จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

18.

ทักษาเดินเข้าไปในวังไวชยันต์ตามนัดหมายของมหาอำมาตย์พยนต์ ขณะเดินผ่านตำหนักพระสนมกุลนาถเขาสังเกตเห็นทหารจำนวนหนึ่งยืนล้อมหนาแน่นโดยมีลูกน้องหญิงของติชิลาลำเลียงสิ่งของเข้าไปในห้องชั้นล่าง ทหารไม่ขัดขวางทักษาเมื่อเขาเดินตรงไปยังห้องนั้น ติชิลายืนกอดอกมองลูกน้องจัดห้องรับรองเล็กใหม่

“ทำอะไร ?” ทักษาถาม

ติชิลาปรายตามองพี่ชาย แล้วหันไปสนใจการทำงานของลูกน้องอีกครั้ง ปากตอบว่า “ต้อนรับแขกตามคำสั่งของพ่อ”

“แขกรึ ? ทำไมทำที่ตำหนักพระสนม มิใช่ที่บ้านของเรา”

“งานนี้เป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ขอยืมสถานที่ของพระสนม”

ดวงตาของพี่ชายฉายแววสงสัย “แขกคนสำคัญสินะ”

“ใช่แล้ว.........” ติชิลาเหยียดยิ้มที่มุมปาก พลางมองนาฬิกาข้อมือ “.......ไม่นานนี้เธอคงมาอยู่ในมือของฉันโดยไม่ต้องออกแรง แถมไม่มีคนขัดขวางอีกด้วย”

“เธอรึ ? หมายถึง............”

“สริตาไง”

ทักษาอึ้งไป พลางถามว่า “พ่อให้เธอกำจัดผู้หญิงคนนั้นด้วยอะไร ?”

“ฉันเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษนะ” หล่อนหัวเราะเสียงสูง ดวงตาวาวโรจน์ “คราวที่แล้วรอดได้ แต่ครั้งนี้ฉันจะนั่งมองความตายของเธอเอง”

ทักษารู้ดีว่าซักถามต่อไป ติชิลาไม่ยอมบอกวิธีสังหารแน่ พอดีทหารเข้ามาตามชายหนุ่มไปพบมหาอำมาตย์พยนต์ที่ห้องทำงาน ทักษาจำต้องผละจากห้องนั้นด้วยความไม่สบายใจ

“ปิดหน้าต่างทั้งหมด แล้วออกไปได้” ติชิลาออกคำสั่ง ก่อนเดินออกไปซ่อนตัวตามแผนการที่กำหนดล่วงหน้าแล้ว

ณ ห้องประชุมในตำหนักหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งเครียดหลังจากมหาอำมาตย์พยนต์เสนอแต่งตั้งคณะตัวแทนพระราชอำนาจของพระเจ้าชเยนทราช่วงพิสูจน์หาผู้สืบราชบัลลังก์แท้จริง ซึ่งในที่ประชุมครั้งนี้พระสนมกุลนาถนั่งเป็นประธานในฐานะตัวแทนของเจ้าชายเอกทัศน์ร่วมกับเจ้าชายอัคนี แต่พระญาติวงศ์และข้าหลวงกลุ่มหนึ่งไม่เห็นชอบกับข้อเสนอนี้เพราะยังมีรัชทายาทอย่างเป็นทางการซึ่งปฏิบัติภารกิจทั่วไปได้อยู่แล้ว

“งานบริหารบ้านเมืองหลายอย่าง องค์รัชทายาทมิอาจกระทำได้ ต่อไปจะติดขัดหนักขึ้น ฉันอยากให้ทุกคนเห็นแก่บ้านเมือง มิใช่ขัดขากันนะ” พระสนมพูดเสียงเข้ม น้ำเสียงไม่พอใจกับเสียงคัดค้านความเห็นของมหาอำมาตย์เฒ่า

“องค์รัชทายาททำงานส่วนใหญ่ได้ตามกฎระเบียบเพราะผ่านการแต่งตั้งอย่างสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีคณะตัวแทนพระราชอำนาจอีก พระสนมควรไตร่ตรองให้รอบคอบด้วย” ท่านพิชาญกล่าวโต้ แววตาดุ “ผมขอเสนอให้กลับไปคิดทบทวนเรื่องตัวแทนพระราชอำนาจใหม่อย่างถ้วนถี่ก่อน แล้วค่อยลงคะแนนเสียงอีกครั้ง”

