จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

10.

เช้าวันต่อมาโชตกเดินทางไปพบรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ก่อนที่จะเข้าฟังพระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราตามนัดหมายของมหาอำมาตย์พยนต์ ซึ่งชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์เข้าวังไวชยันต์เพราะมิใช่พระญาติ ทักษากับกองทหารยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน ลูกชายของมหาอำมาตย์พยนต์เดินเข้าไปพบเจ้าของบ้านคนใหม่

“คุณมาเฝ้าผมรึ ?” โชตกถามเสียงเข้ม

“วันนี้เป็นวันเปิดพระพินัยกรรมขององค์ชเยนทรา ท่านพ่อเกรงว่าจะเกิดเรื่องน่ากังวลกับคนที่นี่ จึงให้ผมมาดูแล หวังว่าจะให้ความร่วมมือด้วย”

“ท่านพยนต์มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในวัง แต่นี่เป็นบ้านพักของอดีตผู้บริหารประเทศ มันเป็นการทำนอกหน้าที่แล้ว”

ทักษายิ้ม “ท่านนฤวรเป็นมิตรกับท่านพ่อมานาน ย่อมห่วงใยลูกหลานของเขา นี่เป็นการดูแลเท่านั้น อย่าเกรงใจกันเลย”

“คุณเฝ้าบ้านก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้กองทหารหลบทางด้วย ผมมีธุระข้างนอก”

“ท่านพ่ออยากให้คุณอยู่บ้านทั้งวัน” ทักษาบอกเน้นเสียง

“คำสั่งงั้นรึ ?”

“คำขอร้อง”

โชตกยืนนิ่ง ก่อนเดินกลับเข้าบ้านอย่างไม่พอใจ ทักษาหันไปเห็นนิชายืนมองอยู่หน้าห้องรับรองแขก จึงส่งยิ้มทักทาย

“ตอนนี้ไม่มีท่านนฤวรแล้ว เธอจะซ่อนตัวได้นานแค่ไหน.........” ทักษาพูด พลางมองบ้านพักของอดีตมหาเสนาบดีนฤวรซึ่งมีความสามารถเป็นที่หวั่นเกรงของบิดามาช้านาน “วิชาอาคมของนิชาคนเดียวดูแลบ้านหลังนี้ไม่ได้แล้ว ทักษาจะกำหนดชะตาชีวิตใหม่ของทุกคนเอง”

ทักษาเดินออกไปสมทบกับกองทหารที่นอกบ้าน โดยมีสายตากังวลของนิชามองตามไป บัดนี้ หล่อนหนักใจเมื่อขาดมหาเสนาบดีนฤวร ทักษาซึ่งจ้องคอยเวลาแห่งความอ่อนแอของบ้านหลังนี้มานานและสมหวังแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นปัญหาที่หล่อนต้องคอยแก้ไขสุดกำลัง

“ฉันไม่ยอมให้ใครแตะต้องทายาทของท่านนฤวร !” นิชาคิดมาดหมาย แล้วเดินกลับเข้าบ้าน

ก่อนเดินทางไปยังตำหนักใหญ่เพื่อรับฟังพระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทรานั้นเจ้าชายอัคนีพยายามติดต่อโชตกเพื่อส่งสริตาไปอยู่ที่บ้านของฝ่ายนั้น แต่โทรศัพท์ทุกระบบถูกตัดขาด เมื่อสอบถามจากข้าหลวงจึงได้ความว่าเป็นคำสั่งของมหาอำมาตย์พยนต์มิให้ใช้การสื่อสารทุกชนิดในวังจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง เขาสั่งจัดเตรียมรถยนต์เพื่อส่งสริตาไปที่บ้านของโชตกก่อนโดยให้พ่อบ้านตามไปด้วย ท่าทางเคร่งเครียดของเจ้าชายทำให้หล่อนจำต้องทำตามโดยไม่กล้าซักถาม หล่อนคิดว่าจะไปสอบถามจากโชตกก็ได้ เวลาเดียวกันมหาอำมาตย์พยนต์นั่งอ่านเอกสารซึ่งรายงานเรื่องสาวไทยที่เจ้าชายอัคนีให้พำนักในเรือนศักเรนทร์ด้วยสีหน้าเรียบเย็น

“สริตารึ ?” ท่านพยนต์ทวนชื่อนั้น รอยยิ้มเหี้ยม “ของขวัญมีค่าที่จะมอบให้พันธวัชอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น”

มหาอำมาตย์พยนต์เรียกทหารวังคนสนิทเข้ามาในห้อง พลางออกคำสั่งว่า “นำทหารไปจับคนแปลกหน้าซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในวังที่เรือนศักเรนทร์ไปสอบสวนที่กรมวังเดี๋ยวนี้”

“ขอรับ” คนสนิทตอบรับ แล้วเดินจากไป

ติชิลาเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง พลางบอกว่า “ไปตำหนักใหญ่ได้แล้ว ท่านพ่อ”

