หนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นหนังสือพิมพ์เขียนข่าวชื่นชมเจ้าชายอัคนีแห่งประเทศมฆวันซึ่งเคยเดินทางมาเป็นแขกของรัฐบาลไทยและสร้างความประทับใจแก่คนไทยอย่างมากกับความสง่างามและท่าทางนุ่มนวลของเขา อีกทั้งยังได้รับการศึกษาจากโลกตะวันตกถึงระดับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ คุณสมบัติของเจ้าชายหนุ่มสร้างความคลั่งไคล้แก่สาวทุกวัย จนกระทั่งมีข่าวล่าสุดว่าเขาแวะมาเยือนเมืองไทยเป็นการส่วนตัวเพื่อดูมหาวิทยาลัยให้น้องสาว หลายคนจึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวและภาพถ่ายของเจ้าชายองค์นี้ต่อเนื่องตามหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง สริตาเพิ่งเข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในห้องข้อมูลคอมพิวเตอร์และคาดไม่ถึงว่านักวิชาการในสถาบันนิติวิทย์จะคลั่งไคล้เจ้าชายอัคนีด้วย
“เธอโหลดข้อมูลพวกนี้เข้าเครื่อง มีปัญหาไหม ?” เจ้าหน้าที่สาวถามหลังจากอธิบายงานแล้ว
“ไม่มีค่ะ” สริตาตอบ พลางชี้ไปที่หนังสือพิมพ์บนโต๊ะ “พี่คลั่งเขาด้วยหรือ ?”
“เขาเป็นเจ้าชายในฝันที่ทุกคนอยากพบ แต่ก็ดูได้เท่านั้น” เจ้าหน้าที่สาวหัวเราะ
“หลายคนอยากเป็นเจ้าหญิงของเขาด้วย พี่ล่ะ ?”
“มีนิดๆ แต่อยู่กับของแน่นอนดีกว่า แฟนของพี่ไง”
สริตายิ้มกว้าง “ตอนนี้เขาเด่นดังกว่าดาราชั้นหนึ่งของเราเสียอีก”
“เธอไม่สนใจข่าวของเขารึ ?”
“ข่าวนี้เทียบกับการตอบรับเข้าทำงานที่นี่ไม่ได้หรอก ต่างกันเยอะ”
“เธอพูดจริงหรือ ?”
“จริงสิ ฉันอยากทำงานในสถาบันฯนี้มากนะ” หล่อนมองไปรอบห้องทำงานอย่างปลื้มใจ “ตอนนี้แค่ลูกจ้างชั่วคราว แต่ความฝันคือ เป็นตัวจริงให้ได้”
“เธอเรียนจบโทด้านคอมพ์ทั้งที่อายุน้อยและได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วย คุณสมบัติน่าสนใจมาก”
“ไม่มากหรอกค่ะ” สริตายิ้มเขิน แล้วทำงานตามคำสั่งทันที “ป้อนข้อมูลพื้นฐานด้านลายนิ้วมือของคนรึ ? น่าสนใจดี”
เจ้าหน้าที่สาวมองยิ้มๆเมื่อเห็นน้องใหม่ให้ความสนใจกับการโหลดข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของนักโทษและบุคคลทั่วไปเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์
พักใหญ่หัวหน้าหน่วยคอมพิวเตอร์เรียกประชุมและแจกจ่ายงานพิเศษให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างชั่วคราวเพื่อดึงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่ตำรวจเศรษฐกิจยึดจากผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงเงินมูลค่าหลายร้อยล้านบาท
“ก่อนตำรวจจะเข้าจับพวกเขา มีการลบข้อมูลออกจากฮาร์ดดิสต์มาก เรามีหน้าที่กู้คืนข้อมูลที่ถูกลบไปเพื่อคัดเลือกใช้เป็นพยานในศาล ผมจะแบ่งเครื่องให้พวกคุณไปทำงาน ตำรวจเน้นว่าขอให้เร็วด้วย มีปัญหาซักถามอีกไหม ?”