พระสนมกุลนาถปรายตามองมหาอำมาตย์พยนต์ซึ่งนั่งเงียบมาพักใหญ่ ท่านพยนต์เอ่ยเสียงเรียบว่า “วันนี้ควรมีคำตอบเพื่อวังไวชยันต์และบ้านเมือง เราจะปล่อยว่างตำแหน่งประมุขสูงสุดไว้นานไม่ได้ เมื่อมีปัญหาการพิสูจน์ผู้สืบบัลลังก์ซึ่งอาจต้องใช้เวลานาน ก็ต้องหาทางออกเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป แม้องค์รัชทายาทจะมีอำนาจในระดับหนึ่ง แต่หลายอย่างก็เป็นอำนาจเฉพาะขององค์ประมุขเท่านั้น เช่น กฎหมายใหม่ กฎระเบียบในบ้านเมืองบางส่วน เป็นต้น ท่านจะตอบประชาชนอย่างไรกับเรื่องนี้”

“ถ้าตั้งคณะตัวแทนขึ้น องค์รัชทายาทจะอยู่ตรงไหน ?” พระญาติคนหนึ่งถาม

เจ้าชายอัคนียังไม่เอ่ยสักคำนับแต่เข้าประชุมครั้งนี้ มหาอำมาตย์พยนต์ตอบว่า “เจ้าชายอัคนียังทรงมีอำนาจในฐานะรัชทายาทตามกฎหมาย คณะผู้แทนจะใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองในส่วนของพระราชาเท่านั้น ไม่ข้องเกี่ยวกับการสืบทอดบัลลังก์ มันชัดเจนดีแล้วนะ”

พระญาติหันไปทางรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ซึ่งนั่งฟังการโต้เถียงของสองฝ่ายโดยไม่ออกความเห็นมาพักใหญ่ พลางถามว่า “ท่านชยาศีร์เป็นตัวแทนของมหาเสนาบดีซึ่งมีหน้าที่ดูแลบริหารบ้านเมืองตามคำสั่งแต่งตั้งของพระเจ้าชเยนทราจะไม่พูดสักคำหรือ ?”

รองมหาเสนาบดีฯยิ้ม “ฟังสนุกกว่าพูดนะ”

“ท่านเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉันหรือคัดค้าน ในฐานะรองมหาเสนาบดีฯดูแลบ้านเมืองควรบอกกันให้รับรู้นะ” พระสนมเอ่ยเตือนในที สีหน้าไม่พอใจ

“อัคนีเห็นอย่างไร ?” รองมหาเสนาบดีฯถามไปทางหลานชาย

เจ้าชายอัคนียิ้มขรึม “เรามีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ ขอเป็นคนฟังข้อสรุป มันจะเหมาะสมกว่า”

คำตอบของรัชทายาททำให้ใบหน้าของพระสนมกุลนาถชาเนื่องเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเจ้าชายเอกทัศน์ด้วย แต่นางออกหน้าเป็นตัวแทนลูกชายยื่นข้อเสนอร่วมกับมหาอำมาตย์พยนต์เพื่อตั้งตัวแทนอำนาจของพระราชาอย่างแข็งขัน

รองมหาเสนาบดีฯหัวเราะ พลางปรายตามองพระสนมกุลนาถกับมหาอำมาตย์พยนต์ “อาฟังแล้วอึ้งเหมือนกัน”

ท่านพิชาญเอ่ยตัดบทว่า “ตอนบ่ายค่อยลงความเห็นนี้กันใหม่ พระสนมจะเสนอใครเป็นคณะผู้แทนหรือมีแค่หนึ่งคนเท่านั้น”

พระสนมชำเลืองมองมหาอำมาตย์พยนต์เล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ตัวแทนจากฝ่ายลูกเอกทัศน์ และ ตัวแทนขององค์รัชทายาท ส่วนจำนวนคนก็ตกลงกันอีกครั้ง”

พระญาติวงศ์ในที่ประชุมอมยิ้ม ท่านพิชาญเอ่ยว่า “ตัวแทนของเอกทัศน์คือ ท่านพยนต์สินะ”

ใบหน้าของพระสนมชา ริมฝีปากเม้มแน่น มหาอำมาตย์พยนต์กล่าวตอบว่า “เรื่องตัวแทนฝ่ายเจ้าชายเอกทัศน์ต้องรอฟังจากมติยอมรับการมีคณะผู้แทนฯก่อน พวกเราไม่ควรไปไกลเกินไป”

“มติต้องออกในวันนี้นะ” พระสนมกล่าวย้ำเสียง

“ออกแน่” ท่านพิชาญกล่าวยืนยัน พลางลุกขึ้น “ตอนนี้ขอไปดื่มน้ำชากับของว่างก่อน แล้วค่อยหารืออีกครั้ง พระสนมไม่ขัดข้องใช่ไหม ?”