“พ่อพร้อมแล้ว” ท่านพยนต์ตอบ แล้วหยิบซองสีทองติดตัวไป

เมื่อเจ้าชายอัคนีออกจากเรือนศักเรนทร์แล้ว พ่อบ้านรับแจ้งว่าหัวหน้าทหารวังนำคนบุกเข้าขอค้นหาคนแปลกหน้าซึ่งเขาคาดว่าน่าจะหมายถึง สริตา ซึ่งเจ้าชายกำชับให้ดูแลอย่างดี จึงสั่งลูกน้องพาหล่อนออกทางด้านหลังเพื่อไปยังบ้านโชตกอย่างเร่งด่วน แต่กองทหารซึ่งดักรออยู่แล้วจับสาวไทยไปขึ้นรถตู้เพื่อไปยังกรมวัง พ่อบ้านมองกังวลใจแล้วเร่งแจ้งให้เจ้าชายรับทราบโดยไม่ลืมส่งคนไปบอกข่าวแก่โชตกด้วย ข่าวนี้ไม่สามารถส่งให้โชตกได้เพราะทักษาสกัดคนจากเรือนศักเรนทร์ไว้ก่อน เมื่อทราบว่าสาวไทยของเจ้าชายอัคนีถูกจับแล้ว ทักษารีบรุดไปที่กรมวังเพื่อพบผู้หญิงที่สงสัยว่ามีความสามารถเดียวกับเขา

มหาอำมาตย์พยนต์ประกาศเรื่องพระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราต่อหน้าพระญาติ แล้วจึงขอให้เจ้าชายพิชาญซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดทำหน้าที่อ่านเนื้อหาในพระพินัยกรรมและตรวจรับรองด้วย

“เมื่อเปิดแล้วก็ขอให้ท่านพิชาญอ่านประกาศความประสงค์สุดท้ายขององค์ชเยนทราต่อหน้าทุกคนด้วย” ท่านพยนต์กล่าว หลังจากให้เวลาตรวจสอบความถูกต้องของพินัยกรรมแล้ว

เจ้าชายพิชาญปรายตามองมหาอำมาตย์พยนต์เล็กน้อย ก่อนพูดว่า “พินัยกรรมฉบับนี้สั่งปลดรัชทายาทองค์ปัจจุบัน แล้วมอบตำแหน่งนี้แก่เจ้าชายเอกทัศน์ของพระสนมกุลนาถ นอกจากนั้นยังกำชับให้มอบตำแหน่งประมุขแห่งดินแดนมฆวันแก่รัชทายาทด้วย ข้อความสั้นๆมีเพียงเท่านี้”

สิ้นคำประกาศพินัยกรรมที่มหาอำมาตย์พยนต์นำเสนอต่อหน้าทุกคน สีหน้าของพระญาติต่างบอกความแปลกใจยิ่งเนื่องเพราะพระเจ้าชเยนทราเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าชายอัคนีและไม่มีวี่แววความขัดแย้งใดๆระหว่างทั้งสองมาก่อน อีกทั้งเจ้าชายอัคนีไม่มีพฤติกรรมที่ส่อแสดงว่าขาดคุณสมบัติเป็นผู้นำประเทศเลย แต่พินัยกรรมปลดรัชทายาทเดิมแล้วมอบให้เจ้าชายองค์น้อยซึ่งเพิ่งถือกำเนิดเพียงไม่ถึงสองปีเท่านั้น

“เนื่องจากเจ้าชายเอกทัศน์ยังมีพระชันษาน้อยมาก จึงต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ กระหม่อมขอให้พระสนมเป็นผู้พิจารณาเลือกสรรในฐานะพระมารดาของรัชทายาท” ท่านพยนต์หันไปทางพระสนมกุลนาถซึ่งนั่งอยู่กับลูกชายด้วยใบหน้าเศร้า

“ฉันกับลูกหวังว่าจะได้รับความดูแลจากพวกท่านทั้งหลาย ส่วนการแต่งตั้งนั้นขอเสนอให้ท่านพยนต์..............”

เจ้าชายพิชาญเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของพระญาติและตามกฎการสืบทอดตำแหน่งพระราชาแล้ว เมื่อมีข้อขัดแย้งหรือสงสัยเกี่ยวกับรัชทายาท ฉันอยากให้ไต่สวนเรื่องนี้ใหม่”

“ไต่สวนใหม่ ? ท่านไม่เชื่อพระพินัยกรรมขององค์ชเยนทราหรือ ?” ท่านพยนต์ถามเสียงเข้ม

“ฉันเชื่อพระพินัยกรรมตัวจริงของพระองค์ แต่ไม่แน่ใจว่าฉบับไหนเป็นของจริงต่างหาก”

เสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มพระญาติ เจ้าชายพิชาญชูซองหนึ่งขึ้นสูง พลางพูดอีกว่า “ชยาศีร์แจ้งให้ฉันทราบว่า ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์นั้นได้มอบพระพินัยกรรมฉบับนี้ให้เขาด้วยมือของพี่ชาย ฉันจะขอเปิดซองอ่านต่อหน้าทุกคนเพื่อเปรียบเทียบข้อความกับฉบับของท่านพยนต์ ถ้าเหมือนกัน ทุกอย่างก็ยุติ หากพบความแตกต่าง ก็ต้องพิสูจน์ความจริงกัน”

