ติชิลายืนกระวนกระวายเมื่อเห็นเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา แต่กองทหารของเจ้าชายอัคนียังไม่กลับเข้าหมู่บ้านโมกแคน สักพักใหญ่หล่อนจึงเห็นรัชทายาทแห่งแดนมฆวันกับหัวหน้าภูไทรเดินอิดโรยมาที่บ้านพัก หล่อนวิ่งไปเปิดประตูให้พวกเขา
“หม่อมฉันดีใจที่ท่านปลอดภัย” ติชิลาบอกด้วยน้ำเสียงยินดี ขณะเดินตามเจ้าชายเข้าไปในบ้านพร้อมกับหัวหน้าภูไทร
“ครอบครัวของภูไทรอยู่ที่นี่ใช่ไหม ?”
“หม่อมฉันรับพวกเขาไว้ตามคำสั่งของท่านแล้ว”
เจ้าชายพยักหน้ารับรู้ พลางสั่งทหารให้นำหัวหน้าหมู่บ้านโมกแคนไปพบครอบครัว แต่ลูกบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมนายทหารอีกคนด้วยสีหน้าไม่ดี
“มีอะไร ?” เจ้าชายถามสงสัยยามเห็นสีหน้าของทั้งสอง
ลูกบ้านค้อมกายลงต่ำ พลางปรายตามองหัวหน้าภูไทร ก่อนพูดว่า “คนเฝ้าน้ำตีเกราะไม้แจ้งข่าวน้ำป่าลงมาแล้ว”
“น้ำป่ารึ ?” หัวหน้าภูไทรขมวดคิ้ว แววตากังวล “แจ้งชาวบ้านย้ายไปที่หลบภัยทันที”
ลูกบ้านตอบรับแล้วเดินจากไป หัวหน้าหมู่บ้านหันไปบอกเจ้าชายว่า “หลายวันมาแล้วที่มีฝนตกบนเขาข้าจัดเวรยามเฝ้าน้ำป่าเพราะคาดว่ามันจะหลากลงมาในไม่ช้านี้ ตอนนี้มันไหลลงมาแล้ว พวกเราต้องหลบน้ำก่อนขอรับ”
“หมู่บ้านนี้อยู่เชิงเขา ต้องเป็นทางผ่านของน้ำ จะไปหลบที่ไหน ?” ติชิลาถามเสียงเข้ม แววตาไม่พอใจ
“ข้าจัดที่หลบภัยไว้บนที่ดอนห่างหมู่บ้านไป พวกเราจะหลบภัยน้ำที่นั่น”
“เจ้านำทางไป” เจ้าชายตอบ พลางหันไปสั่งทหารว่า “เรียกสริตาไปด้วยกันเดี๋ยวนี้”
ติชิลามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงอ่อยว่า “สริตาหนีออกไป พี่ชายของหม่อมฉันติดตามไปแล้ว เขายังไม่ได้แจ้งข่าวกลับมา”
“ไปไหน ?”
ติชิลาอึกอัก แล้วตอบว่า “พี่ทักษาคาดว่าเธอคงอยากไปช่วยท่านหลังจากได้ยินว่ากองทหารของท่านถูกล้อมไว้และต้องการความช่วยเหลือ แต่ทหารทางนี้เจอกองโจรเล่นงานเช่นเดียวกัน”
“ช่วยรึ ?” เจ้าชายมีสีหน้าขัดเคืองใจ “เราไม่เห็นเธอเลย”
“ไฟไหม้บนเขาดึงพวกโจรกลับค่ายและให้เวลาถอนกองทหาร อาจมาจากฝีมือของท่านทักษากับเธอก็ได้” นายทหารคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต
เจ้าชายอัคนีมีสีหน้าไม่สบายใจ หัวหน้าภูไทรพูดเตือนว่า “พวกเราต้องย้ายไปที่หลบภัยน้ำแล้วขอรับ”
