โชตกนั่งอ่านข้อมูลในจดหมายของโรงพยาบาลในไทยซึ่งมหาเสนาบดีนฤวรกำชับให้ลูกชายไปรับด้วยตัวเองและมิให้เปิดอ่านจนกระทั่งได้รับอนุญาตในคำสั่งสุดท้ายของบิดา สมองครุ่นคิดหนักกับความสำคัญของมันพลันตัดสินใจทำบางอย่าง เขาเดินไปทำสำเนาจดหมายฉบับนี้ที่เครื่องแฟกซ์ในห้องทำงานแล้วใส่ในซองจดหมายใหม่ โดยนำต้นฉบับจดหมายไปเก็บในช่องลับที่เจาะผนังป็นรูปสี่เหลี่ยมอยู่หลังแจกันดอกเหมยอันโปรดซึ่งเพื่อนคนจีนของบิดามอบเป็นของขวัญวันครบรอบหกสิบปี เมื่อคนรับใช้แจ้งว่าเจ้าชายอัคนีกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์มาเยือนที่บ้าน เขาจึงนำสำเนาฉบับนั้นติดตัวออกจากห้องไปโดยไม่ทันเห็นนิชายืนมองอย่างใช้ความคิดหลังจากทราบข่าวความวุ่นวายเกี่ยวกับพระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราที่เกิดขึ้นในวังไวชยันต์แล้ว
รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ตัดสินใจออกคำสั่งเรียกกองกำลังตำรวจเข้าดูแลความปลอดภัยรอบบ้านพักของมหาเสนาบดีนฤวร จึงเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจของคณะบริหารประเทศกับทหารวังของมหาอำมาตย์พยนต์ขึ้น เจ้าชายอัคนีเห็นชอบกับแผนการของพระญาติเพื่อกดดันให้ทหารวังถอนตัวโดยเร็ว โชตกเดินออกมาพบทั้งสองที่หน้าบ้านซึ่งยืนคุยกับตัวแทนทหารวังอยู่ เขาค้อมกายคำนับต่อแขกทั้งสอง
“ทหารวังสร้างความรำคาญใจแก่นายหรือเปล่า ?” เจ้าชายถาม แววตาห่วงใย
โชตกเหยียดยิ้ม “ผมรู้สึกถูกละเมิดสิทธิ์”
รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านของมหาเสนาบดีนฤวร ทักษาก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่พวกเขา สีหน้าเยือกเย็น พลางค้อมกายคำนับให้เจ้าชายอัคนีและรองมหาเสนาบดีชยาศีร์
“ท่านพ่อให้กระหม่อมมาดูเหตุการณ์ที่นี่ขอรับ” ทักษากล่าวเสียงเนิบเย็น
“เขาสั่งทหารวังมาควบคุมโชตกใช่ไหม ?” รองมหาเสนาบดีฯถามคาดคั้น
“ท่านพ่อห่วงใยความปลอดภัยลูกของเพื่อนสนิทขอรับ”
“เขาทำเกินขอบอำนาจของทหารวังแล้วนะ”
ทักษายิ้มรับ “ความห่วงใยของท่านพ่อมีมากกว่าจะคำนึงถึงอำนาจของทหารวังขอรับ”
“ตอนนี้ตำรวจของฉันมาดูแลบ้านหลังนี้แล้ว จะถอนทหารวังกลับไปหรือไม่ ?” รองมหาเสนาบดีฯถามเสียงเข้มตอนท้าย ท่าทีจริงจัง
ทักษากวาดตามองทั้งสามคน แล้วยิ้ม “เมื่อมั่นใจว่าทายาทของท่านนฤวรปลอดภัยแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ทหารวังจะอยู่ต่อไปขอรับ”