มหาอำมาตย์พยนต์หันขวับไปมองเจ้าชายอัคนีกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ แววตาไม่พอใจ

“พระพินัยกรรมฉบับนี้ยืนยันยกราชสมบัติแก่เจ้าชายอัคนีในฐานะรัชทายาท และกำชับให้........” เจ้าชายพิชาญปรายตามองมหาอำมาตย์เฒ่านิดหนึ่งก่อนอ่านต่อไปว่า “...........ต้องปลดมหาอำมาตย์พยนต์ออก แล้วตั้งคนใหม่ตามความเหมาะสม นอกจากนั้นยังขอให้สนับสนุนโชตกสืบทอดงานของท่านนฤวรด้วย”

เหล่าพระญาติต่างมีสีหน้าสับสนใจกับข้อความที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะฉบับล่าสุดนี้ยังกำชับแก่รัชทายาทให้ปลดมหาอำมาตย์พยนต์อย่างชัดเจนซึ่งบ่งบอกความไม่พอใจของพระเจ้าชเยนทราอย่างมาก พระสนมกุลนาถมีสีหน้าซีดเล็กน้อยยามได้ยินข้อความนั้น ขณะที่ใบหน้าของมหาอำมาตย์พยนต์ร้อนผ่าว อารมณ์เดือดดาลยิ่ง แต่เขาพยายามระงับไว้เต็มที่

“ท่านพยนต์คงเห็นความแตกต่างในเนื้อหาแล้วใช่ไหม ?” เจ้าชายพิชาญถาม

“พระพินัยกรรมที่กระหม่อมนำเสนอต่อท่านเป็นลายมือของพระองค์จริง ท่านก็เห็นแล้ว ฉบับของท่านรองฯต้องเป็นของปลอมแน่”

“ลองเปรียบเทียบด้วยสายตาก็คล้ายกันมาก” เจ้าชายพิชาญกล่าว พลางกวักมือเรียกพระญาติซึ่งเคยทำงานเป็นเลขาส่วนพระองค์มานานเพื่อให้ดูตรวจสอบอีกครั้ง

“มันคล้ายกัน แต่.........” อดีตเลขาส่วนพระองค์ชะงักคำพูดไว้

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์เอ่ยเน้นเสียงว่า “พี่ชายเป็นผู้ส่งมอบพินัยกรรมฉบับนี้ด้วยมือในคืนที่พระองค์ตาย”

“ท่านกล่าวอ้างอย่างไร้หลักฐาน” ท่านพยนต์พูดโต้

“คืนที่ท่านไปพบพระองค์ ท่านสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มมาเข้าเฝ้ากลางดึก ฉันเห็นท่านถนัดตาก่อนจะเดินออกด้านหลัง สมุดเฝ้าก็มีชื่อและเวลาของท่านใช่ไหม ?”

มหาอำมาตย์เฒ่ายืนอึ้ง พลางเถียงว่า “ใครก็ดูข้อมูลนั้นได้ แต่ท่านยืนยันไม่ได้ว่าพระองค์เขียนพินัยกรรมฉบับนั้น มันจึงเป็นของปลอมอย่างแน่นอน”

“ท่านเห็นองค์ชเยนทราเขียนฉบับของท่านงั้นรึ ?” ท่านชยาศีร์ย้อนถาม

“เมื่อมีการโต้เถียงกัน จึงต้องพิสูจน์ว่าฉบับไหนถูกต้อง” เจ้าชายพิชาญเอ่ยตัดบท สีหน้าขรึม พลางโบกพระพินัยกรรมทั้งสองฉบับ “รัชทายาทซึ่งสืบทอดบัลลังก์ต้องครอบครองอย่างสง่างามและเป็นที่ยอมรับโดยปราศจากความเคลือบแคลงใจ พวกเราควรไต่สวนหาความแท้จริงของพระพินัยกรรมก่อน ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่ ?”

“เห็นด้วย” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง

มหาอำมาตย์พยนต์มีสีหน้าไม่พอใจชัด “พวกท่านกำลังขัดพระประสงค์สุดท้ายขององค์ชเยนทรานะ”

“เราจะหารัชทายาทตามพระพินัยกรรมของพระองค์ต่างหาก”

“แต่..........”

อดีตเลขาส่วนพระองค์ซึ่งสูงวัยมากยิ้มเย็น ดวงตาพราววับ “ฉันมีวิธีพิสูจน์ความถูกต้องของพระพินัยกรรมอย่างแน่นอน แต่ต้องใช้เวลาพอควรเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย”

“ทำอย่างไร ?” รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ถามสงสัย

“ฉันจะทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ด้วยการบอกข้อมูลลับที่ใช้พิสูจน์พระพินัยกรรม เชื่อว่าท่านพยนต์และท่านชยาศีร์จะยอมรับผลของมันได้แน่” อดีตเลขาส่วนพระองค์บอกอย่างมั่นใจ

“กระหม่อม............”

เจ้าชายพิชาญเอ่ยขัดว่า “ท่านไม่เชื่อใจเลขาส่วนพระองค์ซึ่งทำงานใกล้ชิดงั้นรึ ?”