“ไม่ขัดแน่นอน” พระสนมตอบกระแทกเสียง แล้วเดินจากไป

เหล่าพระญาติวงศ์ทยอยเดินออกจากห้องประชุมไปยังห้องพักผ่อนที่อยู่ติดกันเพื่อรับประทานของว่างและปรึกษาหารือเรื่องคณะผู้แทนอำนาจของพระราชากัน เจ้าชายอัคนีกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ยังนั่งอยู่ในห้องนั้น พลางกวักมือเรียกโชตกซึ่งนั่งฟังอยู่แถวหลังร่วมกับเลขาของเหล่าพระญาติตลอดการประชุม

“มีความเห็นอย่างไร โชตก” เจ้าชายอัคนีถาม สีหน้าขรึม

โชตกยิ้ม “ท่านพยนต์ต้องการใช้อำนาจแทนพระราชา คาดว่าจะนำทางให้เจ้าชายเอกทัศน์ไปสู่บัลลังก์ กำจัดศัตรู องค์รัชทายาทไม่อาจต้านทานอำนาจของพระราชาได้แน่”

“เหตุผลของท่านพยนต์ก็ฟังเข้าท่านะ” รองมหาเสนาบดีฯบอกพร้อมรอยยิ้ม

“เราต้องมองส่วนที่อยู่เบื้องหลังข้อเสนอต่างหาก”

เจ้าชายอัคนีพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสังเกตของโชตก พลางถอนใจ

“การบริหารประเทศหลายอย่างต้องรับความเห็นชอบจากพระราชา มิใช่รัชทายาท ช่วงนี้ข่าวพระพินัยกรรมสองฉบับที่ตั้งผู้สืบทอดบัลลังก์แตกต่างกันแพร่ออกไป ข้าหลวงเริ่มแตกแยกเป็นสองฝ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตน เลือกนายใหม่ !”

“เธอไม่มั่นใจกับศรัทธาในฐานะรัชทายาทแล้วหรือ ?” รองมหาเสนาบดีฯถาม

“เราไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมแบบนี้”

“พระสนมออกหน้าเข้าข้างท่านพยนต์อย่างมาก ฝ่ายเราจึงค่อนข้างลำบากใจ” โชตกส่ายหน้าด้วยความหนักใจ

รองมหาเสนาบดีฯบอกเน้นเสียงว่า “ถ้าไม่มีพระพินัยกรรม ก็ต้องเป็นไปตามระเบียบเดิม อัคนีคงไม่ยุ่งยากขนาดนี้”

“ถ้าท่านพยนต์ต้องการอำนาจของพระราชา ก็ต้องสร้างพระพินัยกรรมขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น..........” โชตกบอกเสียงเข้ม ดวงตาพราววับ “.........ผมเชื่อว่าองค์ประมุขตระหนักใจว่าต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้น จึงทรงเขียนพินัยกรรมขึ้นสองฉบับแล้วแยกเก็บไว้เพื่อหวังแก้ไขปัญหานี้ครับ”

“ถ้าเราได้ฉบับที่สองตอนนี้ คงดีไม่น้อย”

รองมหาเสนาบดีฯพยักหน้าเห็นด้วย โชตกมีสีหน้าลังเลใจ เจ้าชายสังเกตเห็นจึงถามว่า “มีเรื่องอึดอัดใจหรือ โชตก”

“ผมคิดว่า รู้ที่ซ่อนพินัยกรรมฉบับที่สองแล้ว”

สองอาหลานมีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด พลันนายทหารเข้ามากระซิบบางอย่างกับเจ้าชายอัคนี ทั้งสองเห็นสีหน้าและท่าทางร้อนใจของรัชทายาททันที

“เกิดอะไรขึ้น ?” รองมหาเสนาบดีฯถาม

“พระสนมส่งคำเชิญให้สริตาไปพบที่ตำหนัก เธอกำลังเดินทางไปที่นั่นเพราะไม่อยากมีเรื่องกันอีก เธอให้พ่อบ้านมาแจ้งแก่เรา เราไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องดี คงต้องไปดูเธอก่อน”

