ตอนเช้าผู้นำวรุตม์นั่งมองภาพข่าวตัวแทนทหารและพ่อค้ากลุ่มหนึ่งเข้าพบและอวยพรในวันเกิดของพันธวัช พร้อมกับให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าต้องการให้กำลังใจนักการเมืองอาวุโสท่ามกลางข่าวลือไม่ดีทั้งหลาย นอกจากนั้นยังสลับคนมาพูดยกยอในความซื่อสัตย์ของพันธวัชจากการทำงานในอดีต เลขาชุมชัยเดินเข้ามาในห้องพร้อมแฟ้มในมือ
“ท่านศรัณย์ส่งแฟกซ์รายชื่อการโยกย้ายทหารชุดสุดท้ายแล้วครับ”
“มีปัญหาไหม ?”
เลขาชุมชัยมีสีหน้าหนักใจ “โผล่าสุดไม่เป็นที่ยอมรับของท่านชวนิล คาดว่าจะมีการโต้ตอบในที่ประชุมอย่างหนักครับ”
“ท่านชวนิลต้องคัดค้านแน่เพราะไม่มีคนของเขาอยู่นี่นา”
“ถ้าโผนี้ไม่ผ่าน ท่านศรัณย์จะเสียหน้าอย่างมาก”
“ท่านศรัณย์มีวิธีจัดการอยู่แล้ว” ผู้นำวรุตม์บอกมั่นใจ
เลขาชุมชัยทำท่าจะถาม เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นเขาเอื้อมมือไปรับสาย ครู่หนึ่งจึงบอกว่า “ท่านศรัณย์ขอพูดด้วยครับ”
ผู้นำวรุตม์นิ่งฟังพักหนึ่ง จึงวางสาย สีหน้าผ่อนคลาย พลางเอ่ยว่า “ท่านศรัณย์ดันโผผ่านแน่”
“ต่อไปจะทำอย่างไรครับ ?”
“แผนแทรกซึมผ่านไปด้วยดี ส่วนที่เหลือคือ รอฟังข่าวอย่างเดียว”
เลขาชุมชัยมองข่าวทีวีซึ่งแสดงภาพข่าวของพันธวัช พลางส่ายหน้า “เขาพยายามแสดงบารมีให้ผู้คนเห็นบ่อยครั้งขึ้น มันใกล้ถึงเวลาที่เขาต้องการแล้วล่ะมัง”
“คนที่ไม่ต้องการอะไรเลย คือ คนตาย” ผู้นำวรุตม์ยิ้มเป็นนัย
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเลขาชุมชัยขมวดคิ้ว ยามเห็นหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองเดินหน้าเครียดเข้ามาด้านใน เขาปรายตามองเลขาชุมชัย
“ผมมีข่าวสำคัญครับ”
“พูดมาสิ”
หัวหน้าฝ่ายข่าวมองเลขาชุมชัย ก่อนจะพูดว่า “ความลับครับ”
“ผมรู้เป็นคนแรกใช่ไหม ?”
“ใช่”
“พูดเถอะ ผมไว้ใจเขา”
“ข่าวลอบสังหารท่าน !”