“หากให้ตัดสินพินัยกรรมในวันนี้ ฉันก็แยกได้แล้ว แต่เพื่อความเป็นธรรมและเป็นที่เชื่อใจกันแน่นอน จึงอยากอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ยืนยันมากกว่า หากฟังคำตอบจากฉันแล้วจะหนาวนะ ท่านพยนต์”

มหาอำมาตย์พยนต์มองสบนัยน์ตากับอดีตเลขาส่วนพระองค์ด้วยหัวใจเย็นเยือก บางสิ่งเกิดความผิดพลาดงั้นรึ ? เขาคิดหวั่นใจ

“มันเป็นอำนาจของฉันด้วย” เจ้าชายพิชาญเอ่ยเตือนในที

“กระหม่อมมีหน้าที่ส่งมอบพระพินัยกรรมเท่านั้น คงต้องฝากท่านแล้ว หวังว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าชายเอกทัศน์ด้วย”

“เขาเป็นหลานของฉันอีกคนหนึ่ง” เจ้าชายพิชาญตอบ พลางหันไปหาเหล่าพระญาติ “ฉันจะใส่พินัยกรรมทั้งสองฉบับในซองใสแล้วปิดผนึก โดยขอตัวแทนพระญาติสามคนขึ้นมาเซ็นชื่อกำกับบนซองทั้งสองใบเพื่อเตรียมนำไปพิสูจน์หาพินัยกรรมฉบับแท้ต่อไป ฉันขอมอบหน้าที่ดูแลการตรวจสอบให้ทองเก้าด้วย”

ทองเก้า อดีตเลขาส่วนพระองค์ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ

“อีกเรื่องหนึ่งที่อยากบอกให้ทุกคนรับทราบด้วย คือ พระพินัยกรรมที่ท่านรองมหาเสนาบดีฯยื่นไว้นี้มีระบุด้วยว่า พินัยกรรมเขียนไว้สองฉบับ แต่ไม่บอกว่าอยู่กับใคร นอกจากการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว หากนำฉบับที่สองมาเปรียบเทียบได้ จะยืนยันรวดเร็วว่าฉบับไหนเป็นของปลอมด้วย”

เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง มหาอำมาตย์พยนต์ยืนขัดเคืองใจยิ่ง

“บ้านเมืองขาดผู้นำไม่ได้ วังไวชยันต์ต้องมีประมุข” ท่านพยนต์เอ่ยท้วง พลางหันไปทางพระสนมกุลนาถ “เมื่อไม่มีองค์ชเยนทรา พระสนมจึงน่าจะทำงานนี้แทนไปก่อน”

“พระสนมดูแลวังในอยู่แล้ว ห้ามก้าวก่ายเรื่องบริหารประเทศเด็ดขาด มันเป็นกฎ” พระญาติองค์หนึ่งกล่าวแย้งขึ้น

“แต่วัง..........” ท่านพยนต์พยายามโต้เถียง

เจ้าชายพิชาญยิ้มเย็น “ท่านมหาอำมาตย์ก็ดูแลเรื่องในวังตามหน้าที่ รัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์ชเยนทราควรทำงานแทนไปก่อนจนกว่าจะพิสูจน์พระพินัยกรรมได้ จึงค่อยทำพิธีสถาปนาขึ้นสืบทอดอำนาจตามราชประเพณี”

“แต่พระพินัยกรรมปลดเจ้าชายอัคนีแล้ว จึงไม่............”

“พิธีแต่งตั้งรัชทายาทเดิมยังสมบูรณ์ตามกฎหมายและประเพณีของวังไวชยันต์ เจ้าชายอัคนียังเป็นรัชทายาทที่ถูกต้องจนกว่าจะพิสูจน์เรื่องพระพินัยกรรมได้ ท่านต้องเคารพกฎหมายด้วย”

มหาอำมาตย์เฒ่าอึ้ง พลางกวาดตามองเหล่าพระญาติซึ่งมีท่าทีสนับสนุนคำพูดของเจ้าชายพิชาญ หากเขาขัดขวางต่อไป คงต้านทานไม่ได้ เมื่อต้องการใช้กฎหมายตอบโต้กับเขา ต่อไปเขาจะใช้อำนาจของตนทำตามที่ปรารถนาบ้าง ท่านพยนต์คิดมาดหมาย

“กระหม่อมต้องเคารพกฎหมายอยู่แล้ว”

เจ้าชายอัคนีมองมหาอำมาตย์พยนต์อย่างระแวงใจ ด้วยเชื่อว่าชายคนนี้ต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้การยอมรับกฎหมายแน่

การประชุมเหล่าพระญาติเสร็จสิ้นแล้วรองมหาเสนาบดีชยาศีร์เดินออกมาพร้อมกับเจ้าชายอัคนีด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พลางปรายตามองมหาอำมาตย์พยนต์ซึ่งเดินไปกับคณะของพระสนมกุลนาถ

“พยนต์ต้องมีแผนร้ายต่อไปแน่”

เจ้าชายอัคนียิ้มเย็น “พวกเราค่อยแก้ทีละเปลาะเถอะ”

“ถ้ามีพระพินัยกรรมฉบับที่สองในมือ เรื่องก็ไม่เยิ่นเย้ออย่างนี้” รองมหาเสนาบดีฯบ่นอุบอิบ

“ท่านพ่อคงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่เก็บพินัยกรรมสองฉบับไว้ด้วยกัน เราอยากทราบเหมือนกันว่าอีกฉบับอยู่ที่ใคร ?”