โชตกกล่าวค้านทันทีว่า “ท่านไปตอนนี้จะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”

“เธอน่าจะมีอันตรายมากกว่า เพราะพระสนมไม่ยอมไปจากที่ประชุมแน่ แต่กลับนัดสริตาไปพบ มันมีเรื่องไม่ดีซ่อนเร้นอยู่” เจ้าชายมีท่าทางอึดอัดใจ

“เธอต้องอยู่ควบคุมเหตุการณ์ที่นี่ ดูแลเสียงของพวกเรานะ” รองมหาเสนาบดีฯเห็นด้วยกับความคิดของโชตก

“ผมจะไปดูเธอให้เอง” โชตกพูดอาสา

เจ้าชายอัคนีนิ่งคิด ก่อนพยักหน้า “ฝากดูแลด้วย แล้วแจ้งให้รับทราบทันทีนะ”

“ได้ขอรับ” โชตกรับคำ แล้วทำท่าจะเดินจากไป

เจ้าชายเรียกเพื่อนสนิทไว้ก่อน พลางส่งป้ายหยกประจำตัวให้ “นายรู้จักป้ายรัชทายาทดี จงใช้มันให้เต็มที่เพื่อออกจากที่นั่นนะ”

“ขอรับ”

โชตกค้อมกายลงต่ำก่อนรับป้ายรัชทายาทไปเก็บไว้ แล้วเดินจากไป รองมหาเสนาบดีฯตบไหล่ของหลานชาย พลางพูดปลอบโยนว่า “โชตกเป็นคนฉลาด ต้องดูแลเพื่อนของเธอได้แน่ พวกเราไปฟังเสียงของเหล่าพระญาติก่อนว่ามีความเห็นอย่างไร จะได้เตรียมรับมือกับท่านพยนต์”

“เรา........” เจ้าชายถอนใจหนักหน่วง พยายามสลัดความห่วงใยสาวไทยออกไปเพื่อทุ่มความสนใจต่อเหตุสำคัญที่อาจกระทบต่อตำแหน่งรัชทายาทของเขา “......อาคิดว่าเราควรรับข้อเสนอของท่านพยนต์ไหม ?”

“อยากฟังคำตอบของอาจริงหรือ ?”

“มันคงไม่เสนาะหูงั้นสิ” หลานชายพูดย้อน

รองมหาเสนาบดีฯยิ้ม “หลานเป็นรัชทายาทที่พยนต์เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ไม่ได้จนกว่าจะพิสูจน์พระพินัยกรรมของเขาว่าเป็นของจริง พวกเราต้องใช้ข้อได้เปรียบนี้อย่างถูกกาลเทศะโดยยังไม่ควรตั้งแง่เป็นศัตรูกับเขาชัดเจนนัก แค่สะกิดหรือเกาให้คันเล่นว่า หลานยังอยู่ ก็สนุกมากแล้ว”

“สนุกรึ ?”

“คิดเรื่องสนุกเข้าไว้ หลานรัก” รองมหาเสนาบดีฯพูดสัพยอก แล้วชักชวนออกไปที่ห้องพักผ่อน ปากยังบอกอีกว่า “ทุกปัญหามีทางแก้เสมอ ตอนนี้พวกเรายังมองไม่เห็นเท่านั้น”

ประตูห้องทำงานของมหาอำมาตย์พยนต์เปิดกว้าง ทักษาวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นบิดาเดินกระแทกเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“พวกเขาไม่ยอมทำตามความเห็นของพ่อรึ ?” ลูกชายถาม รอยยิ้มขรึม

“มันถ่วงเวลากัน”

“ผมเชื่อว่าพวกเขาต้องทำตามความเห็นของพ่อครับ”

“ทำไม ?” ท่านพยนต์มองลูกชาย

“ประมุขบ้านเมืองว่างเว้นได้ไม่นาน งานหยุดชะงัก มันฟังดูดีมิใช่หรือ ? ใครกล้าขัดขวางการทำประโยชน์เพื่อประเทศล่ะ”

“เจ้าชายอัคนีดูเงียบมาก ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร ?”

