ทักษายืนบนลานดินกว้างซึ่งล้อมรอบด้วยเรือนไม้หลายหลังยาวต่อเนื่องกัน บางหลังผุพังหรือเอียงจนไม่อาจใช้งานได้ หลายหลังมีสีมัวหม่นและมีหยากไย่ห้อยตัวอยู่หน้าประตู อากาศเย็นสบายกับต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นรอบเรือนไม้และลานดิน สริตารู้สึกมีหลายดวงตาแอบมองผ่านหน้าต่าง แต่ไม่ยอมโผล่ใบหน้าออกมาให้เห็นชัดตา
“ฉันมาเยี่ยม ออกมาเถอะ” ทักษาตะโกนลั่น
สริตาชำเลืองมองชายหนุ่มซึ่งบัดนี้มีใบหน้าและรอยยิ้มอ่อนโยนผิดแผกจากทุกครั้งที่พบกันหล่อนมักเห็นแววตาเหี้ยมกร้าวของทักษา
อึดใจต่อมาผู้หญิงต่างวัยกันเดินออกมาที่ลานดิน ทุกดวงตาจ้องมองสริตาเขม็ง
“ใคร ?” หญิงสูงวัยคนหนึ่งถาม พลางยืนจ้องสาวไทยอย่างไม่เกรงใจ
“เธอคนนี้คงช่วยให้ทุกคนสบายตาขึ้นได้”
“สบายตารึ ?” หญิงคนเดิมทวนคำ พลางทำเสียงหึในลำคอ “คงช่วยได้หรอก ยังสาวอยู่นี่นา คราวนี้เป็นสนมใหม่ของท่านชเยนทราหรือ ?”
“พวกเธอพูดว่าอะไร ?” สริตาถามเสียงเบาเป็นภาษาอังกฤษ
ชายหนุ่มแปลคำพูดให้รับทราบ สริตากระซิบถามว่า “พวกเธอไม่รู้เรื่องของพระองค์รึ ?”
ทักษาพยักหน้า พลางหันมองหญิงสูงวัย ก่อนประกาศว่า “พวกเราเพิ่งจัดพิธีพระศพของพระเจ้าชเยนทราไป”
“โอ........”
สริตาสังเกตเห็นสีหน้าวิตกกังวลของผู้หญิงทุกคนในที่นั้นซึ่งคาดว่ามีประมาณยี่สิบคน หลายคนยืนคุยกันเสียงเบา บางคนร้องไห้ออกมา
“พวกเราจะอยู่อย่างไรกันต่อไป ?” หญิงวัยกลางคนใบหน้าสวยหวานที่สุดถามชายหนุ่ม
ทักษาส่ายหน้า “คงต้องรอคำสั่งจากประมุของค์ใหม่ซึ่งกำลังคัดสรรกันอยู่”
“ท่านชเยนทราตั้งรัชทายาทแล้วนี่นา ทำไม........” หญิงสูงวัยชะงักคำพูดไว้ สีหน้าสงสัย
“มันเกิดปัญหาข้องใจกันเล็กน้อย”
“ถ้าเจ้าชายอัคนีสืบทอดตำแหน่ง พวกเราคงไม่ต้อง.............” หญิงอ่อนวัยที่สุดในกลุ่มผู้หญิงของเรือนไม้พูดเสียงเครือ
หญิงสูงวัยลูบผิวกายที่เปล่งปลั่งของสริตาแล้วยิ้มน้อยๆ “ยังไม่ตอบเลยว่าหญิงคนนี้เป็นใคร ทักษา”
“เพื่อนหญิงของเจ้าชายอัคนี”
“เพื่อนหญิงรึ ?”
คำตอบของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากผู้หญิงของเรือนไม้อย่างมาก ทักษากล่าวต่อไปว่า “เธอเป็นคนไทย มิใช่ชาวมฆวัน”
“ผิวสวย เปล่งปลั่งสมวัย.........” หญิงสูงวัยมองสำรวจสริตาอย่างละเอียด รอยยิ้มเมตตา “...........แววตาสดใส เข้มแข็งแตกต่างจากผู้หญิงในวัง แต่เธอไม่ควรมีชะตากรรมเดียวกับพวกเรา เตือนเธอด้วย ทักษา”
ชายหนุ่มอมยิ้ม พลางแปลภาษาให้สาวไทยเข้าใจข้อความนั้น สริตาขมวดคิ้ว
“พวกเธอเข้าใจว่าฉันไม่ใช่เพื่อนของเจ้าชายสินะ”
“ใช่”
“ทำไมไม่อธิบายให้เข้าใจถูกต้องหน่อย ฉันเป็นเพื่อนเท่านั้น” หล่อนพูดเสียงกร้าว ใบหน้าร้อนผ่าว “ทำไมต้องเตือนฉันด้วย ?”
“อยากให้ถามไหม ?”
สริตานิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ถามสิ”
ทักษาหันไปส่งภาษามฆวันถามหญิงสูงวัย สริตาเห็นผู้หญิงที่ยืนล้อมชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยแววตาสมเพช ก่อนจะแยกย้ายไปยืนจับกลุ่มคุยกันเอง
“ทำไมไม่มีคำตอบล่ะ ?”
“พวกเธอให้ผมตอบแทน”
“ฉันกำลังฟังอยู่”
ทักษาผายมือไปยังเรือนไม้ที่ตั้งล้อมรอบลานดิน พลางเอ่ยว่า “นี่เป็นสถานที่เก็บหญิงที่ต้องตาย แต่ไม่ได้ตายจริง หากเดินเส้นทางเดียวกับพวกเธอ อาจต้องมาอยู่ที่นี่หรือตายจริง ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพระราชาองค์ใหม่”
“ฉันไม่เข้าใจ..........”
“พวกเธอเคยเป็นพระมเหสี พระสนมของพระราชาองค์ก่อน.........” ทักษายิ้มเย็น ยามมองผู้หญิงทั้งหมดที่ยืนคุยกันบนลานดิน “.........ตามกฎของวังแล้วหากพระราชาสวรรคต พระมเหสี พระสนม ที่ไม่มีลูกจะต้องถูกเผาไฟให้ติดตามไปรับใช้พระองค์บนสวรรค์ด้วย”
“เผาไฟ !” หล่อนทวนคำด้วยความสยองใจ
“เมื่อพระเจ้าชเยนทราขึ้นครองบัลลังก์ได้ประกาศยกเว้นพิธีนี้เพราะความเมตตาส่วนพระองค์ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พระญาติบางคน อันที่จริงพระองค์อยากยกเลิกประเพณีนี้ แต่เสียงสนับสนุนจากเหล่าพระญาติไม่มากพอ จึงทำได้แค่เฉพาะครั้งเท่านั้น พวกเธอจึงรอดชีวิต แต่ต้องถูกกักขังไว้ที่นี่ตลอดกาล อิสรภาพจะเกิดแก่วิญญาณของเธอ มิใช่ร่างกาย”
“น่าสงสารจัง” หล่อนทำหน้าเศร้า
ทักษาปรายตามองด้วยแววตาเยือกเย็น “ความเชื่อของบ้านหลังใหญ่นี้คือ เมียเป็นสมบัติของสามีจนตาย ความตายคืออิสรภาพแท้จริงของผู้หญิง”
“พวกเธอมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตายเท่านั้น”
“ใช่แล้ว”
“ทำไมจึงยอมเป็นสนม ?”
“กฎการเป็นสนมนั้นจะเป็นผู้หญิงคนไหนก็ได้ ผู้เลือก คือ พระราชา............” ทักษาบอกเล่า แล้วเดินพาชมเรือนไม้ทั้งหมด “..............ส่วนใหญ่พวกนางมาจากครอบครัวขุนนางหรือชาวบ้านที่อยากหนีพ้นความยากจน แต่มีลูกสาวสวย ถ้ามีลูก ก็รอดชีวิต หากไม่มี สุดท้ายต้องไปจบที่กองเพลิง มันแตกต่างจากประเทศของเธอใช่ไหม ?”