ทุกคนในห้องส่ายหน้า หัวหน้าจึงแจกจ่ายงานทันที สริตาหิ้วเครื่องคอมพิวเตอร์มาวางที่โต๊ะแล้วถอดแยกเฉพาะฮาร์ดดิสต์มาต่อเชื่อมกับเครื่องของหล่อน หล่อนเคาะนิ้วบนแป้นอักษรสักพัก ริมฝีปากแย้มยิ้มเมื่ออักษรปรากฏบนหน้าจอเต็มเหยียด
“มันยังเหลืออยู่เยอะ ทำสำเนาไว้” หล่อนบอก แล้วเคาะคำสั่งทำสำเนาทันที
สิบนาทีต่อมาสริตานำแผ่นดิสต์ไปหาหัวหน้าหนุ่มใหญ่ เขาตรวจสอบข้อมูลบนหน้าจอด้วยความทึ่งใจ
“คุณทำได้เร็วและ......เอ่อ.....ข้อมูลมากจริงๆ อธิบายได้ไหม ?” เขามองสนใจ
สริตายิ้ม “การลบข้อมูลในฮาร์ดดิสต์ไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไปจริงๆ”
“ผมทราบเรื่องนั้น”
“การเขียนข้อมูลจะเลื่อนไปทีละแทร็ค กว่าจะกลับมาเขียนทับแทร็คเดิมต้องใช้เวลาสักพัก แต่กรณีนี้ตำรวจเข้าจับกุมพวกเขาหลังจากลบได้ไม่นาน จึงไม่มีเวลานานพอจะเขียนข้อมูลทับได้ ฉันจึงกู้กลับคืนมาได้ง่ายค่ะ”
“แต่เทคนิคการกู้คืนของคุณเร็วมากนะ”
“ฉันเป็นคนชอบลองของตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ยากนัก”
หัวหน้าหนุ่มใหญ่หัวเราะชอบใจ “นักคอมพ์ต้องรู้จะค้นคว้าและแสวงหา จึงพัฒนาตัวเองได้ ผมชอบนักพัฒนา ไม่ใช่นั่งเฉย งานที่สถาบันฯโดยเฉพาะแผนกของเราต้องต่อสู้กับความฉลาดของผู้ร้าย จำต้องอาศัยคนที่กระตือรือร้นมาก”
“ฉันมีสิทธิ์เป็นเจ้าหน้าที่ประจำบ้างไหม ?” หล่อนถามรุกทันที
“งานนี้แค่สร้างความสนใจให้ผม แต่เวลาข้างหน้าจะพิสูจน์ความสามารถแท้จริงของคุณ”
“อย่างน้อยก็มีความหวัง”
เขาส่งกล่องใบหนึ่งให้สริตา พลางเอ่ยว่า “ฮาร์ดดิสต์ในกล่องเกี่ยวพันกับข้อมูลที่พิสูจน์ความสุจริตของบางคน แต่มันผ่านการลบมากแค่ไหน ผมยังไม่ได้ตรวจสอบละเอียด ผู้ใหญ่ฝากงานนี้ไว้ คุณสนใจจะพิสูจน์ฝีมือไหม ?”
“คุณไว้ใจให้ทำงานนี้หรือ ?”
“ผู้ใหญ่ส่งมาหลายอัน คนเดียวทำไม่ไหว จึงอยากหาคนมีฝีมือและไว้วางใจได้ คุณเป็นคนที่ผมเลือก !”
“ถ้ากู้คืนข้อมูลได้ ฉันอยากทำงานประจำที่นี่” หล่อนพูดเสนอทันที
หัวหน้าหนุ่มใหญ่หัวเราะ แล้วพยักหน้ารับคำ “ผมต้องพอใจกับงานของคุณก่อน เรื่องบรรจุงานก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเตือนให้เก็บเป็นความลับ รายงานต่อผมคนเดียว !”
“ฉันจะพิสูจน์ฝีมือและความน่าเชื่อถือของตัวเองให้คุณเห็นแน่”
สริตาหยิบกล่องใบนั้นแล้วเดินออกจากห้องของหัวหน้ากลับไปที่โต๊ะเพื่อลงมือทำงานทันที เขาอมยิ้ม ดวงตาฉายแววชื่นชมกับความฉลาดและคำพูดตรงของหล่อน จากนั้นจึงสนใจกับฮาร์ดดิสต์อีกอันหนึ่ง
ผู้นำวรุตม์เดินกลับเข้าห้องทำงานตอนช่วงบ่ายด้วยท่าทีเหนื่อยล้าหลังจากนั่งประชุมกับข้าราชการระดับสูงเพื่อปรับปรุงนโยบายบริหารแต่ละจังหวัดใหม่ เลขาคณินนั่งรออยู่ในห้องแล้ว
“ผมมีนัดหมายเวลาไหนอีก ?”
เลขาคณินยิ้ม “ช่วงบ่ายว่าง ตอนค่ำมีนัดเปิดงานแฟชั่นผ้าไหมของไทยครับ”
“อย่างน้อยได้พักหลายชั่วโมงสินะ”
“ใช่ครับ”
ผู้นำวรุตม์มองเท่าทัน “คุณจะรายงานข่าวของเขาใช่ไหม ?”
“พันธวัชเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
“เขาทำอะไร ?”
“เขานัดพบกับนายพลชวนิลเมื่อเช้านี้”
“คุณคิดว่าพวกเขาจะ............”