“เขาไม่คัดค้านสักคำ ?” ทักษาแปลกใจเช่นกัน

มหาอำมาตย์พยนต์ส่ายหน้า “เขานั่งฟังอย่างเดียว ทั้งที่อาจเสียประโยชน์จากข้อเสนอนี้”

“เจ้าชายดูเงียบ แต่ฉลาดลึก ที่สำคัญพระญาติหลายคนต่างชื่นชอบให้เขาครองอำนาจต่อไป จะประมาทองค์รัชทายาทไม่ได้”

“พ่อจับตาดูเขาตลอด แม้การพิสูจน์พระพินัยกรรมจะเลื่อนออกไปเพราะความตายของท่านทองเก้า แต่พวกนั้นยังไม่ละความพยายามในการเป็นศัตรูกับพ่อเลย”

“พ่อต้องการกำจัดใครเป็นคนต่อไป ?”

บิดายิ้ม พลางส่ายหน้า “ถ้ามีความตายเกิดขึ้นอีก พ่อคงอยู่ในข่ายน่าสงสัยแน่”

“พ่อสั่งติชิลากำจัดสาวไทยคนนั้นใช่ไหม ?”

“ใช่” บิดามองสงสัย

“ผมขอชีวิตของเธอไว้ได้ไหม ?”

“ทำไม ?”

“เธอเป็นเครื่องมือช่วยให้ผมเข้าถ้ำไตรภพได้”

“เครื่องมือรึ ?”

“ใช่”

“คำอธิบายเพิ่มเติม ?” บิดามองคาดคั้น

ทักษาส่ายหน้า “ผมต้องการเวลาพิสูจน์ผู้หญิงคนนั้นเพื่อยืนยันว่าเธอเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมจริง จึงไม่อยากให้พ่อฆ่าเธอตอนนี้”

“ลูกยังไม่มั่นใจงั้นรึ ?”

“ผมต้องการเวลาครับ” เขาย้ำเสียง

ผู้เป็นบิดาทำท่าครุ่นคิด ก่อนบอกว่า “มันขึ้นอยู่กับโชคชะตาของผู้หญิงคนนั้น”

“พ่อ.........”

“พ่อเรียกลูกมาเพื่อช่วยติชิลาฆ่าสาวไทยคนนั้น เมื่อลูกต้องการเธอ ก็ไปจัดการเอง ถ้าช้าไป เธอตาย ก็ถือว่ามีโชคร้าย ลูกต้องหาแผนใหม่เข้าถ้ำไตรภพแล้ว” บิดาตอบยืนยัน ขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่ยต่อไปว่า “พ่อมีงานอีกชิ้นให้ลูกทำก่อน”

“บอกมาเลย” เขาตอบรับทันใด แม้จิตใจจะรุ่มร้อนยามคิดถึงอันตรายของสริตา แต่คำสั่งของบิดาเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นเสมอ

ท่านพิชาญ พระญาติวงศ์ผู้มีอาวุโสสูงสุดเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งช่วงนั้นปลอดคน แม้แต่คนดูแลห้องก็ทำงานวุ่นในอีกห้องหนึ่ง ครู่ต่อมาเขาเดินไปที่อ่างล้างมือ พลันรู้สึกปวดร้าวที่หน้าอกราวกับถูกของมีคมทิ่งแทงแรงๆ ร่างของเขาทรุดฮวบ ลมหายใจติดขัด สติดับวูบ ทักษาเดินออกจากอีกห้องหนึ่งด้วยรอยยิ้มเย็น ดวงตามองชายสูงวัยนอนแผ่หราบนพื้น

“ท่านพ่อปรานีท่านมากที่ปล่อยให้อยู่ต่อไป เอาแค่สลบเพื่อไม่ขัดขวางความต้องการของเขาเท่านั้น” ทักษาพูด แล้วเดินออกไปนอกห้องอย่างเร็ว

สักพักคนดูแลห้องเดินถือถังน้ำเข้าไปข้างในเพื่อทำความสะอาดห้องน้ำชาย สีหน้าตกใจเมื่อเห็นร่างชายสูงวัยบนพื้น จึงรีบวิ่งออกไปแจ้งทหารรับทราบแล้วนำส่งโรงพยาบาลทันใด

เวลาใกล้เคียงกันนั้นรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ยืนจิบไวน์ตามลำพังในสวนด้านหลังของวังไวชยันต์ ท่าทางรื่นรมย์ ทหารสองคนเข้ามาหาเขาแล้วกระซิบบางอย่าง

“พระสนมขอคุยด้วยหรือ ? มีอะไรอีกล่ะเนี่ย ?” เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