ผู้นำวรุตม์กับเลขาชุมชัยมีสีหน้าตกใจ พลางนั่งฟังรายละเอียดจากหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองด้วยความสนใจ จากนั้นจึงเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนและเป็นความลับที่สุดเพื่อรับมือกับการลอบสังหารผู้นำบ้านเมือง เวลาเดียวกันลูกน้องของนายพลชวนิลกำลังตรวจสอบแผนสังหารผู้นำวรุตม์รอบสุดท้ายที่บ้านร้างในหมู่บ้านย่านชานเมือง จากนั้นจึงแยกย้ายไปทำงานตามแผนทันที
ตอนบ่ายกำหนดงานของผู้นำวรุตม์ต้องเดินทางไปบรรยายเรื่องความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดีที่โรงแรมหรูย่านใจกลางเมือง นักข่าวแปลกใจที่เห็นการคุ้มกันผู้นำหนุ่มใหญ่ซึ่งปกติจะเป็นขบวนใหญ่ แต่คราวนี้เล็กลงอย่างผิดตา ผู้นำวรุตม์เดินลงจากรถที่ด้านหน้าโรงแรมโดยมีแขกในงานและประชาชนบางส่วนยืนรอต้อนรับสองข้างทาง ทันใดนั้นเสียงปืนดังลั่นขึ้นทุกคนพากันหมอบลงหรือวิ่งหนีกระเจิงอันสร้างความโกลาหลอย่างมาก หน่วยคุ้มกันผลักผู้นำวรุตม์เข้าไปในรถแล้วเคลื่อนออกไปทันที ตำรวจรีบเคลียร์พื้นที่และติดตามหามือปืน นักข่าวมองรอบกายเพื่อหาที่มาของกระสุน จึงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติของชายชุดดำกลุ่มหนึ่งที่อยู่นอกรั้วโรงแรม จึงพากันวิ่งไปดูเหตุการณ์ แต่ไม่ทันการณ์ จากการสอบถามพ่อค้าหรือผู้คนที่เดินผ่านจุดนั้นจึงทราบว่าชายชุดดำกรูเข้าไปจับชายสองคนกับปืนพร้อมรถจักรยานยนต์ได้ พลันเสียงระเบิดดังขึ้นจากทิศทางที่รถของผู้นำ
วรุตม์แล่นผ่านไป นักข่าวต่างวิ่งไปยังจุดกำเนิดเสียงนั้นด้วยความตื่นเต้น
“โอ..........”
นักข่าวต่างมองเศษปูนตกเกลื่อน หลุมใหญ่บนถนน รถยนต์คันหนึ่งไหม้เกรียมจอดอยู่ริมถนน ตำรวจล้อมที่เกิดเหตุไว้พร้อมประกาศเตือนภัยระเบิดที่อาจหลงเหลืออันสร้างความหวั่นกลัวแก่นักข่าว
“ท่านวรุตม์ล่ะ ?” นักข่าวคนหนึ่งร้องถามไปทางตำรวจซึ่งยืนเฝ้าสถานที่
“ท่านปลอดภัยแล้ว”
“ทำอย่างไร ?”
ตำรวจส่ายหน้า แล้วเดินแยกตัวไป นักข่าวเร่งสืบหาข่าวคืบหน้าและตัดสินใจติดตามไปทำเนียบรัฐบาล แต่ต้องพบความผิดหวังเมื่อโฆษกรัฐบาลปฏิเสธการแถลงข่าวจนกว่าจะตรวจสอบถี่ถ้วนแล้ว นักข่าวต่างแยกกันออกหาข่าวเบื้องลึกการลอบสังหารผู้นำวรุตม์ทันที
ผู้นำวรุตม์เดินออกจากห้องประชุมเล็กในบ้านพักส่วนตัวที่เพชรบุรีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดภายหลังรับแจ้งจากเลขาชุมชัยว่าหมอจารุมนมาเยี่ยมเขา เสียงประตูห้องรับแขกเปิดกว้างจิตแพทย์สาวหันมองสำรวจผู้นำวรุตม์ด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มมีพลาสเตอร์ติดหัวคิ้วซ้าย พลางส่งยิ้มทักทาย
“พวกเขาทำงานเยี่ยม ผมจึงรอดตายมาได้” ชายหนุ่มกล่าวก่อน ยามคิดถึงการทำงานของหน่วยคุ้มกันประจำตัวผู้นำเมื่อครู่นี้
หมอจารุมนชี้ที่หัวคิ้วซ้าย พลางถามว่า “แผลนั้นมาจากไหน ?”
“ตอนผลักเข้ารถหัวไปกระแทกขอบรถ แผลแตกเล็กน้อย คุ้มกับชีวิตที่รอดมาแล้ว”
“ใครทำ ?”
ผู้นำวรุตม์นิ่งอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ตำรวจกำลังตรวจสอบยืนยันอยู่”
“ข่าวแจ้งว่าเขาจับคนยิงได้ใช่ไหม ?”
“ถ้ายืนยันตัวได้แล้ว ผมจะบอกคุณ” เขาตอบเลี่ยง
“มันน่าจะเป็นคนของพันธวัช” หล่อนคาดเดา
ชายหนุ่มนิ่ง หมอจารุมนถามต่อไปว่า “ถ้าพันธวัชกับนายพลชวนิลเป็นคนบงการ คุณจะทำอย่างไร ?”
