จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

8.

พันธวัชเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าด้วยสีหน้าเครียดจัดยามเห็นข่าวพาดหัวเกี่ยวกับการพยายามปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้งของผู้นำวรุตม์จากกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อชาติซึ่งผู้มากบารมีเป็นหัวหน้าและนักวางแผน รัฐบาลรู้ว่าคนกลุ่มใดมีความคิดเช่นนี้และจับตามองอย่างใกล้ชิดแล้ว นอกจากนั้นยังลงบทสัมภาษณ์ของนักการเมืองและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติขณะที่เศรษฐกิจของชาติยังเจริญเติบโตได้ดี รวมทั้งคำตำหนิที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกับพวกพ้องและผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติซึ่งต้องการย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงเผด็จการ

“วรุตม์เดินแต้มดักคอฉันรึ ?” ดวงตาของชายแก่วาวโรจน์ขึ้น

พันธวัชโยนหนังสือพิมพ์ลงพื้นด้วยความเดือดดาลกับความเห็นของหลายคนที่ดูแคลนเขา

“พวกมันไม่รู้จักฤทธิ์เดชของฉันเสียแล้ว..........” เขาหายใจถี่ขึ้น พลางเม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “...........คนที่จะบริหารประเทศได้ดีที่สุด คือ ฉัน เท่านั้น ไอ้วรุตม์ทำงานได้ก็เพราะฉันหนุนหลังไว้ ถ้ามันหาเงินไม่เก่งและใช้หนี้สินล้นพ้นตัวของประเทศได้เร็วทันใจ คนที่ควรเป็นผู้นำชาติก็เป็นของฉันไปแล้ว”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพันธวัชเอื้อมไปหยิบมาแนบหู นายพลชวนิลพูดเสียงรัวว่า “มันปล่อยข่าวปฏิวัติของเรา ผมขอคุยกับท่านด้วย”

“เวลานี้เราไม่ควรพบปะกัน สื่อมวลชนต้องคอยจับตามองเราเพราะพวกนี้ก็มีข่าววงในเหมือนกัน เชื่อว่าคงดูเราอยู่ ใช้มือถือติดต่อกันน่าจะดีกว่า” พันธวัชบอกเสียงเรียบหลังจากคุมอารมณ์พลุ่งพล่านได้แล้ว

“แต่ผมเกรง..............”

“ถ้าวรุตม์คิดกำจัดเรา ก็ทำไปแล้ว เขาไม่มีหลักฐาน จึงใช้การปล่อยข่าวและแสดงความคิดเห็นของชาวบ้านเพื่อเตือนเราก่อน”

“เขากำลังสับเปลี่ยนกำลังทหารของผมอยู่ เกรงว่า...........” น้ำเสียงของนายพลชวนิลบอกความไม่สบายใจชัด

“นายปกป้องคนของนายตามสถานการณ์ ผมจะช่วยดูแลพวกเราด้วย เขาไม่กล้าทำอะไรมากกว่านี้แน่”

“ได้ครับ”

“นายต้องจัดการแม่ของสริตาโดยเร็วที่สุด ถ้าวรุตม์ได้หลักฐานจากลูกสาวของเธอ พวกเราถูกกำจัดทันที”

“วรุตม์ส่งตำรวจไปคุ้มกันตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ผมยังหาคนไปแทรกในงานนี้ไม่ได้ จึงเข้าถึงแม่ของสริตาค่อนข้างยากมากครับ”

“เร่งมือโดยเร็ว”

“ได้ครับ”

นายพลชวนิลวางสายไป ส่วนพันธวัชมีสีหน้าแค้นจัดยามคิดถึงข้อความท้าทายที่สริตาเขียนไว้ในแผ่นซีดีที่บันทึกภาพการวางแผนปฏิวัติในบ้านของเขา ถ้ามันแพร่กระจายสู่สายตาของประชาชน มันจะทำลายชื่อเสียงและบารมีของเขาลงทันที นอกจากนั้นยังต้องรับโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้

“ฉันไม่ยอมให้ผู้หญิงทำลายทุกสิ่งในชีวิตแน่” เขาบอกมาดหมาย ดวงตากร้าวดุ

ช่วงเที่ยงวันผู้นำวรุตม์นัดหมายให้หมอจารุมนไปรับประทานอาหารด้วยกันที่ทำเนียบเมื่อทราบว่าหล่อนมีบรรยายที่มหาวิทยาลัยครึ่งวันเช้าเท่านั้น สีหน้าของหล่อนดูไม่สบายใจนัก

“คุณห่วงปอนด์ใช่ไหม ?”

หมอจารุมนพยักหน้ารับ “เราแม่ลูกไม่เคยแยกจากกันแบบนี้ อย่างมากปอนด์ก็ไปเข้าค่ายต่างจังหวัดไม่กี่วัน ส่วนไปเที่ยวก็จะไปกับแม่ แต่ครั้งนี้ลูกต้องไปอยู่ต่างประเทศและเป็นสถานที่ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน ประเทศมฆวัน !”