“ออกไปให้พ้นสายตาโดยเร็วที่สุด” เจ้าชายอัคนีบอกเสียงเข้ม แววตาไม่พอใจ
ทักษาค้อมศีรษะรับคำ แล้วสั่งกองทหารวังถอนตัว โชตกผายมือเชื้อเชิญให้แขกทั้งสองเข้าไปในบ้านพักทันที
เจ้าชายอัคนี รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ กับโชตกโล่งใจมากขึ้นหลังรับรายงานการถอนตัวของทหารวังทั้งหมดโดยการนำของทักษา ลูกเลี้ยงของมหาอำมาตย์พยนต์แล้ว
“เธอคงเป็นเป้าหมายต่อไปของพยนต์เสียแล้ว หลานชาย” รองมหาเสนาบดีฯกล่าว แววตากังวล
เจ้าชายเอ่ยติงว่า “ท่านพยนต์ไม่ควรทำลายล้างตระกูลกันแบบนี้”
“พยนต์ต้องรู้ดีว่าท่านพี่โปรดปรานโชตกเยี่ยงเดียวกับพ่อของเขา หากไม่กำจัดโชตก ย่อมไม่ปลอดภัยสำหรับเขาแน่” รองมหาเสนาบดีฯบอก พลางมองใบหน้าของโชตก “ก่อนตายท่านพี่กำชับให้ฉันส่งเสริมเธอสืบทอดตำแหน่งแทนท่านนฤวรซึ่งฉันนับถือเขามากเช่นกัน และเชื่อสายตาของท่านพี่ด้วยแต่อยากแน่ใจว่าเธอไม่เปลี่ยนแปลงในความซื่อสัตย์ต่อองค์รัชทายาท”
“ท่านต้องการข้อพิสูจน์ใช่ไหม ?”
“ใช่”
เจ้าชายเอ่ยท้วงว่า “โชตกมีใจภักดีต่อเราเยี่ยงเดียวกับที่ท่านนฤวรมีต่อพระบิดา”
“ผมมีหลักฐานพิสูจน์ความสำคัญที่ท่านต้องส่งเสริมผมเต็มที่แล้ว” โชตกบอก พลางส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้รองมหาเสนาบดีชยาศีร์
“มันคือ...........”
“ผมรับจดหมายฉบับนี้จากโรงพยาบาลในไทยตามคำสั่งของท่านพ่อ และกำชับว่าเป็นความลับสูงสุดของราชวงศ์ จนกระทั่งได้เห็นคำสั่งอนุญาตสุดท้ายให้เปิดอ่านมันได้ ผมจึงเข้าใจเหตุผลที่ท่านพ่อต้องตายกะทันหันและอาจรวมถึงการตายของพระประมุขด้วย”
“ผลตรวจเลือดรึ ?” รองมหาเสนาบดีฯอ่านข้อความอย่างเร็ว หัวใจเต้นรัว
“หลายเดือนก่อนท่านพ่อแอบนำตัวอย่างเลือดของสองคนไปตรวจที่เมืองไทย แล้วส่งผมไปรับผลตรวจเพื่อนำกลับไปให้ท่าน แต่เกิดเรื่องร้ายขึ้นเสียก่อน”
“นี่มัน.............”
เจ้าชายมองสงสัยกับสีหน้าตระหนกใจของผู้เป็นอา พลางถามว่า “มันคืออะไร ?”
“หลานอ่านเองเถอะ”
เจ้าชายรับจดหมายไปอ่าน คิ้วขมวดแน่น “เลือดของใคร ? มันเป็นชื่อย่อ”
“ชื่อย่อนั้นเป็นชื่อที่ใช้ระหว่างพระประมุขกับท่านพ่อตั้งแต่เด็กแล้ว ส่วนเด็กทารกคาดว่าน่าจะเป็น...........” โชตกเอ่ยทิ้งระยะไว้ สายตาเหลือบมองไปยังเจ้าชายอัคนี
“นายคิดว่าเป็น เอกทัศน์ ใช่ไหม ?” เจ้าชายถามเสียงต่ำ ดวงตาไม่ละจากข้อความในจดหมาย
“หากมิใช่เจ้าชาย ท่านพ่อจะจัดระดับเป็นความลับสูงสุดหรือ ?”