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ลดเสียงลง ยามเอ่ยว่า “อาพอเดาได้ว่ามันอยู่กับใคร ?”

“ใคร ?”

“พี่ชายเชื่อใจเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอคิดว่าของสำคัญขนาดนี้จะมอบให้ผู้ใด”

“ท่านนฤวรรึ ?”

“ใช่แล้ว”

“โชตกอาจทราบก็ได้”

รองมหาเสนาบดีฯพยักหน้า “พวกเราต้องไปถามเขา ก็น่าจะหาคำตอบได้”

“ท่านพยนต์คงคาดเดาได้เช่นกัน โชตกลำบากแน่” รัชทายาทหนุ่มมีสีหน้ากังวล

“พวกเราไปคุยกับโชตกเถอะ”

เจ้าชายอัคนีเห็นด้วย พลันขมวดคิ้วแน่นยามเห็นคนรับใช้ยืนรออยู่ข้างรถยนต์

“เกิดเรื่องหรือ ?” เจ้าชายอัคนีถามเสียงรัว

คนรับใช้กระซิบบอกตามคำสั่งของพ่อบ้าน รองมหาเสนาบดีชยาศีร์เห็นสีหน้าโมโหของหลานชาย จึงถามว่า “เรือนของเธอเกิดเรื่องไม่ดีหรือ ?”

“ท่านพยนต์ส่งทหารวังไปจับสริตา”

“จับสาวไทยคนนั้นรึ ? ทำไม ?”

“เราไม่รู้ แต่เขาไม่ควรทำเช่นนี้” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

“ผู้หญิงคนนั้นล่ะ ?”

“คาดว่าถูกนำตัวไปที่กรมวังแล้ว เราจะไปที่นั่น”

“อาไปด้วย” รองมหาเสนาบดีฯบอก พลางเอ่ยเตือนว่า “กรมวังอยู่ในอำนาจของมหาอำมาตย์พยนต์ คิดจะช่วยคนต้องรอบคอบหน่อย”

“นั่งคิดไปในรถก็ได้” เขาตอบ แล้วก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง สีหน้าเครียด

สริตามองสำรวจกรงขังที่อับชื้นและมืดสลัว นอกจากอาศัยแสงที่ลอดผ่านช่องซี่กรงเหล็กที่ผนังห้องด้านหนึ่งแล้ว หล่อนแทบมองรอบกายไม่ได้เลย หากหมดแสงแดดหล่อนคงต้องนั่งในความมืด มันเป็นห้องขังในวังไวชยันต์ที่มีสภาพแย่กว่าคุกในไทยเสียอีก

“นักโทษในวังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานคุกทั่วโลก ผิดคาดจริงๆ” หล่อนบ่น ยามนั่งขัดสมาธิและควบคุมสติได้มากขึ้นหลังจากถูกทหารวังจับกุมไว้สักพักใหญ่

สริตาเชื่อมั่นว่าเจ้าชายอัคนีต้องมาช่วยเหลือหล่อนเร็วที่สุด สิ่งที่หล่อนสัมผัสได้คือ ความขัดแย้งภายในวังที่ส่งผลไม่ดีต่อหล่อน เสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามาทำให้หล่อนมองไปที่ซี่กรงเหล็ก

“เธออยู่ในเรือนศักเรนทร์ใช่ไหม ?” เสียงผู้ชายดังขึ้น

สริตาไม่อาจเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้ชัดเพราะแสงสว่างไม่พอ พลางตอบว่า “ฉันเป็นแขกของเจ้าชายอัคนี”

เจ้าของเสียงเปิดไฟฉายส่องไปยังสาวไทย หล่อนแสบตามาก จึงใช้มือบังแสงไว้

“เอามือออกจากใบหน้าเดี๋ยวนี้ !” เขาบอกกระชากเสียงห้วน

“ฉันแสบตานะ บ้าจัง”

“เอามือออก !”

สริตาไม่ชอบน้ำเสียงบังคับของชายคนนั้น จึงหันหน้าเข้าผนังห้องทันที

“อยากดูก็เข้ามาข้างในสิ”

“เธอ..........” ทักษาเม้มปากขัดเคืองใจ พลางสั่งผู้คุมว่า “........เปิดห้อง !”