“ผู้มีบารมีกับผู้นำทหารเจอกันท่ามกลางข่าวลือความขัดแย้งระหว่างท่านกับคุณพันธวัช มันควรจะเป็นอย่างไรล่ะ ?” เลขาคณินมีสีหน้าไม่สบายใจ
“เขาล้มรัฐบาลของผมแน่หรือ ?”
“สายของเราบอกว่า มีหลักฐานยืนยันแผนล้มรัฐบาลแล้ว ผมรอติดต่อส่งมอบเท่านั้น”
“เขาโกรธผมมากขนาดนั้นเชียว”
“คนมีอายุมากอาจยับยั้งใจได้น้อยกว่าสมัยหนุ่มเมื่อถูกขัดใจจากผู้อ่อนวัย อีกอย่างหนึ่งเขายังหลงในอดีต”
ผู้นำวรุตม์หวนคิดถึงท่าทีไม่พอใจมากของพันธวัชที่ถูกปฏิเสธจะรับคำแนะนำเกี่ยวกับการโยกย้ายข้าราชการซึ่งเป็นคนของฝ่ายนั้นไปอยู่ตามหน่วยงานที่ต้องการ เนื่องเพราะเขาไม่อยากให้อิทธิพลของพันธวัชแผ่ขยายก้าวก่ายเขาเกินไป จนกระทั่งระยะหลังสื่อมวลชนเริ่มระแคะระคายและค่อนแคะว่าเขาอยู่ใต้อิทธิพลของพันธวัชซึ่งถือเป็นผู้มีบารมีในบ้านเมืองเพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านการบริหารบ้านเมืองมามากกระทรวงและหลายสมัยแล้ว จึงมีผู้ที่เคยรับความช่วยเหลือจากพันธวัชอยู่ในหน่วยงานหลากหลาย พันธวัชจึงกลายเป็นผู้มีบารมีในสังคม แม้จะมีวัยสูงกว่าเจ็ดสิบปีแล้วก็ตาม
“ตามใจหลายหน ขัดใจแค่หนเดียว กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย” ผู้นำวรุตม์ส่ายหน้า
“คนแก่ก็แบบนี้ แต่จะประมาทเขาไม่ได้ เพราะคนติดหนี้บุญคุณของคุณพันธวัชมีมากและกำลังใหญ่โตในบ้านเมือง ถ้าเขารวมกำลังกันได้เมื่อไร ย่อมเป็นอันตรายต่อตำแหน่งของท่าน”
“ถ้าเขาปฏิวัติ จะทำลายบ้านเมือง ไม่ใช่ตำแหน่งของผม”
เลขาคณินพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าเรามีหลักฐานชัด อาจขัดขวางความคิดนี้ได้ทันเวลา”
“นายพลชวนิลจะยอมร่วมมือกับเขารึ ?”
“ท่านแต่งตั้งตำแหน่งของเขาจากคำแนะนำของคุณพันธวัช บางทีเขาอาจวิ่งเต้นจากที่นั่น คนที่เขาจะเชื่อฟังย่อมไม่ใช่ท่านแน่”
ผู้นำวรุตม์ถอนใจหนักหน่วง “ผมทำพลาด จึงเอางูพิษมาวางไว้ข้างเก้าอี้”
“ตอนนั้นท่านเชื่อว่าเขาหวังดีต่อบ้านเมืองและต่อท่าน มันไม่แปลกที่จะเชื่อฟังผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานานกว่าเจ็ดสิบปีตามคำโบราณที่ว่า ตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด เพียงแต่เราตามผิดคนเท่านั้น”
“ผมจึงต้องมานั่งยุ่งยากใจวันนี้ไง” ผู้นำวรุตม์ทำเสียงหึในลำคอ
เสียงมือถือดังขึ้นเลขาคณินรับสายด้วยสีหน้าเครียด ครู่ต่อมาจึงบอกว่า “สายข่าวแจ้งให้ไปรับของตอนห้าโมงเย็นที่โรงแรมที ซี แกรนด์ แต่มีข่าวที่น่าห่วงเพิ่มเติมว่า คุณพันธวัชกับนายพลชวนิลจะสังหารเจ้าชายอัคนีเพื่อจุดชนวนเหตุล้มรัฐบาลด้วย”
“ตอนนี้เจ้าชายกำลังเยือนบ้านของเราอยู่ ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นรัฐบาลต้องเจอเรื่องหนักแน่ พวกเขาเล่นหนักเกินไปแล้ว ถึงขนาดเอาชีวิตของแขกสำคัญเพื่อแย่งตำแหน่งของผม”
“เกมการเมืองต้องวางเดิมพันด้วยชีวิตของคนอื่น คุณพันธวัชทำได้โดยไม่ต้องคิดหนัก”
“เขาอยากกำหนดชะตาบ้านเมืองอีกครั้งทั้งที่แก่ปูนนั้นรึ ?”