รองมหาเสนาบดีฯถอนใจเฮือกใหญ่ พลางส่ายหน้า “มันมิใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว”
“ผมมีข้อข้องใจบางอย่าง”
เจ้าชายมองใบหน้าของโชตก พลางถามว่า “พูดมาสิ”
“ข้อมูลในจดหมายเกี่ยวพันกับความตายขององค์ประมุขและท่านพ่อหรือไม่ ?”
“ประกาศเหตุการตายของท่านพี่ คือ หัวใจวาย นะ” รองมหาเสนาบดีฯเอ่ยแย้ง
“ถ้าพิสูจน์ว่าเป็นสาเหตุอื่น ก็ต้องมีหลักฐานหนักแน่นกว่านี้” รัชทายาทหนุ่มเอ่ยเสริม
“ผมสอบถามเกี่ยวกับวันที่พ่อตาย จึงทราบว่าท่านกลับจากไปดื่มนอกบ้านด้วยท่าทางผิดปกติ แล้วสั่งให้พี่นิชาเข้าไปดูแลเพียงคนเดียว จากนั้นเก็บตัวในห้องหลายวัน จึงตาย ท่านไม่ติดต่อกับคนภายนอกอีกเลย มันมิใช่วิสัยของท่านพ่อ”
“หลังจากข่าวการตายของท่านนฤวรแพร่ออกไป ท่านพี่ก็เก็บตัวเงียบเช่นกัน” รองมหาเสนาบดีฯเล่าเสริม
“นิชาตอบข้อสงสัยนี้หรือยัง ?”
โชตกมองเจ้าชายนิ่ง พลางตอบว่า “นางบอกเพียงว่าช่วยดูแลสุขภาพของท่านพ่อจนวินาทีสุดท้ายเท่านั้น ผมเชื่อว่ามีบางอย่างที่นางยังไม่บอก”
“คำตอบทั้งหมดเกี่ยวกับความตายของท่านนฤวรอยู่ที่นิชา แต่เชื่อมโยงกับท่านพี่ไม่ได้หรอก” รองมหาเสนาบดีฯพูด
“ผมจะให้นางพูดเอง” โชตกบอกหนักแน่น
“แน่ใจว่านางจะพูดหรือ ?” เจ้าชายมีสายตาไม่มั่นใจ
“พูดแน่”
รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ยิ้ม “แล้วบอกกันบ้างล่ะ”
“ต่อไปจะทำอย่างไร ?” เจ้าชายถามเชิงหารือ “เราหมายถึง การพิสูจน์พินัยกรรมของพระบิดา”
“คงต้องรอการพิสูจน์จากท่านทองเก้าก่อน” รองมหาเสนาบดีฯตอบ
โชตกมีสีหน้างง “พิสูจน์พระพินัยกรรมรึ ?”
เจ้าชายอัคนีบอกเล่าความวุ่นวายเกี่ยวกับพระพินัยกรรมสองฉบับของพระเจ้าชเยนทราซึ่งมีข้อความแตกต่างกันมากและอยู่ในครอบครองของมหาอำมาตย์พยนต์กับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ แต่ท่านทองเก้าซึ่งเป็นอดีตเลขาส่วนพระองค์มานานยืนยันว่ามีวิธีพิสูจน์ความแท้จริงของพระพินัยกรรมด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ทุกคนลงความเห็นให้รอผลพิสูจน์ครั้งนี้ก่อนจะทำตามพระประสงค์ของประมุขแห่งประเทศมฆวัน
“ท่านพี่มิได้บอกอาว่า เขียนไว้สองฉบับ แต่เขียนแจ้งไว้ข้างใน จึงลำบากในการยืนยันข้อความไหนจริงหรือเท็จ”
“ถึงอย่างไรช่วงนี้ก็ต้องยึดถือคำสั่งแต่งตั้งรัชทายาทเดิมขององค์ประมุขไปก่อน นั่นคือ เจ้าชายอัคนีจะเป็นรัชทายาทในการดูแลงานแทนองค์ประมุขจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องพระพินัยกรรม” โชตกบอกย้ำเสียง
รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ยิ้มกว้าง สีหน้าโล่งใจ “ตอนนี้อาก็ลุยหนุนโชตกได้แล้ว”
“ฝากด้วยนะ ท่านอา” เจ้าชายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เวลาเดียวกันนั้นหมอจารุมนกำลังเตรียมตัวกลับบ้านหลังจากพูดคุยกับคนไข้คนสุดท้ายเสร็จสิ้น เลขาสาวเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบทหาร
“พวกเขาจะพบหมอ ฉันบอก...........”
