมได้มาเจออาจารย์พลวิทย์ และได้เห็นความตกต่ำน่าอดสูและชวนสังเวชใจ ผมจะเก็บภาพนี้เอาไว้ คอยเตือนใจตัวเองไม่ให้ประมาทและพลาดจนต้องมีสภาพแบบนี้ การมาที่โรงเรียนเปรมปรีดาครั้งนี้ จะเป็นการมาเยือนที่ผมไม่มีวันลืมเลยจริง ๆ ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ”

แล้วโตมรก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ ทุกคนต่างเดินไปรุมนักกีฬาหนุ่มอนาคตไกล โดยไม่สนใจร่างที่แทบจะหมดลมหายใจของอาจารย์พลวิทย์หรือภารโรงวิทย์ในปัจจุบัน ไม่เว้นแม้แต่อัครที่หายไปจากนั้นตั้งแต่การแสดงอันน่าสมเพชนั้นเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

ไอ้อ๋องและไอ้บอยถูกพามาถึงคฤหาสน์เรือนไทยของพ่อเลี้ยงอินทร์ค่ำเมื่อพลบค่ำแล้ว มันถูกพาตัวไปยังห้องได้ดินซึ่งมีสภาพเหมือนคุกลับ ๆ ที่ไว้สำหรับกักขังคน อากาศภายในห้องลับนั้นดูเย็นยะเยือก มันมีส่วนที่ทำให้หัวใจของไอ้อ๋องและไอ้บอยเต้นไม่เป็นส่ำ

พอลงไปจนถึงชั้นล่าง มันก็เห็นผู้กองภาติยะและหมวดพฤกษ์ ในสภาพแบบเดียวกับที่มันเห็นผ่านคลิปที่พ่อเลี้ยงอินทร์คำส่งให้มันดู ควยของพวกมันแข็งตระหง่านขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะรู้สึกอยากเย็ดตูดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพวกมัน ไอ้อ่องและไอ้บอยตอนนี้หน้ามืดตามัวแล้ว พวกมันรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงร่างเปล่าเปลือย และเดินเข้าไปเพื่อเตรียมเผด็จศึกนายตำรวจทั้งสอง

“เดี๋ยว” เสียงพ่อเลี้ยงอินทร์คำดังขัดจังหวะขึ้นมา

“กูไม่ได้ตามพวกมึงมาเพื่อให้มาเย็ดตูดไอ้กะหรี่ตำรวจนี่ฟรี ๆ แต่มีสิ่งที่มึงต้องแลก”

ไอ้อ๋องและไอ้บอยชะงัก

“ผมมีเงินไม่กี่ร้อยเอง ยิ่งไอ้บอยไม่ต้องพูดถึง ถ้าพ่อเลี้ยงจะเอาอีกะหรี่สองตัวนี้มาเร่ขายพวกผม คงได้ไม่คุ้มเงินประมูลหรอก แต่ตอนนี้พ่อเลี้ยงพาผมมาถึงนี้ ผมหน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว เห็นตูดพวกมันขมิบรอควยผมอยู่ต่อหน้า ถ้าพ่อเลี้ยงอยากบาปหนาไล่พวกผมกลับก็ลองดู”

“กูไม่เอาเศษเงินของพวกมึงหรอก เห็นกูเป็นอะไร”

“แล้วพ่อเลี้ยงจะเอาอะไร” ไอ้บอยเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามบ้าง ตอนนี้มันคิดถึงรูตูดที่ฟิตปั๋งของหมวดพฤกษ์ที่มันรัก ยิ่งรูตูดนั้นมันมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า มีขนตูดอ่อน ๆ อยู่รำไรมันยิ่งอดใจไม่ไหว อยากเข้าไปซัดใจจะขาดแล้ว แต่ก็ถูกขัดโดยผู้ครอบครอง

“มึงต้องคายความลับกับกูมาให้หมด ว่ามึงรู้เรื่องในวงเวียนกามนี้ขนาดไหน มีใครเกี่ยวข้องกับขบวนกามนี้บ้าง บอกกูมาให้หมด ห้ามเหลืออะไรให้กูต้องไปตามต่อเอง แล้วกูจะให้ตูดไอ้ตำรวจกะหรี่สองตัวนี้เป็นของรางวัลสำหรับพวกมึง”

ไอ้อ๋องเหงื่อตก ไอ้บอยหน้าซีดทันที ทั้งที่อากาศในห้องนั้นเย็นยะเยือก การเปิดปากบอกความลับที่มันรู้ช่างมีความเสี่ยงต่อชีวิตยิ่งนัก แต่การที่มันมาติดกับดักของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ และเอาความเงี่ยนของพวกมันมาเป็นตัวล่อ ทำให้พวกมันลังเลใจ รูตูดของนายตำรวจหนุ่มทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าพวกมันขณะนี้ ทำให้พวกมันลำบากใจยิ่งนักกับการเลือกข้าง ระหว่างการเปิดเผยที่มีอันตรายถึงชีวิต แลกกับความสุขความเสียวที่พวกมันอยากได้ กับการยอมเก็บความลับไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสออกจากที่แห่งนี้ไหม

มันจะเลือกทางไหนดี