“เขาทวงอดีตที่รุ่งเรืองและพิสูจน์ว่าหมุนเวลากลับมาได้ด้วยบารมีของตน แม้จะต้องสูญเสียชีวิตคน” เลขาคณินพูดอย่างหนักใจ “ตายแค่หนึ่งคน แต่ได้อำนาจปกครองหกสิบกว่าล้านชีวิตที่เหลืออยู่ เขาไม่คิดเสียดายแน่”
“เขาไม่ซึ้งกับสัจธรรมของชีวิตบ้างเลย แย่จัง”
“เราต้องคุ้มครองเจ้าชายอัคนีจนกว่าจะกลับประเทศ แต่จะแจ้งให้พระองค์ทราบก่อนไหม ?”
“หากแจ้ง นักข่าวต้องรู้เรื่องนี้ บ้านเมืองจะวุ่นวายกับข่าวลือนี้ เรายังขาดหลักฐานนะ” ผู้นำ
วรุตม์พูดค้าน พลางขบคิดเล็กน้อย “ผมจะสั่งเพิ่มตำรวจอารักขาขึ้น แล้วเน้นการข่าวให้ชัด”
“ผมจะจัดการตามคำสั่งของท่านครับ”
“คุณต้องระวังตัวให้มาก คุณพันธวัชกับนายพลชวนิลไม่ใช่คนธรรมดา บางทีเขาอาจรู้ตัวว่าหลักฐานกำลังอยู่ในมือของเราก็ได้ เขาจะไม่อยู่เฉยแน่”
“ผมทราบครับ”
เวลาเดียวกันนั้น ณ บ้านของพันธวัชกำลังเกิดความโกลาหลอย่างหนักเมื่อตรวจพบร่องรอยการดักถ่ายภาพและอัดเสียงในห้องทำงานโดยบังเอิญเมื่อคนรับใช้ทำภาพเขียนเจ้าของบ้านตกพื้น จึงเห็นเครื่องมือขนาดจิ๋วเท่าเม็ดข้าวสารซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุดในวงการสายลับตะวันตกติดอยู่ที่กรอบภาพ นายพลชวนิลสั่งทหารจับกุมและสอบปากคำคนรับใช้ทั้งหมดต่อหน้าพันธวัชเพื่อหาคนที่ติดตั้ง พักใหญ่จึงทราบว่าเป็นหลานชายของชายรับใช้คนหนึ่งซึ่งหายตัวไปและเคยเข้าไปในห้องนั้นเพื่อซ่อมคอมพิวเตอร์ของพันธวัชเมื่อหลายวันก่อน หลังจากค้นประวัติของผู้ต้องสงสัยจึงทราบว่าเขาเคยเป็นนายทหารประจำหน่วยสื่อสารในต่างจังหวัดและลาออกมาหนึ่งปีเต็ม ช่วงนั้นก็ทำงานในบริษัทเอกชนด้านคอมพิวเตอร์ด้วย นายพลชวนิลสั่งตามล่าเขาอย่างเร่งด่วนเมื่อสงสัยว่าเขาจะมีหลักฐานการประชุมวางแผนปฏิวัติระหว่างพันธวัชและนายพลชวนิล ถ้ามันตกอยู่ในมือของฝ่ายรัฐบาลทุกคนที่เกี่ยวข้องจะมีภัยร้ายแน่นอน
“ฆ่ามันและทำลายของนั้นให้ได้ ชวนิล” พันธวัชบอกอย่างเคืองแค้น ยามเชื่อว่าผู้ต้องสงสัยทำงานให้ผู้นำวรุตม์เพื่อหวังขัดขวางงานปฏิวัติ
ดวงตาของนายพลชวนิลวาวโรจน์ขึ้น “ผมต้องทำให้สำเร็จเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วย ท่านวางใจได้”
ขณะที่สริตานั่งรอการทำสำเนาข้อมูลจากฮาร์ดดิสต์ที่หัวหน้ามอบหมายงานไว้ เพื่อนของหล่อนแจ้งทางมือถือว่าให้ไปกินข้าวเลี้ยงส่งเพื่อนคนหนึ่งไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา ณ โรงแรมที ซี แกรนด์ตอนหกโมงเย็น
“ลูกคนรวยก็เลี้ยงที่โรงแรมใหญ่ ถือเป็นลาภปากของฉันแล้ว” หล่อนนึกกระหยิ่มใจ ดวงตามองการทำสำเนาพร้อมรอยยิ้ม “เสร็จงานนี้แล้วก็ไปได้เลย”
ครู่ต่อมาสริตานำสำเนาข้อมูลในแผ่นดิสต์ไปส่งให้หัวหน้าหนุ่มใหญ่ซึ่งตรวจสอบผ่านเครื่องของเขาด้วยความพอใจในความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ของหล่อนเป็นพิเศษ จากนั้นหล่อนเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อเก็บข้าวของกลับบ้าน ดวงตาเหลือบไปเห็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งเกี่ยวกับเจ้าชายอัคนีซึ่งเจ้าหน้าที่รุ่นพี่ลืมวางไว้