เสียงไขกุญแจห้องทำให้สริตาหวั่นใจมากกับสิ่งที่ต้องพบต่อไปข้างหน้า หล่อนวิ่งไปยืนที่มุมห้องซึ่งมืดที่สุด พลางคิดถึงวิธีปกป้องตัวเองด้วยพลังจิตที่เคยฝึกฝนกับมารดา

“เจ้าชายอัคนีอยู่ที่ห้องกลาง กระหม่อมต้องนำเธอไปพบเจ้ากรมวังเดี๋ยวนี้ขอรับ” เสียงชายอีกคนดังขึ้น

ทักษาชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าไปในห้องขังทันใด ดวงตาวาวโรจน์ ก่อนตัดสินใจบอกว่า “พาเธอออกไปได้”

ชายสี่คนเดินกรูเข้าไปในห้องขังแล้วพาสาวไทยออกมาโดยหล่อนถูกปิดตาและเลือกจะไม่ใช้พลังจิตตามที่หล่อนตั้งใจไว้เมื่อทราบว่าเจ้าชายอัคนีมาหาหล่อนแล้ว ทักษายืนมองสาวไทยอย่างเคืองใจที่ไม่อาจพิสูจน์ข้อสงสัยของตัวเองได้ในครั้งนี้

เจ้าชายอัคนีกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์นั่งอยู่ที่ห้องกลางของกรมวัง ส่วนเจ้ากรมวังยืนกระอักกระอ่วนใจกับการปรากฏตัวของทั้งสองด้วยจุดประสงค์เดียวคือ การรับสริตาไป อันเป็นการขัดต่อคำสั่งของมหาอำมาตย์พยนต์ที่ให้กักขังสาวไทยไว้ เมื่อผู้คุมพาสริตาเข้าไปในห้องนั้นและแก้ผ้าผูกตาออก หล่อนวิ่งไปหารัชทายาทแห่งประเทศมฆวันทันที เขามองเห็นความมอมแมมตามใบหน้าและร่างกาย

“คุณได้รับอันตรายหรือเปล่า ?”

สริตาปรายตามองผู้คุม พลางตอบว่า “ฉันถูกขังในคุกมืด สกปรก อับชื้น ท่านเห็นความมอมแมมของฉันไหม ? ฉันมีความผิดอะไร ? พวกเขาไม่ให้ฉันพูดสักคำ แล้วยังมีคนแปลกหน้าไปขอดูหน้าของฉันในคุกอีกด้วย”

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ขมวดคิ้ว “คนแปลกหน้าเป็นใคร ?”

“ฉันไม่รู้”

“เจ้ากรมวังน่าจะตอบได้” เจ้าชายอัคนีมองคาดคั้น

เจ้ากรมวังมีท่าทางอึกอัก เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้น ทุกสายตาหันไปทางประตูอย่างสนใจ จึงเห็นมหาอำมาตย์พยนต์กับลูกชายเดินเข้ามาในห้องกลาง

“ฉันไม่อยากอยู่ในคุกอีกแล้ว” สริตากระซิบกับรัชทายาทหนุ่ม

“ผมจะพาคุณกลับเรือนให้ได้ วางใจเถอะ” เจ้าชายตอบเน้นเสียง พลางหันไปมองสบนัยน์ตากับมหาอำมาตย์พยนต์ที่ค้อมศีรษะคำนับเบื้องหน้า

“เจ้าชายกับท่านชยาศีร์ขอให้ปล่อยสาวไทยคนนี้ ข้าแจ้งแล้วว่าต้องให้ท่านไต่สวนก่อนขอรับ” เจ้ากรมวังพูดรายงานอย่างโล่งใจ

มหาอำมาตย์พยนต์ยิ้มที่มุมปาก พลางหันบอกเจ้าชายว่า “กระหม่อมรับแจ้งว่าเรือนของท่านมีคนแปลกหน้าเข้าพักอาศัยโดยยังไม่มีการบันทึกตามระเบียบ จึงอยากไต่สวนก่อน หวังว่าจะได้รับความร่วมมือด้วย”

“เราให้พ่อบ้านจัดการเรื่องนี้แล้ว เธอเพิ่งเข้าพักเมื่อคืนนี้ แต่ทหารวังไปจับเธอตอนเช้า ท่านทำเกินเหตุไปล่ะมัง” เจ้าชายตอบเสียงเรียบเย็น

มหาอำมาตย์พยนต์ยิ้ม พลางปรายตามองสาวไทย “กระหม่อมอาจใจร้อนเกินไป แต่ทำเพื่อความปลอดภัยของวังไวชยันต์ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรง โปรดเห็นใจด้วย”

“ท่านจะปล่อยเธอได้หรือยัง ?”

สริตารู้สึกผิดสังเกตที่ชายหนุ่มมาดดุเข้มซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมหาอำมาตย์เฒ่าจ้องมองหล่อนตลอดเวลา เมื่อหล่อนมองสบนัยน์ตาด้วย พลันความเจ็บแล่นปราดทั่วทรวงอก ร่างเซเล็กน้อย

“ไม่สบายหรือ ?” รองมหาเสนาบดีฯถาม พลางสังเกตเห็นอาการนิ่วหน้าของหล่อน

“เจ็บ.....” หล่อนกุมมือที่ทรวงอกด้านซ้าย แล้วเบือนสายตาจากชายหนุ่มคนนั้น

อาการเจ็บแปลบเมื่อครู่นี้เริ่มเลือนจางลง สาวไทยยืนตัวตรงอีกครั้งโดยมีสายตาห่วงใยของเจ้าชายอัคนีมองอยู่ หล่อนชำเลืองมองชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างระแวงใจ

ทักษาเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง ขณะที่มหาอำมาตย์พยนต์เอ่ยว่า “กระหม่อมจะสอบสวนเธออย่างเร็วที่สุด ถ้าท่านทั้งสองจะให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วยการปล่อยให้ซักถามกันตามลำพัง”

“สริตาเป็นแขกของเรา ถ้าอยากซักถามก็รีบทำเดี๋ยวนี้” เจ้าชายบอกเน้นเสียง

“กระหม่อมต้องการซักถามตามลำพัง ถ้าไม่ได้ ก็ต้องขังเธอไว้ก่อนจนกว่าจะพร้อมให้สอบสวนเท่านั้น”

“ท่าน...........” ดวงตาของรัชทายาทหนุ่มบอกความไม่พอใจชัด

“นี่เป็นกรมวังที่มีระเบียบของตนเอง”

คำยืนยันของมหาอำมาตย์พยนต์สร้างความไม่สบายใจแก่สริตาที่ต้องอยู่ตามลำพังกับคนที่ไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายสูงวัยซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดหัวใจของหล่อนเมื่อกี้นี้

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์เอ่ยแทรกขึ้นว่า “พวกเราขอฟังการซักถามของท่านโดยไม่ขัดขวางการสอบสวนใดๆ ระเบียบของกรมวังไม่ได้ห้ามการรับฟังนี่นา”

“หากพวกท่านรับปากจะนั่งฟังเฉยๆ กระหม่อมจะยอมอลุ้มอล่วยให้ก็ได้”

“เราจะรับฟังเท่านั้น”

“กระหม่อมไม่ได้รับปากจะปล่อยเธอ หากเกิดความสงสัยต่อสถานะของผู้หญิงคนนี้ ขอให้เข้าใจตรงกันด้วย” ท่านพยนต์พูดดักคอไว้

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์สะกิดปรามหลานชายไว้เมื่อเขาจะพูดโต้ตอบ พลางเอ่ยว่า “ฉันเข้าใจข้อนี้อย่างดี ทำงานของท่านโดยเร็วเถอะ”

ก่อนเริ่มการไต่สวนสริตานั้นพ่อบ้านของเรือนศักเรนทร์นำเอกสารมอบให้เจ้าชายอัคนีไว้แล้วลาจากไป รัชทายาทหนุ่มส่งมอบให้มหาอำมาตย์พยนต์ทันที

“ใบรับแจ้งการเข้าอยู่ในเรือนของเราเพิ่งออกมาเมื่อครู่นี้ ท่านพอใจหรือยัง ?”

มหาอำมาตย์พยนต์อ่านข้อความในเอกสาร ริมฝีปากเหยียดเล็กน้อย

“ตามระเบียบของวังไวชยันต์องค์รัชทายาทแค่แจ้งให้กรมวังรับทราบเท่านั้น แล้วยังต้องทำเอกสารขออนุญาตจากท่านด้วยไหม ? กฎใหม่หรือเปล่า ?” รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ถามเหน็บในที

“ขอหนึ่งคำถาม” ท่านพยนต์หันไปทางสาวไทย

สริตาพยักหน้ารับ ท่านพยนต์ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า “เธอมีกำหนดกลับเมืองไทยเมื่อไร ?”

สาวไทยทำท่าจะตอบ เจ้าชายเอ่ยแทรกว่า “ยังไม่มีกำหนดแน่นอน เมื่อเธอจะกลับ เราต้องแจ้งให้ท่านรับทราบตามขั้นตอน”

“พวกเรากลับได้หรือยัง ?” รองมหาเสนาบดีฯถาม

“กระหม่อมหมดข้อสงสัยเฉพาะเวลานี้แล้ว หวังว่าเธอจะเรียนรู้กฎระเบียบของวังไวชยันต์และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย เพราะเมื่อทำผิด จะถูกลงโทษเยี่ยงเดียวกับทุกชีวิตในวัง ไม่มีข้อยกเว้นเด็ดขาด”

“ฉันจะจำคำเตือนไว้” หล่อนตอบเน้นเสียงเป็นภาษาอังกฤษ

เจ้าชายอัคนีเดินนำทุกคนออกจากห้องกลางของกรมวัง โดยสริตาเร่งฝีเท้าติดตามไปอย่างโล่งใจที่ห่างจากชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นเสียที