“ผมเตรียมเอกสารเกี่ยวกับประเทศของเจ้าชายอัคนีให้คุณอ่านแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะโล่งใจขึ้นที่รู้จักประเทศนี้”

“ลูกจะกลับบ้านได้เมื่อไร ?” หล่อนถาม พลางพลิกแฟ้มเอกสารที่อีกฝ่ายมอบไว้

“ผมตอบไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในขั้นหยั่งเชิงกัน เมื่อปอนด์ส่งหลักฐานให้ผมได้ กบฏต้องถูกกำจัด ลูกสาวของคุณจึงกลับบ้านได้”

“ถ้าคนของคุณไปส่งเจ้าชายกับปอนด์ไม่ทันเวลา พวกนั้นคงฆ่าลูกสาวของฉันสำเร็จแล้ว”

ผู้นำวรุตม์ยิ้มอ่อนโยน “มันเป็นหน้าที่ของผม ปอนด์เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรักษาหลักฐานเอาผิดกบฏไว้ ผมสมควรทำเพื่อเธอเช่นกัน”

“ฉัน..........”

“ผมต้องขอโทษที่ดึงปอนด์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เสียใจจริงๆ”

หมอจารุมนส่ายหน้า “มันอาจเป็นพรหมลิขิตก็ได้ ขอแค่คุณช่วยเหลือปอนด์อย่างเต็มที่ ฉันก็พอใจแล้วค่ะ”

“ตอนนี้คุณกลายเป็นเป้าหมายของพวกกบฏที่จะใช้บีบคั้นสริตาให้มอบชีวิตหรือหลักฐานชิ้นนั้นออกมา คิดอยากไปเมืองนอกสักระยะหนึ่งไหม ?”

“ฉันควรไปหรือ ?”

“มันจะปลอดภัยที่สุด เพราะพวกนั้นไม่มีเครือข่ายนอกประเทศ”

“ถ้าคุณคุ้มครองฉันไม่ได้ ก็ต้องเลิกคบกันแล้ว อย่าลืมว่าคุณเป็นผู้นำบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา”

ผู้นำวรุตม์หัวเราะ หมอจารุมนบอกเน้นเสียงว่า “หากฉันยังเป็นอันตรายได้ ประชาชนยังหวังพึ่งพาคุณได้อีกหรือ ?”

“ผมถือเป็นกำลังใจนะ”

“ฉันจะเป็นกำลังใจให้คุณต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมและไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่พวกกบฏยัดเยียดให้ประเทศของฉัน”

“ขอบคุณครับ”

“ฉันทำเพื่อประเทศของฉันค่ะ”

“ถ้าทุกคนรักชาติอย่างแท้จริง ผมคงไม่ต้องหนักใจอย่างที่เป็นอยู่แล้ว”

“พันธวัชซึ่งแก่ชรายังเป็นคนที่มีลมหายใจ ย่อมมีกิเลสตัณหาและตามล่าความฝันของตัวเอง ส่วนนายพลชวนิลก็หวังความเป็นใหญ่ในบ้านเมืองเยี่ยงเดียวกับคนบ้าที่ควบคุมความอยากไม่ได้ คนมีสติอย่างคุณต้องกำราบและกำหนดขอบเขตให้คนบาปเหล่านั้นค่ะ”

“วันนี้ผมเสียใจที่ไว้ใจและนับถือพันธวัชมากเกินไป จึงส่งเสริมให้นายพลชวนิลก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงทางทหาร แทนที่จะเชื่อสายตาของตัวเอง ผมเชื่อใจคำแนะนำของพันธวัช จึงต้องพบความลำบากในวันนี้”

หมอจารุมนยิ้มปลอบโยน “คนแก่หลอกคุณอย่างแนบเนียน เขามีประสบการณ์ช่ำชองทางการเมืองมากกว่าคุณ บารมีที่สั่งสมไว้นาน จึงหลอกเอาความไว้วางใจจากคุณได้ เขารู้ศักยภาพของตัวเองด้านเศรษฐกิจดีว่า ไม่มีปัญญาพอจะใช้หนี้สินที่รัฐบาลชุดก่อนก่อไว้ จึงปล่อยให้คุณซึ่งมีเครดิตด้านนี้ดีและมีทีมงานชั้นเยี่ยม เขามองไม่ผิดพลาดที่ปล่อยให้คุณทำงานใช้หนี้สินของชาติ หลังจากปัญหาหนักอกนี้ปลดเปลื้องได้แล้ว เขาจึงฉกฉวยจังหวะนี้ชิงอำนาจจากคุณ”

“บางคนเตือนผมว่า พันธวัชคาดหวังจะเป็นผู้นำหลายครั้งแล้ว แต่แคล้วคลาดมาตลอด เขาไม่เคยหยุดเดินไปสู่ความฝันนั้น”

“พันธวัชสร้างสมบารมีจากงานการเมืองและแสดงท่าทางเป็นผู้ใหญ่ใจดี แต่เก็บเขี้ยวเล็บของเสือไว้อย่างมิดชิด หากมิใช่คำบอกเล่าพฤติกรรมจากปากของคุณ ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็นคนบงการให้มีการปฏิวัติ ทั้งที่เมื่อก่อนเขาแสดงท่าทีต่อต้านการทำนอกกรอบของกฎหมายอย่างแข็งขัน”

“เวลาบนโลกของเขาเหลือน้อยเต็มทีแล้วล่ะมัง” เขาทำเสียงหึในลำคอ

หมอจารุมนพยักหน้า รอยยิ้มเย็น “ตัวเลข 7 นำหน้าอายุ เส้นผมสีขาวโพลน พละกำลังถดถอยลงทุกวัน แต่ความฝันยังแข็งแกร่งเสมอ เมื่อมีนายพลชวนิลมาร่วมฝันด้วย พวกเขาจึงกล้าก่อกบฏ”

“ถ้าไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน ผมไม่มีวันโค่นพันธวัชกับพวกลงได้ ใครเชื่อคำพูดของผมกันล่ะ ปอนด์จึงเป็นความหวังเดียวของผม !”