หมอจารุมนเอ่ยขัดว่า “ฉันจัดการที่เหลือเอง คุณออกไปก่อน”
เลขาสาวเดินออกไปทันที หมอจารุมนมองชายทั้งสอง พลางถามว่า “มีธุระอะไรคะ ?”
“เรามาจากหน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ขอเชิญไปสอบปากคำหน่อยครับ”
“เรื่องอะไร ?”
“หัวหน้าจะแจ้งเมื่อไปถึงแล้วครับ”
“อย่างน้อยฉันควรทราบหัวเรื่องเพื่อเตรียมหลักฐานประกอบคำให้การด้วย”
“เราอยากสอบปากคำคุณ” ชายหนุ่มพูดเน้นเสียง สีหน้าจริงจัง “เชิญไปกับเราด้วย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นผู้นำวรุตม์เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึม พลางกวาดตามองชายทั้งสองอย่างระแวงใจ
“พวกคุณมาจากหน่วยไหน ?”
หมอจารุมนตอบว่า “เขาอ้างว่ามาจากหน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ฉันไม่รู้ว่าทำงานล่วงล้ำความมั่นคงตั้งแต่เมื่อไร ?”
“ถ้าจะสอบปากคำหมอ ผมจะไปกับเธอด้วย บางทีอาจต้องการคำให้การของผมประกอบการพิจารณาก็ได้” ผู้นำวรุตม์พูด
ชายทั้งสองมองหน้ากัน พลางบอกว่า “เราทำตามคำสั่งของหัวหน้าเท่านั้นครับ”
“บอกชื่อหัวหน้าของพวกคุณ !”
ชายทั้งสองแสดงท่าทีอึกอัก แล้วขอติดต่อกับหัวหน้าอีกครั้ง ผู้นำวรุตม์พยักหน้าอนุญาตแล้วนั่งรออย่างใจเย็น
ครู่ต่อมาชายคนหนึ่งเดินกลับมาบอกว่า “หัวหน้าให้กลับแล้ว ต้องขออภัยที่รบกวนครับ”
“มันง่ายไปหน่อย” ผู้นำวรุตม์พูด พลางกดมือถือแล้วพูดสั่งว่า “เข้ามาตรวจสอบคนในนี้ได้แล้ว”
ตำรวจสี่คนกรูเข้าไปยืนล้อมทหารทั้งสอง แล้วค้นหาหลักฐานประกอบการแสดงตน จากนั้นตรวจสอบข้อมูลและสังกัดของพวกเขา จึงรายงานให้ผู้นำวรุตม์รับทราบ
“คุณอยากไปส่งพวกเขาเข้ากรมกองไหม หมอ” ผู้นำหนุ่มใหญ่ถามไปทางหมอจารุมน
“น่าสนุกดี และคงปลอดภัยมากกว่ากลับบ้านคนเดียวแน่” หล่อนตอบปนหัวเราะ แล้วเดินติดตามเขาไปด้วยความอยากรู้
หมอจารุมนเห็นรถยนต์ของผู้นำวรุตม์จอดรอคำอนุญาตเข้าพบเจ้าของบ้านหลังใหญ่ด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมมาที่บ้านของคุณพันธวัชล่ะ ?”
