เจ้าชายอัคนีกับโชตกแยกทางกันหลังออกจากบ้านพักของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ โดยสริตาติดตามรัชทายาทไปที่เรือนศักเรนทร์ พ่อบ้านเข้ารายงานเจ้าชายทันทีเมื่อเดินเข้าสู่ห้องรับรองใหญ่ว่า มหาอำมาตย์พยนต์รอพบที่ห้องหนังสือ เขาสั่งให้จัดห้องพักแก่สาวไทยแล้วเดินจากไปทันที สริตามองสำรวจการตบแต่งเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้และหวายตามห้องต่างๆ จึงพอเดานิสัยของเจ้าชายอัคนีได้ว่าเป็นคนที่เรียบง่าย ไม่หรูหราดังเช่นเจ้าชายอื่นที่หล่อนเคยอ่านข้อมูลตามนิตยสารมาแล้ว บางทีมันอาจเป็นหน้าฉากที่แสดงเพื่อสร้างศรัทธาก็ได้ หล่อนคิดมาดหมายจะค้นหาความจริงว่าเจ้าชายอัคนีซึ่งเป็นชายหนุ่มที่สาวไทยทั้งหลายพากันหลงใหลกับความอ่อนน้อม ถ่อมตนของเขา แต่มันเป็นอุปนิสัยแท้จริงหรือแค่แสดงเรียกศรัทธาจากสาธารณชนเท่านั้น
ประตูห้องหนังสือเปิดกว้างมหาอำมาตย์พยนต์ค้อมกายคำนับเจ้าชายอัคนี แล้วยืนนิ่ง เมื่อเจ้าของเรือนศักเรนทร์นั่งลงที่โซฟายาวแล้ว การสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น
“กระหม่อมรับแจ้งจากทหารที่ส่งไปรับว่า ท่านปฏิเสธการดูแลของเขา จึงมารับท่านที่เรือนแห่งนี้แทน”
“เราอยากคุยและแสดงความยินดีกับท่านอาที่รับตำแหน่งของท่านนฤวรไว้ชั่วคราว” เจ้าชายตอบเสียงเนิบเย็น ดวงตาพราววับขึ้น “ปกติท่านอาเป็นคนสำราญ มินึกว่าท่านพ่อจะมอบภารกิจหนักให้เขา ท่านอาบ่นอุบอิบเหมือนกัน”
“หากเขาไม่พอใจ ก็ส่งมอบให้คนอื่นได้นี่นา”
“ท่านอาบอกว่าเริ่มสนุกกับงานเหมือนกัน”
ท่านพยนต์เหยียดยิ้ม “กระหม่อมจะสรุปงานที่ทำไปให้ท่านรับทราบก่อนเข้าวังตอนเช้าเพื่อรับฟังพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทรา”
“ท่านพ่อมีพินัยกรรมด้วยหรือ ?”
“กระหม่อมพบพินัยกรรมบนโต๊ะในห้องนอนของพระองค์”
“ท่านพบคนเดียวรึ ?”
“พระสนมกับคนรับใช้ซึ่งทำความสะอาดห้องแจ้งให้กระหม่อมรับทราบ”
รัชทายาทพยักหน้า สีหน้าเย็นชา “เรื่องแรกที่อยากทราบคือ ทำไมไม่รอเรากลับมาร่วมงานพระศพก่อน ท่านเร่งเผาท่านพ่อด้วยเหตุใด ?”
“นี่เป็นหน้าร้อน กฎเรื่องพระศพก็ห้ามใช้ยาดองไว้ กระหม่อมจำต้องเร่งทำพิธีโดยเร็ว”
“มันเร่งร้อนจนไม่อาจติดต่อเราเชียวรึ ?” เจ้าชายมองเอาเรื่อง
“การติดต่อสื่อสารขัดข้อง กระหม่อมพยายามแล้ว”
“การสื่อสารทำไม่ได้เพราะคำสั่งของท่านนี่นา คำชี้แจงล่ะ ?”