“ปอนด์เป็นความหวังของคุณ และเป็นอุปสรรคของพันธวัช ฉันห่วงความปลอดภัยของปอนด์มากจริงๆ”

“ผมเข้าใจสิ่งที่คุณคิด แต่เชื่อว่าเจ้าชายจะดูแลปอนด์ได้ เราต้องรอการติดต่อจากปอนด์ก่อน” เขาพูดยืนยัน แววตามั่นใจ

“หวังว่าคุณจะคาดการณ์ถูกต้องนะคะ”

หมอจารุมนเห็นใจกับความคับข้องใจของผู้นำบ้านเมืองเกี่ยวกับปัญหากบฏ โดยมีสริตาเป็นคนเดียวที่คลี่คลายปัญหานี้ได้ แต่ลูกสาวของหล่อนกำลังระหกระเหินอยู่ในต่างแดนท่ามกลางภยันตรายที่หล่อนไม่อาจคาดหมายได้ สิ่งที่หล่อนหวั่นกลัวคือ พันธวัชจะมีบารมีมากพอในการสังหาร

สริตาในประเทศมฆวันอันแสนไกลโพ้นได้หรือไม่

“ปอนด์ต้องกลับมาหาแม่ทั้งที่มีลมหายใจนะ ลูกรัก” หล่อนคิดในใจ

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเมื่อเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอัคนีลงจอดที่สนามบินแห่งชาติของประเทศมฆวันอย่างปลอดภัย โชตกเดินไปกระซิบบางอย่างกับเจ้าชายหนุ่มซึ่งมีสีหน้าขรึมเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้ทุกคนลงจากเครื่องบินไปตามช่องที่กำหนดไว้ สริตาสังเกตเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับคณะของเจ้าชายอย่างที่หล่อนคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในฐานะที่เจ้าชายอัคนีเป็นรัชทายาทของประมุขแห่งประเทศนี้ ระหว่างเดินไปยังห้องวีไอพีสริตาเห็นธงผ้าสีดำสลับขาวประดับตามจุดต่างๆและบริเวณหน้าร้านค้า สีสันของมันบอกความหม่นเศร้าที่หล่อนคาดว่าน่าจะมีความสูญเสียบางอย่างในประเทศนี้ หล่อนเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบแปลกตากลุ่มหนึ่งเข้าไปหาเจ้าชายอัคนีซึ่งเดินนำหน้าคณะอยู่

“กระหม่อมได้รับคำสั่งจากท่านมหาอำมาตย์มารับเจ้าชายกลับเรือนศักเรนทร์ขอรับ”

“คำสั่งของท่านพยนต์รึ ?” เจ้าชายมองสงสัย

ตัวแทนของมหาอำมาตย์พยนต์ปรายตามองโชตกซึ่งยืนสงบนิ่ง พลางตอบว่า “หลายวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย”

“เราอยากฟังก่อน”

ตัวแทนมหาอำมาตย์พยนต์ขออนุญาตกระซิบบอกกับเจ้าชายอัคนี ครู่ต่อมาเจ้าชายหันไปพูดกับโชตกว่า “นายแยกกลับบ้านไปก่อน เราจะไปเฝ้าท่านพ่อ”

“ผม..........”

สริตาเห็นเจ้าชายกระซิบบางอย่างกับโชตกซึ่งมีสีหน้าซีดทันใด แววตาครุ่นคิด มันน่าจะเป็นเรื่องไม่เป็นมงคลต่อโชตก หล่อนคิด

“ถ้าไม่ส่งท่านถึงเรือนพัก พ่อต้องตำหนิผมแน่ ผมขอติดตามท่านไป”

“โชตก !” เจ้าชายมองซึ้งใจ พลางพยักหน้ายอมรับ “นายไปด้วยกันก็ได้”

“ขอบพระทัย”

ต่อมาสริตาเห็นชายในชุดเข้มกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาสมทบกับคณะเจ้าชายอัคนีด้วยสีหน้าเครียด พลางค้อมกายลง

“ท่านชยาศีร์ให้กระหม่อมมารับท่านไปแวะที่บ้านก่อน”

เจ้าชายขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางรับจดหมายจากกลุ่มผู้มาใหม่แล้วอ่านครู่หนึ่ง “ท่านอาทำงานแทนมหาเสนาบดีแล้วหรือ ?”