“ตอนนี้หญิงไทยมีอิสระเพิ่มขึ้น ไม่พอใจชีวิตการแต่งงานก็หย่ากันได้ ไม่ต้องแลกด้วยความตาย แม้แต่ชนชั้นสูงก็แยกจากกันง่ายขึ้น........” หล่อนตอบ พลางมองสภาพเรือนไม้ที่เก่าและผุพังไปหลายส่วนแล้ว “...........สภาพของสนมในวังไวชยันต์ดูคล้ายกับสนมของจักรพรรดิจีนที่ฉันเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์ซึ่งจักรพรรดิเบื่อหรือตาย ก็ถูกส่งไปอยู่เรือนเย็นและแก่ตายในท้ายที่สุด หลายคนก็ทนเงียบเหงาไม่ได้ จึงฆ่าตัวตาย”
“ประเพณีหลายอย่างก็มีการถ่ายทอดผ่านกันมาถึงแดนมฆวัน แล้วมีการประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับความเชื่อถือของท้องถิ่นนั้น หากมิใช่การศึกษาที่ดีของพระเจ้าชเยนทรา พวกสนมของพระราชาองค์ก่อนคงไม่เหลือซากให้เห็นในวันนี้แล้ว เธอคิดว่าเป็นเรื่องยินดีสำหรับพวกสนมเก่าไหม ?”
“การมีชีวิตอยู่ถือเป็นเรื่องดี แต่ต้องอยู่อย่างมีคุณภาพด้วย”
ทักษาทำเสียงหึในลำคอ พลางกวาดตามองพระสนมต่างวัยที่ยืนจับกลุ่มคุยกัน เขาตะโกนว่า “ส่งใบสั่งได้แล้ว”
หญิงสูงวัยที่สุดแต่ยังคงเห็นความสง่างามส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ทักษา พลางบอกว่า “ช่วยเร่งส่งของด้วย เสบียงใกล้หมด วังจ่ายของล่าช้ามาสองเดือน พวกเราแทบไม่มีของใช้กันแล้ว”
“จะเร่งส่งของให้ตามที่ร้องขอนะ” ทักษาเก็บกระดาษใส่ในอกเสื้อ
สริตาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาทักษาแล้วกระซิบบางอย่าง ชายหนุ่มแย้มริมฝีปากเล็กน้อย พลางบอกเด็กสาวว่า “เธอไปคอยรับของตามเวลานัดหมายเดิมด้วย”
“ได้จ้ะ” เด็กสาวรับคำแล้วเดินไปสมทบในกลุ่มพระสนม
“คนดักรอเล่นงานเธอ เราต้องออกไปอีกทางหนึ่ง ไปกันเถอะ” ทักษาบอก แล้วเดินนำทางไปด้านหลังของเรือนไม้โดยมีสายตาของอดีตพระสนมมองตามไปด้วยสีหน้าเย็นชา
เจ้าหญิงพิณทองยืนรออย่างกระวนกระวายใจเมื่อพระอาทิตย์ช่วงบ่ายเปล่งแสงแรงกล้าขึ้น แต่ยังไม่เห็นเจ้าชายอัคนีเดินทางมาตามคำขอของนาง คิ้วขมวดแน่นยามเห็นพระสนมกุลนาถเดินนำนางกำนัลเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าบึ้งหนัก
“มีคนละเมิดกฎเข้าเขตเหมันต์ใช่ไหม ?” พระสนมถามเสียงเคร่ง ดวงตามองไปตามเส้นทางนำสู่เขตเหมันต์
เจ้าหญิงพิณทองอึ้งชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเย็นว่า “ฉันเดินเล่นมาถึงแถวนี้เท่านั้น พระสนมเข้าใจผิดล่ะมัง”
“ท่าน...........”