ท่านพยนต์รักษาสีหน้าเยือกเย็นไว้ ยามตอบว่า “กระหม่อมไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานบริหารประเทศ และไม่มีอำนาจใดหยุดการสื่อสารได้ เรื่องนี้คงต้องถามจากท่านรองมหาเสนาบดีฯซึ่งดูแลงานแทนท่านนฤวรแล้ว”
“สรุปคือ ท่านบอกข่าวแก่เราไม่ได้ใช่ไหม ?”
“ใช่”
“คำประกาศว่าท่านพ่อตายเพราะหัวใจวาย ท่านเชื่อหรือไม่ ?”
“หมอหลวงตรวจละเอียดแล้ว อีกทั้งพระองค์มีสุขภาพอ่อนแอมากในช่วงหลัง โดยเฉพาะหลังจากท่านนฤวรตาย พระองค์เก็บตัวในห้อง ไม่ออกทำงานราชการตั้งแต่นั้นมา แม้แต่พระสนมยังกำชับให้กระหม่อมดูแลพระองค์ใกล้ชิดหน่อย”
“หมอหลวงคนนั้น คือ ติชิลา ใช่ไหม ?”
“ใช่ นางเป็นลูกสาวของกระหม่อมก็จริง แต่มีความสามารถในการวินิจฉัยโรคอย่างไม่ผิดพลาดแน่”
“เหตุใดท่านจึงไม่ยอมให้ท่านพิชาญกล่าวอำลากับพระศพของท่านพ่อตามราชพิธี ท่านไม่ลืมใช่ไหมว่า ท่านพิชาญเป็นลุงใหญ่ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด”
“พิธีเร่งร้อนมาก จึงต้องละเลยบางเรื่องที่ไม่จำเป็นออกไป”
“ท่านตอบง่ายนัก”
ท่านพยนต์ยืนเงียบ เจ้าชายปราตามองอีกฝ่าย ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย
“รัชทายาทจะขออำลาพระศพของพระบิดา ท่านจะปฏิเสธไหม ?”
“ถ้าเป็นเรื่องเร่งร้อน กระหม่อมก็จำต้องปฏิเสธ”
เจ้าชายอัคนีถอนหายใจหนักหน่วง สีหน้าเศร้า “ตอนนี้ท่านพ่อเหลือแค่พระอัฐิเท่านั้น เราจะเคารพท่านพ่อได้ไหม ?”
“กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ห้ามทำเรื่องนี้”
“เรื่องไหนที่ต้องขออนุญาตจากท่านล่ะ ?”
“กระหม่อมดูแลงานพระศพตามหน้าที่เท่านั้น อำนาจของรัชทายาทเป็นของท่าน ท่านย่อมรู้ขอบเขตอย่างดี”
“ท่านคิดว่าต่อนี้ไปเราจะสั่งงานในวังไวชยันต์ได้หรือไม่ ?”
เจ้าชายอัคนีมองสบนัยน์ตากับท่านพยนต์ มหาอำมาตย์เฒ่าตอบเสียงเย็นว่า “กระหม่อมมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในวัง รัชทายาทสืบทอดอำนาจตามตำแหน่งที่พระเจ้าชเยนทราแต่งตั้งไว้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ยกเว้นความตั้งใจของอดีตประมุขจะเปลี่ยนแปลงเท่านั้น”
“ท่านคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?”
ท่านพยนต์นิ่งอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบว่า “กระหม่อมไม่ทราบ บางทีพินัยกรรมขององค์ชเยนทราจะตอบคำถามนี้ได้”
“ท่านเก็บพินัยกรรมไว้ใช่ไหม ?”
“ใช่”
“จะเปิดเมื่อไร ?”