“ใช่ขอรับ” ชายชุดเข้มปรายตามองคนอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วพูดว่า “การไปเยี่ยมท่านชยาศีร์ก่อน จะได้รับข่าวสารทั้งหมดช่วงที่ท่านไม่อยู่ก่อนเข้าวังขอรับ”

คำแนะนำเป็นนัยจากลูกน้องของรองมหาเสนาฯชยาศีร์ ซึ่งเป็นน้องชายของพระบิดาสะกิดความสงสัยของเจ้าชายอย่างมาก

“ท่านมหาอำมาตย์มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของรัชทายาท จึงไม่อยากให้ท่านอยู่นอกวังในเวลาเช่นนี้” ตัวแทนของมหาอำมาตย์พยนต์เอ่ยเน้นเสียง

ชายชุดเข้มกล่าวโต้ว่า “เรื่องนอกวังเป็นความรับผิดชอบของท่านชยาศีร์ หวังว่าจะเข้าใจความลำบากใจของพวกเราด้วย”

ตัวแทนมหาอำมาตย์พยนต์ทำท่าจะพูดโต้ เจ้าชายโบกมือปรามไว้ พลางเอ่ยว่า “เราจะแวะเยี่ยมท่านอาก่อนเข้าวัง ไปกันเถอะ”

“กระหม่อมไม่...........”

เจ้าชายเอ่ยขัดทันทีว่า “เราตัดสินใจแล้ว ไปแจ้งกับท่านพยนต์รับทราบไว้”

ชายชุดเข้มกระจายลูกน้องเดินล้อมคณะเดินทางของเจ้าชายอัคนีเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยระหว่างที่พวกเขาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ในช่องพิเศษซึ่งสนามบินจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ โดยมีสายตาขัดเคืองใจของตัวแทนมหาอำมาตย์พยนต์มองตามไป

คณะเดินทางของเจ้าชายอัคนีเดินแยกย้ายไปนั่งในรถยนต์ที่จอดรอไว้โดยมีลูกน้องของชายชุดเข้มบอกนำเป็นระยะ เจ้าชายอัคนีสั่งให้โชตกกับสริตานั่งรถคันเดียวกับเขา ช่วงจังหวะที่เจ้าชายเข้าไปนั่งติดหน้าต่างรถด้านหนึ่งและรอให้โชตกกับสาวไทยเข้าไปนั่งด้วย หล่อนยืนรอคิว พลางมองเห็นจุดไฟสีแดงแล่นปราดไปที่หน้าต่างของเจ้าชายอย่างเร็วมาก ลางสังหรณ์แจ้งเตือนหล่อนว่ามันมีอันตราย สิ่งที่หล่อนอดประหลาดใจไม่ได้คือ หล่อนเห็นจุดสีแดงนั้นเพียงคนเดียว เพราะหลายคนซึ่งยืนอยู่ใกล้กันไม่ส่งเสียงโวยวายสักคำยามเห็นสิ่งผิดปกตินี้

“จุด...........” หล่อนอุทานออกมา ดวงตามองเขม็ง

โชตกชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปในรถ พลางเหลียวมองหล่อน “มีอะไร ?”

สริตาคิดว่า ถ้ามีกำแพงบังหน้าต่างรถของเจ้าชายได้ทันเวลาก็คงดี แค่ชั่วอึดใจที่คิดถึงกำแพงนั้นหล่อนเห็นจุดสีแดงสะท้อนห่างออกไป มันก็หายวับ

“เสียงอะไร ?” เจ้าชายขมวดคิ้ว ยามได้ยินเสียงของบางอย่างกระแทกใส่กระจกรถ แต่เขาไม่เห็นสิ่งของภายนอกนั้น

สริตาเบิ่งตากว้าง เมื่อเห็นจุดสีแดงกลุ่มใหญ่วิ่งตามต่อเนื่องกันไปยังหน้าต่างของเจ้าชายอัคนีอีกครั้ง หล่อนตบหลังคารถด้วยความตื่นเต้นโดยไม่อาจเปล่งเสียงเตือนใดๆ

“กำแพง.........กำแพง..........” หล่อนคิดในใจ หัวใจเต้นรัว

ลูกน้องของชายชุดเข้มวิ่งกรูเข้าไปจับแขนของสริตาที่ทุบหลังคารถ โชตกสะกิดบอกสริตาให้เข้าไปในรถโดยเร็ว

“กำแพง...........” หล่อนพูด เมื่อเห็นจุดสีแดงสะท้อนห่างออกไปแล้ว

“ฉันจัดการเอง” โชตกบอกไปทางลูกน้องชุดเข้ม แล้วดึงสาวไทยเข้าไปในรถ

เจ้าชายอัคนีเห็นใบหน้าซีดและมีเหงื่อผุดเต็มหน้าผากของสริตาด้วยความฉงนใจ พลางถามว่า “คุณเครียดจัดหรือไง ทุบหลังคารถจนหลายคนตกใจกันหมด”

“ฉัน......เอ่อ.........ท่านไม่เห็นจุด.....เอ่อ.........ลูกไฟสีแดงเมื่อกี้นี้หรือ ?”

“จุด.....ลูกไฟ....อะไร ?” โชตกมองตำหนิ แล้วบอกคนขับรถว่า “ออกรถได้”

สริตามองที่หน้าต่างรถของเจ้าชายอัคนีซึ่งไม่มีร่องรอยอันเกิดจากจุดสีแดง หล่อนถอนหายใจหนัก “ไม่มีใครเห็นเลยใช่ไหม ?”