ผู้นำวรุตม์เหยียดยิ้มนิดหนึ่ง “คนดูแลสังกัดของทหารทั้งสองเป็นแขกในบ้านหลังนี้อยู่ ผมไม่อยากเสียเวลาไปไกล แค่นี้ก็ส่งถึงมือเจ้านายแล้ว คุณจะลงไปด้วยไหม ?”
“ฉันไม่อยากให้เขามองเป็นศัตรูมากกว่านี้ ขอรอในรถดีกว่า”
รถของผู้นำวรุตม์แล่นเข้าไปจอดในบ้านหลังจากได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของบ้านแล้ว เขาสั่งตำรวจอยู่คุ้มกันรถสามคนพร้อมคนขับ แล้วเดินนำทหารทั้งสองพร้อมตำรวจสองคนเข้าไปในห้องรับรองแขก
พันธวัชกับนายพลชวนิลนั่งรออยู่ในห้องรับรองแขกแล้วเมื่อผู้นำวรุตม์เดินเข้าไปข้างใน แขกผู้มาเยือนยกมือไหว้เจ้าของบ้านอาวุโสตามมารยาทอันควร สีหน้าของนายพลชวนิลเคร่งขึ้นยามมองทหารสองคนซึ่งเดินหน้าซีดติดตามมาด้วย
“คุณมาเยือนกะทันหัน มีธุระอะไร ?” พันธวัชถาม รอยยิ้มน้อยๆ
ผู้นำวรุตม์นั่งลง พลางตอบว่า “ผมทราบว่าท่านชวนิลมาเยี่ยมท่าน จึงแวะมาส่งลูกน้องของเขาที่ไปรบกวนเพื่อนของผม”
ตำรวจส่งบัตรประจำตัวและเอกสารยืนยันสังกัดของทหารทั้งสองซึ่งพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ให้นายพลชวนิล
“ผมขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของเขาโดยอ้างชื่อสังกัดเพื่อเอาหมอจารุมนไปสอบปากคำโดยไม่แจ้งข้อหาหรือคดีความที่ต้องการข้อมูลตามระเบียบที่ถูกต้อง”
นายพลชวนิลมีท่าทีอึดอัดชัดกับคำสั่งของผู้นำการบริหารประเทศ พลางตอบว่า “ผมจะตรวจสอบให้ครับ”
“ถ้าเขาทำผิดระเบียบจริง ก็ต้องลงโทษพวกเขา ผมรอฟังรายงานอยู่” ผู้นำวรุตม์บอกเน้นเสียงตอนท้าย
พันธวัชถามเปลี่ยนเรื่องไปว่า “ผมทราบว่าคุณให้ตำรวจอยู่แถวนี้ด้วย มันเป็นการเพิ่มงานแก่เขาเกินไปเพราะมีทหารคอยดูแลบ้านแล้ว”
“ท่านเป็นบุคคลสำคัญของชาติ เมื่อมีข่าวปฏิวัติเล็ดลอดออกสู่สังคม ถ้าผมละเลยไม่ดูแลใกล้ชิด จะถูกสาธารณชนตำหนิได้ ความปลอดภัยของท่านส่งผลต่อผม จึงประมาทไม่ได้”
“ผมอึดอัดมากกว่า”
ผู้นำวรุตม์ทำท่าคิด ก่อนจะตอบว่า “ผมจะลดตำรวจเฝ้าถาวรลง แต่เพิ่มการตรวจถี่ขึ้นแทน คงลดความอึดอัดให้ท่านได้”
“ทำได้ก็ดี หวังว่าจะมีแค่การตรวจด้วยคน มิใช่เครื่องมือพิสดารนะ” พันธวัชพูดเหน็บในที
