แค้นจัดหนัก V3

ภาติยะ

เสียงปืนที่นั่งกึกก้องเกิดจากการดวลปืนปะทะกันของคน 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มคนชุดดำที่มีหมวกไหมพรมปิดอำพรางใบหน้าที่แท้จริง ซึ่งมีกันอยู่ 6 คน กำลังหนีการติดตามของอีกฝ่ายที่เป็นกลุ่มชายในชุดเครื่องแบบตำรวจ 4 นาย และอีกหนึ่งนายที่แต่งกายชุดนอกเครื่องแบบ ดูเหมือนกลุ่มที่มีกำลังน้อยกว่ากลับเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ เพราะตอนนี้กลุ่มชายชุดดำถอยร่นมาจนถึงทางตัน ไม่มีทางที่จะหนีออกไปทางไหนได้อีกแล้ว

กลุ่มชายชุดดำเองก็ดูเหมือนจะรู้ว่ากำลังโดนปิดล้อม แต่ตัดสินใจไม่ยอมจำนน เปิดฉากจู่โจมขึ้นอีกครั้ง ก่อให้เกิดเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างชายชุดดำ นอกจากที่ๆ พวกเขาอยู่จะถูกปิดล้อมทุกด้านแล้ว อาวุธของพวกเขายังมีจำกัดอีกด้วย สุดท้ายเมื่ออาวุธในมือหมดสิ้นความขลัง ชายทั้ง 6 จึงต้องยอมจำนนมอบตัว เพื่อไม่ให้ถูกจับตาย

ชายในชุดเครื่องแบบตรงเข้าจับกุมชายชุดดำทีละคน โดยคนที่เหมือนเป็นหัวหน้าใหญ่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมสยบง่ายๆ จนชายในชุดนอกเครื่องแบบต้องเดินมาที่เขา

“ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เถอะพี่ดำ ถึงยังไงพี่ก็หนีไปไหนไม่พ้นอยู่แล้ว”

ชายชื่อดำมองหน้าผู้พูดด้วยสายตาเคียดแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนหน้านี้เขาคือคนที่รับรองชายตรงหน้าให้เข้าร่วมกลุ่มการปล้นครั้งนี้ โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าชายตรงหน้าคือตำรวจนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อสืบข่าวการทำงานของพวกเขา

“ถุย” ชายชุดดำทำได้แค่ถ่มน้ำลายใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม

“อย่านึกนะว่ามึงจะรอด ยังไงลูกพี่ใหญ่ก็ไม่เอามึงไว้แน่ๆ ระวังเงาหัวมึงให้ดีเถอะ” ชายชุดดำข่มขู่

“เดี๋ยวก็โดนข้อหาข่มขู่เจ้าพนักงานอีกกระทงหรอก” นายตำรวจในเครื่องแบบร่างเล็กที่ตรงเข้ามาเตรียมใส่กัญแจมือกล่าวเตือนชายชุดดำ แต่ไม่ทันระวังตัว เขาโดนชายชุดดำแย่งปืนที่อยู่ในซองแล้วเข้าล็อกตัวเขาเอาไว้เป็นตัวประกัน

ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

“พวกมึงวางอาวุธ ถ้ายังไม่อยากให้ไอ้ห่านี่ตาย”

นายตำรวจในเครื่องแบบต่างมองมาที่ชายนอกเครื่องแบบเหมือนจะรอคำสั่ง มองไปที่ร่างนายตำรวจร่างเล็กที่โดนปืนจ่อที่ศีรษะใบหน้าตื่นกลัว

“เร็ว” ฝ่ายนั้นเร่ง ชายในชุดนอกเครื่องแบบจึงผงกศีรษะเป็นสัญญาณให้ทุกคนทำตามคำสั่ง ชายในเครื่องแบบจึงจำยอมวางอาวุธ

“ไอ้ชัยมึงเดินมาไขกัญแจมือให้ทุกคนเดี๋ยวนี้”