“ไปกันได้” รัชทายาทหนุ่มบอกเน้นเสียง ก่อนติดตามหัวหน้าหมู่บ้านโมกแคนออกจากบ้านพักไปยังที่หลบภัย
ติชิลาลอบยิ้มสะใจที่เจ้าชายตัดสินใจพาทุกคนไปหลบภัยน้ำก่อนโดยยอมทิ้งสาวไทยไว้ แท้จริงแล้วเจ้าชายอัคนีกังวลเรื่องความปลอดภัยของสริตาน้อยลงเพราะเชื่อว่าหล่อนคงรับมือการคุกคามจากทักษาได้ไม่ยากด้วยพลังจิตของหล่อน หลังจากสิ้นภัยน้ำป่าหลากแล้วเขาจะรีบตามหาสาวไทยทันที
“ระวังตัวด้วย สริตา” เจ้าชายคิดในใจ ขณะเดินมุ่งหน้าไปยังที่หลบภัยน้ำป่า
เวลาเดียวกันทักษาประคองร่างสาวไทยซึ่งหมดสติระหว่างเดินออกจากป่าท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำตกต่อเนื่อง เสียงครืนดังไล่หลังคนทั้งสองสร้างความไม่สบายใจแก่ชายหนุ่มยิ่ง เขาเงี่ยหูฟังเสียงดังอึดใจหนึ่งจึงตัดสินใจพาสริตาไปยังที่ดอนซึ่งใกล้ที่สุดโดยเร็ว
“ทำไมน้ำป่าต้องลงมาตอนนี้ด้วย ? บ้าที่สุด !” เขาส่ายหน้า ขณะวิ่งพาสาวไทยไป
ระหว่างประชุมหารือการตั้งมหาเสนาบดีคนใหม่ในที่ประชุมตัวแทนอำนาจพระราชา มหาอำมาตย์พยนต์ไม่พอใจที่ตัวแทนคณะรัฐบาลทั้งสองยื้อเวลาและต้องการให้รักษาการณ์มหาเสนาบดี คือ ท่านชยาศีร์และเจ้าชายอัคนีในฐานะรัชทายาท เข้าร่วมพิจารณาด้วย
“ท่านไม่พอใจรายชื่อที่ฉันเสนอสินะ” มหาอำมาตย์เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
โชตกยิ้มเย็น “รายชื่อเดียวของท่านไม่ใช่ตัวเลือก แต่บังคับเลือก ผมอยากให้ฝ่ายบริหารเสนออีกหนึ่งรายชื่อให้พิจารณา มันน่าจะดูยุติธรรมขึ้น”
“คนภายนอกจับตามองการตั้งมหาเสนาบดีในขณะที่ไม่มีองค์ประมุข หากพวกเราทำงานรวบรัด จะเป็นที่ครหาแน่ โดยเฉพาะคนที่ท่านสนับสนุนจะทำงานยาก เพราะเหตุที่มาน่าเคลือบแคลงใจ” เสนาฝ่ายการศึกษานามว่า จิตมันต์พูดสนับสนุนอีกคน
ตัวแทนอีกสองคนเหลือบตามองมหาอำมาตย์พยนต์แล้วเงียบเมื่อเห็นสายตาขุ่นเคืองของเขา
“งานบริหารประเทศจะขาดผู้นำนานไม่ได้ ขอเพียงทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องแคร์สายตาของคนอื่นก็ได้” ท่านพยนต์บอกเสียงเข้ม
“มันบริสุทธิ์จริงหรือ ? อย่าลืมว่าพวกเราเป็นแค่ตัวแทนการใช้อำนาจ มิใช่พระราชาที่จะทำทุกสิ่งได้สมบูรณ์” โชตกกล่าวโต้
“ฉันสนับสนุนคนไม่เหมาะสมรึ ?”