“ยังไม่ได้คิด”
“พวกเขากะเอาถึงตาย ฉันไม่อยากให้นิ่งแล้ว”
ผู้นำวรุตม์มองล้อ ริมฝีปากแย้มนิดหนึ่ง “คุณอยากให้ผมลุยงั้นรึ ?”
“ฉัน.........เอ่อ.......ฉันไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่......พวกเขาจะฆ่าคุณ ถ้าปล่อยไว้ พวกเขาอาจทำสำเร็จก็ได้ บ้านเมืองจะขาดคนมีความสามารถไปหนึ่งคนนะคะ”
“ไม่มีผม ก็มีคนเก่งอื่นรอทำงานอยู่ อย่าคิดมากเลย”
หมอจารุมนมองประหลาดใจเมื่อไม่เห็นความแค้นบนสีหน้าหรือน้ำเสียงของเขา
“คุณไม่โกรธพวกเขารึ ?”
“โกรธมากเลย แต่.......” เขาเหยียดยิ้มเล็กน้อย ดวงตาพราววับ “.............เขารุกก่อน อาจช่วยผมโดยตรงก็ได้ ถ้าคนสนใจข่าวกบฏมาก ผมก็ทำงานง่ายขึ้น สปอตไลท์จะส่องไปทางพันธวัชกับนายพลชวนิลด้วยสิ่งที่เขาทำไว้ ผมต้องเก็บเกี่ยวอย่างระวัง นี่ไม่ใช่การปฏิวัติยุคไดโนเสาร์ที่ทำได้สำเร็จง่ายๆทั้งที่ผมรู้ตัวล่วงหน้าและในสายตาของสื่อมวลชนด้วย”
“คุณหมายความว่า..............”
“ผมปล่อยให้ข่าวลือปฏิวัติก่อกบฏมีต่อเนื่อง ทุกสายตามองคนทั้งสองตลอดเวลา ขณะที่ผมทำงานไปเพื่อป้องกันการปฏิวัติจึงไม่ใช่เรื่องแปลกในสายตาของสื่อมวลชนหรือประชาชน ขณะที่พันธวัชกับนายพลชวนิลเคลื่อนไหวด้วยความระแวงใจของประชาชนและรัฐบาลเพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการเป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ใครอยู่ในความเสี่ยงมากกว่า จะรู้กันตั้งแต่ตอนนี้แหละ”
หมอจารุมนนิ่งคิด ชายหนุ่มกล่าวต่อไปอีกว่า “ผมรู้ข่าวลอบสังหารนี้ล่วงหน้าแล้ว แต่ปล่อยให้พวกเขาทำเต็มที่เพื่อใช้เป็นชนวนระเบิดทำลายล้างพรรคพวกของพันธวัชอย่างชอบธรรมในสายตาของสื่อมวลชนและชาวบ้าน”
“คุณหมายความว่า..............”
“ตำรวจจะรุกกำจัดแขนขาของพันธวัชโดยอาศัยข้ออ้างลอบสังหารผมนำทางไป”
“คุณแน่ใจว่ารับมือเพชฆาตของพันธวัชได้หรือ ?”