“กระหม่อมเรียนเชิญเชื้อพระวงศ์ไปรับฟังพระพินัยกรรมในวันพรุ่งนี้เช้าเพื่อเป็นพยานในคำสั่งสุดท้ายขององค์ชเยนทราแล้ว”
“พบกันพรุ่งนี้เช้า หวังว่าการเปิดพินัยกรรมจะทำตามราชประเพณีด้วย”
“กระหม่อมรับทราบ”
มหาอำมาตย์พยนต์กล่าวอำลาแล้วค้อมกายก่อนเดินออกจากห้อง โดยมีสายตากังวลของเจ้าชายอัคนีมองตามไป ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าตำแหน่งรัชทายาทของเขาจะสั่นคลอนหนักด้วยฝีมือของชายคนนี้
“ท่านคิดทำอย่างไรต่อไป ?” เจ้าชายคิดในใจ
มหาอำมาตย์พยนต์กลับถึงบ้านพักก็เก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน ทักษาแจ้งขอพบบิดาซึ่งนั่งนิ่วหน้าเครียด
“รัชทายาทระแวงพ่อแล้ว” บิดาเอ่ยเป็นคำแรก หลังจากทักษานั่งคอยพักใหญ่
“ผมขอโทษที่ทำงานพลาด พ่อจึงต้องวุ่นวายใจ”
“ทำไมกระสุนพลังจิตที่เคยมีอานุภาพ จึงพลาดเป้าได้”
“ผมคิดตรองมาหลายชั่วโมง แต่ไม่แน่ใจในคำตอบ”
“คำตอบของลูกคือ.................”
“กระสุนพลังจิตไร้รูปและว่องไวเกินหรือเท่ากระสุนจริง คนทั่วไปมองไม่เห็นหรือป้องกันยาก คนที่ทำลายกระสุนของผมได้ น่าจะเป็นคนประเภทเดียวกับผม”
“ลูกหมายถึง............”
“ผมไม่มั่นใจในคำตอบนี้นัก”
“พ่อไม่รู้ข่าวว่าเจ้าชายมีลูกน้องที่เชี่ยวชาญด้านพลังจิตแบบลูกอยู่ด้วย”
“ถ้าคิดสังหารเจ้าชายให้สำเร็จ ก็ต้องหาคำตอบนี้ก่อน” ทักษาเน้นเสียงตอนท้าย
“พ่อจะสั่งคนสืบข้อมูลนี้ ช่วงนี้ลูกยั้งแผนสังหารไว้ รอดูผลการเปิดพินัยกรรมแล้วค่อยคิดใหม่ก็ได้”
“ผมได้ข่าวว่าเจ้าชายพาเพื่อนหญิงมาพักที่เรือนศักเรนทร์ด้วย ลองตรวจสอบเธอก่อนครับ”
“ลูกสงสัยผู้หญิงคนนั้นรึ ?”
ทักษาพยักหน้ายอมรับ บิดาเริ่มสงสัยการปรากฏตัวของสาวไทยที่อยู่เคียงข้างรัชทายาท
เมื่อลูกชายเดินออกจากห้องทำงานของบิดาแล้ว ท่านพยนต์หยิบกระดาษบนโต๊ะของพระเจ้า
ชเยนทราซึ่งเขียนบอกว่ามีพินัยกรรมสองฉบับมานั่งมองพินิจ
“พินัยกรรมฉบับที่สองอยู่ที่ใคร ?” ท่านพยนต์ครุ่นคิดหนัก
มหาอำมาตย์พยนต์เม้มริมฝีปากแน่น แล้วตัดสินใจฉีกกระดาษในมือเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนใส่ถังขยะ ดวงตาวาวโรจน์ขึ้น
“ฉันจะวางเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อเขา !” ท่านพยนต์พึมพำ แววตามาดหมาย
เวลาเดียวกันนั้นรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ซึ่งรับทราบหมายนัดประชุมฟังพระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราจากวังไวชยันต์แล้ว จึงขอเข้าพบเจ้าชายพิชาญ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและเป็นที่นับถืออย่างมากของเชื้อพระวงศ์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับพระพินัยกรรมที่มหาอำมาตย์พยนต์เก็บไว้และสิ่งที่อยู่กับเขา
ค่ำคืนนั้นเจ้าชายอัคนีรับแจ้งจากคนรับใช้ว่าสาวไทยยังไม่ออกจากห้องพักตั้งแต่นำถาดอาหารเย็นไปไว้ที่ห้องแล้ว เขาประหลาดใจมากจึงไปเยี่ยมหล่อนที่ห้องนั้น พลางเคาะประตูอยู่สักพัก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ สีหน้าวิตก เขาตัดสินใจเรียกคนรับใช้ชายเพื่อพังประตูห้อง พลันสริตาเปิดประตูกว้าง ดวงตาฉายแววสงสัย
“ขอโทษที่เปิดช้าไปหน่อย”
“ผมคิดว่าคุณมีปัญหาในห้อง จึงคิดจะพังประตู” เจ้าชายตอบ พลางโบกมือไล่คนรับใช้ ดวงตามองสำรวจสาวไทย “คุณสบายดีหรือเปล่า ?”