“เขามีคุณสมบัติที่ดี แต่ที่มาของเขาน่าสงสัย” โชตกตอบ แววตารู้ทัน
มหาอำมาตย์เฒ่าถอนหายใจ พลางเอ่ยว่า “เราพักการพิจารณาไว้ก่อน”
โชตกกับเสนาฯจิตมันต์เดินออกจากห้องประชุม ท่านพยนต์เรียกนายทหารคนหนึ่งไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหู รอยยิ้มกว้างยามมองนายทหารเดินออกจากห้องไป
“ไม่มีใครขัดความต้องการของฉันได้” ดวงตาของท่านพยนต์เจิดจ้าขึ้น
ตัวแทนอีกสองคนทำท่าจะเดินจากห้อง แต่มหาอำมาตย์เฒ่าเรียกให้ประชุมต่อไป
“พวกเราต้องรอท่านโชตกกับท่านจิตมันต์ก่อน” ตัวแทนคนหนึ่งเอ่ยเตือนในที
“พวกเขาไม่สบายและลากลับไปแล้ว พวกเราประชุมเรื่องตั้งมหาเสนาบดีได้เลย”
คำตอบและสายตาดุของมหาอำมาตย์เฒ่าทำให้ตัวแทนทั้งสองจำต้องนั่งลงอีกครั้งโดยไม่กล้าถามข้อสงสัยของตนอีก ในที่สุดทั้งสามลงมติรับรองการแต่งตั้งมหาเสนาบดีคนใหม่ด้วยเสียงข้างมากโดยไม่มีโชตกกับเสนาฯจิตมันต์ร่วมประชุมด้วย แท้จริงแล้วทั้งสองถูกขังไว้ในห้องรับรองเล็กขณะพักผ่อนด้วยกันโดยนายทหารของท่านพยนต์คอยเฝ้าที่หน้าประตู
รองมหาเสนาบดีชยาศีร์นั่งรอการกลับบ้านของโชตกพักใหญ่หลังจากรับแจ้งทางมือถือว่าเกิดเหตุการณ์ใดในวังไวชยันต์ โชตกกับเสนาฯจิตมันต์เดินฮึดฮัดเข้าไปในห้องรับแขก
“ก่อนมาที่นี่ฉันได้รับเอกสารแจ้งการรับรองมหาเสนาบดีคนใหม่จากวังไวชยันต์ มันเกิดอะไรขึ้น ?” ท่านชยาศีร์ถาม ท่าทีร้อนใจ
เสนาฯจิตมันต์เล่าการถูกกักขังให้รองมหาเสนาบดีชยาศีร์รับฟัง ส่วนโชตกนั่งเงียบ
“พวกเราต้องทำอย่างไรต่อไป ?” เสนาฯจิตมันต์ถามอย่างไม่สบายใจ “พวกเขาใช้เสียงข้างมากแต่งตั้งมหาเสนาบดีคนใหม่แล้ว”
“มันยังไม่สมบูรณ์ ต้องมีคำรับรองจากเจ้าชายอัคนีด้วย” ท่านชยาศีร์บอก
คนรับใช้เดินเข้าไปกระซิบบางอย่างกับโชตก ทั้งสองเห็นสีหน้าไม่ดีจากเจ้าของบ้าน
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“ทหารรายงานว่า เจ้าชายหลบภัยน้ำป่าอยู่ ยังไม่รู้ตำแหน่งของท่าน” โชตกตอบ
“ถ้าไม่มีคำคัดค้านของอัคนีภายในสามวัน จะเป็นการยืนยันมติของตัวแทนพระราชอำนาจตามระเบียบ พวกเรากำลังอยู่บนความเสี่ยง” ท่านชยาศีร์บอกด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ยังมีเวลาอีกสามวัน หลายอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้” โชตกบอกอย่างมีความหวัง
รองมหาเสนาบดีชยาศีร์กับเสนาฯจิตมันต์แยกย้ายกลับบ้าน โชตกถามหาแม่บ้านนิชา แต่คนรับใช้เห็นหล่อนเดินออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าและยังไม่กลับบ้านเลย
“พี่นิชาไปที่ไหน ? ผมต้องการคำแนะนำ” เขาพึมพำ ขณะนั่งอยู่ในห้องหนังสือ