“ทำเต็มที่..........” ดวงตาของผู้นำวรุตม์วาวโรจน์ ยามคิดถึงการลอบสังหารเขาวันนี้ “......เป้าหมายของผมคือ จับพันธวัชกับนายพลชวนิลขังคุกหรือประหารชีวิตในฐานะกลุ่มกบฏให้ได้ ผมรอหลักฐานจากปอนด์เพื่อลงโทษพวกเขาด้วยกฎหมายบ้านเมือง มิใช่กระสุนปืนจากคนของรัฐบาล มันสะใจผมที่สุดหากพันธวัชที่หลายคนยกย่องนักหนาว่าเป็นสุภาพบุรุษ ต้องกลายเป็นพวกกบฏเสียเอง ทุกคนจะได้เห็นธาตุแท้ของเขา กฎหมายจะแฉเนื้อแท้ของผู้ชายคนนั้นเอง”
หมอจารุมนยิ้มกว้าง พลางเอ่ยล้อว่า “ฉันคิดว่า คุณจะปลงใจ อภัยให้ศัตรูได้ ที่จริงแล้วเคียดแค้นสุดหัวใจ แล้วตอบโต้อย่างใจเย็นผิดคาด”
“ผมจำเป็นต้องใจเย็นเพื่อรักษาจุดยืนบนยอดเขาให้มั่นคงนานที่สุด ผมยังรักตำแหน่งนี้นะ” เขาบอกปนเสียงหัวเราะ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเลขาชุมชัยกระซิบบางอย่างกับเจ้าของบ้าน แล้วเดินออกไป ชายหนุ่มบอกหมอจารุมนว่า “ผมอยากให้คุณพักที่บ้านจนกว่าผมจะกลับกรุงเทพฯ เพราะนักข่าวคงติดตามคุณหนัก รวมทั้งพวกพันธวัชด้วย ผมจัดการที่พักในบ้านเล็กอีกหลังให้คุณ มันเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“ขอบคุณที่ดูแลเกียรติของฉันด้วยค่ะ”
“ผมทำให้คุณกับลูกสาวลำบากมาก จึงสมควรตอบแทนคุณแล้ว”
ผู้นำวรุตม์เดินนำหมอจารุมนออกจากห้องนั้นเพื่อไปดูบ้านพักอีกหลังในเนื้อที่เดียวกันซึ่งจัดเตรียมให้หล่อนพักผ่อนช่วงข่าวลอบสังหารผู้นำหนุ่มใหญ่กระพือโหมหนักอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์และนักข่าวกำลังตามล่าขุดลึกเนื้อข่าวนี้ จากนั้นจึงกลับไปประชุมหารือและรับฟังข้อมูลเชิงลึกเรื่องมือสังหารที่จับกุมได้และกำลังสอบปากคำอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจแถลงผลการสอบสวนเกี่ยวกับการลอบสังหารผู้นำวรุตม์เรื่องลักษณะระเบิด รายชื่อผู้ต้องสงสัยเพื่อการสอบสวนและเน้นการหาข้อมูลเกี่ยวโยงถึงผู้บงการเป็นหลัก ส่วนผู้ถูกจับกุมในช่วงเวลาระเบิดสังหารผู้นำวรุตม์ยังอยู่ในระหว่างสอบปากคำเข้มข้น ตำรวจยังแย้มชื่อผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมให้สื่อมวลชนรับทราบด้วยซึ่งนักข่าวตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวโยงกับพันธวัชและนายพลชวนิลซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่าทั้งสองรวมพลเพื่อก่อกบฏล้มล้างรัฐบาล หนังสือพิมพ์กรอบบ่ายจึงประกาศรายชื่อผู้ต้องสงสัยยาวเหยียดที่ตำรวจเชิญตัวไปให้ปากคำแก้ข้อสงสัยของตำรวจ นายพลชวนิลร้อนใจกับข่าวนี้จึงเดินทางไปยังบ้านพันธวัช
“วรุตม์รู้รายชื่อคนของเราแล้ว นี่เป็นคำเตือนจากเขา” นายพลมีท่าทางร้อนรน
“ดวงของเขายังไม่ถึงฆาต จึงรอดจากระเบิดไปได้ น่าเสียดาย”
“ตำรวจเชิญพวกเขาไปโรงพักหลังแถลงข่าวแล้ว แสดงว่าพวกเขาถูกจับตามองไว้ก่อน พวกเราต้องเตรียมแผนรับมือให้ดีกว่านี้นะครับ”
“เชื่อไหมว่า วรุตม์ตั้งใจให้ฝ่ายเราทำตามแผนครบถ้วน”
นายพลชวนิลอ้าปากค้าง ดวงตาเบิ่งกว้าง “เขารู้แผน............”
พันธวัชพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “คนของผมเพิ่งรายงาน ฝ่ายนั้นมีการปิดข่าวแน่นหนามาก ช่วงเช้าเลขาชุมชัยลดขบวนของวรุตม์ให้เล็กลงกะทันหัน แล้วส่งตำรวจนอกเครื่องแบบล้อมพื้นที่เป้าหมายไว้ จึงจับเจ้าของรถติดระเบิดได้ทันที มือระเบิดหนีไปได้ บางทีอาจสาวถึงพวกเราก็ได้”
“วรุตม์ยอมเสี่ยงตายเพื่ออะไร ?”