“ฉัน.....เอ่อ........ก็สบายดีค่ะ” หล่อนอึกอักเล็กน้อย
“คุณทานอาหารเย็นหรือยัง ?”
“อาหารรึ ?” หล่อนทำท่าคิดเล็กน้อย พลางยิ้มเจื่อน “ตอนเย็นคนมาส่งอาหารให้แล้ว ฉัน...เอ่อ......ลืมกิน ขอไปกินก่อน หิวแล้วล่ะ”
เจ้าชายอมยิ้ม “อาหารเย็นชืดแล้ว ออกไปกินด้วยกันที่ห้องรับรองเล็กเถอะ”
“ท่านหิวเหมือนกันรึ ?”
“ผมกินของว่าง ส่วนคุณเป็นมื้อหนัก”
สริตาพยักหน้า แล้วเดินตามเจ้าของเรือนศักเรนทร์ไป เจ้าชายถามข้องใจว่า “คนรับใช้ตกใจมากที่เคาะประตูเรียกคุณ แต่ไม่มีเสียงตอบสักคำ จึงไปแจ้งให้ผมทราบ ถ้ามีปัญหาก็บอกกันได้”
“ฉัน.......เอ่อ.........ฉันนั่งสมาธิเพลินไปหน่อย”
“นั่งสมาธิ ?” เขาเหลียวมองฉงนใจ
สาวไทยพยักหน้ายืนยัน “ฉันนั่งตั้งแต่เด็กแล้ว ปกติแม่คอยกำกับเวลาไว้จนเคยชิน เราทำกันทุกเย็น ถ้าไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูแรงๆของท่าน ฉันก็ยังไม่ตื่น.....เอ๊ย.....ออกจากสมาธิหรอก”
“แน่ใจว่านั่งสมาธิรึ ?” เขามองเย้า
“ก้ำกึ่งนะ” หล่อนหัวเราะเขินๆ พลางถอนหายใจ “ถ้าแม่กำกับไว้ ฉันหลับ ก็โดนหยิก พอทำคนเดียว มันก็วูบเป็นพักๆ”
“การนั่งสมาธิทำให้จิตใจสงบอย่างแท้จริง ถือเป็นการพักผ่อนทางจิตที่ดี ผมฝึกทำไว้ แต่ก็ไม่บ่อยนัก จิตยังฟุ้งซ่านอยู่”
“สมาธิช่วยควบคุมหลายอย่างในตัวฉันได้”
“ควบคุมรึ ?”
สริตายักไหล่ รอยยิ้มเย็น พลางตอบเฉไฉไปว่า “จิตควบคุมการเคลื่อนไหวของคน ถ้าคุมจิตได้ ย่อมรู้สติตลอดเวลาไงคะ”
“พูดเป็นปรัชญาดี”
“วันไหนเรานั่งสมาธิแข่งกันดีไหม ?” หล่อนพูดชวน
“ฟังน่าสนุก”
สริตามองรอบกายระหว่างทางเดินไปสู่ห้องรับรองเล็ก พลางบอกว่า “เรือนนี้เงียบจัง ทั้งที่เจ้าของกลับมาแล้ว ท่านไม่รู้สึกเหงาบ้างหรือ ?”
“บ้านใหญ่ คนอยู่ไม่มาก ก็ต้องเงียบ ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่บ้านอยู่กันกี่คน ?”
“สองคน ! แต่แม่กับฉันมีกิจกรรมในบ้านเยอะ”
“แบบไหน ?”