“ไม่เห็นอะไร” เจ้าชายตอบ รอยยิ้มเย็น “คุณอาจเครียดไปก็ได้”

“ฉัน..........”

“คุณเห็นจุดสีแดงไปทางไหน ?” โชตกถาม หลังจากสังเกตเห็นสายตาของสาวไทยที่สนใจกระจกรถด้านของเจ้าชาย

“ฉันเห็นมันพุ่งมาที่กระจกรถของเจ้าชาย แต่กระเด็นหายไปชั่วแวบเดียวเท่านั้น”

โชตกนั่งเงียบครู่หนึ่ง พลางเอ่ยว่า “คุณอาจคิดถึงบ้านมากไปก็ได้”

เจ้าชายอัคนีขมวดคิ้ว ยามคิดถึงเสียงประหลาดที่หน้าต่างรถเมื่อครู่นี้

“เสียงกระแทกกระจกรึ ?” เจ้าชายพึมพำ ดวงตามองไปนอกรถ

“คุณเชื่ออย่างนั้น ก็ตามใจ” หล่อนบอกสะบัดเสียง แล้วเมินหน้าไปนอกหน้าต่าง

เจ้าชายอัคนีกับโชตกมองสบนัยน์ตากันแล้วอมยิ้ม ทั้งสามต่างไม่พูดคุยกันตลอดเส้นทางมุ่งสู่บ้านพักของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ ส่วนทักษายืนนิ่งหลังจากกระสุนพลังจิตซึ่งเป็นจุดสีแดงพุ่งไปสังหารเจ้าชายอัคนีที่นั่งอยู่ชิดหน้าต่างรถ แต่มีบางอย่างสะท้อนกระสุนพลังออกไปทั้งสองครั้ง ภาพผู้หญิงแปลกหน้าซึ่งยืนทุบหลังคารถเมื่อครู่นี้สะกิดใจของทักษาอย่างมาก

“กระสุนพลังจิตของฉันไม่เคยพลาดเป้า เธอทำลายมันได้อย่างไร ? เธอเป็นใคร ?” ทักษาคิด ก่อนเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ห่างจากสนามบินเล็กน้อย

รถของเจ้าชายอัคนีแล่นเข้าไปในบ้านพักของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ซึ่งมีทหารวังยืนเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่ด้านนอก อันสร้างความแปลกใจแก่รัชทายาท เจ้าของบ้านเป็นชายร่างสันทัด ใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตรเดินเข้าไปโอบกอดหลานชายเมื่อเจ้าชายอัคนีเข้าไปในบ้านแล้ว

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน อัคนี”

เจ้าชายอัคนีค้อมกายเล็กน้อยเป็นการทักทายเจ้าของบ้านพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอาคงไม่สนุกที่ต้องรับงานของท่านมหาเสนาบดีใช่ไหม ?”

“ให้ทำตลอดไป อาก็ไม่รับแน่ แต่ท่านพี่ขอให้ทำชั่วคราวเท่านั้น” เจ้าชายชยาศีร์เอ่ยปนเสียงหัวเราะ พลางหันไปทางชายหนุ่มอีกคน “ฉันเสียใจกับเรื่องพ่อของเธอนะ โชตก”

“ผมเพิ่งทราบข่าวนี้ อยากฟังคำอธิบายจากท่านว่าเหตุใดจึงไม่มีการแจ้งข่าวท่านพ่อ” โชตกถามตรง สีหน้าเคร่งขรึม

รองมหาเสนาฯชยาศีร์ยิ้มหมอง “เรื่องมันยาว เธอต้องรู้แน่นอน”

เมื่อเห็นสายตาเจ้าของบ้านมองไปที่สาวไทย เจ้าชายอัคนีเอ่ยแนะนำว่า “เธอเป็นแขกของผม และจะพักที่นี่นานหน่อยครับ”

“แขกของเธอรึ ?” ท่านชยาศีร์มองสำรวจอย่างไม่เกรงใจ ริมฝีปากระบายยิ้มเล็กน้อย

เจ้าชายอัคนีหันไปบอกสาวไทยว่า “ท่านชยาศีร์ เป็นอาของผม”

สริตายกมือไหว้ตามธรรมเนียมไทย พร้อมคำทักทายของไทย “สวัสดีค่ะ”

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ยิ้มกว้าง พลางเอ่ยตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า “ฉันไปเที่ยวเมืองไทยบ่อยมาก ชอบธรรมเนียมหลายอย่างของไทย โดยเฉพาะพวกขนมไทย”

ด้วยความไม่คุ้นกับการใช้ภาษาอังกฤษของสริตา หล่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสำเนียงของอีกฝ่าย เจ้าชายอัคนีบอกกับผู้เป็นอาว่า “เธอใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่องนัก ท่านอาคงไม่ถือสานะครับ”

“ใช้ได้ แต่ไม่คุ้น ถือเป็นเรื่องธรรมดา อยู่นานอีกหน่อย ก็ใช้คล่องเอง” ดวงตาของเจ้าชายชยาศีร์บอกความเมตตายามมองสาวไทย