“เขาจะใช้เรื่องนี้เป็นสาเหตุกำจัดพวกเราอย่างชอบธรรมไง” พันธวัชตอบเท่าทัน
“ช่วงนี้พวกเราต้องอยู่สงบ คอยรับมือไว้”
พันธวัชส่ายหน้า “งานด่วนที่ต้องทำ คือ ต้องมิให้สาวถึงพวกเราได้”
“ท่านหมายความว่า..............”
“กำจัดมือระเบิดและผู้เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นโดยเร็ว ถ้ายังไม่อยากเป็นผู้ต้องหาคดีกบฏ”
นายพลชวนิลมีสีหน้าลำบากใจ ยามได้ยินคำสั่งปิดปากผู้เกี่ยวข้องงานลอบสังหารผู้นำวรุตม์เนื่องเพราะคนเหล่านั้นล้วนเป็นลูกน้องของเขา
“พวกเขาเชื่อใจได้ว่าไม่ซัดทอด ผมไม่คิดว่าต้องทำรุนแรงอย่างนั้น”
“คนตายจึงไม่พูด ถ้าคิดการณ์ใหญ่ ต้องเด็ดขาด” พันธวัชพูดเน้นเสียง
“ผม...............”
“ถ้าคนหนึ่งคนใดพูดสารภาพออกมา อิสรภาพอย่างมีศักดิ์ศรีกับคดีกบฏติดตัว นายต้องเลือกแล้ว”
“ผม...........”
พันธวัชกระชากเสียงพูดว่า “กำจัดพวกมันให้สะอาด อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว เพื่อรักษาอนาคตของตัวเองไว้ ไปได้แล้ว”
นายพลชวนิลจำใจเดินออกจากห้องนั้นด้วยหัวใจหนักอึ้ง ขณะที่พันธวัชนั่งขัดเคืองใจกับความลังเลของผู้ร่วมงาน
“ฉันไม่ตกหลุมพรางของนายแน่ วรุตม์” พันธวัชคิดมาดหมาย
ช่วงบ่ายวันเดียวกันผู้นำวรุตม์ไปทำงานที่ทำเนียบโดยมีนักข่าวยืนรอถ่ายภาพและขอสัมภาษณ์ แต่เขาปฏิเสธจะพูดสิ่งใดโดยยอมยืนให้ถ่ายภาพเพื่อยืนยันว่ายังมีชีวิตปกติดี จากนั้นจึงเข้าไปด้านในซึ่งมีเจ้าหน้าที่งานข่าวนั่งรอพบในห้องทำงาน เลขาชุมชัยได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้องด้วย
“คนขับรถยังไม่ยอมบอกรายชื่อของทีมงาน เราสั่งคนประกบเพื่อนในกลุ่มของเขาไว้ซึ่งเริ่มมีการเคลื่อนไหวบ้าง บางคนก็หายไปครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดรายงาน
ผู้นำวรุตม์นิ่งฟัง แววตาครุ่นคิด “ฝ่ายเราจับทีมสังหารได้ ย่อมสร้างความหวั่นไหวแก่อีกฝ่ายแน่ ผมไม่คิดว่าคนบงการจะอยู่เฉย น่าจะมีข่าวเคลื่อนไหวของพวกเขาบ้าง”
“สายข่าวแจ้งว่าเพื่อนในกลุ่มเดียวกับคนขับรถรับแจ้งการนัดพบในที่แห่งหนึ่ง เรากำลังยืนยันข่าวอยู่ แต่อีกสายข่าวทำให้ผมไม่สบายใจนัก”
“ข่าวอะไร ?”
“สายข่าวแจ้งว่าคนบงการออกคำสั่งเก็บกวาดทีมระเบิดแล้ว”
“ฆ่าหรือ ?” ผู้นำวรุตม์มีสีหน้าตกใจ
เจ้าหน้าที่หนุ่มพยักหน้า “ผมกำลังตรวจสอบข่าวอยู่ พอสายข่าวอีกคนแจ้งว่ามีการนัดพบทีมระเบิด จึงประจวบเหมาะกับข่าวนี้พอดี”
“คุณมีวิธีจัดการกับข่าวสองชิ้นนี้หรือยัง ?”