“ทำความสะอาดบ้านคนละชั้น ทำครัว คิดตำราอาหารใหม่เพราะแต่ละคนเป็นพวกเบื่อง่าย นั่งสมาธิแข่งกัน นั่งวิจารณ์ละครหรือหนังทีวี แม้แต่นินทาการเมือง เรามีสารพัดเรื่องจะทำ”
“ชีวิตในนี้มีระเบียบแบบแผนที่เคร่งครัด ความรื่นเริงก็มีขอบเขต ผมมีบทบาทและหน้าที่ชัดเจนที่ทำแบบคุณไม่ได้” น้ำเสียงของเจ้าชายแฝงความสลดหมองเล็กน้อย
สริตาผายมือไปรอบกาย พลางพูดเสียงใสว่า “ถ้าคิดว่าบ้าน......เอ๊ย.......เรือนหลังนี้เป็นโลกของท่าน ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัวย่อมกำหนดให้มันมีระเบียบแบบไหนก็ได้ ข้างนอกรั้วท่านก็ถือตามกฎรวมของสังคม มันน่าจะมีความสุขมากขึ้นนะ”
“คิดว่าในนี้ไม่มีความสุขรึ ?”
“ท่านต้องเป็นคนตอบสิ”
เจ้าชายยิ้มเย็น “ผมเรียกว่า ความสุขตามอัตภาพ”
“เมื่อท่านพอใจอยู่กับกฎเกณฑ์เหล่านี้ ฉันไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีก” หล่อนบอก พลางยักไหล่ ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย “วันหนึ่งที่ท่านมีครอบครัว เรือนนี้อาจเล็กลงและมีเสียงโหวกเหวกเพิ่มขึ้น ท่านจะเข้าใจว่าความสุขในบ้านของฉันเป็นอย่างไร”
เจ้าชายอัคนีเปิดประตูห้องรับรองให้กว้าง สาวไทยเห็นชุดรับแขกไม้แกะสลักจัดวางไว้อย่างสวยงาม โดยมีโทรทัศน์และเครื่องเสียงตั้งไว้ที่มุมหนึ่ง เขาสั่งคนรับใช้ตั้งอาหารที่โต๊ะไม้สีดำริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่ หล่อนเดินสำรวจห้องด้วยความตื่นตา ขณะที่เจ้าชายเปิดเพลงบรรเลงเบาๆแล้วเตรียมเครื่องดื่มสำหรับทั้งสอง สักพักใหญ่การจัดวางอาหารเสร็จสิ้น คนรับใช้เดินออกไปจากห้องทั้งหมดเพื่อปล่อยให้พวกเขารับประทานกันตามลำพัง
“วันนี้ผมให้จัดอาหารพื้นเมืองของมฆวันซึ่งเรียบง่าย เน้นผัก เนื้อสัตว์มีเล็กน้อย มันจะทำให้รู้จักบ้านเมืองของเราดีขึ้นเพราะคุณคงอยู่นานทีเดียว”
สริตามองจานอาหารบนโต๊ะเบื้องหน้าซึ่งประกอบด้วย ผัดผักหน้าตาแปลกๆ เนื้อสัตว์มีสีเข้ม ข้าวสวยร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นคุ้นจมูก
“นี่เป็นข้าวหอมมะลิใช่ไหม ?” หล่อนถาม พลางสูดดมกลิ่นข้าวใกล้ๆ
“ใช่แล้ว ในวังจะใช้ข้าวชนิดนี้เป็นหลัก ซื้อมาจากเมืองไทย !”