“โรงแรมที ซี แกรนด์เป็นที่พักของเจ้าชายอัคนีนี่นา บางทีอาจมีโอกาสเห็นตัวจริงก็ได้” หล่อนพูด แล้วหิ้วกระเป๋าเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
โชตก ข้าหลวงและเพื่อนสนิทของเจ้าชายอัคนียืนรอในห้องรับรองของโรงพยาบาลใหญ่กลางกรุงสักครู่หนึ่ง จึงรับการติดต่อจากเจ้าชายให้ไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า เมื่อรถยนต์เคลื่อนมุ่งกลับไปยังโรงแรมที่พักเจ้าชายอัคนีหันไปยิ้มทักทาย
“รอนานไหม โชตก”
“ผมเพิ่งได้เอกสาร” โชตกชูซองจดหมายสีขาวให้เห็นถนัดตา
“ท่านนฤวรกำชับมิให้เปิดอ่านก่อน แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ นายรู้ไหมว่ามันเป็นข้อมูลอะไร ?”
“พ่อไม่ชอบคนช่างถาม ผมเคยชินจะไม่ถาม นอกจากรอให้พ่อบอกเท่านั้น”
เจ้าชายอัคนีหัวเราะ “สองพ่อลูกเคร่งครัดตัวเองกันจัง นายควรผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ที่บ้าน”
“ผมไม่สบายใจกับคำสั่งของท่านพ่อก่อนมาเมืองไทยและสังหรณ์ใจไม่ดีเลย”
“ตราบใดที่ท่านพ่อกับท่านนฤวรยังไว้วางใจกันอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวท่านพยนต์หรอก”
โชตกปรายตามองเจ้าชายหนุ่มนิดหนึ่ง พลางเตือนว่า “ช่วงหลังนี้พ่อเมืองกับท่านพ่อคุยกันบ่อยครั้ง ท่านไม่แปลกใจบ้างหรือ ?”
“พวกท่านเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก คุยกันบ่อยครั้ง ไม่แปลกเลย ส่วนท่านพยนต์เป็นเพื่อนเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัยและอายุมากกว่าท่านพ่อด้วย”
โชตกตระหนักแก่ใจดีว่า เจ้าชายอัคนีไม่หวาดระแวงต่อภัยที่อาจบั่นทอนสถานภาพรัชทายาทของเขา เนื่องเพราะช่วงหลายปีมานี้มหาอำมาตย์พยนต์ใช้บารมีสั่งสมผู้คนไว้มาก แล้วพยายามก้าวก่ายการบริหารประเทศของมหาเสนาบดีนฤวรซึ่งเป็นบิดาของโชตกบ่อยครั้งขึ้นโดยอาศัยลูกน้องของตนและไม่คำนึงถึงหน้าที่แท้จริงของตัวเองซึ่งเกี่ยวข้องเฉพาะในเขตวังไวชยันต์เท่านั้น มันบ่งบอกความทะเยอทะยานของท่านพยนต์ชัดเจนมากขึ้นอันเป็นการลดทอนความไว้วางใจของพระเจ้าชเยนทราลง ระยะหลังนี้บิดาของเขาบ่นให้ฟังบ่อยขึ้นว่าถูกขัดขวางมิให้เข้าเฝ้าประมุขของแผ่นดินหลายครั้งแล้ว คำสั่งจากวังหลวงลงโทษข้าหลวงที่เคยแสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านพยนต์ปรากฏถี่ขึ้น ผู้ร้องเรียนความไม่ปกติผ่านมือของท่านพยนต์ก็เงียบหาย บิดาจึงเตือนเขาให้ระวังตนมิให้กลายเป็นเหยื่อของมหาอำมาตย์พยนต์โดยง่าย ครอบครัวของเขาจึงเก็บตัวเงียบในบ้านเป็นส่วนใหญ่ด้วยเกรงถูกลูกน้องของฝ่ายนั้นกลั่นแกล้งและกลายเป็นเครื่องมือทำลายมหาเสนาบดีนฤวรในที่สุด
“สิ่งที่ท่านมีในวันนี้ อาจสูญหายในพริบตาด้วยฝีมือของท่านพยนต์ก็ได้”
“ท่านพ่อก็เตือนไว้เหมือนกัน” สีหน้าของเจ้าชายบอกความกังวลเป็นครั้งแรก
“เขาเป็นคนที่ต้องระวังเป็นอันดับต้น”
“พักผ่อนเอาแรงที่นี่ก่อน กลับไปค่อยลุยก็ได้” เจ้าชายหัวเราะ ท่าทีผ่อนคลายขึ้น
“ท่านดูมหาวิทยาลัยให้เจ้าหญิงทั้งของรัฐและเอกชนแล้วชอบอย่างไหน ?”
