โชตกเดินออกจากห้องนอนหลังจากพูดคุยโทรศัพท์แล้ว เขามองหาสริตา คนคุ้มกันแจ้งว่าอยู่ในห้องน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเขาจึงไปเปิดประตู พนักงานแจ้งว่ามีคำสั่งให้ส่งหนังสือพิมพ์ไทยมาที่ห้องด้วย เขาคาดว่าสริตาคงสั่งลงไป จึงรับไว้
“คุณสั่งหนังสือพิมพ์ไทยใช่ไหม ?” เขาถาม เมื่อหญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ
สริตายิ้มเจื่อน “ภาษาอังกฤษของฉันอ่อนแอ แต่อยากเข้าใจข่าวศพคุณคณินมากขึ้น จึงบอกให้ส่งฉบับไทยมาที่ห้อง ฉันขอโทษที่ไม่ขออนุญาตจากคุณก่อน”
ท่าทางสำนึกผิดของหญิงสาวทำให้โชตกไม่คิดถือสา เขาบอกเน้นเสียงว่า “เมื่อรู้ว่าเป็นมารยาทไม่ดี ทีหลังก็อย่าทำ”
สริตาพยักหน้ารับคำ แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ไทยไปนั่งอ่านที่ริมระเบียงคนเดียว ส่วนโชตกเดินออกไปสมทบกับเจ้าชายอัคนีที่ห้องพักเพื่อรับฟังการพูดคุยกับตัวแทนผู้นำวรุตม์
“ฉันต้องหาวิธีส่งแผ่นซีดีให้ท่านวรุตม์โดยเร็วเพื่อยุติการกบฏ แก้แค้นแทนคุณคณินด้วย” หล่อนพึมพำหลังจากอ่านข่าวการตายของเลขาคณิน แต่ไม่มีการเอ่ยถึงสาเหตุการตายด้วย
ผู้นำวรุตม์นั่งฟังรายงานสืบสวนการตายของเลขาคณินอย่างไม่พอใจนักเมื่อตำรวจไม่มีความคืบหน้านัก ส่วนมือปืนที่บุกเข้าสังหารเจ้าชายอัคนีแห่งประเทศมฆวันถูกฆ่าตายอย่างอุกอาจพร้อมกับตำรวจและพยาบาลหนึ่งคนโดยยังไม่รู้ว่าพวกไหนกระทำเช่นนี้
“ผมจะได้ยินความคืบหน้าของคดีได้เมื่อไร ?” เขาถามอย่างฉุนจัด
“การทำงานของพวกเขาบอกชัดว่าเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ส่วนจะมาจากสีใด เรายังต้องมีหลักฐานมากกว่านี้ครับ” หัวหน้าทีมสอบสวนตอบ
“ผมไม่ต้องการให้การตายของคุณคณินเงียบหายไป คุณต้องมีคำตอบว่าใครทำ ?”
“ผมทราบครับ”
ทีมสอบสวนเดินออกไปแล้ว ครู่หนึ่งรองเลขาปองชัยเดินเข้ามากระซิบบางอย่างด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“เด็กของเขาไปรวมตัวที่บ้านงั้นรึ ?”
“คนของเรารายงานเช่นนั้น” รองเลขาปองชัยพยักหน้ายืนยัน
ผู้นำวรุตม์ชี้ไปที่หนังสือพิมพ์ แล้วยิ้มเครียด “ข่าวลือปฏิวัติทำให้ท่านพันธวัชเครียดจนต้องให้ลูกน้องมาปลอบขวัญล่ะมัง”
“นายพลชวนิลยังเก็บตัวที่กองบัญชาการ ไม่มีตารางออกข้างนอกในวันนี้ครับ”
“ท่านรองฯล่ะ ?”