“เราประชุมเลือกแผนไว้แล้ว จึงอยากฟังความเห็นของท่านก่อนครับ”
“ผมฟังอยู่” ดวงตาของผู้นำหนุ่มใหญ่ฉายแววสนใจใคร่รู้
“เราจะใช้แผนเดิมที่เคยใช้กับท่าน คือปล่อยให้การฆ่าเกิดขึ้น แต่จะแทรกแซงเพื่อเอาพยาน”
“คุณคิดว่าพวกเขาจะทรยศกันได้หรือ ?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเหยียดยิ้มที่มุมปาก “เมื่อสิ่งที่ได้รับตอบแทนความซื่อสัตย์คือ การฆ่า พวกเขาจะโง่พอในการเก็บความลับต่อไปหรือ ?”
“คนบงการมิใช่ตัวเล็ก แต่ใหญ่คับฟ้าทีเดียว เขายอมฆ่าปิดปากเพื่อรักษาชีวิตไว้”
“กฎหมายคุ้มครองพยานจะเป็นหลักประกันของเราครับ”
ผู้นำวรุตม์นิ่ง แววตาครุ่นคิด พลางถอนใจหนักหน่วง “งานนี้ต้องมีคนตายงั้นสิ”
“ถ้าไม่มีตัวอย่าง พวกที่เหลือคงไม่เชื่อใจเรา”
“ไม่มีทางเลือกแล้วหรือ ?..............” ใบหน้าของผู้นำหนุ่มใหญ่บอกความไม่สบายใจชัด “........ผมไม่อยากสูญเสียคนไทยที่มีความสามารถไป แม้เขาจะทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามก็ตาม แต่ยังเป็นบุคลากรที่มีค่าในแผ่นดิน เขาเชื่อในทางที่ผิดเท่านั้น”
“เราเลือกทางที่เสียน้อยที่สุดแล้วครับ”
“เมื่อพวกคุณเชื่อว่าวิธีนี้ดีที่สุด ก็ทำได้ ขอให้สูญเสียน้อยที่สุดนะ”
“ครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มตอบ แล้วขอกลับไปทำงาน
เมื่อเจ้าหน้าที่หนุ่มจากฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติเดินออกจากห้องแล้ว เลขาชุมชัยเห็นสีหน้าไม่สบายใจของผู้นำวรุตม์ จึงกล่าวปลอบใจว่า “การทำงานใหญ่ต้องมีความสูญเสีย ความมั่นคงของชาติต้องมาก่อน ท่านควรทำใจรับมันให้ได้เร็วที่สุดครับ”
“เมื่อไรพันธวัชกับพวกจะอยู่นิ่งเสียที ? ผมไม่อยากทำรุนแรงกับพวกเขา”
“เมื่อท่านไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของเขา จึงเป็นเวลาทวงความรุ่งเรืองในอดีตกลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง เราป้องกันตัวเองเท่านั้น”
“ผมกำลังรักษาเก้าอี้ของตัวเองไว้” เขาทำเสียงหึในลำคอ
“ท่านรักษากฎหมายที่ห้ามการก่อกบฏไว้ ถ้าพวกเขาอยากเปลี่ยนแปลงต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้นครับ” เลขาหนุ่มพูดยืนยัน
ผู้นำวรุตม์หัวเราะ “เราจะพูดให้ฟังไพเราะอย่างไรก็ได้”
“ตามกฎหมายท่านอยากยกตำแหน่งนี้ให้คุณพันธวัช เขาก็รับไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง การปฏิวัติจึงเป็นวิธีเดียวที่เขาจะได้ตำแหน่งนี้แบบเร็วทันใจ ล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้วเขียนสิ่งที่ต้องการขึ้นมาโดยใช้ข้ออ้างว่าทำเพื่อประชาชนซึ่งอ้างกันมาเกือบร้อยปีแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของท่านในการปกป้องกฎหมายให้อยู่เหนือความทะยานอยากไร้ขอบเขตของคนคนหนึ่ง”
“ผู้ชนะคือ ผู้ที่ถูกต้องเสมอ” ผู้นำวรุตม์พูด แววตาครุ่นคิด