ช่วงเวลาเดียวกันหัวหน้าทหารวังนามว่า ปัจฉิม หิ้วกระสอบใบหนักเข้าไปในห้องลับของบ้านพักมหาอำมาตย์พยนต์ แล้ววางบนพื้นเย็นเฉียบ เสียงเปิดประตูดังขึ้นเขาหันไปค้อมกายต่ำยามเห็นผู้เข้าไปในห้อง
“ข้านำคนที่ท่านต้องการมาแล้วขอรับ”
“มัดมันไว้บนเตียง !” ท่านพยนต์สั่ง เมื่อเข้าไปยืนมองร่างไร้สติของแม่บ้านนิชา
หัวหน้าปัจฉิมอุ้มร่างนิชาไปวางบนเตียงหินแล้วมัดแขนขาตรึงกับหมุดเงินที่มุมทั้งสี่ของเตียง จากนั้นเดินจากไปตามคำสั่งของท่านพยนต์
“เจ้ารอดตายครั้งก่อนได้ แต่คราวนี้จะตายหรืออยู่ ขึ้นอยู่กับคำตอบแล้ว นิชา” ดวงตาของท่านพยนต์เจิดจ้าขึ้นยามคิดถึงเป้าหมายที่ต้องการจากนิชา ลูกสาวหัวหน้าเผ่าชุษณะ
เช้าวันต่อมาโชตกเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่อแม่บ้านนิชายังไม่กลับบ้าน ทั้งที่หล่อนไม่มีทางไปค้างคืนที่อื่นโดยไม่บอกให้เขารับทราบก่อน จึงส่งคนติดตามข่าว ขณะนั่งอ่านจดหมายที่แม่บ้านนิชาเขียนวางไว้บนโต๊ะทหารนำผ้าไหมพันคอสีเขียวหม่นซึ่งบิดาของเขาให้เป็นของขวัญวันปีใหม่ล่าสุดแก่แม่บ้านนิชาไปมอบให้โชตก
“เจอที่ไหน ?” โชตกถามเสียงสั่นเล็กน้อย
“มันตกอยู่ที่รั้วด้านข้างบ้านขอรับ”
“เธอถูกจับตัวไปโดยไม่มีคนเห็นงั้นรึ ?”
“ผมสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงแล้ว ไม่มีคนเห็นเลย มันอาจเป็นจังหวะปลอดคนพอดี”
โชตกโบกมือไล่ทหารออกจากห้อง แล้วนั่งมองผ้าพันคอของแม่บ้านนิชาอย่างหวั่นใจ
“พี่นิชาอยู่ที่ไหน ?” เขามองจดหมายของแม่บ้านนิชา แล้วเรียกทหารเข้ามาในห้อง พลางสั่งว่า “นำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้ คมิก ที่ภูเขาสูรยาทิตย์ทันที”
ทหารรับจดหมายฉบับนั้นแล้วเร่งเดินทางไปตามคำสั่งของโชตก ส่วนเขาสั่งคนสืบหาที่กักขังของแม่บ้านนิชาด้วยความหวังว่าจะช่วยหล่อนได้ทันเวลา
ภายในห้องนอนของพระตำหนักในพระสนมกุลนาถนั่งมองการหยอกล้อระหว่างมหาอำมาตย์พยนต์กับเจ้าชายเอกทัศน์ด้วยรอยยิ้มสุขใจ เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่านพยนต์อุ้มพระโอรสส่งให้พระสนมก่อนเดินไปเปิดประตูแล้วฟังรายงานจากทหารครู่หนึ่ง จึงกลับมานั่งด้วยสีหน้าขรึม
“มีเรื่องอะไร ?”
“โชตกส่งทหารไปที่ภูเขาสูรยาทิตย์”
“เขาเคลื่อนไหวเพื่ออะไร ?”
“สถานที่นั้นเป็นที่พักของฝ่ายต่อต้านที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้ เมื่อก่อนท่านนฤวรคอยปกป้องไว้ ข่าวลือด้วยว่าพระราชาอยู่เบื้องหลัง เขาน่าจะไปเตือนภัยคนภูเขานั้นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงแล้ว นอกจากนั้นบางที.....” สีหน้าของมหาอำมาตย์เฒ่าบอกความคิดหนัก “......โชตกอาจแจ้งข่าวนั้นก็ได้”
“ข่าวอะไร ?”