เมื่อกลับถึงเรือนศักเรนทร์แล้วเจ้าชายอัคนีรับแจ้งจากคนรับใช้ที่บ้านมหาเสนาบดีนฤวรว่ากองทหารวังล้อมบ้านอยู่ โชตกต้องการความช่วยเหลือด้วย เขารีบรุดออกจากเรือนไปทันที ส่วนสริตาอาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น แล้วนั่งริมระเบียงนอกห้องอันเงียบสงบเนื่องจากเจ้าชายกำชับมิให้คนรับใช้รบกวนการพักผ่อนของแขก แสงแดดโรยรามากแล้วในยามเย็นหล่อนปล่อยความคิดล่องลอยไป โดยเฉพาะความคิดถึงบ้านที่รุนแรงมากขึ้นหลังจากเพิ่งรอดคุกวังมาได้ พลันร่างกายสะดุ้งแรงแล้วรีบหลบวูบลงกับพื้นเมื่อหล่อนรู้สึกว่ามีของบางอย่างพุ่งมาจากพุ่มไม้หนา มันเป็นท่อนไม้ขนาดเท่าท่อนแขนของคนพุ่งหมายกระแทกร่างของหล่อน สริตาโผล่ศีรษะขึ้นมองหาเจ้าของท่อนไม้อย่างหวั่นกลัว พลางเห็นชายคนหนึ่งก้าวเท้าออกจากพุ่มไม้อันเป็นที่มาของท่อนไม้นั้น

“สัญชาตญาณดีเหมือนกันนะ” ชายคนนั้นบอกเป็นภาษาอังกฤษชัด

ดวงตาของสาวไทยเบิ่งกว้างยามเห็นใบหน้าของชายหนุ่มถนัดตา หล่อนทำท่าจะคลานหลบสายตาของเขา

“คลานหลบไม่พ้นหรอก คุณผู้หญิง” เขาบอกเน้นเสียง ดวงตาจ้องเขม็ง

ทันใดนั้นร่างสาวไทยลอยสูงขึ้น สริตาพยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แรงอัดประหลาดเกิดขึ้นในร่างกายพุ่งปิดหลอดเสียงของหล่อนอย่างรวดเร็ว ระบบหายใจเริ่มติดขัด

“ถ้ายอมพูดคุยกันดีๆ เธอจะเป็นอิสระ พยักหน้าหรือส่ายหน้า เลือก !”

สริตานิ่งคิดชั่วครู่ แล้วพยักหน้า พลันร่างหล่นลงพื้นอย่างแรง ใบหน้าของหล่อนบอกความเจ็บปวดชัด

“โอ้ย..........” หล่อนร้องครวญออกมา พลางชำเลืองตามองชายหนุ่ม

ทักษายืนกอดอกมองแขกของเจ้าชายอัคนี รอยยิ้มขรึม พลางเดินเข้าไปใกล้สาวไทย

“เราคุยกันได้แล้วใช่ไหม ?”

“นายฆ่าฉันได้ใช่ไหม ?” หล่อนย้อนถาม ใบหน้าง้ำ

“ทุกเวลา”

สริตาเม้มปากเล็กน้อย แล้วเหยียดออก “ฉันไม่มีทางเลือก แนะนำตัวก่อนนะ”

“เธอตอบอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ถาม” เขาบอกเสียงเข้ม แววตาเอาจริง

“ฉันสงวนสิทธิ์ตอบเหมือนกัน”

“กล้าต่อรองรึ ?” เขามองเอาเรื่อง

สริตาควบคุมความกลัวได้ จึงตอบว่า “ฉันไม่รู้ว่านายทำแบบเมื่อกี้นี้ได้อย่างไร แต่อาจไม่มีรอบสองก็ได้”

“เธอทำได้เหมือนกันงั้นสิ”

สาวไทยเลือกนิ่งเงียบ ทักษาใช้ความเร็วบีบลำคอของสริตาไว้แน่น แววตาเหี้ยม

“ผมทำได้ดีกว่าเธอแน่ อย่าท้าทาย”

เสียงฝีเท้าคนดังใกล้เข้ามาสริตารู้สึกโล่งใจ เมื่อชายหนุ่มปล่อยมือแล้วบอกว่า “สักวันคงมีเวลามากกว่านี้ที่เราจะคุยกัน”

“ฉันไม่อยากคุยด้วยสักหน่อย” หล่อนบอก แล้วผลักอกของชายหนุ่มออกห่าง จากนั้นวิ่งเข้าห้องนอนทันที

ทักษามองประตูห้องของสาวไทยนิ่ง ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้เดิม เสียงเคาะประตูของคนรับใช้ดังขึ้น สริตาเปิดประตูแล้วกวาดตามองที่พุ่มไม้เมื่อกี้นี้ แต่ไม่เห็นชายหนุ่มแล้ว

“มีอะไรจ้ะ ?” สาวรับใช้ถามเป็นภาษาอังกฤษแบบตะกุกตะกัก

สริตาถอนใจโล่งอก ก่อนถามว่า “มีอะไร ?”

“พ่อบ้านสั่งให้นำอาหารมาให้คุณ”

สริตาพยักหน้ารับทราบ แล้วเปิดทางให้คนรับใช้นำถาดอาหารเข้าไปในห้อง สมองครุ่นคิดหนักกับการปรากฏตัวของหนุ่มลึกลับซึ่งน่าจะมีพลังจิตเหมือนหล่อนจึงสามารถยกร่างกายมนุษย์ลอยสูงได้ขนาดนั้นโดยไม่แสดงอาการเหนื่อยเลย มันแตกต่างจากหล่อนที่ยกของใหญ่แล้วเหนื่อยง่าย

“เขาต้องการอะไร ?” หล่อนคิดหนักใจกึ่งหวั่นกลัว

***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์