“มันก็ดีทั้งสองแบบ แต่ของรัฐคงเคร่งครัดในการเรียนมาก น้องหญิงจะเรียนรอดไหม ?”
“ถ้าคิดจะเอาความรู้ ก็ต้องอยู่ในระเบียบเคร่งครัดหน่อย”
“เราจะไปคุยกับน้องหญิงอีกครั้ง ค่อยตัดสินใจ เรื่องนี้ต้องตามใจคนเรียนด้วย เรื่องที่พักไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
โชตกก้มมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาใกล้หกโมงเย็นขณะที่รถยนต์แล่นเข้าไปจอดที่หน้าโรงแรม สองหนุ่มลงจากรถแล้วเดินเข้าไปด้านใน ตำรวจสองคนเดินเข้าไปพูดคุยกับโชตกทันที
“รัฐบาลเพิ่มตำรวจคุ้มกันพวกเรา” โชตกกระซิบบอกเจ้าชายในเวลาต่อมา
“เรามาเป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ดูแลอย่างดี เกรงใจเหมือนกัน”
โชตกยิ้ม “มันเป็นน้ำใจไมตรีของรัฐบาล”
ทั้งสองแวะซื้อขนมเค้กเพื่อไปกินในห้องพัก แล้วจึงไปที่ลิฟต์โดยมีตำรวจคุ้มกันติดตาม
สริตาวิ่งฝ่าสายฝนซึ่งเพิ่งตกจากฟ้าได้ครู่เดียวเข้าไปในโรงแรมที ซี แกรนด์ พลางกวาดตามองลูกค้าของโรงแรมแล้วตัดสินใจเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเติมเครื่องสำอางซึ่งเลือนจางด้วยน้ำฝน สายตาของเลขาคณินซึ่งนั่งอยู่ในล็อบบี้มองหญิงสาวอย่างแปลกใจ
“คุณปอนด์มาทำอะไรแถวนี้ ?” เลขาหนุ่มพึมพำ เมื่อเห็นลูกสาวเพื่อนหญิงของผู้นำวรุตม์
เลขาคณินก้มมองนาฬิกาซึ่งพ้นเวลานัดหมายเกือบครบหนึ่งชั่วโมงด้วยความไม่สบายใจ “ทำไมเขายังไม่มาอีกนะ ?”
ชายหนุ่มร่างผอมเสื้อผ้าเปียกปอนด้วยน้ำฝนวิ่งเข้าไปในโรงแรมแล้วกวาดตามองหาบางคน เมื่อเห็นเลขาคณินนั่งอยู่จึงเข้าไปหาโดยเร็ว ท่าทางตื่นเต้น พนักงานรักษาความปลอดภัยคอยจับตามองอยู่ไม่ห่างนัก
“คุณมาช้านะ ทำไม..........” เลขาคณินมองอึ้ง ยามเห็นใบหน้าซีดของชายเบื้องหน้า
“ผมถูกติดตามแล้ว.......เอ่อ..........” เขายื่นซองสีน้ำตาลเล็กกว่าฝ่ามือนิดหนึ่งให้อีกฝ่าย แล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
เลขาหนุ่มเห็นเลือดซึมผ่านเสื้อบริเวณท้อง แล้วเข้าประคองหนุ่มร่างผอม
“คุณถูกยิงใช่ไหม ?”
“เขาตามมาแล้ว รีบหนีไป !”