“ท่านรับคำสั่งไปตรวจการทำงานของทหารที่ภาคใต้สองสัปดาห์แล้วครับ”
“ท่านชวนิลไล่ไปอยู่ไกลตางั้นสิ”
รองเลขาปองชัยยิ้มรับ “เมื่อท่านส่งไปอยู่ข้างกายของเขา จะกำจัดก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ไล่ไปอยู่ไกลๆ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีตามที่เราต้องการ คือ ดูแลพวกรอบนอกให้อยู่ในกรอบอันควร ฝ่ายนั้นคงนึกไม่ถึงว่าท่านจะใช้แผนนี้”
“ท่านพันธวัชเห็นผมเป็นคนโง่ บางทีตัวเลขอายุก็สร้างความทะนงตนและดวงตามัวพร้อมกันได้” ผู้นำวรุตม์เหยียดยิ้ม ดวงตาพราววับ “คุณส่งคำสั่งแต่งตั้งล่าสุดไปหรือยัง ?”
“บ่ายนี้คนใหม่และคำสั่งจะไปถึงมือของท่านชวนิลครับ”
“เดือนนี้มีคนในกองบัญชาการของเขาหัวใจวายตายไล่เลี่ยกันสองคน ผมจึงแต่งตั้งคนของเราได้ โชคดีจริงๆ”
“ท่านสกัดกั้นแผนกบฏได้นานเท่าไร ?”
“เท่าที่เราจะได้หลักฐานที่คณินเสี่ยงตายรักษามันไว้”
รองเลขาปองชัยมีสีหน้าหมองยามคิดถึงเลขาคณินซึ่งมีความสามารถสูงและเป็นหัวหน้าที่ดี แต่การทุ่มเททำงานครั้งนี้กลับนำความตายมาให้ชายคนนั้น
ดวงตาของผู้นำวรุตม์บอกความเศร้า ยามเอ่ยว่า “คณินพยายามส่งหลักฐานก่อกบฏของทั้งสองให้ผม จึงต้องตายอนาถเช่นนี้ ผมเชื่อว่าถ้ามีมัน จะทำลายแผนได้แน่นอน”
“เขาส่งให้ใคร ?”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นผู้นำวรุตม์นั่งฟังสักครู่ จึงตอบไปว่า “ผมจะไปพบเขาด้วยตัวเอง คุณเคลียร์สถานที่ไว้ ไม่ต้องการนักข่าว !
“ท่านจะไปไหน ?”
“เจ้าชายอัคนีอยากคุยส่วนตัวกับผม”
เสียงมือถือของผู้นำวรุตม์ดังขึ้น รองเลขาปองชัยเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเครียดขณะรับฟังบางอย่าง
“มีอะไรหรือ ?” รองเลขาปองชัยถาม หลังจากเจ้านายวางมือถือบนโต๊ะ
“เลขาท่านพันธวัชแจ้งคำเชิญไปกินมื้อเที่ยงที่บ้าน ผมรับปากแล้ว”
“เขาต้องการคุยบางอย่างกับท่าน”
ผู้นำวรุตม์ยิ้มที่มุมปาก “เขาคงอยากเตือนมิให้ผมพาดพิงถึงท่านพันธวัชผู้มีบารมีสูงส่งต่างหาก”
“ทำไม........”
“รายชื่อแขกรับเชิญมือเที่ยงครั้งนี้เป็นอดีตรัฐมนตรีเพื่อนของเขา นายทหารระดับสูงทุกเหล่าทัพซึ่งผมแต่งตั้งตามคำแนะนำของเขา เพื่อนนักธุรกิจ ถ้าคุณได้ยินชื่อแล้วจะรู้สึกหนาว ท่านพันธวัชต้องการให้ผมรู้ว่าเขากว้างขวางแค่ไหน”
“เขารอฟังคำตอบจากท่านสินะ”
ดวงตาของผู้นำวรุตม์พราววับขึ้น “ผมมีคำตอบไว้แล้ว”
“นัดหมายกับเจ้าชายล่ะครับ ?”
“คุณแจ้งเลื่อนไปช่วงบ่ายโมง แล้วไปกับผมด้วย”
“ท่านจะไม่อยู่ทานมื้อเที่ยงด้วยรึ ?” รองเลขาปองชัยถามแปลกใจ
ผู้นำวรุตม์ยักไหล่ “ผมต้องอยู่ท่ามกลางคำขู่ จะกินข้าวลงหรือ ?”