เจ้าหญิงเหยียดยิ้ม พลางกล่าวดักคอว่า “พระสนมคงคาดว่าจะเห็นฉันข้ามเขตเหมันต์ล่ะมัง ผิดหวังแล้ว”
“ท่าน.........” พระสนมเม้มปากแน่น ดวงตาวาวโรจน์ “........ฉันจับนางกำนัลของท่านได้และทราบว่ามีคนละเมิดเขตเหมันต์ ท่านกำลังไปขอความช่วยเหลือจากท่านอัคนี คนที่ผิดหวังน่าจะเป็นท่านมากกว่า”
หัวใจของเจ้าหญิงสลดวูบยามคิดถึงชะตากรรมของสริตา เมื่อเจ้าชายอัคนีไม่อาจมาช่วยเหลือได้ ตอนนี้หล่อนต้องคิดหาทางแก้ไขตามลำพังแล้ว
ทักษานำสริตาเดินอ้อมกลับไปยังทางเข้าเขตต้องห้ามที่กักขังอดีตพระสนมแห่งวังไวชยันต์อีกครั้ง สาวไทยเห็นเจ้าหญิงพิณทองยืนคุยกับผู้หญิงวัยกลางคนที่สวยงามคนหนึ่งด้วยความเคร่งเครียด
“ผู้หญิงอีกคนเป็นใคร ? เธอดูมีอำนาจ” สาวไทยถาม
ทักษาเหยียดยิ้มที่มุมปาก “พระสนมกุลนาถคงคิดใช้โอกาสนี้ฆ่าเธอฐานละเมิดเขตเหมันต์”
“เขตเหมันต์ ?” หล่อนมีสีหน้างง
“เรือนไม้ที่กักขังอดีตพระสนมได้รับขนานนามว่า เขตเหมันต์ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากพระราชา พระมเหสี รัชทายาท จะมีโทษประหารชีวิตทันทีโดยไม่ต้องผ่านกรมวัง”
สริตาห่อไหล่ด้วยความสยอง ปากบ่นว่า “นายพาฉันเข้าไป ก็ตั้งใจฆ่าฉันงั้นสิ”
“เธอมายืนตรงนี้ได้เพราะผม จำได้ใช่ไหม ?” เขายิ้มนิดหนึ่ง
สาวไทยมองเจ้าหญิงพิณทองด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าหญิงจึงมาอยู่ที่นี่ ?”
“คงมาช่วยเหลือเธอล่ะมัง”
“ช่วยฉันรึ ?”
“เจ้าหญิงอาจทราบว่าเธอมาแถวนี้ จึงคิดห้ามปรามไว้ แต่ไม่ทันเวลาแล้ว ตอนนี้ยังเจอพระสนมอีก คงหนักใจน่าดู” เขาทำเสียงหึในลำคอ สีหน้าเฉยชา
“ฉันควรช่วยเจ้าหญิงคลี่คลายสถานการณ์นี้”
“จะช่วยอย่างไร ?”
“ถ้าเรื่องเกิดจากฉัน ก็ต้องแก้ด้วยตัวฉันไง”
ทักษาเลิกคิ้วสูง พลางยักไหล่ “เมื่อมายืนจุดนี้แล้ว เธอจะทำอย่างไรก็ตามใจ”
“ปล่อยฉันแล้วรึ ?”
“วันนี้ผมแค่พามาเที่ยวเท่านั้น” เขาตอบ แล้วหันหลังเดินกลับไป
สริตามองชายหนุ่มเดินลับสายตาไป จึงยืนใช้ความคิดนิดหนึ่ง ก่อนก้าวเท้าไปหาหญิงสาวทั้งสองด้วยท่าทีปกติ
เจ้าหญิงพิณทองมองตะลึงยามเห็นสริตาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง พระสนมอดประหลาดใจมิได้เมื่อสาวไทยปรากฏตัวที่หน้าเขตเหมันต์ สาวไทยค้อมกายคำนับผู้หญิงสูงศักดิ์ทั้งสอง
“ฉันมาเดินเล่นแถวนี้ มินึกว่าจะพบท่านทั้งสองด้วยค่ะ” สริตาพูดหน้าตาเฉย
พระสนมพูดเสียงกร้าวว่า “เธอเข้าไปในเขตเหมันต์นี่นา ทำไม............”
“เขตเหมันต์รึ ?............” สริตาทำหน้างง พลันแย้มริมฝีปากออก “..........หากหมายถึงทางที่ต้องเดินผ่านป้ายอักษรสีแดง ฉันเห็นป้ายนั้นแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเขตหวงห้าม จึงเดินเลี่ยงไปชมนกชมไม้ด้านอื่น แถวนี้เป็นเขตห้ามด้วยหรือ ?”