ไอ้ชัยที่ชายชุดดำกล่าวถึงคือผู้กองภาติยะ ภาคีไนย นายตำรวจฝ่ายสืบสวนที่ปลอมตัวเพื่อเข้าสืบคดีปล้นสนั่นเมืองในครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มชายชุดดำที่อยู่ในนี้ต่างรู้จักและคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี ยิ่งเพิ่มความเคียดแค้นให้ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ภาติยะหรือไอ้ชัยค่อยๆ เดินไปหากลุ่มเหล่าร้ายชุดดำ ที่ตอนนี้มีนายตำรวจที่ปราศจากอาวุธกำลังยืนประกบอยู่

เขาค่อยๆ เดินเข้าไปเพื่อปลดกุญแจมือให้กับบรรดาชายชุดดำทีละคน แต่ขณะที่ทุกคนไม่ทันระวังตัวนั้น ชายหนุ่มก็ก้มลงเพื่อหยิบปืนที่วางอยู่บนพื้น แล้วสาดกระสุนใส่หัวหน้ากลุ่มชายชุดดำที่ยืนเอาปืนจ่อศีรษะนายตำรวจร่างเล็กจึงไม่ทันระวังตัว กระสุนปืนเจาะเข้าที่กลางศีรษะชายคนดังกล่าวจนล้มลงไปกองกับพื้น นายตำรวจร่างเล็กก้มลงไปที่ร่างนั้น ก่อนจะหันกลับมาบอกกับภาติยะว่า “ไอ้ดำตายแล้วครับผู้กอง”

ภาติยะมองร่างที่ไร้ล้มหายใจนั้นแล้วถอนหายใจ หันกลับมาหากลุ่มนายตำรวจที่เหลือแล้วสั่งให้คุมตัวกลุ่มคนร้ายที่เหลือเพื่อไปดำเนินคดีต่อไป

เสียงปรบมือดังกึกก้องตอนที่ ร.ต.อ.ภาติยะ ภาคีไนยเดินขึ้นไปรับมอบรางวัลในการทำผลงานดีเด่นที่มอบให้นายตำรวจที่มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่

ภาติยะเป็นนายตำรวจหนุ่มวัย 29 ปีที่มีความเชี่ยวชาญงานด้านสืบสวน เขาทำคดีที่เด่นดังมานับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่เขามักไม่ค่อยเผยตัวมากนัก เพราะกลัวจะกระทบถึงงานที่ต้องปลอมตัวเพื่อเข้าสืบเรื่องต่างๆ นอกจากภาติยะแล้วนายตำรวจที่เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้อีก 4 นายก็ได้รับมอบรางวัลด้วยเช่นกัน นายตำรวจทั้ง 4 นายเป็นตำรวจที่ทำงานร่วมกับภาติยะมาแล้วหลายคดี พวกเขายกย่องในความกล้าหาญและเก่งกาจของภาติยะ และมั่นใจทุกครั้งที่มีภาติยะเป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ

ความโดดเด่นของภาติยะฉายแสงจนกลบรัศมีของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม ร.ต.ท.รวิชญ์ ภาคิไนย ลูกพี่ลูกน้องของภาติยะ รวิชญ์ยืนมองภาติยะด้วยแววตาที่เฉยชา ไม่มีความรู้สึกยินดีอยู่ในนั้น

รวิชญ์เติบโตมาพร้อมกับภาติยะ พ่อของเขาเป็นน้องชายของพ่อภาติยะ ทั้งคู่เป็นนายตำรวจเช่นเดียวกัน แต่พ่อของเขาก็อยู่ใต้เงาของพ่อภาติยะไม่ต่างจากตัวเขาในตอนนี้ พ่อและแม่ของภาติยะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางตอนที่ภาติยะยังไม่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายตำรวจ รองพ่อของรวิชญ์จึงรับอุปการะภาติยะและเลี้ยงดูไม่ต่างจากลูกในไส้ ในช่วงแรกเขาเองก็รู้สึกชื่นชมในตัวพี่ชายไม่น้อย แต่เมื่อเขาเจริญรอยตามคนในครอบครัวด้วยการเป็นตำรวจเช่นเดียวกัน เขาก็ถูกนำไปเปรียบเทียบกับภาติยะ รวมทั้งเรื่องของพ่อเขาก็ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งว่าไม่สามารถเด่นดังได้เท่าพี่ชายที่ตายไปแล้ว