ทหารทั้งสองยืนรอที่จะเดินติดตามรองมหาเสนาบดีฯไปยังห้องนัดพบกับพระสนมกุลนาถ เขาขอกลับห้องพักผ่อนเพื่อพบเจ้าชายอัคนีก่อน แต่ทหารทั้งสองไม่ยินยอม ทำให้เขาจำต้องเดินตามไป เมื่อเข้าไปในห้องนัดพบแล้ว เขาพบห้องที่ว่างเปล่า และประตูปิดล็อคทันที บัดนี้ เขาตระหนักใจแล้วว่าถูกหลอกไปขังไว้อันเกี่ยวพันกับมติที่ประชุมระหว่างพระญาติวงศ์กับพระสนมกุลนาถ

“มันต้องเป็นความคิดของพยนต์แน่” รองมหาเสนาบดีชยาศีร์พูดเข่นเขี้ยว ก่อนกระแทกตัวนั่งบนโซฟานุ่มในห้องนั้น

ทหารนำสริตาเข้าไปในเขตตำหนักพระสนมซึ่งมีกองทหารจำนวนหนึ่งยืนล้อมโดยรอบพระตำหนัก จากนั้นนางกำนัลรับช่วงต่อจากทหารเพื่อนำสาวไทยไปยังห้องรับรองแขก เมื่อสริตาก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้น กลับไม่พบพระสนมกุลนาถรออยู่ ประตูปิดล็อคทันที หล่อนมีท่าทางตระหนกใจยิ่ง ดวงตามองไปรอบห้องซึ่งหน้าต่างทุกบานปิดสนิท จึงเริ่มหนักใจว่าต้องพบเรื่องร้ายแน่

“กลิ่นอะไร ?”

สริตาสัมผัสกลิ่นหอมเย็นๆลอยอบอวลในห้อง เมื่อมองหาที่มาของกลิ่น จึงเห็นว่ามันลอยมาจากโถกำยาน ขณะจะก้าวเดินไปยังโต๊ะที่ตั้งโถใบนั้นขาทั้งสองของหล่อนอ่อนแรงลง ร่างทรุดฮวบกับพื้น หนังตาหนักขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น ?” หล่อนพึมพำ พยายามลืมตาขึ้นมองรอบกาย “ถ้าฉันหลับ ต้องตายแน่”

สริตาตั้งจิตแน่วแน่ เพ่งมองที่หน้าต่างบานซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด แล้วส่งพลังจิตผลักมันเปิดอ้าออกทันใด ลมจากภายนอกพัดกลิ่นหอมนั้นเจือจางลง ส่วนหล่อนกลั้นหายใจเป็นช่วงๆทำให้สูดกลิ่นน้อยลง อาการชาตามร่างกายไม่ลุกลามอีก หล่อนกัดฟันขึ้นนั่งตัวตรง

“เธออึดมาก คงต้องจัดการด้วยตัวเองแล้ว” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

เมื่อประตูห้องเปิดกว้างติชิลาก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรงกลิ่นอันตรายในห้องนั้น สริตาเพ่งมองอีกฝ่ายนิ่ง สมองครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของผู้หญิงเบื้องหน้าอย่างเร็ว

“คุณ.....ทำไมต้องทำร้ายฉัน ?”

“จับมัน !” ติชิลาออกคำสั่งกับลูกน้องสาว

เหล่าลูกน้องสาวกรูเข้าไปจับสริตาแล้วนำไปขึงไว้กับท่อนไม้ซึ่งผูกกันไว้คล้ายกับไม้กางเขน แต่วางบนพื้นห้อง สาวไทยหมดแรงจะดิ้นรนแล้วด้วยผลพวงจากกลิ่นกำยานนั้น

“พิษกำยานของฉันแรงสะใจใช่ไหม ?” ติชิลาถาม พลางยืนมองสาวไทย “กลิ่นน้อยนิดก็หยุดการเคลื่อนไหวของคนได้ สูดไปมากก็หยุดการทำงานของกล้ามเนื้อในร่างกาย สุดท้ายคือหายใจไม่ออก แต่เธอกลั้นหายใจไว้ จึงแค่หมดแรง ลมจากภายนอกช่วยสลายพิษของมันลง เธอมีโชคดีที่หน้าต่างบานนั้นเปิดออก ใครทำพลาด ก็ต้องไปตรวจดูกันอีกที”