ผู้นำวรุตม์ปรายตามองนายพลชวนิล พลางตอบว่า “ผมขอส่งผ่านความหวังของท่านไปให้ท่านชวนิลด้วย เพราะตำรวจมิใช่หน่วยงานเดียวที่มีเครื่องมือพิสดารเท่านั้น ถ้ามีการใช้มันอย่างผิดกฎหมาย ทุกคนต้องรับผิดชอบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ”
“เราเคารพกฎหมายแน่นอน” นายพลชวนิลพูดยืนยัน
“ถ้าทุกหมู่เหล่าเคารพกฎหมายและสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง ข่าวปฏิวัติคงออกมาไม่ได้ ขอให้ท่านชวนิลดูแลกำลังพลใกล้ชิดหน่อย ประเทศต้องการความมั่นคง มิใช่การแก่งแย่งชิงอำนาจจากคนของประชาชนด้วยอาวุธ กลุ่มที่ก่อการปฏิวัติได้มีแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น มันมิได้มาจากภาคประชาชนที่ไร้อาวุธอย่างแน่นอน”
“ท่านเพ่งเล็งและระแวงใจว่าทหารของท่านชวนิลจะทำเรื่องนั้นรึ ?” พันธวัชถาม
“กลุ่มที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างตามอำเภอใจได้ด้วยอาวุธ คิดว่าจะเป็นตำรวจหรือประชาชนงั้นรึ ?” ผู้นำวรุตม์ย้อนถาม รอยยิ้มกว้าง “ประชาชนไม่ทำลายสิทธิของตัวเองแน่นอน ตำรวจไม่มีอาวุธมากพอจะต่อสู้กับทหารทั้งประเทศได้ แต่ทหารพร้อมอาวุธที่ไม่เคารพกฎหมายสามารถเดินแตกแถวปล้นสิทธิของประชาชนไปอย่างง่ายดาย หน้าที่ของผู้นำทหารคือ ควบคุมดูแลมิให้กำลังพลทำลายความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรั้วของชาติที่จะปกป้องภัยร้ายนอกประเทศ มิใช่ทำร้ายชาวบ้านแลกกับความปรารถนาจะเป็นใหญ่โดยไม่ต้องทำตามขั้นตอนปกติ”
“คำพูดน่าฟังดีมาก น่าเสียดายที่ชาวบ้านไม่ได้ยินว่าท่านวรุตม์ห่วงใยสิทธิของประชาชนมากเพียงนี้” พันธวัชพูดประชดในที
ผู้นำวรุตม์หัวเราะ “ผมมาจากคะแนนเลือกตั้งของประชาชน ย่อมต้องปกป้องสิทธิของพวกเขาไว้ มันเป็นหน้าที่สำคัญ แต่บางคนไม่ชอบให้ประชาชนมีสิทธิเพราะสร้างความไม่มั่นคงต่อบทบาทของเขา จึงต้องยึดครองสิทธินั้นไว้คนเดียว”
พันธวัชกับนายพลชวนิลนั่งเงียบเมื่อตระหนักแก่ใจว่าอีกฝ่ายพูดเสียดสีอยู่ ต่อมาผู้นำวรุตม์กล่าวอำลาแล้วเดินจากไป
“เขาเตือนว่าพวกเราอยู่ในสายตาของเขาแล้ว ต่อไปต้องระวังตัวมากขึ้น” พันธวัชพูดเตือน
นายพลชวนิลเหยียดยิ้มที่มุมปาก ดวงตาวาวโรจน์ “เขาไม่ได้จับตามองเราฝ่ายเดียวนี่นา”
“หน่วยทหารของเรามีปัญหาบ้างไหม ?”
“ผมส่งคนของวรุตม์ไปทำงานกับโต๊ะเป็นหลัก ไม่อยู่กับกำลังพลโดยตรง พวกเขาทำอะไรไม่ได้มากแน่นอน”
“แน่ใจรึ ?”