เจ้าหญิงถอนใจโล่งอก “ถ้าเป็นแดนต้องห้ามจริง พระสนมกับฉันคงยืนคุยกันไม่ได้หรอก”
“ฉันเดินมาไกลจากห้องสมุดมาก แต่เริ่มหลงทางแล้ว หวังว่าเจ้าหญิงจะมีเมตตาช่วยส่งกลับเรือนศักเรนทร์ด้วย”
“ได้สิ พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าหญิงตอบรับ แล้วเดินนำทางออกจากเขตนั้นโดยเร็ว
พระสนมมองขุ่นเคืองกึ่งประหลาดใจที่สาวไทยปรากฏตัวนอกเขตเหมันต์ ทั้งที่นางกำนัลของเจ้าหญิงพิณทองยืนยันว่าสริตาเดินข้ามเขตนั้นไปพร้อมกับทักษา
“ทักษาต้องมีส่วนช่วยเธอไว้แน่ บ้าที่สุด !” พระสนมคิดมาดหมายว่าต้องเค้นหาคำตอบจากลูกชายของมหาอำมาตย์พยนต์
เจ้าหญิงพิณทองเดินนำสาวไทยห่างจากเขตเหมันต์และพ้นสายตาของพระสนมกุลนาถแล้ว จึงหยุดยืนมองสำรวจสริตา
“ฉันไม่เชื่อคำพูดเมื่อกี้นี้หรอก เดินเล่นรึ ?” เจ้าหญิงพูดก่อน
สาวไทยอมยิ้ม “ฉันแทบไม่เชื่อว่าจะยืนตรงนี้ได้ เมื่อต้องอยู่กับทักษา แต่เขาปล่อยฉันจริงๆ”
“เธอไม่รู้มาก่อนว่า เข้าเขตต้องห้ามหรือ ?”
“แค่สงสัยเมื่อเห็นป้ายอักษรที่อ่านไม่ออก แต่กลัวทักษาจนไม่กล้าถามเขาค่ะ”
“ทักษาพาเธอออกมาโดยไม่ผ่านทางเข้ารึ ?”
“ใช่”
“มันมีทางออกจากเขตเหมันต์อีกเส้นทางหนึ่งรึ ?”
“ใช่”
เจ้าหญิงขมวดคิ้วแน่น “ฉันเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้”
“บางครั้งคนที่คิดว่าอยู่นาน ก็อาจไม่รู้จักทุกตารางนิ้วของบ้านก็ได้” หล่อนยิ้ม
“ฉันส่งคนไปเรียกพี่อัคนี แต่พระสนมจับได้เสียก่อน จึงตั้งใจมาเล่นงานเธอ โชคดีที่เธอแก้สถานการณ์ได้ ถ้าถูกจับได้คาที่ จะไม่มีข้อยกเว้นการลงโทษนี้”
“เพราะมันเป็นความลับของวังใช่ไหม ?”
“เธอรู้อะไรบ้าง ?” เจ้าหญิงถาม สีหน้าเครียด
สริตาส่ายหน้า “เจ้าหญิงเชื่อว่าฉันไม่รู้ น่าจะสบายใจขึ้นค่ะ”
“เธอเข้าใจพูดนะ”
“การไม่รับรู้ก็สร้างความสบายใจได้มากกว่ารู้ทุกเรื่อง”
“เธอเห็นว่าพวกนั้นน่าสงสารไหม ?”
สริตาปรายตามองเจ้าหญิง แล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รู้เรื่องใดๆเพราะไม่ได้เข้าเขตเหมันต์”
เจ้าหญิงพิณทองหัวเราะ พลางแตะมือของสาวไทย “พวกเรากลับเรือนศักเรนทร์กันเถอะ พี่อัคนีคงห่วงใย ถ้ายังไม่เห็นเพื่อนอยู่บ้าน วันนี้ฉันขอเป็นแขกร่วมโต๊ะด้วยนะ”
“ท่านอัคนีต้องพอใจแน่นอน”
เจ้าหญิงพิณทองชอบอุปนิสัยและความฉลาดของสาวไทยซึ่งรู้กาลเทศะการใช้ชีวิตในวังไวชยันต์อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ส่วนทักษาหวนกลับเข้าเขตเหมันต์อีกครั้งเพื่อตกลงบางอย่างกับอดีตพระสนม จากนั้นจึงเร่งจัดเตรียมแผนงานทันที
ตลอดช่วงบ่ายเจ้าชายอัคนีมิได้กลับเรือนศักเรนทร์โดยส่งทหารมาบอกข่าวแล้ว เจ้าหญิงพิณทองจึงรับประทานอาหารเที่ยงกับสริตาเท่านั้น หลังจากนั้นก็กลับเรือนพักไป ส่วนแม่บ้านนิชามาตรวจอาการของสริตาในห้องพักตามนัดหมาย
“พิษออกจากร่างกายหมดหรือยัง ?” สริตาถาม เมื่อแม่บ้านนิชาจับชีพจรแล้ว
“ชีพจรเริ่มปกติมากขึ้น แต่.........” แม่บ้านนิชามองสบนัยน์ตาของสาวไทย แล้วยิ้มขรึม “.......ดวงตาของเธอบอกว่ายังมีพิษอยู่ในร่างกาย”
“ดวงตารึ ?”