รองเลขาปองชัยมองเข้าใจ แล้วเดินออกจากห้องนั้น ปล่อยให้ผู้นำวรุตม์นั่งใช้ความคิดตามลำพังเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับขุมกำลังของพันธวัชซึ่งต้องการแสดงบารมีที่สั่งสมมานานเตือนเขาให้รู้จะความพ่ายแพ้ หากต้องต่อสู้กัน
“ผมจะต่อสู้เพื่อรักษาประชาธิปไตยแท้จริงไว้ด้วยชีวิต” เขาพึมพำอย่างมาดหมาย
ผู้นำวรุตม์ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของบ้านแล้ว จึงเดินเข้าไปในห้องรับแขกโดยไม่นำคนติดตามเข้าไปด้วย บรรดาเพื่อนในวงการเมือง การทหาร และภาคเอกชนนั่งล้อมวงอยู่ที่ชุดรับแขกใหญ่โดยพันธวัชนั่งบนโซฟายาวเพียงคนเดียว ผู้นำวรุตม์ยกมือไหว้เจ้าของบ้านก่อนแล้วทำเช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสอื่นในห้องนั้น ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อแขกคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น
“ผมได้รับคำเชิญทานมื้อเที่ยงพร้อมกับทุกท่าน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก นานทีจะเห็นการรวมตัวครบหน้าแบบนี้ แต่ผมมีนัดสำคัญล่วงหน้าแล้ว จึงแวะมาแจ้งด้วยตัวเองครับ” ผู้นำวรุตม์เอ่ยขึ้น
นายทหารเกษียณคนหนึ่งพูดเน้นเสียงว่า “มันไม่ใช่การให้เกียรติจากคุณเลยนะ ถึงอย่างไรท่านพันธวัชก็...........”
“ผมทราบว่าพวกท่านมีเรื่องจะคุยกับผม จึงมาเรียนด้วยตัวเองและให้เวลาคุยมากที่สุดครับ”
หลายคนทำท่าจะพูด พันธวัชโบกมือปรามเสียก่อน รอยยิ้มเย็น “คุณมาบอกด้วยตัวเอง ก็ถือว่าให้เกียรติคนแก่แล้ว นัดหมายกับแขกเป็นเรื่องสำคัญของคนระดับผู้นำนี่นา”
“ขอบคุณที่เข้าใจครับ”
อดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งถามเอาเรื่องว่า “คุณกล่าวหาว่าท่านพันธวัชคิดก่อกบฏงั้นรึ ?”
“มันเป็นข้อกล่าวหาร้ายแรงมาก มีหลักฐานหรือเปล่า ?” นายทหารคนหนึ่งถาม
“ข่าวลือตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เกี่ยวกับผม เพราะไม่มีการให้ข่าวจากรัฐบาลเลย พวกนั้นเดากันไปเอง”
“ผมเน้นว่ามาจากปากของคุณใช่ไหม ?” อดีตรัฐมนตรีถามย้ำเสียง
ผู้นำวรุตม์ส่ายหน้า “ผมไม่ได้พูด แต่การกระทำของคนอื่นอาจทำให้นักข่าวมองภาพไปอย่างนั้นก็ได้”
“การกระทำของใคร ?” นักธุรกิจคนหนึ่งถามบ้าง
“ถ้าผมพูดออกไป จะกลายเป็นการกล่าวหาใส่ร้ายเขา ถ้ามีหลักฐานความผิดตามข่าวลือนั้นจริง ผมต้องทำตามหน้าที่แน่”
“ทำอะไร ?”