สริตาโล่งใจกับท่าทีเป็นมิตรของญาติเจ้าชายอัคนี เจ้าของบ้านเรียกแม่บ้านให้พาสาวไทยชมบ้านพักของเขาระหว่างที่พวกผู้ชายพูดคุยกัน

เมื่อแม่บ้านกับสริตาเดินออกจากห้องรับแขกแล้ว การสนทนาที่เคร่งเครียดระหว่างรองมหาเสนาบดีชยาศีร์กับเจ้าชายอัคนีจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการบอกเล่าเหตุการณ์หลังจากพวกเขาเดินทางไปเมืองไทย การล้มป่วยกะทันหันของมหาเสนาบดีนฤวร การตายของพระเจ้าชเยนทราหลังจากที่พี่น้องพูดคุยกันไม่นาน รวมทั้งคำสั่งของมหาอำมาตย์พยนต์ที่ส่งทหารวังมาดูแลนอกบ้านพักของเขา

“บ้านของท่านอามีทหารของฝ่ายเสนาบดีกับทหารวังของท่านพยนต์คุ้มครองความปลอดภัยด้วย คงไม่มีภัยร้ายกล้าเข้าใกล้แน่” รัชทายาทพูดเย้าหลังจากฟังคำบอกเล่าจบลง

รองมหาเสนาบดีฯส่ายหน้า “อากลัวตายที่มีทหารวังของพยนต์อยู่ใกล้ตัวเกินไป จึงสั่งทหารของฝ่ายเสนาบดีมาดูแลอีกหน่วยหนึ่ง มันเย็นใจได้หน่อย”

“ท่านอาสงสัยการตายของท่านพ่องั้นรึ ?”

“ใช่”

“ทำไม ?”

“คืนสุดท้ายที่อาคุยกับท่านพี่ เขายังดูไม่อ่อนแอที่จะตายเร็วเพียงนั้น”

“คำประกาศบอกว่าหัวใจของท่านพ่อวายมิใช่หรือ ?”

โชตกเห็นเจ้าของบ้านเหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วเอ่ยว่า “คนที่ประกาศ คือ ติชิลา ลูกสาวของพยนต์ และในวันนั้นเขาไม่ยอมให้หัวหน้าหมอหลวงทำการตรวจรับรองผลตามขั้นตอนปกติ ติชิลาเพิ่งบรรจุเข้าเป็นหมอหลวงได้เพียงวันเดียว เธอเชื่อผลตรวจของติชิลาได้หรือ ?”

“คนสุดท้ายที่พบพระองค์ น่าจะเป็นท่านพยนต์” โชตกตั้งข้อสังเกต สีหน้าเครียด “แต่ไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในความตายครั้งนี้”

“ท่านพี่บอกอาว่า พยนต์นัดหมายจะพบเขาในคืนนั้น ต่อมาอาไปตรวจสอบสมุดเข้าวังก็มีรายชื่อของเขาเป็นคนสุดท้ายที่เข้าพบในคืนนั้น”

รัชทายาทขมวดคิ้ว ผู้เป็นอาเอ่ยต่อไปว่า “พยนต์เร่งจัดพิธีศพของท่านพี่โดยไม่รอเธอกลับมาเป็นประธานในฐานะรัชทายาท แต่ยกให้เป็นหน้าที่ของพระสนมกับเอกทัศน์”

“ข้อสงสัยแค่นี้ไม่หนักแน่นพอจะกล่าวหาท่านพยนต์ได้”

“ท่านพิชาญซึ่งถือเป็นผู้อาวุโสที่สุดในเชื้อพระวงศ์ขออำลากับพระศพเป็นครั้งสุดท้าย พยนต์ยังไม่อนุญาต ทั้งที่เป็นธรรมเนียมซึ่งกระทำกันมาช้านาน มันมีบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครเห็น จึงต้องยืนกรานห้ามการเข้าใกล้พระศพ”

“มันก็น่าคิด”

“ก่อนรุ่งสางพยนต์จัดงานประชุมเพลิงเผาพระศพโดยอ้างฤกษ์ยามที่เขาหาไว้โดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ อาพยายามติดต่อแจ้งข่าวกับเธอ แต่ทำไม่ได้เพราะพยนต์สั่งลูกน้องปิดกั้นการสื่อสารในประเทศทั้งหมด”

“ท่านพยนต์ก้าวก่ายงานบริหารประเทศ ถือเป็นการผิดกฎหมาย” โชตกพูดท้วง

รองมหาเสนาบดีชยาศีร์เหยียดยิ้มนิดหนึ่ง “ลูกน้องของพยนต์ทำงานตามหน่วยงานสำคัญ แค่คำขอร้องก็มีคนยินดีทำเพื่อตอบแทนบุญคุณกัน ยิ่งไม่มีท่านนฤวร พวกเขาไม่กลัวใครอีกแล้ว”

“ท่านอารับผิดชอบแทนท่านนฤวรตามคำสั่งของท่านพ่อมิใช่หรือ ? ทำไมจึง.........”