ชายสามคนสวมแจ็คเก็ตสีดำ มือข้างหนึ่งซุกในเสื้อ วิ่งเข้าไปในโรงแรม เมื่อเห็นเหยื่อเป้าหมายยืนอยู่กับเลขาคณินจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหาทั้งสอง
“ไป !” ชายร่างผอมผลักเลขาหนุ่ม แล้วพาร่างบาดเจ็บวิ่งไปทางสวนหย่อมของโรงแรม
ชายสองคนวิ่งแยกติดตามเหยื่อไป อีกคนเข้าไปหาเลขาคณิณ เมื่อเห็นฝ่ายนั้นทำท่าจะเดินหนีไปรวมกลุ่มกับแขกของโรงแรม เขาชักปืนยิงใส่ทันที แม้เสียงปืนจะไม่ดังมากนักเนื่องจากติดตั้งอุปกรณ์เก็บเสียงไว้ แต่แขกคนไทยซึ่งยืนใกล้เลขาคณินตะโกนเตือนด้วยความตกใจทำให้ทุกคนแตกตื่นและวิ่งหนีอลหม่าน มือปืนจึงพบความลำบากขึ้น
สริตาเดินออกจากห้องน้ำด้วยความแปลกใจที่เห็นความสับสนในบริเวณล็อบบี้และเสียงกรีดร้องลั่นของแขกหลายคน พลันสายตาเห็นชายในเสื้อแจ็กเก็ตสีดำถือปืนส่ายไปมาและทำท่ามองหาบางคน ชายคนหนึ่งกระชากแขนของหญิงสาวให้วิ่งตามเขาแล้วยัดซองสีน้ำตาลขนาดเล็กไว้ในมือของหล่อนอย่างเร็ว
“ฝากของสำคัญให้ท่านวรุตม์ด้วย คุณปอนด์”
“คุณคณิน !” หล่อนจำเลขาของผู้นำบ้านเมืองที่กำลังคบหากับมารดาของหล่อนได้
“ผม.........”
สริตาเห็นเลือดเปื้อนที่หน้าอกซ้ายของเลขาคณิน สีหน้าตกใจ
“เขายิงคุณใช่ไหม ? ทำไม...........”
ระหว่างวิ่งฝ่ากลุ่มคนที่กำลังสับสนกัน เลขาหนุ่มมองสบนัยน์ตาของสริตา พลางพูดกำชับว่า “แผ่นซีดีเกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติ ส่งให้ท่านวรุตม์เท่านั้น พวกกบฏตามล่ามันอยู่ ผมไม่มีเวลาอธิบายแล้ว รับปากสิ”
“ฉัน......เอ่อ.........” หล่อนมีท่าทีลังเลใจ
เลขาคณินเห็นชายถือปืนวิ่งใกล้เข้ามาหาทั้งสอง จึงผลักสริตาออกห่างแล้ววิ่งล่อชายคนนั้นไปอีกทาง หล่อนยืนตะลึงงันก่อนจะเรียกสติกลับคืนมา พลันชายชุดดำอีกสองคนเข้ามาประกบหล่อนไว้
“ส่งของมา !”
สริตามีท่าทีตกใจเมื่อชายสองคนนี้แต่งกายเหมือนกับมือปืนที่ไล่ฆ่าเลขาคณิน พอดีหญิงสูงวัยคนหนึ่งเซมากระแทกชายทั้งสองให้แยกจากสริตา หล่อนอาศัยความชุลมุนนี้วิ่งเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดออกอย่างเร็ว ชายทั้งสองขัดเคืองใจยิ่งเมื่อประตูลิฟต์ปิดเสียก่อน จึงมองดูชั้นที่ลิฟต์หยุดแล้วตัดสินใจวิ่งไปทางบันได
ดวงตาทุกคู่ในลิฟต์ต่างมองสริตาด้วยความหวาดระแวงยามเห็นหล่อนยืนหอบหนัก ท่าทางตื่นเต้น หล่อนมองประเมินผู้ชายห้าคน เมื่อเห็นท่าทางไม่น่ากลัว จึงโล่งใจเล็กน้อย
“คุณเป็นนักท่องเที่ยวใช่ไหม ?” หล่อนถามเป็นภาษาไทย
โชตกตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า “เราเป็นนักท่องเที่ยว”
“คุณเข้าใจภาษาของฉัน”
โชตกยิ้มเล็กน้อย “ผมอ่านจากหนังสือแนะนำเมืองไทย จึงจำได้เล็กน้อย”
สริตาพยักหน้าเข้าใจ พลางบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ภาษาอังกฤษของฉันอ่อนแอเหมือนกันแต่ลิฟต์จะไปชั้นไหนคะ ?”
“ชั้นล่างสุด !” ชายหนุ่มใบหน้าคุ้นตาตอบ ดวงตามองสำรวจหญิงสาว
“ที่จอดรถใช่ไหม ?” หล่อนถาม พลางทบทวนความจำเกี่ยวกับใบหน้าของชายเบื้องหน้า ดวงตาเบิ่งกว้าง “คุณคือ เจ้าชาย...........”