ลูกน้องสาวทั้งหลายมีใบหน้าซีดยามเห็นนัยน์ตาเอาเรื่องของติชิลา สาวไทยท่องกำชับในใจว่า จะใช้พลังจิตให้ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนไม่ได้ มิฉะนั้น จะถูกลงโทษประหารชีวิต แม้รอดจากมือมัจจุราชอย่างติชิลาไปได้ก็ตาม หล่อนต้องหาวิธีใช้พลังจิตให้กลมกลืนกับสิ่งรอบกายเป็นอันดับแรกเท่านั้น พลันสายตาไปหยุดที่โถกำยานซึ่งส่งกลิ่นหอมทำร้ายหล่อนและตั้งอยู่ใกล้กับแจกันดอกไม้ริมหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่ ความคิดบางอย่างเกิดขึ้น

“ถ้าฉันต้องตาย ก็น่าจะรู้ก่อนว่าเพราะเหตุใด”

“ตอนนี้ยังไม่ตาย แต่ให้เป็นหนูทดลองยาพิษก่อน” ติชิลาตอบเสียงหยัน

“ไม่บอกสาเหตุที่คุณตั้งใจฆ่าฉันหรือ ?”

ติชิลาทำท่าคิด ริมฝีปากแย้มออกนิดหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ฉันไม่พอใจที่เธอได้ใกล้ชิดกับท่านอัคนี”

“มีแค่นั้นรึ ? มันเบาไปหน่อยนะ” สริตาบอก ท่าทีผ่อนคลาย “ฉันเชื่อว่า หลายครั้งที่ท่านอัคนีมีเพื่อนหญิงมาเยือนที่เรือนศักเรนทร์ คุณฆ่าทุกคนไปแล้วหรือ ?”

“เฉพาะเธอที่น่าฆ่าที่สุด” ดวงตาของติชิลาพราววับขึ้น

“ทำไม ?”

“เธอไม่รู้ตัวเองบ้างหรือ ?”

“ไม่รู้หรอก” หล่อนมีสีหน้างง

ติชิลาทำเสียงหึในลำคอ พลางเอ่ยว่า “ตายทั้งที่ไม่รู้ มันก็ดี”

“อ้าว มันไม่ยุติธรรมกับคนตายนะ”

“อย่าคิดถ่วงเวลาเป็นหนูทดลองยาเลย” ติชิลาพูดเท่าทัน แล้วเดินถือยาเม็ดสีเขียวสดไปหาสาวไทย “ยาพิษที่เพิ่งปรุงเสร็จเมื่อคืน เธอเป็นคนแรกที่ได้กินมัน แล้วจะรู้กันว่าเธอมีหนังเหนียวแค่ไหน”

“อย่า..........”

สริตาพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการมือและเท้าบนท่อนไม้กางเขน เมื่อติชิลาย่างเท้าเข้ามาใกล้สาวไทย แล้วบังคับยัดเยียดยาเม็ดนั้นใส่ปากของหล่อน

“โอ๊ย........”

เสียงร้องของติชิลาดังลั่นขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยว ยาเม็ดนั้นหลุดจากมือกลิ้งห่างจากสริตาไปไกล เสียงโถกำยานหล่นแตกบนพื้นเรียกความสนใจจากบรรดาลูกน้องหญิงที่กำลังแตกตื่นยามเห็นแจกันดอกไม้ริมหน้าต่างเอียงกระแทกใส่โถกำยานจนตกพื้น เศษกระเบื้องหลายชิ้นใหญ่กระดอนเข้าไปที่ร่างของติชิลา จังหวะนั้นสริตาเพ่งมองที่เชือกซึ่งรัดแขนแล้วนึกภาพการแก้คลายเชือก ในพริบตาเดียวเชือกเส้นนั้นคลายตัวหลุดออก จากนั้นหล่อนใช้วิธีเดียวกันกับเชือกที่ขา มันหลุดอีกเช่นกัน หล่อนใช้เท้าถีบติชิลาเต็มแรง แล้วแก้เชือกที่ขาและแขนอีกข้างอย่างเร็ว ก่อนจะวิ่งออกไปสริตาฉวยโอกาสน้อยนิดนั้นชกใบหน้าของติชิลา หล่อนรวมกำลังพาตัวเองไปที่ประตู พร้อมกับฉวยแจกันติดมือไปฟาดใส่ลูกน้องสาวที่ยืนเฝ้าประตูและทำท่าสกัดการหนีของหล่อน ครั้งนี้หล่อนมีโอกาสใช้วิชาต่อสู้ทั้งกังฟูและยูโดที่เรียนรู้อย่างเต็มที่ แต่ปัญหาสำคัญคือ ประตูปิดล็อคไว้

“บ้าที่สุด !” หล่อนสบถ เมื่อคิดว่าจะต้องทำลายกุญแจด้วยพลังจิตเท่านั้น

สริตาตัดสินใจกำมือที่กุญแจซึ่งคล้องด้วยโซ่ไว้แน่น ปากพึมพำว่า “ปลด ! ปลด !”