“มันเป็นเรื่องของกระหม่อม พระสนมมีหน้าที่ดูแลพระโอรสเพื่อรอรับบัลลังก์เท่านั้น”
“ฉัน............” พระสนมทำท่าจะกล่าวโต้
ท่านพยนต์ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยว่า “กระหม่อมมั่นใจว่าบัลลังก์นี้ต้องเป็นของเจ้าชายเอกทัศน์เท่านั้น พวกเราจะได้เสวยสุขพร้อมหน้ากันเมื่อถึงเวลามงคลนั้น”
“ท่านคงไม่ลืมว่าเจ้าชายอัคนีเป็นรัชทายาทที่ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบแล้ว”
มหาอำมาตย์เฒ่าแสยะยิ้ม นัยน์ตาเหี้ยม “พระราชาเคยตั้ง ตัวแทนอำนาจของพระราชากระหม่อมจะถอดถอนเขาออกอย่างถูกต้องก็ได้”
“ทำไมท่านไม่เร่งทำ ฉันเบื่อจะแบกรับเรื่องนี้ไว้”
“พระสนมต้องแบกรับความเป็นพระโอรสแห่งพระเจ้าชเยนทราของเจ้าชายเอกทัศน์ไว้ หากเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไป พระองค์ เจ้าชาย และกระหม่อมต้องตายสถานเดียว จึงไม่มีทางเลือกอีกแล้ว”
พระสนมทำท่าจะร้องไห้ แล้วกอดพระโอรสไว้แน่น “ฉันเหนื่อยมาก”
“พระสนมต้องเข้มแข็งเพื่อพระโอรสและความอยู่รอดของพวกเรา” เขาพูดปลอบโยน ก่อนเดินออกจากห้อง
มหาอำมาตย์พยนต์เรียกหัวหน้าปัจฉิมไปพบที่ห้องหนังสือในบ้านพักเพื่อให้ทำงานสำคัญชิ้นหนึ่ง หลังจากหัวหน้าทหารวังออกไปเตรียมทำงานตามแผนของเขาแล้ว ท่านพยนต์เดินลงไปที่ห้องลับ ดวงตามองแม่บ้านของโชตกซึ่งฟื้นสติได้สักพักแล้ว หล่อนเหลียวมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าคงไม่ยินดีที่พบกันสินะ” เขาบอก ขณะยืนชิดเตียงหิน
นิชาเหยียดยิ้ม “ไม่ยินดี แต่รู้ล่วงหน้าว่าต้องมีวันนี้”
“พ่อของเจ้าเคยบอกว่า เจ้ากำลังศึกษาวิชาไพ่ทำนาย คงฝึกสำเร็จแล้วสิ”
“แม่นยำดีด้วย”
“เมื่อรู้แล้ว ทำไมไม่หนี ?” เขามองฉงน
“ชะตาฟ้ากำหนดไว้แล้ว”
“ถ้าพ่อเชื่อคำทำนายของเจ้า อาจไม่ต้องตายทั้งเผ่าก็ได้”
นิชาตอบเสียงขมขื่นว่า “ตอนนั้นข้าเป็นแค่เณรีฝึกหัด ย่อมไม่มีคนเชื่อถือคำพูด ชะตาฟ้ากำหนดให้ท่านล้างผลาญเพื่อนและมิตรภาพทั้งหลายลงด้วยความโลภ หลายปีที่ผ่านมาข้ายอมรับชะตากรรมนั้นได้แล้ว”
มหาอำมาตย์เฒ่าหัวเราะ ดวงตาวาวโรจน์ “ฉันตั้งใจไปหมู่บ้านของเจ้าเพื่อสิ่งที่พวกเจ้าครอบครองอยู่ ความรู้และตราจอมเวทย์ที่แสนอัศจรรย์ รวมทั้งยาอายุวัฒนะลึกลับ ฉันกำหนดชะตากรรมสาหัสให้พวกเจ้าต่างหาก”
“ท่านไม่เชื่อเรื่องฟ้ากำหนดกรรมสนองให้ตัวเองไว้สินะ”
“ฉันเขียนเส้นทางให้ตัวเอง ไม่ใช่ฟ้า..........” เขาตวาดเสียงห้วน นัยน์ตาดุ “..........เวลาที่เจ้าอดข้าว ฟ้าให้ข้าวแก่เจ้าได้หรือ ? เจ้าต้องดิ้นรนทำงานแลกข้าว ฟ้าช่วยเจ้าตรงไหน ?”
“ฟ้ากำหนดเส้นทางชีวิตแต่ละคนตามบุญกรรมที่ทำสะสมกันไว้ วันนี้ท่านเสวยสุขจากการแย่งชิงคนอื่นเพราะผลบุญเก่า วันใดที่หมดบุญเก่าท่านต้องรับบาปกรรมสนองต่อไป มันเป็นลำดับที่ฟ้ากำหนดไว้”
“ฟ้าจะช่วยเจ้ารอดเงื้อมมือของฉันได้อีกครั้งไหม ? ไม่นานก็รู้แล้ว” เขาทำเสียงหึในลำคอ พลางเอื้อมหยิบถ้วยหินใบหนึ่งซึ่งมีควันพวยพุ่ง
“จะทำอะไร ?”