“รัฐบาลมีหน้าที่รักษาประชาธิปไตยให้เป็นการปกครองของประเทศนี้ หากพบว่าผู้ใดคิดร้ายทำลายระบอบนี้ ผมเป็นผู้นำบ้านเมืองนั่งอยู่เฉย อาจกลายเป็นจำเลยฐานละเว้นหน้าที่ได้ ผมจะดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เล่นนอกกติกาเด็ดขาด ผมเคารพกฎหมายและประชาชน แต่อีกฝ่ายอาจชอบทำงานแบบเผด็จการ มันเป็นสิทธิของเขา เราต่างเคารพสิทธิของกันและกัน”
“คุณไม่ยอมรับว่ากล่าวหาท่านพันธวัชใช่ไหม ?” นายทหารถามคาดคั้น
“ผมไม่ได้พูด ถ้ามีหลักฐานการกล่าวหานั้น ก็แสดงออกมาสิครับ”
อดีตรัฐมนตรีบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ทุกคนในห้องนี้ต่างเคารพนับถือท่านพันธวัชมาก เราไม่เชื่อว่าท่านจะทำตามข่าวลือนั้น หากคุณรังแกท่าน เราจะปกป้องท่านเต็มที่ อย่าลืมด้วยว่าคะแนนเสียงที่เลือกคุณก็มาจากพวกเราด้วย”
“เมื่อส่งคุณขึ้นเก้าอี้ตัวนั้นได้ เราจะดึงลงเมื่อไรก็ได้” นักธุรกิจอีกคนบอก
นายทหารระดับสูงคนหนึ่งเอ่ยว่า “ท่านพันธวัชให้คำแนะนำหลายอย่าง จึงทำให้คุณทำงานสะดวกขึ้น ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากท่าน ทหารคงนั่งเฉยดูคุณทำงานตามใจชอบโดยไม่เคยเห็นความสำคัญของเราได้หรอก อย่าเนรคุณสิ”
“ท่านสอนผมให้รักประชาธิปไตยและตั้งใจทำงานให้สมกับความไว้วางใจของประชาชน ผมยังจำได้และปฏิบัติตามเสมอ วันนี้ทุกท่านเห็นผมทำงานขัดต่อหลักคำสอนของท่านไหม ?”
“ข่าวลือบ้าๆนั่นออกมาได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่จากคุณ” อดีตรัฐมนตรีพูดกระแทกเสียงขุ่น
“คุณเคยทำงานการเมืองมาแล้ว ข่าวลือมาได้ทุกวัน คุณจับได้บ้างไหม ?”
อดีตรัฐมนตรีอึ้งไป ผู้นำวรุตม์กวาดตามองทุกคนในห้อง พลางบอกเน้นเสียงว่า “ผมกำลังตรวจสอบข่าวลือที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ถ้าเป็นความจริงผมจะจับพวกกบฏและลงโทษมันเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านพันธวัช อย่าลืมสัจธรรมอย่างหนึ่งที่ว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา วันหนึ่งพวกคุณจะตระหนักแก่ใจว่าผมทำหน้าที่ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนจริงเพียงใด และแตกต่างจากบางคนที่แค่พูดหลอกชาวบ้านให้เชื่อถือเท่านั้น”
ใบหน้าของพันธวัชร้อนผ่าว อารมณ์เดือด เมื่อผู้นำวรุตม์พูดเหน็บในที จากนั้นจึงลากลับ ทุกคนในห้องแสดงท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจกับปฏิกิริยาของผู้นำหนุ่มใหญ่
“เขาบอกว่าไม่ได้ทำ ก็ต้องเชื่อเขานะ ให้โอกาสแก่เขาก่อน” พันธวัชพูดด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่จิตใจร้อนรุ่มกับคำตอบของผู้นำวรุตม์ที่จะไม่หยุดยั้งการรุกไล่เขา
“แต่ท่านไม่............”
“เราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ถ้าไม่รู้จะให้โอกาสแก่เด็ก มันก็น่าเกลียดนะ ไปกินข้าวกันเถอะ” พันธวัชบอกขัด แล้วเดินนำไปที่ห้องรับประทานอาหาร ทุกคนจึงไม่กล้าพูดต่อไป
นักธุรกิจคนหนึ่งเดินกระซิบกับเพื่อนว่า “ท่านวรุตม์ไม่ยอมถอยแน่ งานนี้ใครจะแพ้ล่ะเนี่ย”
“คุณเชื่อฝ่ายไหน ?”