“คนของท่านหุงข้าวหอมมะลิได้ดีเหมือนคนไทยเลย เก่งจัง” หล่อนใช้ตะเกียบคีบข้าวสวยใส่ปากทันที พลางหลับตาลง “คิดถึงข้าวที่บ้านแล้วสิ”
เจ้าชายตักกับข้าวใส่จานของหล่อน พลางเอ่ยว่า “ลองชิมอาหารของเรา แล้วจะติดใจฝีมือแม่ครัวของเรือนนี้ เธอทำเก่งมาก”
สริตาตักชิมอาหารทุกจานด้วยความอยากรู้ แล้วบอกสรุปว่า “ปรุงได้รสชาติดี ไม่ต้องเติมเครื่องปรุงเลย เยี่ยมค่ะ”
“แกล้งชมหรือเปล่า ?” เขาบอกสัพยอก พลางหัวเราะเบาๆ
“การติ เป็นการสร้างและช่วยแก้ไขที่ดี ถ้าของดีอยู่แล้ว ต้องชมค่ะ” หล่อนตอบเล่นลิ้นเล็กน้อย ดวงตาพราววับ
“คนทำชอบให้กินมากๆ”
“ฉันไม่เกรงใจนะ” หล่อนบอก แล้วตักอาหารรับประทานโดยไม่รอคำตอบอีก
เจ้าชายนั่งจิบชาและตักขนมวุ้นใส่ปาก ดวงตามองท่าทางเอร็ดอร่อยของสาวไทยด้วยความสบายใจ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วทั้งสองเลือกไปนั่งชมพระจันทร์ที่ระเบียงนอกห้องพร้อมน้ำชาร้อนหอมกรุ่นที่เจ้าชายเป็นคนจัดเตรียมด้วยตัวเอง สริตาลองจิบชาร้อนถ้วยนั้นโดยเขามองด้วยความอยากรู้ว่าจะได้ยินคำติชมแบบไหน
“ไม่ใช่ชาจีนใช่ไหม ?” หล่อนถาม เมื่อวางถ้วยชาลง
“ใบชาชนิดนี้ชาวมฆวันปรับปรุงจากชาจีน แล้วใช้เฉพาะในวังนี้เท่านั้น”
“มิน่าล่ะ กลิ่นไม่คุ้นเลย”
“คุณดื่มชาจีนด้วยหรือ ?”
สริตายิ้มแหย “ดื่มแบบบางๆเท่านั้น ทนขมปากไม่ไหว แต่ชอบคุณสมบัติของชาค่ะ”
“แบบบางๆรึ ?” เขามีสีหน้างง
“แม่ชงให้เจือจางลงแล้วแช่ในตู้เย็น ฉันชอบดื่มเย็นค่ะ”
เจ้าชายยิ้ม “มันเป็นวิธีดื่มชาแบบหนึ่ง ตอนนี้คิดถึงบ้านมากไหม ?”
“คิดถึงมาก แต่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้” ใบหน้าของสาวไทยหมองเศร้าชัด
“ช่วงนี้การสื่อสารของที่นี่มีปัญหา ถ้าคลี่คลายลงแล้ว คุณอาจใช้มือถือของผมติดต่อกับแม่ได้ ขอให้อดทนหน่อย”
“ฉันไม่มีทางเลือกนี่นา..........” หล่อนถูมือไปมา พลางบ่นว่า “........ฉันอยากเล่นเนตใจจะขาดแล้ว”
“ที่นี่มีหลายอย่างให้คลายความคิดถึงบ้านและคอมพิวเตอร์ได้นะ”
“ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ฉันมองเห็นแค่บ้านและคอมพิวเตอร์เท่านั้น ครั้งนี้จะลองมองสิ่งอื่นบ้าง ฉันมีคำถามค่ะ”
“ถามสิ”
“ตอนที่เรามาถึงเรือนแห่งนี้ท่านมีสีหน้าเครียดมากเมื่อพบกับผู้ชายคนนั้น เขามีบางอย่างที่ไม่ถูกใจท่านใช่ไหม ?”
“ไม่ถูกใจรึ ?” เขายิ้ม ยามได้ยินคำพูดของหล่อน “ผมเกลียดเขา แต่ต้องยอมรับอำนาจของเขา !”
“เขามีอำนาจมากรึ ?”
“เขาเป็นมหาอำมาตย์ที่ดูแลวังไวชยันต์ ถือเป็นผู้มีบารมีมากระดับต้นๆ แค่เป็นรองจากท่านพ่อซึ่งเป็นประมุขของประเทศมฆวันเท่านั้น หากเขาทำงานตามหน้าที่ ผมคงสบายใจมากกว่านี้เมื่อปราศจากท่านพ่อ”
“ผู้มีบารมีรึ ?” หล่อนเบ้ปากเล็กน้อย “ฉันเอียนคำนี้จากเมืองไทยมาแล้ว ยังต้องได้ยินที่ประเทศของท่านอีกรึ ?”