“เจ้ามีโชคดีที่จะดื่มยาพิษชนิดเดียวกับที่สริตาต้องดื่มเช่นกัน บางทีอาจตายวันเดียวกันก็ได้.....” เขากรอกยาพิษใส่ปากของนิชาอย่างเร็ว แล้วหัวเราะชอบใจ “........ติชิลาปรุงยาพิษสิบวันลงนรกไว้ ถ้าอยากมีชีวิตต่อไป ก็ต้องสนองความต้องการของฉันให้ครบทุกข้อ นิชา”
แม่บ้านนิชาหวั่นใจกับข่าวร้ายของสริตา รวมทั้งชะตากรรมของตัวเอง แต่ยังรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ หล่อนเมินไปมองทางอื่น
“เจ้ารู้ความต้องการของฉัน เมื่อพร้อมจะบอก ก็เรียกฉันได้ คนรับใช้จะไปตามฉันเอง”
เสียงปิดประตูห้องของมหาอำมาตย์เฒ่าดังขึ้นหล่อนนอนมองเพดานของห้องลับอย่างใช้ความคิด ความร้อนจากยาพิษแล่นกระจายไปทุกส่วนของร่างกายอย่างช้าๆ
“ข้ามีเวลาแค่สิบวันรึ ?” หล่อนพึมพำ หลับตาคิดพิจารณาทุกอาการที่เกิดขึ้นจากยาพิษ
ฝนตกกระหน่ำต่อเนื่องทำให้สายน้ำไหลผ่านที่ดอนซึ่งทักษากับสริตานั่งหลบภัยน้ำป่าที่หลากลงจากภูเขาสูงเหลือพื้นที่น้อยลง มันเพิ่มระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สาวไทยยังไม่ฟื้นสติและพิงศีรษะกับไหล่ของเขา ทักษาล้วงยาพิษของติชิลาออกมามองชั่งใจ ดวงตาเจิดจ้าขึ้น เขากรอกเม็ดยาใส่ปากของหล่อนแล้วบังคับกลืนมันเข้าไปอย่างเร็ว
“ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ เธอคงไม่ยอมทำเพื่อผม” เขาพึมพำ พลางกอดสาวไทยไว้ ความรู้สึกเสียใจบังเกิดขึ้นในหัวใจชั่วแวบหนึ่ง
สริตาเริ่มรู้สึกตัว พลางลืมตาขึ้น “ฉัน...........”
“อย่าขยับตัว”
สาวไทยสะดุ้งเมื่อรู้ว่าทักษากอดหล่อนไว้ ทำท่าจะผลักเขา แต่เสียงชายหนุ่มทำให้หล่อนชะงักโดยพลัน แล้วหันมองรอบตัวที่เต็มไปด้วยสายน้ำป่าไหลหลากแรงต่อเนื่อง
“ทำไม...........”
“ช่วงลงเขามีน้ำป่าไล่ตามหลังมา เธอสลบ ผมต้องพามายังที่ดอนซึ่งใกล้ที่สุด แต่ดูเหมือนที่ดอนอาจต้านทานระดับน้ำไว้ไม่ได้แล้ว”
ระดับน้ำป่าทวีความเร็วอย่างน่ากลัวทั้งสองต้องยืนขึ้นในที่สุดเมื่อน้ำท่วมพื้นที่เพิ่มขึ้น หล่อนมีสีหน้าตระหนกใจ
“แถวนี้ถูกน้ำท่วมหมดแล้ว จะไปที่ไหนได้อีก ?” หล่อนถาม พลางมองรอบกาย
ทักษาเงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติซึ่งเพิ่งดังขึ้น คิ้วขมวดแน่น ดวงตามองหาของบางอย่าง
“น้ำป่าระลอกใหญ่ตามมาแล้ว ต้องลอยไปตามน้ำแล้วหาที่เกาะไว้” เขาบอก แล้วใช้พลังจิตดึงท่อนไม้สองอันมาถือไว้
“นายคิดจะลอยไปตามน้ำรึ ?”