นักธุรกิจคนเดิมยักไหล่ ริมฝีปากเหยียดออกนิดหนึ่ง “เราต่างรู้แก่ใจดี คู่นี้มีพลังสูสีกัน คนเก่าก็มีพลังแบบเก่าๆ รุ่นใหม่ก็มีวิธีการและพลังอีกแบบหนึ่ง เราเป็นคนดู ก็สนุกไปกับพวกเขาเถอะ”
“มันก็ใช่ ถ้าถูกขอให้เลือกฝ่าย เราจะลำบากใจนะ”
“ถ้าเลือกฝ่ายผิด ก็รับเคราะห์กันไป มันเป็นกรรมของพ่อค้าอยู่แล้ว”
นักธุรกิจทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินติดตามกลุ่มสนับสนุนพันธวัชไป
ผู้นำวรุตม์กับรองเลขาปองชัยเดินเข้าไปในห้องพักของเจ้าชายอัคนี จึงเห็นเจ้าของห้องกับโชตกนั่งรอที่ชุดรับแขก โดยมีหญิงสาวอีกคนอยู่ด้วย
“ปอนด์ !” ผู้นำวรุตม์มองด้วยความดีใจ
สริตายกมือไหว้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ ท่าน”
“แม่ของเธอห่วงใยมาก มือถือของเธอ.........” เขาเปลี่ยนไปพูดภาษาไทยกับสริตา
“หมดไฟกะทันหัน ตอนนี้ก็ยังเดี้ยงอยู่ค่ะ” หล่อนตอบ
เจ้าชายอัคนีเอ่ยว่า “เธอบอกว่ารู้จะท่าน ผมจึงถือโอกาสพิสูจน์คำพูดนี้ครับ”
“ผมเป็นเพื่อนกับแม่ของปอนด์ครับ” ผู้นำวรุตม์พูดยืนยันเป็นภาษาอังกฤษ
โชตกกล่าวน้ำเสียงขรึมว่า “เจ้าชายช่วยเหลือเธอจากบางคนที่จ้องทำร้ายเธอ จึงคิดว่าควรส่งมอบเธอให้ท่านตามคำขอร้องจากคุณสริตา”
“ฉันได้ยินว่าท่านจะมาพบเจ้าชาย จึงขอพบท่านด้วยค่ะ” หล่อนพูดเสริม สีหน้าดีใจ
ผู้นำวรุตม์หันไปทางเจ้าชายอัคนี พลางกล่าวว่า “ผมขอบคุณอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือเธอครับ”
“ด้วยหลักมนุษยธรรมผมควรทำแล้ว”
สริตาเดินเข้าไปหาผู้นำวรุตม์ พลางล้วงแผ่นซีดีจิ๋วออกมา “คุณคณินฝากของสิ่งนี้ไว้”
“เธอรู้เรื่องที่เขาถูกฆ่าแล้วใช่ไหม ?” ผู้นำวรุตม์ถามเป็นภาษาไทย
“ฉันอ่านจากหนังสือพิมพ์”
โชตกไม่พอใจที่ผู้นำวรุตม์กับสริตาคุยเป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งเขาไม่เข้าใจ แต่จำต้องเงียบไว้ ถึงอย่างไรคณะของเจ้าชายอัคนีเป็นแขกของประเทศนี้เท่านั้น
“เธอรู้ไหมว่า มันมีอะไรในซีดี” เขาถาม พลางมองแผ่นซีดีในมือ
“ฉันเปิดดูแล้ว รับรองว่าคุ้มค่ากับการเสียสละของคุณคณินแน่นอน” หล่อนตอบมั่นใจ
ทันใดนั้นรองเลขาปองชัยกระชากแผ่นซีดีไปจากมือของผู้นำวรุตม์ แล้ววิ่งออกจากห้องนั้นท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนในห้อง
“เขา.........” ดวงตาของผู้นำวรุตม์ฉายแววผิดหวัง
โชตกวิ่งติดตามไปนอกห้องโดยเร็ว ส่วนผู้นำวรุตม์ทำท่าจะตามไปอีกคน แต่สริตารั้งแขนไว้
“พวกเขาได้ต้นฉบับไปก็จริง แต่สำเนายังอยู่กับฉันค่ะ”
“เธอทำสำเนาแผ่นไว้หรือ ?” ผู้นำวรุตม์ถาม ท่าทีผ่อนคลาย
สริตาพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ แผ่นซีดีฆ่าคุณคณินและมีคนไล่ฆ่าฉันด้วย เมื่อเปิดดูภาพในนั้นแล้ว ฉันจึงรู้ความสำคัญของมัน และเชื่อว่าฉันคงเก็บมันได้ไม่นานเพราะพวกเขามีอิทธิพลสูง สิ่งที่ฉันคาดไว้ก็เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาชิงมันไปได้”
โชตกเดินกลับมารายงานว่า “คนของคุณออกไปนอกโรงแรมแล้ว ผมเสียใจด้วย”
“มันคงเป็นโชคดีของฝ่ายตรงข้ามกับผม” ผู้นำวรุตม์พูดปลงในที
สริตาสะกิดให้ผู้นำวรุตม์เดินไปคุยกันที่ริมหน้าต่างโดยมีสายตาของเจ้าชายอัคนีกับโชตกมองสนใจอยู่
“พวกเขาจะก่อกบฏจริงๆ ท่านมีทางแก้ไขหรือยังคะ ?” หล่อนถามด้วยความอยากรู้
“ถ้าได้หลักฐานจากคณิน ผมก็กวาดล้างทั้งหมดได้เลย แต่มันถูกชิงไปแล้วเท่ากับเร่งฝ่ายนั้นให้ทำงานเร็วขึ้น” สีหน้าของผู้นำวรุตม์บอกความหนักใจ
“สำเนาในมือของฉันคงถ่วงเวลาเขาได้สักระยะหนึ่ง ฉันจะโหลดข้อมูลส่งให้ท่าน แต่คงต้องหาแหล่งปลอดภัยสำหรับเราด้วยเพราะพวกเขาอาจขโมยมันไปได้อีก”
“คนของท่านพันธวัชมีสอดแทรกอยู่ทุกหน่วยงาน ผมไม่แน่ใจว่าจะวางใจใครได้อีก ปองชัยยังทรยศผม” เขาถอนหายใจ สีหน้ากังวล “คุณอาจไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่นี่แล้ว”
สริตานิ่งใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะบอกโพล่งว่า “ถ้าท่านจัดการเขาไม่ได้ ฉันจะเล่นงานเขาจากนอกประเทศเอง”
“คุณจะทำอะไร ?”
สริตากระซิบแผนการที่เพิ่งคิดได้แก่อีกฝ่าย ผู้นำวรุตม์มองสบนัยน์ตาของหญิงสาว
“ฝ่ายนั้นจะรู้ว่าคุณมีสำเนาใช่ไหม ?”
“ฉันเขียนบอกในแผ่นนั้นแล้ว ยังขู่มิให้สร้างความเดือดร้อนใจแก่ท่านด้วย ฉันจะแฉทั่วโลกไปเลย เชื่อว่าเขาต้องกระอักเลือดแน่”
“คุณเร่งให้เขาฆ่าคุณเร็วขึ้น”
สริตายิ้มแหย “ท่านมีทางช่วยเหลือหาที่ปลอดภัยให้ฉันซ่อนตัวได้ไหม ?”
“ผมไม่ช่วยคุณ หมอจารุมนต้องเล่นงานผมแน่” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม สมองครุ่นคิดหนัก
“ถ้าฉันมีที่ซ่อนตัวปลอดภัยจากเงื้อมมือของพันธวัช ย่อมหาวิธีส่งข้อมูลให้ท่านหรือเล่นงานจากนอกประเทศด้วยระบบอินเตอร์เนตได้แน่นอนค่ะ”
“ตอนนี้ดึงคุณมาอยู่ในอันตรายเสียแล้ว”
“ฉันทำเพื่อชาติเหมือนกันนะ” หล่อนบอกจริงจัง ดวงตาพราววับ “เขาอาจยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนี้ แต่ไม่ใช่ทั้งโลก ฉันจะให้คนแก่คนนี้เห็นศักยภาพของโลกไซเบอร์ มันหาช้างและล้มช้างได้”
ผู้นำวรุตม์อมยิ้มกับคำเปรียบเปรยของหล่อน “ขอบคุณที่ช่วยผมนะ”
“ฉันรักประชาธิปไตยค่ะ”
ผู้นำวรุตม์ปรายตามองเจ้าชายอัคนี พลางถามว่า “หมอจารุมนทราบที่เก็บพาสปอร์ตของคุณไหม ?”