“มันยังมีสีเหลืองแฝงอยู่”
“ฉันควรทำอย่างไรเพื่อขับพิษให้หมด”
“พิษครั้งแรกยังไม่หมด ติชิลาเพิ่มพิษครั้งที่สองซ้ำอีก ปริมาณไม่ลดลงเลย ถ้ายังรับพิษครั้งที่สามซึ่งเป็นชนิดเดียวกัน ก็ตายแน่”
“ไม่มียาถอนพิษหรือ ?”
แม่บ้านนิชาส่ายหน้า “ติชิลาผสมพิษขึ้นใหม่ มันไม่อยู่ในตำราของฉัน หากจะทำยาถอน ก็ต้องใช้เวลามาก ทางที่ดีคือ เลี่ยงการรับยาพิษใหม่”
“พูดแล้วฟังง่ายนะ” หล่อนถอนหายใจหนักหน่วง พลางส่ายหน้า “ทำไมฉันต้องกลายเป็นหนูทดลองยาของติชิลาด้วย ?”
“แรงอิจฉาริษยาเป็นส่วนสำคัญ”
“ฉันพยายามชี้แจงแล้ว ทำไม.............”
แม่บ้านนิชาเหยียดยิ้มที่มุมปาก พลางตบไหล่ของสาวไทยเบาๆเป็นการปลอบใจ
“เวลาจะพิสูจน์ความจริงได้ วันนี้ฉันมอบยาถอนพิษอย่างหนึ่งให้เธอพกติดตัวไว้”
สริตารับถุงผ้าไหมสีน้ำตาลเข้มและเชือกมัดปากถุงสีทองสดใสจากแม่บ้านนิชา ทำท่าจะแก้ถุงออกดูเม็ดยา แต่อีกฝ่ายวางมือบนมือของสาวไทยเป็นเชิงปราม
“ถ้าเป็นพิษเบาๆ ยาจะสลายพิษทั้งหมด หากเจอพิษซ้ำกับที่อยู่ในร่างของเธอ มันจะชะลออาการพิษออกไปอีกหนึ่งชั่วโมง ฉันให้ไว้สองเม็ดและต้องไม่ถูกแสงด้วย เมื่อเปิดหยิบก็ต้องใส่ปากทันที มิฉะนั้น มันจะหมดฤทธิ์”
“พิษเบาคืออะไร ?”
แม่บ้านนิชาทำท่าคิด ก่อนตอบว่า “พิษทุกชนิด ยาจะสลายได้หมด ข้อยกเว้นเฉพาะพิษของเธอหรือพิษแปลกใหม่ไม่อยู่ในตำราของฉัน”
“ฉันควรใช้ยาถอนเมื่อไร”
“คุณต้องตัดสินใจเอง มันมีแค่สองเม็ดเท่านั้น”
“ทำไมไม่ให้เยอะหน่อย ?” หล่อนมองถุงผ้าไหมสีน้ำตาลนิ่ง
“ยาถอนพิษของฉันต้องใช้กระบวนการผลิตยาวนานและมีเครื่องปรุงมาก แค่สองเม็ดก็ใช้เวลาห้าปีแล้วนะ”
“ห้าปีเชียว” หล่อนทำตาโต
แม่บ้านนิชาพยักหน้ายืนยัน พลางกล่าวติดตลกว่า “ติชิลาทำยาพิษใหม่ได้วันละสามอย่าง คุณต้องเสี่ยงดวงกันแล้ว”
“ยาพิษสามอย่างต่อวันกับยาถอนพิษห้าปีสองเม็ด ฉันเสี่ยงสูงมาก”
“ตราบใดที่คุณอยู่ในแดนมฆวัน ย่อมใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน นอกจากกลับบ้านเกิดของคุณ”
“ถ้าทำได้ ฉันกลับบ้านแล้ว” หล่อนตอบกระแทกเสียง ยามคิดถึงเหตุผลที่ต้องระหกระเหินจากเมืองไทย
“เมื่อถอยกลับไม่ได้ ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยหัวใจกล้า สริตา”
สาวไทยมองสบนัยน์ตาของแม่บ้านนิชาซึ่งบอกการให้กำลังใจชัดเจน สริตายิ้มกว้าง
“มีคำแนะนำเพิ่มเติมให้รอดชีวิตอีกไหม ?”