“พวกเราต้องไปตามน้ำก่อน แล้วมองหาต้นไม้แข็งแรงและสูงพ้นน้ำ”
“ฉัน..........”
ทักษาโยนท่อนไม้อันหนึ่งให้สาวไทย พลางบอกกำชับว่า “เก็บอากาศไว้มากที่สุดเมื่อน้ำพัดจม จะต้องใช้มัน พวกเราต้องพยายามไม่แยกกัน”
“ทำอย่างไรที่ไม่ต้องแยกกัน ?” หล่อนมองงง
ทักษากวาดตามองไปที่ต้นไม้ใหญ่ แล้วใช้พลังจิตกระชากเถาวัลย์เส้นยาวลงมาไว้ในมือ เขาจัดการผูกท่อนไม้ทั้งสองไว้ด้วยกัน
“แค่นี้ก็ไม่แยกกันแล้ว ง่ายไหม ?” เขาถามติดตลก
“มันดูง่าย แต่ไม่หมูแน่” หล่อนบอก ดวงตาเบิ่งกว้าง ยามเห็นสายน้ำถาโถมใส่ทั้งสองอย่างเร็วเกินคาด
“กอดท่อนไม้ไว้” ทักษาตะโกนบอกลั่น
ทักษากับสริตาถูกสายน้ำผลักและดูดจมใต้น้ำสลับไปมา เขาร้องเตือนให้ระวังการกระแทกต้นไม้ตามเส้นทางน้ำเป็นระยะ หลายครั้งที่หล่อนเกือบหมดแรง ชายหนุ่มตะโกนเรียกสติไว้เพื่อมิให้หล่อนปล่อยท่อนไม้ ทักษาพยายามเลื่อนตัวเข้าไปจับสาวไทยไว้เมื่อเห็นหล่อนอ่อนแรงลง แต่ความแรงของสายน้ำกระแทกทั้งสองแยกจากกันทุกครั้ง
“อย่าปล่อยท่อนไม้ ถ้าอยากมีชีวิตกลับบ้าน” เขาตะโกนเตือนสติของสาวไทยเมื่อไม่สามารถเข้าใกล้สริตาได้
“บ้านรึ ?” หล่อนคิดถึงภาพมารดาและบ้านอบอุ่น แล้วรวบรวมความเข้มแข็งกลับขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่ยอมตายต่างแดนแน่ ไม่ยอมตาย !”
เสียงตะโกนของสาวไทยทำให้ทักษาดีใจ พลันตกใจสุดขีดเมื่อร่างทั้งสองกำลังถูกสายน้ำผลักดันไปยังต้นไม้ยักษ์ที่ล้มขวางทางอยู่
“โอ.............” เขาครางในลำคอ
“ต้น......ต้นไม้..........” หล่อนมองตระหนกใจยามคิดถึงสิ่งที่ต้องเจอในไม่ช้านี้
แรงดันน้ำผลักทั้งสองเข้าไปใกล้ต้นไม้ยักษ์มากขึ้น ทักษาตะโกนสั่งว่า “ว่ายข้ามต้นไม้ให้ได้ แล้วเกาะสักกิ่งที่แข็งแรง ระวังมิให้ชนมัน”
“แต่..........” หล่อนชี้ที่ท่อนไม้ของทั้งสอง
ทักษาล้วงมีดสั้นขึ้นมาและสลัดปอกมีดออก พลางเงื้อมสูงเหนือน้ำ “ผมจะตัดแยกเถาวัลย์ จงเก็บอากาศไว้”
“ทำไมพวกเราไม่ทำลายมันด้วยพลังจิต ?”
“เธอยังไม่พร้อม”
“นายบินได้มิใช่หรือ ? หนีไปก่อนเลย”
ทักษามองอึ้งเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ผมอ่อนเพลียเกินจะทำได้ ทำตามที่บอกเถอะ”
“แต่............”