“ถามทำไม ?”
“ที่ซ่อนตัวของคุณไม่ควรอยู่เมืองไทย”
“ท่านจะให้ไปนอกประเทศรึ ?” หล่อนเบ้ปากเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ผมจะคุยกับเจ้าของที่ซ่อนตัวก่อน อย่าลืมบอกที่เก็บพาสปอร์ตด้วย”
สริตาหยิบหนังสือเล่มเล็กยื่นส่งให้อีกฝ่าย “ฉันเพิ่งไปทำมันเมื่อวันที่เจอซีดีอันตรายแผ่นนี้ แต่ฉันไม่อยากไปจากบ้านค่ะ”
“พันธวัชมีอิทธิพลทั้งแผ่นดิน การหาคุณไม่ยาก ผมยอมรับว่าปกป้องคุณลำบากมาก เพราะคนที่อยู่ข้างกายของผมอาจเป็นคนของเขาก็ได้ ปองชัยทำให้ผมระแวงใจมาก แต่เขาคนนั้นแยกคนของพันธวัชออกจากคนของตัวเองได้แน่”
“ท่านจะส่งฉันไปอยู่กับใคร ?”
ผู้นำวรุตม์ยิ้มเป็นนัย แล้วเอ่ยว่า “รออยู่ที่นี่ก่อน ผมขอคุยกับเจ้าชายหน่อย”
สริตาทำตาโต ยามคาดเดาว่าอีกฝ่ายจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใด ผู้นำวรุตม์เดินเข้าไปคุยกับเจ้าชายอัคนีและโชตก สักครู่จึงกลับมาหาหล่อน
“คุณเตรียมตัวเดินทางไปกับเจ้าชายทันที ผมจัดการเรื่องพาสปอร์ตและวีซ่าเอง”
“ฉันอยากพบแม่ก่อน”
ผู้นำวรุตม์มองเห็นใจ “คุณไม่มีเวลามากพอแล้ว ถ้าพันธวัชเปิดซีดีก็ต้องเห็นข้อความของคุณแน่ เขาจะตามฆ่าคุณให้ได้ ตอนนี้เจ้าชายเตรียมเครื่องบินส่วนตัวไว้เพื่อเดินทางกลับแล้ว คุณติดต่อทางอีเมล์กับแม่ก็ได้ แล้วใช้อีเมล์ต่างชาติที่ตรวจสอบยากหน่อย”
“ฉันกับแม่มีอยู่แล้ว แต่............”
“ผมจะเร่งจัดการปัญหาทางนี้ให้เร็วที่สุด ถ้าหมดหนทางจะแจ้งให้คุณทำตามแผนสองทันที”
สริตาถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันไม่มีทางเลือกใช่ไหม ?”
“ถ้าผมมั่นใจปกป้องคุณได้ จะไม่ปล่อยให้แม่ลูกต้องแยกจากกันแน่ ผมลำบากใจเช่นกัน”
ผู้นำวรุตม์กับสริตามองสบนัยน์ตากัน หล่อนยิ้มหมอง “แม่ต้องเข้าใจท่านแน่”
“เจ้าชายรับปากจะดูแลคุณอย่างดี ถ้าได้รับแจ้งข่าวดีจากผม จะส่งคุณกลับบ้านทันที”
“พันธวัชอาจเล่นงานแม่ก็ได้ ฉันฝากแม่ด้วย”
“ผมจะดูแลเธอเต็มที่ วางใจได้” เขารับปาก พลางกล่าวติดตลกว่า “คุณจะเป็นอาวุธลับสุดยอดของผมที่พันธวัชต้องจำไปนานทีเดียว”
โชตกเดินเข้ามาหาหญิงสาว พลางเอ่ยเสียงขรึมว่า “เตรียมจัดกระเป๋า เราจะไปสนามบินในสิบนาที”
น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจของโชตกทำให้สริตาถามทันทีว่า “คุณไม่พอใจให้ฉันไปด้วยใช่ไหม ?”