“ตั้งแต่มีการแถลงความตายของท่านพี่ พยนต์ส่งกองทหารวังเข้าคุมบ้านพักของอาและสั่งห้ามออกนอกบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขา อายังไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวายก่อนจะทำเรื่องที่ท่านพี่ฝากไว้เสียก่อน จึงต้องอยู่นิ่งเฉยเพื่อรอเธอกลับมา”

“ท่านพ่อฝากเรื่องอะไร ?”

“ท่านพี่ฝากพินัยกรรมไว้”

เจ้าชายอัคนีรับซองสีน้ำตาลซึ่งมีลายมือของบิดาเขียนกำกับไว้ น้ำตาคลอ

“อาเชื่อว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่อป้องกันเธอไว้”

“ท่านพ่อคิดว่าพยนต์จะเปลี่ยนแปลงรัชทายาทงั้นรึ ?” หลานชายถามเท่าทัน

“ท่านพี่ต้องมีเหตุผลที่เชื่อเช่นนั้น แต่อาไม่รู้ว่ามันเป็นเหตุผลใด”

“ท่านพยนต์ไม่มีอำนาจมากพอจะทำลายคำสั่งแต่งตั้งรัชทายาทของท่านพ่อ ทำไม.....” หลานชายมีสีหน้าข้องใจ

“วันนี้เขาส่งคนไปดักรอพบเธอเพื่อพาเข้าวัง ต้องมีแผนแน่ นอกจากนั้นคนของอารายงานว่าเพื่อนหญิงของเธอแสดงท่าทางไม่ปกติด้วยใช่ไหม ?”

“เธอคงเครียดจัดกับการห่างบ้านอย่างไม่เต็มใจนัก จึงเกิดอาการแบบนั้น” หลานชายตอบ

“ถ้าเป็นอาการก็ไม่น่าห่วงใย ช่วงนี้ต้องระวังการลอบสังหารไว้ล่ะ อัคนี”

“ท่านพยนต์จะฆ่ารัชทายาทเชียวรึ ?”

“การทำลายคำสั่งแต่งตั้งของท่านพี่จะเป็นเรื่องง่าย ถ้าเธอตายนะ”

“แต่เรายังมีชีวิตอยู่ เขาจะทำอย่างไรล่ะ ?” หลานชายมีท่าทางมั่นใจ

“นอกจากท่านพี่แล้ว นฤวรเป็นผู้ที่หยุดยั้งความทะเยอทะยานของพยนต์ได้ ตอนนี้ไม่มีทั้งสองคน เธอคิดว่าพยนต์ต้องเกรงกลัวใครอีก”

คำถามของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ทำให้เจ้าชายอัคนีอึ้งไป ส่วนโชตกบอกเน้นเสียงว่า “ท่านรองฯยังใช้อำนาจไม่เต็มที่ในฐานะรักษาการมหาเสนาบดีต่างหาก ท่านมีกฎหมายรองรับหน้าที่ไว้ ขณะที่ท่านพยนต์ก็ถูกกำหนดมิให้ยุ่งเกี่ยวกับงานบริหารประเทศอย่างเด็ดขาด เขาทำตามใจลำบากเช่นกันเพราะต้องอาศัยร่างทรงตลอดเวลา”

“โชตกพูดถูกแล้ว” เจ้าชายพยักหน้าเห็นด้วย

รองมหาเสนาบดีฯเปลี่ยนสายตาไปที่ลูกชายของอดีตมหาเสนาบดีนฤวรซึ่งเพิ่งตายไป แล้วยิ้ม

“งานอีกชิ้นที่ฉันรับปากกับท่านพี่ไว้ คือ ตำแหน่งมหาเสนาบดีคนใหม่ต้องเป็นของโชตกเท่านั้น”

“ผม..........” โชตกยืนอึ้ง

“ท่านพี่ยืนยันว่า คนที่จะต่อต้านพยนต์ได้ต้องอาศัยความร่วมใจของสองคน คือ อัคนีกับโชตก ช่วงนี้อาต้องการเวลาคิดหาหนทางให้เป็นไปตามคำสั่งสุดท้ายของท่านพี่ตามแบบฉบับของตัวเอง โดยเฉพาะอาไม่รู้ว่าพยนต์จะใช้แผนใดทำลายการแต่งตั้งรัชทายาท นอกจากการสังหารเธอ”

“ท่านพยนต์คิดส่งเสริมเจ้าชายเอกทัศน์ขึ้นเป็นรัชทายาทใช่ไหม ?” โชตกคาดเดา

“เอกทัศน์ยังเป็นเด็กและควบคุมง่ายกว่าอัคนี มันฟังมีเหตุผลดีมิใช่หรือ ?”

สีหน้าของเจ้าชายอัคนีบอกความไม่สบายใจ “เราไม่เคยคิดทำร้ายน้อง ทำไม.........”