“ท่านต้องเป็นผู้ชนะภายใต้กฎหมาย จึงมีความสง่างามได้ การแย่งอำนาจและทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย จะเป็นความน่าสมเพชในสายตาของประชาชน ท่านแค่รักษาอำนาจที่ได้รับมอบจากประชาชนไว้เท่านั้น”
“ขอบคุณที่พูดให้กำลังใจนะ”
“ผมชี้ให้เห็นว่า ท่านอยู่ใต้กฎหมาย จึงต้องควบคุมมิให้คนอื่นอยู่เหนือกฎหมาย ท่านทำตามหน้าที่ซึ่งรับมอบหมายจากประชาชน แต่อีกฝ่ายกำลังแย่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนไป ท่านไม่สมควรยอมแพ้แก่พวกเขาครับ”
“เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกพักใหญ่เลขาชุมชัยจึงปล่อยให้ผู้นำวรุตม์นั่งอ่านเอกสารเพื่อเตรียมเข้าประชุมตามลำพัง ส่วนเขากลับไปทำงานที่ห้อง เสียงมือถือของเลขาหนุ่มดังขึ้น เขารับสายด้วยสีหน้าไม่ดีนักแล้วผลุนผลันออกจากทำเนียบ
เลขาชุมชัยขับรถออกจากทำเนียบแล้วมุ่งตรงไปยังบ้านร้างท้ายซอยในหมู่บ้านย่านพระราม 3 ตามคำสั่งในข้อความสั้นทางมือถือของเขา ชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำ เปิดประตูรั้วเพื่อให้ขับรถเข้าไปด้านใน แล้วนำชายหนุ่มเข้าไปในบ้าน เขาเขม้นมองชายในชุดซาฟารีแขนสั้นสีครีม ทรงผมตัดสั้น ซึ่งนั่งบนเก้าอี้ไม้กลางบ้านอันว่างเปล่าโดยมีชายหนุ่มร่างสันทัด ผิวเข้ม ยืนระวังภัยห่างไปเล็กน้อยพร้อมปืนเหน็บเอวไว้ ดวงตาแข็งกร้าว
“ครอบครัวของผมล่ะ ?” เลขาชุมชัยถาม พลางชูมือถือของเขาขึ้น
ชายในชุดซาฟารีสีครีมแสยะยิ้ม พลางกวักมือไปทางลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเดินหายขึ้นไปชั้นบน ครู่หนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามลงมาด้วยท่าทางหวั่นกลัวชัด
“คุณปิ่น !” เลขาหนุ่มเข้าไปกอดภรรยาทันที “คุณปลอดภัยไหม ?”
“เขาจับ......เอ่อ.........ฉันกับลูกจากในบ้าน ช่วยเราด้วย” ภรรยาบอกเสียงสั่น แววตาหวาดกลัว
“ไม่ต้องห่วงนะ”
“ฉัน.......”
“คุยกันพอแล้ว” ชายในชุดสีครีมบอกเสียงเข้ม พลางชี้ไปที่ลูกน้องคนเดิม “เอากลับขึ้นไป”
เลขาชุมชัยจำใจต้องอดทนกับภาพภรรยาถูกกระชากให้เดินขึ้นชั้นบนอีกครั้ง แล้วหันไปสนใจกับชายชุดครีม
“ถ้าต้องการค่าไถ่ คุณก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นข้าราชการเท่านั้น ไม่มีเงินถังแน่”
“เราไม่ต้องการเงิน”
“ต้องการอะไร ?” เลขาชุมชัยเสียววาบในใจ หลังจากพิเคราะห์ลักษณะและท่าทางของกลุ่มชายเบื้องหน้าซึ่งมิใช่โจรธรรมดาแน่ โดยเฉพาะทรงผมตัดสั้นเกรียนซึ่งมีใช้ในบางกลุ่มเท่านั้น
ลูกน้องคนหนึ่งเอาเก้าอี้อีกตัวมาตั้งเผชิญหน้ากับชายชุดสีครีม พลางพูดว่า “เชิญนั่ง”
เลขาชุมชัยนั่งลงโดยดี ชายชุดสีครีมส่งซองสีน้ำตาลให้เขา
“เปิดดูสิ”
เลขาชุมชัยเปิดซองแล้วดึงของในนั้นออกมา คิ้วขมวดแน่น เมื่อเห็นปืนกับซองยา
“ผมต้องการความร่วมมือจากคุณ”
“ทำอะไร ?”
