อาญาทาส

บทนำ

อากาศเช้านี้ดูแปลกๆ อยู่ดีๆ ก็มีสภาพครึ้มฟ้าครึ้มฝน ลมแรงราวกับกำลังจะเกิดพายุ ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในฤดูมรสุมแต่อย่างใด ก่อนออกเดินทางผมก็เช็คสภาพอากาศมาอย่างดีแล้ว ว่าเป็นช่วงที่ท้องฟ้าโปร่งสามารถจัดกิจกรรมได้ เจอแบบนี้เข้าไปไม่รู้ว่าตารางที่วางเอาไว้จะล่มไม่เป็นท่าหรือเปล่า

ผมยืนมองจากหน้าต่างบ้านพัก เห็นทะเลกำลังแสดงอาการแปรปรวนบ้าคลั่ง คลื่นสูงจนน่ากลัวว่ามันจะหอบเอาทุกสิ่งที่อยู่ริมชายหาดหายลงไปในทะเลจนหมด ดีที่บ้านพักของพวกเราทั้งกลุ่มอยู่ห่างจากชายหาดพอสมควร คิดว่าแม้น้ำจะสูง คลื่นจะแรงขนาดไหน ก็ไม่น่าจะมาถึงบ้านพักพวกเราได้ นอกจากจะมีสึนามิเท่านั้น

ขณะยืนมองจากหน้าต่างผมรู้สึกว่าตัวกระจกหน้าต่างที่เปิดอ้าออกเกิดอาการสั่นไหว ตัวคล้องที่ยึดกระจกเอาไว้เหมือนจะต้านแรงลมไม่อยู่ ลมหนาวจากภายนอกผ่านเข้ามาปะทะร่างเปลือยเปล่าของผม ทำให้รู้สึกขนลุกขนชัน จนต้องหันไปที่เตียงเพื่อหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวไว้กันหนาว

ไอ้หนุ่ย เพื่อนร่วมห้องของผมยังไม่ตื่น แต่ไม่ใช่เพราะมันนอนขี้เซาหรอก แต่มันหลับลึกเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่จัดหนักตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงเกือบรุ่งสางต่างหาก ดีที่ผมไม่ได้ดื่มไปมากอย่างมัน ไม่อย่างนั้นคงมีสภาพไม่หลับเป็นตายแบบมันแน่ๆ

ขณะที่ผมกำลังจะผละจากริมหน้าต่าง เพื่อไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ก็พอดีที่หูผมได้ยินเสียงดังแว่วมาจากทะเล ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะเสียงลมและเสียงคลื่นน่าจะดังกลบเสียงทุกไปแล้ว แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ผมก็หันหลังกลับไปดูตรงที่คิดว่าเป็นต้นเสียงนั้น แล้วผมก็เห็นร่างๆ หนึ่งกำลังโบกไม้โบกมืออยู่ในทะเลที่กำลังบ้าคลั่งนั้น

ใคร.... ใครไปบ้าทำอะไรอยู่ตรงนั้น ผมได้แต่อุทานในใจ ไม่ได้คิดถึงความสมเหตุสมผลว่าด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนั้น และเสียงรบกวนต่างๆ ไม่มีทางที่ผมจะได้ยินเสียงคนในทะเลได้แน่ๆ แม้เขาจะตะโกนจนสุดเสียงก็ตามที แต่ผมก็ได้ยิน อย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ

“พี่กริช ผมโต้คลื่นเก่งมั้ยพี่ ผมเก่งสมกับเป็นน้องพี่รึเปล่า”

เสียงนั้นทำให้ผมจำได้ว่าคนที่กำลังโบกไม้โบกมืออยู่ในทะเลเป็นใคร เต้ รุ่นน้องสายรหัสของผม ตอนที่รู้หัวใจผมแล่นตกวูบไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันที

“ฉิบหายแล้ว ไอ้เต้ มีงจะมาอยากเก่งแบบกูอะไรตอนนี้”

ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง ผมวิ่งไม่คิดชีวิตไปที่ชายหาด ไม่สนใจว่าตอนนี้ผ้าที่ห่มคลุมตัวจะหลุดไปตอนไหน ร่างกายจะมีอะไรปิดกันความอุจาดหรือเปล่า รู้เพียงแต่ว่าถ้าไปช้ากว่านี้ มันอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็ได้ และมันอาจจะกลายเป็นงานใหญ่ที่พวกเราไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ ผมวิ่งลงไปในทะเล อย่างไม่คิดชีวิต และเริ่มว่ายอย่างคนเสียสติ แต่ ผมจะว่ายไปตรงไหน.....

ขณะที่ผมฉุกคิดได้นั้น อยู่ๆ คลื่นลมแรงราวพายุก็สงบลงไปเฉยๆ ผมจึงหยุดการจ้วงว่ายแบบไม่คิดชีวิตลง มองไปรอบๆ เพื่อค้นหา เต้ แต่ไม่พบใครสักคนตรงนั้น

“เต้ มีงอยู่ไหน” ผมแผดเสียงร้องตะโกนออกไปจนเกิดเสียงก้อง แต่กลับไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา ผมลอยคอนิ่งอยู่นาน แล้วอยู่ๆ ขาของผมก็ถูกดึงจากอะไรบางอย่างให้จมลงไป ผมตกใจ พยายามดิ้นหนี แต่ยิ่งดิ้นสิ่งนั้นยิ่งรัดแน่น และดึงผมลงไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผมพยายามหาทางดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ หน้าของผมก็ประสานเข้ากับใบหน้าๆ หนึ่ง แม้จะขาวจนซีด แต่ผมจำได้แม่นเลยว่านี่คือใบหน้าของน้องรหัสของผมเอง