นายพลชวนิลขมวดคิ้ว “ท่านคิดถึงอะไร ?”
“ความมั่นใจคือความประมาท”
“ผมจับตามองการทำงานของพวกเขาใกล้ชิดแล้ว เชื่อว่าคุมพวกเขาได้แน่”
“อย่าลืมว่านายทหารส่วนใหญ่ก็ยังไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ต้องระวังให้มากในการทำลายแนวร่วมของเรา”
“ผมทราบแล้วครับ”
พันธวัชกับนายพลชวนิลนั่งปรึกษางานอีกพักใหญ่ จึงแยกย้ายกลับบ้านพัก โดยอยู่ในสายตาของตำรวจทั้งหมด ผู้นำวรุตม์เรียกทีมงานของเขาประชุมลับเพื่อตรวจสอบข่าวปฏิวัติและแผนงานขั้นต่อไปในการป้องกันและทำลายคณะก่อการทั้งหมด
เช้าวันต่อมาผู้นำวรุตม์นั่งอ่านข่าวคอลัมน์วิจารณ์แนวคิดปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธเพื่อล้มล้างประชาธิปไตยและยึดสิทธิเสรีภาพของประชาชนไป อันเป็นหนึ่งในแผนงานต่อต้านการปฏิวัติจากทีมงานของเขา เขาเชื่อว่าจะสร้างความลังเลใจให้พันธวัชกับนายพลชวนิลด้วย แผนต่อไปคือนำเสนอแนวคิดของนักวิชาการจากโลกตะวันตกเกี่ยวกับความคิดปฏิวัติที่เป็นข่าวลือขณะนี้ นายพลชวนิลขอเข้าพบเป็นกรณีพิเศษ
“ท่านนำเสนอบัญชีโยกย้ายรึ ?” ผู้นำหนุ่มใหญ่ถาม ขณะอ่านรายชื่อในบัญชีทหาร
“เป็นการปรับกำลังพลให้เหมาะสมครับ”
“ผมจะตรวจสอบอีกครั้ง แล้วจะแจ้งต่อไปตามลำดับชั้น”
นายพลชวนิลพูดเร่งว่า “ผมอยากให้ท่านเซ็นรับรองวันนี้เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน”
“มีปัญหาการทำงานในหน่วยเหล่านี้งั้นรึ ?”
“การทำงานควรประสานกันให้ดี ผมจึงต้องปรับเปลี่ยนคนครับ” นายพลชวนิลตอบเลี่ยง
“ท่ามกลางข่าวปฏิวัตินี่รึ ?”
“ผมทำงานตามหน้าที่เท่านั้น”
ผู้นำวรุตม์นิ่งคิดชั่วครู่ แล้วปิดสมุดบัญชีทหาร “ผมจะใช้สิทธิตรวจสอบตามขั้นตอน มีปัญหาไหม ?”
“ท่านรับผิดชอบความเสียหายได้หรือ ?”
“ผมชี้แจงต่อกำลังพลที่ท่านโยกย้ายได้แน่นอน แต่ไม่ยอมให้ท่านบีบบังคับผมให้ทำตามอำเภอใจ เข้าใจชัดใช่ไหม ?” ผู้นำหนุ่มใหญ่ถามเน้นเสียงตอนท้าย
ใบหน้าของนายพลชวนิลร้อนผ่าวกับสายตากร้าวของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะตอบว่า “ผมไม่มีทางเลือกในการบอกพวกเขาตามคำพูดของท่าน”
“อย่าบิดเบือนคำพูดของผมด้วยนะ”
นายพลชวนิลสะบัดหน้าเดินออกจากห้องนั้น ผู้นำวรุตม์เรียกเลขาคนใหม่ที่มาทำงานแทนคณินซึ่งถูกสังหารด้วยฝีมือของนายพลชวนิลซึ่งมีนามว่า ชุมชัย
“ส่งบัญชีทหารไปตรวจสอบประวัติกับทีมกลาโหมของผมด้วย รายงานกลับมาให้เร็วที่สุด” ผู้นำวรุตม์บอกกำชับเสียงหนักแน่น แววตาครุ่นคิด “พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว ยังไม่ยอมจำนนงั้นสิ ผู้มากบารมีทั้งหลาย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นผู้นำวรุตม์รับสาย สีหน้าตระหนกใจ เมื่อรับรายงานจากตำรวจดูแลหมอจารุมนว่า หล่อนถูกลักพาตัวหายไปแล้ว
“สืบหาให้เร็วที่สุด รายงานด่วนด้วย” เขาพูดสั่งเสียงเข้ม หัวใจเต้นรัว “พวกเขากล้าทำอย่างนี้เชียวรึ ?”