ยิ่งเหตุการณ์ในวันนี้ยิ่งสะท้อนใจเขา เพราะคนที่ขึ้นไปมอบรางวัลให้ภาติยะคือพ่อของเขานั่นเอง เขาเห็นสายตาที่แสดงความยินดีและชื่นชมในตัวภาติยะมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกเจ็บใจมากเท่านั้น รวิชญ์ไม่สามารถทนเจ็บปวดกับภาพบาดตานั้นได้ จึงตัดสินใจเดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยงนั้น โดยไม่ทันระวังเขาชนเข้ากับชายคนหนึ่งอย่างจัง

“ขอโทษด้วย ผมไม่ทันระวัง” ชายแปลกหน้าเป็นฝ่ายขอโทษ ทำให้อารมณ์ของรวิชญ์ที่กำลังคุกรุ่นเย็นลงมาได้บ้าง

“ไม่เป็นไร ผมเองก็ใจลอยไปหน่อย”

“สีหน้าคุณไม่ดีเลย เป็นอะไรรึเปล่า ผมพอจะช่วยได้นะ ถ้าคุณจะเล่าให้ผมฟัง”

รวิชญ์ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไว้ใจชายแปลกหน้าที่เขาเพิ่งพบเจอ จนสามารถเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้อีกฝ่ายได้รับฟัง อาจจะเพราะหน้าตา ท่าทาง การพูดที่ดูเป็นมิตรของอีกฝ่าย หรือไม่เขาก็อาจจะต้องการระบายเรื่องราวทั้งหมดที่แบกไว้กับใครสักคน สิ่งที่คั่งค้างต่างๆ จึงได้หลุดออกมาจากปากของเขา

“คุณอยากแก้แค้นคนที่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดไหมล่ะ ผมช่วยได้นะ”

รวิชญ์ชะงักงันทันที เขาไม่เข้าใจเจตนาของชายแปลกหน้า แต่ความรู้สึกลึกๆ ในใจก็ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นจริงได้ว่า ตัวเขาเองก็อยากทำให้ภาติยะได้รับรู้รสชาติความเจ็บปวดนี้บ้าง

“อยากสิ”

“งั้นคุณต้องใช้มัน” ชายตรงหน้าเอื้อมมือล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มันเป็นซองขนาดเล็กสีน้ำตาล เขาส่งซองนั้นใส่มือรวิชญ์ ชายหนุ่มรับมาแกะดู เขาเห็นยาขนาดเล็กหนึ่งเม็ดที่บรรจุอยู่ในแผง เขามองหน้าชายผู้ให้ด้วยความงุนงง

“ผมให้คุณเม็ดนึง คุณเอาให้คนที่คุณต้องการล้างแค้นกิน แล้วหลังจากนั้นเขาจะตกเป็นทาสคุณ เชื่อฟังคุณทุกอย่าง แล้วไม่ต้องกังวล คนนอกจะไม่รู้ว่าคุณกำลังควบคุมเขาอยู่ แล้วจะไม่มีใครจับได้เพราะไม่มีสารอะไรตกค้างให้คุณต้องเดือดร้อนทีหลังแน่นอน ผมรับประกันเพราะเคยลองมาแล้ว ข้อแม้เดียวคือยานี้จะมีอายุแค่ 6 ชั่วโมงหลังจากที่คนๆ นั้นกินมันเข้าไป คุณอย่าพลาดที่จุดนี้ ผมขอให้คุณโชคดีและสนุกกับการล้างแค้น”

“คุณได้มันมายังไง”

“อย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้คือมุ่งมั่นกับการแก้แค้นเพียงอย่างเดียว จงชำระล้างมันเถอะ อย่าปล่อยให้มันกัดกินใจคุณต่อไปอีกเลย”

รวิชญ์สบตาชายแปลกหน้า ส่งรอยยิ้มที่เยือกเย็นไปให้ ก่อนจะเดินจากไปทันทีที่กล่าวประโยคสุดท้ายจบลง

“ขอบคุณสำหรับความกรุณา”