“ออกไปเที่ยวด้วยกัน”
สริตาเลิกคิ้วสูง ยามได้ยินคำชวนของอีกฝ่าย “เที่ยวรึ ?”
“ไปไหม ?”
สาวไทยคิดชั่งใจเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบรับ “ดีกว่านั่งน่าเบื่ออยู่ในบ้าน”
แม่บ้านนิชาเดินนำสาวไทยออกจากเรือนศักเรนทร์ จึงคลาดกับเจ้าชายอัคนีซึ่งเพิ่งกลับจากการประชุมคัดเลือกตัวแทนอำนาจของพระราชาในฝ่ายของตน เขาแปลกใจปนห่วงใยเมื่อพ่อบ้านรายงานว่าสริตาออกไปกับแม่บ้านนิชาของโชตกโดยไม่แจ้งว่าจะไปที่ใด
สริตาพบความประหลาดใจยิ่งเมื่อสองสาวต่างวัยนั่งรถประจำทางเก่าคันหนึ่งเข้าหมู่บ้านเชิงเขา แม่บ้านนิชาซื้อของใช้ประจำวันหลายอย่างแล้วส่งให้สาวไทยช่วยถือเต็มมืออีกคน จากนั้นก็ไปที่โรงม้าใกล้ตลาด แม่บ้านนิชาเช่าม้าสองตัวแล้วจูงมาหาสริตา
“คุณจะให้เที่ยวแบบขี่ม้าขึ้นเขาหรือ ?” สาวไทยคาดเดาอย่างสยองใจ
“เคยขี่ม้าไหม ?”
“เคยหัดคอร์สเดียว ฉันไม่คิดว่าจะ.........”
แม่บ้านนิชาส่งสายจูงม้าให้สริตา พลางเอ่ยว่า “พวกเราต้องขี่ม้าชมวิวบนเขา แล้วส่งของให้กลุ่มคนที่ต้องการมันด้วย รื้อฟื้นวิชาขี่ม้าได้แล้ว สาวน้อย”
สาวไทยถอนใจเฮือกใหญ่ ยามมองอีกฝ่ายใส่ข้าวของที่ซื้อไว้ลงในย่ามหลังม้าทั้งสองตัว แม่บ้านนิชาก้าวเท้าขึ้นหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างามและรวดเร็ว ส่วนสริตาทำท่าเก้กังอยู่พักหนึ่งกว่าจะปีนขึ้นม้าได้โดยมีคำแนะนำของแม่บ้านนิชาดังเป็นระยะ
“ขี่บ่อยๆก็ชินเอง” แม่บ้านนิชาบอก แล้วใช้เท้าสะกิดสีข้างของม้าเพื่อให้เดินทางได้
สริตาทำเลียนแบบบ้าง แต่เกือบคะมำไปเพราะไม่ทันตั้งตัวกับการเคลื่อนไหวของม้า หล่อนสูดหายใจเต็มปอดเพื่อข่มความหวั่นกลัวยามอยู่บนหลังม้าและมันกำลังเดินขึ้นภูเขาอย่างช้าๆ พักใหญ่จึงเร่งความเร็วตามม้าของแม่บ้านนิชาเมื่อฝ่ายนั้นส่งเสียงสัญญาณบางอย่างไปยังม้าของสาวไทย