“ทำไมต้องเอียนล่ะ ?”
“ผู้มีบารมีในบ้านเมืองของฉันก็ไม่อยู่ในร่องรอยอันควร คิดชิงอำนาจจากผู้นำที่ถูกคัดเลือกจากชาวบ้านเพียงแค่เหตุผลที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา ก็ทำลายกติกาบ้านเมืองที่เขาพร่ำบอกว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมายและระเบียบของบ้านเมืองจนกลายเป็นภาพพจน์น่านับถือของเขา มันเป็นสาเหตุหลักที่ฉันต้องหนีมาซ่อนตัวที่นี่ไง”
“คุณมีอิทธิพลกับเขามากเชียวรึ ?” เขามองทึ่งใจ
สริตาพยักหน้า “หากฉันมีชีวิตต่อไป สิ่งที่เขาสร้างมาทั้งชีวิตต้องพังทลายลงในพริบตาเดียว เขาต้องฆ่าฉันเท่านั้น”
“คุณเป็นประโยชน์ต่อท่านวรุตม์มาก จึงฝากคุณไว้กับผมสินะ”
“ใช่แล้ว ชีวิตของฉันฝากไว้ที่ท่านแล้ว” หล่อนบอกเสียงอ่อน ดวงตามองดาวส่องประกายบนท้องฟ้า “ฉันอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด แต่ก็กำหนดชะตาของตัวเองไม่ได้”
เจ้าชายหัวเราะ พลางเอ่ยว่า “ผู้มีบารมีของพวกเราทั้งสองมีพฤติกรรมเหมือนกันอย่างเหลือเชื่อทั้งที่อยู่คนละซีกโลก คุณเกลียดเขาคนนั้นไหม ?”
“เกลียดสิ เขาทำให้ฉันต้องแยกจากแม่ แล้วยังคิดจะสังหารคนบริสุทธิ์อย่างฉัน ไม่เห็นแก่ความผาสุกของประชาชนและบ้านเมืองอย่างแท้จริง เขาทำเพื่อตัวเอง”
“พวกเราเกลียดผู้มีบารมีนอกคอกสินะ”
“ใช่แล้ว”
เจ้าชายยกถ้วยชาขึ้น พลางเอ่ยว่า “สาปแช่งให้พวกเขาชะตาขาดโดยไว เราจะได้สบายกัน”
“เห็นด้วย” หล่อนยกถ้วยชาไปแตะถ้วยของเขา
ทั้งสองหัวเราะแล้วพูดคุยสารพัดเรื่องและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตของพวกเขา เมื่อได้เวลาอันควรเจ้าชายจึงเดินไปส่งสริตาที่ห้องพัก เขามองประตูห้องของหล่อนอย่างใช้ความคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจยามได้พูดคุยกับสาวไทย
“เธอซ่อนบางอย่างไว้ มันคืออะไร ?” เขาคิดในใจ
ค่ำคืนเดียวกันนั้นโชตกนั่งอ่านกระดาษบนโต๊ะในห้องทำงานของมหาเสนาบดีนฤวรซึ่งเพิ่งตายจากไป เขาอ่านข้อความที่บิดาเขียนด้วยลายมือหลายเที่ยวจนแทบจำได้ทุกตัวอักษร พลางมองซองจดหมายที่รับจากโรงพยาบาลในเมืองไทยอย่างไม่สบายใจ
“ในซองนั้นมีข้อมูลที่อาจเปลี่ยนหลายชีวิตได้ จงบอกให้เจ้าชายรับรู้หรือทำตามพระประสงค์ขององค์ชเยนทราเท่านั้น” เขาพึมพำข้อความที่บิดาเขียนบอกไว้ พลางเพ่งมองอักษรสำคัญกลุ่มหนึ่ง “เปิดอ่าน เก็บไว้ ปล่อยให้เป็นคำพิพากษาจากเจ้าชายเท่านั้น เวลาของพ่อหมดแล้ว หากเกิดปัญหา ผู้คลี่คลายได้คือ นิชา”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เมื่อเขาบอกอนุญาต หญิงวัยกลางคนก้าวเท้าเข้าไปในห้องพร้อมรอยยิ้มเย็น พลางค้อมกายลง
“ข้าเพิ่งกลับจากเก็บยาบนเขา จึงมาหาท่านเป็นคนสุดท้าย”
“พี่นิชา !” โชตกยิ้มทักทาย
“นอกจากมาเยี่ยมท่านแล้ว ยังมีเรื่องจะคุยกับท่านด้วย”
“เรื่องที่ท่านพ่อฝากไว้ใช่ไหม ?”