“เวลานี้ไม่ต้องการคำถาม” เขากระชากเสียงบอก แล้วตัดเถาวัลย์ที่ผูกโยงท่อนไม้ทั้งสองไว้ขาดออกจากกันเมื่อน้ำพัดพวกเขาไปใกล้ต้นไม้ยักษ์ในระยะอันตรายแล้ว
ทักษาเห็นสริตาลอยหมุนไปตามแรงของสายน้ำแล้วจมดิ่งลงไปข้างล่าง ส่วนเขาพยายามว่ายต้านสลับปล่อยแล้วมุดลงไปใต้ต้นไม้ยักษ์เพื่อหาทางโผล่อีกด้านหนึ่งของมัน เขาเลือกกิ่งไม้ที่ใหญ่พอจะต้านแรงดันน้ำได้ เขารอจังหวะให้สายน้ำแรงพัดผ่านไปอย่างอดทน จากนั้นจึงปีนขึ้นอยู่ด้านบนเมื่อมันผ่านไปแล้ว เขานั่งหายใจหอบหนัก แล้วรีบยืนขึ้นมองหาสาวไทยไปรอบต้นไม้ยักษ์ แต่ไม่เห็นร่องรอยของสริตา
“เธอ...........สริตา........” เขาตะโกนเรียกหาสาวไทยด้วยจิตหวั่นไหว
หลังจากสายน้ำหลากใหญ่พัดผ่านไปแล้วความสงบเข้าครอบคลุมผืนป่าอีกครั้ง ระดับน้ำสูงเกือบท่วมต้นไม้ยักษ์ แต่ยังมีพื้นที่เหลือพอที่คนจะนั่งเหยียดขาได้ ทักษานั่งอ่อนแรงเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากสริตา
“เธอ......ผมไม่ควรปล่อยเธอไว้คนเดียว........บ้าที่สุด..........” เขาเริ่มฉุนเฉียวเมื่อคิดถึงภาพสุดท้ายของสริตาตอนที่ตัดเถาวัลย์แยกทั้งสองออกจากกัน
“เฮ้..............”
ทักษายืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้หญิงดังขึ้นท่ามกลางต้นไม้ที่หักโค่นรอบกาย เขากวาดตามองหาต้นเสียง สักครู่จึงเห็นสาวไทยยืนกอดต้นไม้ที่หักครึ่งต้นซึ่งอยู่ห่างประมาณสามเมตร ต้นไม้บางต้นบังสาวไทยจากสายตาของเขา หล่อนโบกมือไปมา เขาถอนใจโล่งอกทันใด
“บาดเจ็บหรือเปล่า ?” เขาตะโกนถาม
“ไม่ ฉันต้องอยู่บนต้นไม้อีกนานไหม ?” หล่อนย้อนถาม
“ถ้าน้ำลดความแรงลงมากกว่านี้ เธอว่ายมาที่ต้นไม้ของผม แล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
“นายยืนสบายกว่าฉันนี่นา”
ทักษาทำเสียงหึในลำคอ แล้วนั่งลง ปากบอกเสียงเบาว่า “รอดตายได้ นับว่าเป็นบุญแล้ว”
“ทำไมไม่พูดล่ะ ?”
“ขอพักเหนื่อยก่อน” ทักษาตะโกนตอบ
“เอาเปรียบนี่นา...........” หล่อนพูด แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตะโกนลั่นว่า “......ฉันกอดต้นไม้ ส่วนนายนั่งพักใช่ไหม ?”
“เธอเลือกต้นไม้นั้นเอง ผมบอกให้เล็งต้นไม้ยักษ์นี่นา” เขายิ้ม
“เวรกรรมของฉันที่น้ำพัดไปทางนี้” หล่อนพูดปลงง่ายๆ
ทักษาส่ายหน้าเมื่อสัมผัสอารมณ์ขันที่สาวไทยแสดงผ่านคำพูด แม้จะตกอยู่ในอันตราย มันแสดงว่าหล่อนควบคุมอารมณ์ได้ดีอย่างเหลือเชื่อ หากเป็นผู้หญิงอื่นคงร้องโวยวายเพื่อขอความช่วยเหลือและคุ้มครองจากเขา แทนที่จะตัดพ้อความสบายที่แตกต่างกันของทั้งสอง
“ผมทึ่งใจจริงๆ สริตา” เขาพึมพำ รอยยิ้มกว้าง ขณะนั่งใช้ความคิดหาทางออกจากป่าท่ามกลางสายน้ำที่ยังหลั่งไหลต่อเนื่อง แต่ลดความแรงลงแล้ว