ชายชุดสีครีมเหยียดยิ้มที่มุมปาก “คุณมีค่าเพราะอยู่ข้างกายของคนมีอำนาจสูงสุดของประเทศ เชื่อว่าคงฉลาดพอจะรู้งานที่ต้องทำนะ”
“คุณจะให้ผมฆ่า...............”
“ผมให้เลือกอาวุธเอง ขอแค่ผลสำเร็จของงานเท่านั้น”
เลขาชุมชัยนั่งอึ้ง ดวงตามองปืนกับซองยาเขม็ง
“ยาพิษออกผลทันที ไม่ทรมานแน่ เชื่อได้เลย”
“พวกคุณเป็นใคร ?”
ชายชุดสีครีมโบกนิ้วชี้ไปมาเชิงปราม “คุณทำงานตามคำสั่งของผมเท่านั้น ห้ามถาม !”
“ห้ามปฏิเสธด้วยใช่ไหม ?”
“ชีวิตเจ้านายแลกกับครอบครัว คุณต้องเลือกแค่หนึ่ง”
“ผมมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะรักษาสัญญานี้”
“คุณไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเชื่อใจผม”
“ทั้งที่ไม่รู้จักกันงั้นรึ ?”
“ใช่”
ใบหน้าของเลขาชุมชัยบอกความอึดอัดใจชัด “ผม............”
“คุณมีเวลาไม่เกินสองวัน ถ้าไม่เห็นผลสำเร็จ ก็รอรับศพเมียกับลูกได้”
ลูกน้องสะกิดให้เลขาชุมชัยออกไปจากบ้าน โดยชายชุดสีครีมบอกไล่หลังว่า “ถ้าคิดจะกลับมาบ้านหลังนี้อีก ก็ไม่พบพวกเราแน่ ทำงานให้สำเร็จนะ ท่านเลขา”
เลขาหนุ่มหันมองกลุ่มชายฉกรรจ์ก่อนเดินไปที่รถแล้วขับออกไป สมองหนักอึ้งกับภารกิจที่มีชีวิตครอบครัวเป็นเดิมพัน
“มันเป็นพวกของนายพลชวนิลแน่ บ้าที่สุด !” เลขาชุมชัยขบกรามแน่น มือตบพวงมาลัยด้วยความอัดอั้นใจ ดวงตามองซองสีน้ำตาลที่ใส่อาวุธปืนและยาพิษซึ่งเป็นเครื่องมือสังหารผู้นำวรุตม์
ก่อนขับรถเข้าทำเนียบเลขาชุมชัยเลี้ยวรถเข้าไปในซอยหนึ่งซึ่งไม่มีรถพลุกพล่าน แล้วมองซองสีน้ำตาลอย่างใช้ความคิดหนัก มือลูบซองดังกล่าวไปมา เขาฟุบหน้ากับพวงมาลัยรถ
“ฉันควรทำอย่างไรดี ?”
เลขาชุมชัยเงยหน้าขึ้น พลางมองนอกกระจกหน้าอย่างไร้จุดหมาย เสียงคำขู่ของชายชุดสีครีมดังก้องในโสตประสาทสลับกับภาพการทำงานเพื่อชาติของผู้นำวรุตม์ซึ่งมีชีวิตเป็นเดิมพันเมื่อพันธวัชกับนายพลชวนิลคิดก่อกบฏล้มรัฐบาลและรัฐธรรมนูญ ตอนนี้เขากำลังกลายเป็นเครื่องมือสังหารให้พวกกบฏไปแล้ว โดยมีชีวิตภรรยากับลูกเป็นเดิมพัน
“ผมขอโทษ” เขาพูดครางในลำคอ แววตาเจ็บปวด
รถของเลขาชุมชัยเคลื่อนออกจากซอยนั้นเพื่อมุ่งกลับทำเนียบโดยมีภารกิจหนักอึ้งติดตัวไปด้วย คือ การสังหารผู้นำวรุตม์ เจ้านายของเขา