นิชาเลิกคิ้วสูง รอยยิ้มกว้าง ยามเห็นชายหนุ่มชูกระดาษของบิดาให้เห็นถนัดตา
“ท่านเห็นคำฝากครั้งสุดท้ายแล้วสินะ”
“พี่สั่งห้ามทุกคนเข้าห้องนี้ นอกจากผม”
“โชคดีที่ท่านนฤวรให้ข้าเป็นแม่บ้าน จึงทำเช่นนี้ได้” นิชาหัวเราะเบาๆ
“พ่อวางใจพี่ที่สุด และบ้านหลังนี้พ้นจากการรบกวนของทักษาได้เพราะพี่”
“ท่านนฤวรฝากข่าวสำคัญให้ท่านรับรู้ไว้”
“ข่าวอะไร ?” เขาขมวดคิ้ว
“พินัยกรรมฉบับที่สองขององค์ชเยนทรา !”
“พระองค์เขียนพินัยกรรมหรือ ?”
“ใช่แล้ว ด้วยสาเหตุสำคัญจำต้องซ่อนฉบับที่สองไว้”
“พระองค์ไม่วางใจท่านพยนต์สินะ”
“ใช่”
นิชาบอกเล่าสิ่งที่หล่อนกระทำไปตามคำสั่งของมหาเสนาบดีนฤวรให้อีกฝ่ายรับทราบ แล้วลากลับไปพักผ่อน ปล่อยให้โชตกนั่งใช้ความคิดตามลำพัง
“พ่อบอกว่า สิ่งที่อยู่ในซองใบนี้ทำลายท่านพยนต์และหลายชีวิตได้ ส่วนพินัยกรรมจะช่วยเหลือเจ้าชาย ทำไมรัชทายาทต้องเดือดร้อนด้วยล่ะ ?” เขามองซองในมืออย่างชั่งใจ
ในที่สุดโชตกตัดสินใจเปิดซองที่ผู้เป็นบิดาย้ำหนักว่า เป็นของสำคัญที่เปลี่ยนหลายชีวิตได้ ข้อความในกระดาษซึ่งอยู่ในซองใบนั้นสร้างความประหลาดใจตั้งแต่นาทีแรก
“ผลตรวจดีเอ็นเอรึ ?”
โชตกอ่านผลตรวจที่ระบุชื่อเจ้าของเลือดว่า ชเยนท์ แต่อีกคนระบุว่าเป็นเด็กชายอายุหนึ่งขวบ โดยเขียนชื่อย่อไว้ว่า เอก
“ชเยนท์..........” เขาทวนชื่อนั้น แล้วหยิบกระดาษของบิดามาอ่านทวนข้อความอีกครั้ง
หัวใจของโชตกเย็นวาบ เมื่อเริ่มมองเห็นความนัยที่ซ่อนอยู่ในผลตรวจดีเอ็นเอที่เขารับจากโรงพยาบาลในไทย
“ผมรู้แล้วว่า ทำไมจึงทำลายหลายชีวิตได้”
โชตกอ่านผลตรวจดีเอ็นเอด้วยสีหน้าหนักใจ เมื่อต้องชั่งใจว่าจะใช้มันเพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ให้สนับสนุนเขาตามข้อเสนอของฝ่ายนั้นดีหรือไม่
***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************