“พี่กริช พี่อย่าลืมผมนะ”

เสียงนั้นเยือกเย็น จนปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน ผมลุกขึ้นนั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง ในห้องที่อากาศเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ ไม่มีทะเล ไม่มีพายุ ไม่มีคลื่นลมแรง ไม่มีงานกิจกรรมใดๆ และแน่นอน ไม่มีไอ้เต้

เหงื่อของผมแตกเต็มตัวทั้งที่อากาศหนาว พอได้สติ ผมได้แต่พึมพำในใจ

“เมื่อไหร่มึงจะออกไปจากชีวิตกูเสียที ไอ้เต้....”

ผมสะบัดหัวแรงๆ หวังให้ทุกสิ่งที่ค้างอยู่ในความทรงจำนั้นหายไป แต่ก็ทำไมได้ ฝันร้ายนั้นทำให้ผมรู้สึกปวดหัว ผมจึงลุกจากที่นอน เดินเปลือยเปล่าเข้าไปยังห้องน้ำ และเปิดน้ำเย็นพุ่งสาดเข้าใส่ตัว หวังว่ามันจะทำให้ผมสดชื่น และสมองเปิดโล่งขึ้นมาบ้าง

ผมหยิบผ้าเช็ดตัวเอาขึ้นมาขยี้หัว เดินออกจากห้องน้ำ หยดน้ำที่เกาะพราวตามตัวถูกทำให้หายไปเมื่อผมมาใช้บริการเครื่องเป่าตัวที่ทำให้ตัวแห้งภายในเวลาไม่กี่วินาที จะว่าจำเป็นก็ไม่จำเป็น แต่บางครั้งมันก็มีประโยชน์ เช่นตอนที่เรารีบๆ หรือตอนที่รู้สึกขี้เกียจอย่างตอนนี้ เปิดเครื่องแค่ไม่กี่วินาทีก็ทำให้ตัวเราแห้งเหมือนไม่เคยผ่านน้ำมาก่อน แต่ผมก็ยังไม่ค่อยชินกับมัน และยังเผลอหยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาใช้ร่วมด้วยทุกทีทั้งที่ไม่จำเป็นแล้ว

พอตัวแห้ง ผมก็ไม่ต้องกังวลว่าการเดินไปไหนมาไหนจะทำให้พื้นเปียก ผมสามารถเดินโทงๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งตัวได้เลย ผมหยิบเครื่องแบบตำรวจออกจากตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่ ระหว่างนั้นก็มองไปที่ปฏิทินดิจิทัลที่ติดตั้งไว้ใกล้กับตู้เสื้อผ้า เพื่อเช็คดูว่าผมมีนัดหมายหรือภารกิจสำคัญอะไรหรือไม่

วันที่ 24 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2029

มีนัดหมายคุยรายละเอียดคดีฆ่านักศึกษาปริญญาโทกับอัยการเจษฎ์เก้าโมงครึ่ง

ผมได้แต่ทอดถอนใจ กับความซับซ้อนของคดีนี้ สองปีหลังจากที่ประเทศของเราผ่านกฎหมายฉบับใหม่ ที่ให้สิทธิคนใกล้ชิดหนึ่งคนของเหยื่อผู้ถูกกระทำจากเหตุความรุนแรงทางอาชญากรรมได้เป็นผู้กำหนดโทษและจัดการลงโทษผู้กระทำความผิดได้ด้วยตนเอง ทำให้การประกอบอาชญากรรมที่ก่อนหน้านั้นที่มีเปอร์เซ็นต์พุ่งสูงขึ้นในทุกปี กลับมีจำนวนลดลงมาอย่างเห็นได้ชัด และทำให้รัฐบาลเล็งเห็นว่าการจัดการปัญหาการก่ออาชญากรรมด้วยวิธีการดังกล่าวนั้นมาถูกทางแล้ว

แต่กลับเป็นว่ากฎหมายก็มีช่องโหว่ และทุกอย่างเมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย เพราะการที่กฎหมายฉบับนี้มันเคยเป็นช่องทางที่ทำให้ครอบครัวของผู้ถูกกระทำหรือได้รับความเสียหาย ใช้เป็นโอกาสในการได้ทวงคืนความยุติธรรม โดยที่สามารถจัดการกับผู้กระทำความผิดได้อย่างเต็มที่ตามที่ใจต้องการโดยไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ความผิด แต่ขณะเดียวกันมันกำลังจะกลายเป็นช่องทางให้คนบางกลุ่มบางพวก เอากฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับคนอื่นๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่ายืมมือกฎหมายมาใช้กำจัดคน

และความน่ากลัวของกฎหมายนี้คือ มันมีผลย้อนหลังไปถึงคดีความก่อนหน้าที่ยังไม่ถูกตัดสินหรือยังไม่กลายเป็นคดีความด้วย ซึ่งตอนนี้มีหลายคดีหรือหลายเหตุการณ์ที่กำลังจะถูกขุดขึ้นมาเตรียมดำเนินการแล้ว

และหนึ่งในนั้นคือคดีของไอ้เต้ ที่เสียชีวิตในทะเลเมื่อสิบปีก่อน

ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบตอนที่คิดถึงมัน เหงื่อกาฬเริ่มซึมออกจากศีรษะโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างต่อจากนี้