“อำนาจสูงสุดต้องเป็นของบุคคลเดียว มันเป็นแรงดึงดูดให้คนแย่งชิงกัน อาชอบชีวิตสำราญ ไม่อยากแก่งแย่งกับใคร จึงต้องปลีกตัวเองออกมานอกวังไวชยันต์ แต่ท่านพี่ยังกลัวอาจะเป็นคนไร้สาระ จึงมอบงานหนักให้อาทำอีก กลัวตกงานล่ะมัง” รองมหาเสนาบดีฯหัวเราะ

“ท่านพ่อไว้วางใจคนเจ้าสำราญต่างหาก” หลานชายบอกย้ำเสียง

รองมหาเสนาบดีฯหันไปมองโชตกด้วยแววตาจริงจัง พลางเอ่ยว่า “ฉันเชื่อมั่นในความสามารถและความซื่อสัตย์ของท่านนฤวรอย่างจริงใจ แต่สำหรับโชตกแล้วฉันยังไม่แน่ใจว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยงสนับสนุนเธอตามคำสั่งของท่านพี่หรือไม่ จึงอยากพิสูจน์บางอย่างก่อน”

“พิสูจน์ ?” โชตกมีสีหน้างง

“ท่านพี่บอกว่า หากต้องการรู้เหตุผลแท้จริงที่อยากให้ฉันส่งเสริมเธอรับตำแหน่งแทนท่านนฤวร คำตอบฝากไว้ที่เธอ เขาเชื่อว่าเมื่อรู้คำตอบนี้แล้ว ฉันจะทุ่มเทชีวิตเพื่อขัดขวางพยนต์โดยไม่มีข้อกังขาใด ฉันอยากรู้เหตุผลนั้น”

“เหตุผลแท้จริงรึ ?” โชตกทวนคำ คิ้วขมวดแน่น “พระองค์ไม่ได้ฝากสิ่งใดกับผมเลย ส่วนท่านพ่อสั่งให้ไปรับของสิ่งหนึ่งแล้วกำชับมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงงานชิ้นนี้เด็ดขาด แล้วนำส่งมอบให้พ่อเท่านั้น”

“ท่านพ่อคงรู้เรื่องนี้ด้วย” เจ้าชายอัคนีคาดเดา

“ตอนนี้ท่านนฤวรก็จากไปแล้ว เธอน่าจะเปิดออกดูนะ บางทีอาจเกี่ยวพันกับคำสั่งสุดท้ายของท่านพี่ก็ได้” รองมหาเสนาบดีฯกล่าวแนะนำ

“ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องสำคัญของพ่อ อยากกลับไปบ้านเพื่อตรวจดูว่าพ่อสั่งเสียเช่นใดกับสิ่งของที่ฝากผมไว้ก่อน จึงให้คำตอบแก่ท่านได้ขอรับ” โชตกตอบปฏิเสธในที

รองมหาเสนาบดีฯยิ้มเข้าใจ “เธอสบายใจเมื่อไร ก็มาคุยเรื่องนี้ใหม่ ตอนนี้คงต้องจัดการเรื่องของรัชทายาทก่อน หากฉันไว้วางใจเธอได้ ก็จะผลักดันเธอตามคำสั่งของท่านพี่แน่นอน”

“ขอรับ” โชตกค้อมศีรษะลง จิตใจหวั่นวิตกยามคิดถึงซองจดหมายที่รับจากโรงพยาบาลในประเทศไทยซึ่งบิดาให้ความสำคัญพิเศษ

“ตอนนี้วังไวชยันต์วุ่นวายอยู่ เธอจัดการอย่างไรกับสาวไทยคนนั้น ?” ผู้เป็นอาถามถึงสริตา

เจ้าชายอัคนีนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนตอบว่า “ผู้ใหญ่ของไทยฝากดูแลเธอ ผมจะให้พักที่เรือนศักเรนทร์ จะได้ไม่ห่างสายตามากนัก”

“เธอไม่ควรรู้ปัญหาในวังนะ” ผู้เป็นอาเอ่ยเตือน

โชตกพูดเสนอว่า “สริตาพักในบ้านของผมก็ได้”

“พยนต์จ้องเล่นงานสมาชิกในบ้านของท่านนฤวร เธอยังไม่ปลอดภัยเช่นกัน จะพ่วงสาวน้อยไว้อีก รับมือไหวรึ ?”

เจ้าชายอัคนีเอ่ยตัดบทเสียงเข้มว่า “สริตาควรอยู่ในเรือนศักเรนทร์ก่อน ถ้ามีปัญหาหนัก ค่อยตัดสินใจใหม่ ผมต้องรักษาคำสัญญาที่ให้แก่ผู้ใหญ่ของไทยและตอบแทนบุญคุณที่เธอเคยช่วยชีวิตให้รอดพ้นอันตรายมาได้ด้วย”

“พยนต์ส่งคนไปฆ่าเธอที่เมืองไทยรึ ?” ผู้เป็นอามีสีหน้าตกใจ

โชตกตอบว่า “เจ้าชายติดพ่วงไปกับเรื่องภายในของไทยขอรับ”

เจ้าชายอัคนีบอกเล่าสาเหตุที่สริตาต้องเดินทางมาประเทศมฆวันเพราะการแก่งแย่งทางการเมืองในไทยโดยหล่อนเป็นเป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้นำวรุตม์ต้องการสังหารเนื่องเพราะหล่อนเก็บหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติไว้ แต่ยังส่งมอบให้ผู้นำหนุ่มใหญ่ในเวลานี้ไม่ได้

“งานหนักเหมือนกันนะ อัคนี” ผู้เป็นอาเอ่ยเย้าพร้อมรอยยิ้ม

***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์