เสียงคลิกดังขึ้นสาวไทยดึงกุญแจแล้วโยนใส่ลูกน้องสาวของติชิลาที่เข้ามาจับหล่อน จากนั้นเปิดประตูกว้าง สริตาวิ่งไปหยุดยืนที่บันไดเมื่อทหารเล็งปืนมาที่หล่อน พลันทรุดเข่าฮวบกับพื้นอย่างหมดแรง

“ฉันมาได้แค่นี้หรือ ?” หล่อนพึมพำ เมื่อพละกำลังที่รวบรวมไว้หมดลง

ติชิลาวิ่งมาหยุดยืนมองด้วยความแค้นใจที่ถูกชกใบหน้าเมื่อครู่นี้ พลางบอกเสียงลั่นว่า “เอามันกลับไปที่ห้องเดี๋ยวนี้ !”

“หยุดก่อน !” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น

“ท่านโชตก !” ติชิลามองเพื่อนสนิทของเจ้าชายอัคนีอย่างคาดไม่ถึงที่เขาปรากฏตัวขึ้น

สริตาโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นโชตกเดินมาพร้อมทหารจากเรือนศักเรนทร์ พลางพึมพำว่า “ฉันรอดแล้ว ช่วยด้วย ท่านโชตก”

โชตกปรายตามองสาวไทยที่ทรุดนั่งหมดแรงบนพื้นโดยมีทหารหลายคนเล็งปืนที่หล่อน แล้วหันไปมองลูกสาวของมหาอำมาตย์พยนต์

“ผมรับคำสั่งจากองค์รัชทายาทมารับคุณสริตากลับเรือน”

สริตาบอกเสียงระโหยว่า “ท่านมาได้จังหวะดีมาก”

“เธอเป็นแขกของพระสนม น่าจะรู้ใช่ไหม ?” ติชิลาย้อนถามตอนท้าย

“ผมเห็นพระสนมยังประชุมกับองค์รัชทายาท คงไม่มีเวลาพบนาง องค์รัชทายาททราบเรื่องคำเชิญนี้แล้ว จึงให้ผมมารับนางกลับเรือน หวังว่าท่านคงไม่ขัดขวาง ถ้ายังอยากเป็นมิตรกับท่านอัคนีต่อไป” เขาเน้นเสียงตอนท้าย

ติชิลามีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบว่า “ท่านเข้าใจพูดจริงๆ สมกับความไว้วางใจขององค์รัชทายาท”

โชตกยืนนิ่ง ส่วนติชิลาปรายตามองสาวไทยด้วยความแค้นใจปนเสียดาย ก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าตำหนักพระสนม ชายหนุ่มถอนใจโล่งอก แล้วเดินมาหาสาวไทย แต่สริตาหมดสติไปแล้ว

“โชคดีที่ติชิลายังมีเยื่อใยกับท่านอัคนี มิฉะนั้น เราสองคนต้องตายพร้อมกันแน่”

โชตกทราบดีว่าติชิลามีความโหดเหี้ยมเทียบเท่าผู้เป็นบิดา และมิได้เกรงกลัวเขา แต่ครั้งนี้ยอมปล่อยสริตากับเขาไปด้วยความหวังในเจ้าชายอัคนีเท่านั้น

“กลับเรือนกันเถอะ” โชตกบอกเสียงอ่อนโยน พลางอุ้มร่างไร้สติของสาวไทยไว้ในอ้อมแขน แล้วบอกกับทหารวังด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เปิดทางเดี๋ยวนี้”

ทหารของมหาอำมาตย์พยนต์เห็นหยกประจำกายของรัชทายาทแห่งประเทศมฆวันในมือของโชตก จึงจำใจเปิดทางให้ทั้งสองเดินกลับออกจากตำหนักพระสนม แม้จะได้รับคำสั่งมิให้สริตาออกไปอย่างมีลมหายใจก็ตาม ทั้งสองไม่เห็นทักษายืนจ้องมองอยู่ข้างพระตำหนักด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แล้วหมุนกายเดินจากไป

************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์