เสียงกริ่งในลิฟต์ดังขึ้นประตูกำลังเปิดอย่างช้าๆ สริตาโผล่หน้าไปดูนอกลิฟต์ พลางเห็นชายชุดดำถือปืนโผล่จากประตูหนีไฟพอดี จึงรีบกดปิดประตู
“เราจะออกที่ชั้นนี้นะ” เจ้าชายอัคนีบอกเสียงเข้ม
สริตายืนใช้ความคิดอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ฉันถูกตามฆ่า ขอขึ้นไปชั้นอื่น”
“คุณ..........”
“ถ้าอยากให้ฉันตาย ก็ส่งลิฟต์กลับไปชั้นล่างสิ” หล่อนตวาดเสียงขุ่น พลางดึงมือถือออกจากกระเป๋าเพื่อติดต่อกับหมอจารุมน ผู้เป็นมารดา
เจ้าชายอัคนีทำท่าจะตอบโต้ แต่โชตกสะกิดปรามไว้ก่อน
“คุณคณินฝากของให้ท่านวรุตม์ แม่บอกเบอร์ของเขาให้หนูด้วย” สริตาพูดเสียงรัวอย่างตื่นเต้น “หนูคิดว่าเขามีอันตราย แต่ของที่ฝากหนูไว้น่าจะสำคัญมากขนาดมีคนถือปืนวิ่งไล่ฆ่ากันเลย แม่หาเบอร์ได้หรือยัง ?”
ชายหนุ่มในลิฟต์เห็นหญิงสาวยืนส่ายตัวไปมาอันแสดงถึงความเครียดจัด ดวงตามองหมายเลขในลิฟต์เป็นระยะ หล่อนไม่ยอมให้ลิฟต์จอดแวะที่ไหนระหว่างคุยมือถือ
“แม่.......” หล่อนตกใจเมื่อเสียงติดต่อขาดหายไป จึงมองหน้าจอแล้วกระแทกเท้าอย่างเคืองใจ “แบตฯหมด ฉันลืมชาร์ตเมื่อคืนนี้ บ้าที่สุด !”
ทุกคนในลิฟต์ยืนนิ่งเมื่อหญิงสาวจ้องมองพวกเขา สริตาถามว่า “ฉันขอยืมมือถือใช้สักเครื่อง รับรองจ่ายค่าใช้คืนแน่ค่ะ”
“คุณต้องช่วยตัวเองแล้ว” โชตกตอบ เมื่อลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้น 20 อันเป็นที่พักของพวกเขา
สริตาอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถอนหายใจ “อย่างน้อยก็ขอบคุณที่ให้ใช้ลิฟต์ร่วมกัน”
เจ้าชายอัคนีกับโชตกเห็นหญิงสาวแปลกหน้าเดินแหวกคนของเขาเข้าไปยืนติดผนังลิฟต์ราวกับเตรียมตัวทำบางอย่าง โดยไม่ทราบว่าสริตาเตรียมใช้พลังจิตต่อสู้กับชายชุดดำ หากถูกดักรออยู่
“ช่วยกดลิฟต์ลงไปล็อบบี้ด้วย ขอบคุณมาก” หล่อนบอก ท่าทางแน่วแน่
โชตกก้มศีรษะรับคำ ประตูลิฟต์เปิดกว้าง จึงเอ่ยกับเจ้าชายว่า “เราออกไปกันเถอะ”
“ถ้าไม่รังเกียจก็เป็นแขกดื่มน้ำชาด้วยกันสิ หากปล่อยเวลาสักพักพวกเขาอาจไม่ดักรอก็ได้”
โชตกกับผู้ติดตามมองไม่สบายใจกับคำเชิญชวนของเจ้าชาย หญิงสาวนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนพยักหน้า
“คุณ......เอ๊ย.......ท่านพูดน่าคิดดี ฉันก็เหนื่อยมากเหมือนกัน”
สริตาเดินตามหลังเจ้าชายอัคนีไปท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของคณะผู้ติดตาม
ชายชุดดำทั้งสามกลับมาสมทบกันที่สนามหญ้าของโรงแรมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน จึงสรุปกันว่าแผ่นซีดีที่ไม่พบในศพของเลขาคณินกับสายข่าวของรัฐบาลน่าจะอยู่ในมือของหญิงสาวปริศนาที่หนีไปทางลิฟต์ คนไล่ตามหญิงสาวสังเกตเห็นลิฟต์จอดที่ชั้น 20 จึงคาดว่าหล่อนจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทั้งหมดตัดสินใจค้นหาที่ชั้นดังกล่าวทันทีโดยไม่ลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแทรกซึมไปกับลูกค้าเพื่อมุ่งตรงสู่ชั้นเป้าหมายก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะออกจากโรงแรม
***************โปรดติดตามตอนต่อไป***********************