“ใช่แล้ว แต่มันเป็นคำสั่งของเจ้าชายที่ผมต้องทำตามอย่างเดียว”
“ฉันก็ไม่อยากจากบ้านเกิดหรอก แต่ต้องเก็บชีวิตไว้เพื่อชาติเท่านั้น” หล่อนตอบเน้นเสียง แล้วเดินออกจากห้องนั้น
ดวงตาของโชตกลดความกร้าวลงยามมองหญิงสาวซึ่งต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเนื่องจากการแย่งชิงอำนาจของสองฝ่ายซึ่งไม่น่าเกี่ยวข้องกับผู้หญิงธรรมดาคนนี้เลย
“การแย่งชิงอำนาจไม่ได้มีที่แผ่นดินเกิดของเธอเท่านั้น บางทีประเทศที่คิดหลบซ่อนอาจวุ่นวายและน่ากลัวกว่าที่นี่ก็ได้ สริตา” โชตกคิดหนักใจ
พันธวัชกับนายพลชวนิลนั่งดูภาพจากแผ่นซีดีจิ๋วที่ปองชัยฉกจากมือของผู้นำวรุตม์ไปมอบให้ด้วยความหวั่นใจ โดยเฉพาะข้อความที่สริตาเขียนฝากไว้ในดิสต์บอกกึ่งขู่ว่าจะนำสำเนาภาพการคบคิดก่อกบฏแฉต่อชาวโลก ถ้าพวกเขาไม่หยุดยั้งแผนกบฏหรือทำร้ายครอบครัวของหล่อนหรือผู้นำวรุตม์
“นายต้องฆ่าเธอให้ได้ ตอนนี้เธอยังไม่ได้ทำอะไรกับสำเนาภาพแน่” พันธวัชสั่งเสียงเฉียบขาด แววตาเหี้ยม
“เธอต้องทำตามคำขู่แน่” นายพลชวนิลพูดโต้
“เพื่อความมั่นใจของฝ่ายเรา เธอต้องตายสถานเดียว”
“ผมคิดว่าพวกเขาคงย้ายเธอไปซ่อนที่อื่นแล้ว”
พันธวัชขอเวลาติดต่อเพื่อนครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับมาบอกว่า “คนของผมเห็นสริตาเดินทางไปกับคณะของเจ้าชายอัคนีแล้ว บางทีเธออาจไปพร้อมกับพวกเขาก็ได้”
“ออกนอกประเทศรึ ?”
“ใช่”
“แต่มันมีพิธีการอีกเยอะสำหรับสริตา”
พันธวัชเหยียดยิ้ม “เพื่อนของผมแจ้งว่าคำสั่งของวรุตม์มีไปถึงหน่วยงานที่ดูแลการเดินทางออกนอกประเทศเป็นกรณีพิเศษแล้ว มันช่วยเร่งให้เธอไปกับคณะของเจ้าชายได้”
“เจ้าชายมาด้วยเครื่องบินส่วนตัว จะเดินทางได้เร็วพิเศษ ผมจะส่งคนไปดักฆ่าที่นั่น”
“ผมจะให้เพื่อนอำนวยความสะดวกกับคนของนาย ถ้าสริตาตายคาสนามบิน สำเนาที่เธอเก็บไว้จะไร้ค่าทันที หากปล่อยออกไปได้ เราจะเดือดร้อนหนัก”
พันธวัชขัดเคืองใจมากยามมองข้อความคำขู่ของสริตา บัดนี้ หญิงสาวธรรมดาซึ่งอ่อนวัยกว่าเขามากมีหลักฐานสำคัญที่จะพลิกชีวิตและทำลายเกียรติภูมิกับบารมีที่สั่งสมไว้ของเขาได้ในพริบตาเดียว
“เธอต้องตายสถานเดียวเมื่อคิดเป็นปรปักษ์กับพันธวัช” เขาคิดแค้นจัด ดวงตาจ้องข้อความของสริตาเขม็ง