ผู้นำวรุตม์คิดถึงพรรคพวกของพันธวัชที่จ้องจับหมอจารุมนหลายครั้งเพื่อใช้ต่อรองให้ลูกสาวของหล่อนส่งมอบหลักฐานก่อกบฏให้พันธวัช แม้เขาจะพยายามปกป้องหล่อนอย่างดี ก็ยังผิดพลาดได้
“ผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นอันตรายเด็ดขาด” เขาพึมพำ แล้วเรียกผู้บัญชาการตำรวจเข้าพบเป็นการด่วน
ผู้นำวรุตม์นั่งฟังรายงานลับจากฝ่ายตำรวจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับทีมงานฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลช่วยคิดหาหนทางดีที่สุดในการช่วยเหลือหมอจารุมนซึ่งยังอยู่ในเงื้อมมือของนายพลชวนิลกับพันธวัช
“ผมต้องการให้ใช้หน่วยพิเศษในการช่วยหมอจากพวกมันอย่างปลอดภัย”
ผู้บัญชาการฯมีสีหน้ากังวล ยามเอ่ยว่า “ถ้าเราแย่งมาได้ก่อนส่งถึงมือของนายพลหรือพันธวัช ก็ง่ายหน่อย ตอนนี้เรากำลังตรวจสอบยืนยันอยู่ครับ”
“ผมเน้นความปลอดภัยของหมอ และเชื่อฝีมือหน่วยพิเศษของตำรวจด้วย”
“ผมจะเร่งทำงานให้สำเร็จครับ” ผู้บัญชาการฯตอบ แล้วขอตัวไปทำงานตามแผน
หัวหน้าทีมงานฝ่ายความมั่นคงฯมีสีหน้าหนักใจ “พวกเขาต้องการหลักฐานสำคัญจึงไม่แคร์ท่านด้วยการชิงหมอจารุมนไปจากตำรวจ เราต้องทบทวนแผนใหม่เสียแล้ว”
“เขาเริ่มย้ายกำลังพลของตนเข้าใกล้อำนาจของตัวเองมากขึ้น เมื่อปฏิเสธการย้ายคนไม่ได้ พวกคุณต้องคัดกรองคนให้ดี”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าผมได้รับหลักฐานจากปอนด์ คงรับมือการรุกของพันธวัชได้ดีกว่านี้”
“ท่านต้องเก็บหมากสำคัญอย่างหมอจารุมนให้ดีด้วย คุณปอนด์ต้องเลือกแม่มากกว่าจับกบฏแน่ จึงต้องไม่ให้โอกาสเลือกแก่เธอ” หัวหน้าทีมฯเอ่ยเตือน
“ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเลย” เขาบอกด้วยสีหน้าหนักใจยามคิดถึงความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกกับผู้นำหนุ่มที่รุดหน้าไปด้วยดีและมีความจริงใจต่อกัน หากวันหนึ่งต้องเลือกระหว่างการรักษาตำแหน่งและความมั่นคงของชาติกับความรักผูกพันที่มีต่อสองแม่ลูก เขาต้องหนักใจมากเช่นกัน
***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************