จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

13.

เจ้าหญิงพิณทองมองบรรณารักษ์หนุ่มของห้องสมุดในวังไวชยันต์อย่างใช้ความคิด ริมฝีปากแย้มออกเล็กน้อย ยามหันไปสนใจติชิลาที่ออกคำสั่งแก่ลูกน้องหญิงเพื่อพาสริตา ซึ่งเป็นแขกพิเศษของเจ้าชายอัคนีไปโดยเร็ว

“หม่อมฉันต้องขอตัวไปก่อน” ติชิลาค้อมศีรษะแก่เจ้าหญิง ทำท่าจะเดินจากไป

“ถ้าเพื่อนของพี่อัคนีอยากเป็นแขกของเธอ ฉันจะไม่ขวางไว้ ปล่อยสริตา !” เจ้าหญิงบอกเน้นเสียง ท่าทางจริงจัง

ติชิลามีสีหน้าขัดเคืองใจ “เกรงว่าจะไม่เหมาะสมที่ท่านยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ถ้าคิดจะให้ท่านพยนต์ตัดสินเรื่องนี้ เธอคงรู้คำตอบไม่ยาก” เจ้าหญิงพูดดักคอไว้ รอยยิ้มเย็น “ท่านพยนต์คงไม่เสียเวลายุ่งกับเรื่องเล็ก ฉันเชื่อว่าคำขอนี้เป็นเรื่องเหมาะสม ความเต็มใจของเพื่อนพี่อัคนีเป็นความแตกต่างจากการบังคับไปห้องยาของเธอ ปล่อยสริตาให้ตอบสิ ติชิลา”

“ฉัน............”

“ถ้าให้เกียรติแก่ฉัน ก็ต้องขอบใจเธอด้วย” เจ้าหญิงพูดแทรกพร้อมรอยยิ้ม

ติชิลานิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะโบกมือไปทางลูกน้องหญิง “ปล่อยเธอ !”

เจ้าหญิงพิณทองยิ้ม ดวงตามองการสะบัดหน้าเดินจากไปของติชิลา ลิปิการ์เข้าไปแก้เชือกที่มัดสาวไทยไว้ สริตาถอนใจโล่งอกเมื่อเป็นอิสระ

“ขอบคุณที่ช่วยฉันค่ะ” สริตามองเจ้าหญิงแสนสวยด้วยแววตาชื่นชม

“ฉันต้องขอโทษที่คนในวังต้อนรับแขกของพี่อัคนีแบบนี้”

“ฉันถือว่าเป็นความเข้าใจผิดกัน มันสบายใจกว่าค่ะ”

เจ้าหญิงทึ่งใจกับวิธีคิดง่ายๆของอีกฝ่าย ริมฝีปากแย้มยิ้ม “มันเป็นคำปลอบใจสินะ”

“ใช่ค่ะ”

สริตาลุกขึ้นยืน พลางค้อมศีรษะเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รับความเมตตาจากเจ้าหญิง แต่คงต้องรีบกลับเรือนศักเรนทร์ก่อน”

“ผมขอไปส่งเธอด้วยขอรับ” ลิปิการ์บอก แล้วค้อมกายลง

ก่อนที่สริตาจะเดินต่อไป พลางหันไปมองใบหน้างามของเจ้าหญิง แล้วยิ้ม “เจ้าหญิงสวยทั้งรูปและจิตใจ ฉันขอชมจากใจจริงแล้วจะเล่าถึงความเมตตาของท่านให้ท่านอัคนีรับรู้ด้วย”

เจ้าหญิงพิณทองเห็นสองหนุ่มสาวทำท่าจะจากไป จึงพูดว่า “ฉันจะไปส่งเธอที่เรือนของพี่อัคนีเอง”

ลิปิการ์มองฉงน เจ้าหญิงเอ่ยต่อไปว่า “ฉันหลงคารมชื่นชมของสาวคนนี้ไง ถือโอกาสเยี่ยมพี่อัคนีด้วย”

เจ้าหญิงพิณทองอาสาไปส่งสาวไทย ลิปิการ์จึงแยกตัวกลับห้องสมุด ปล่อยให้สองสาวต่างเชื้อชาติ ต่างยศศักดิ์ เดินทางไปเรือนศักเรนทร์ของรัชทายาทแห่งประเทศมฆวัน

เจ้าชายอัคนียืนรออยู่ที่ระเบียงเรือนศักเรนทร์ด้วยท่าทีกระวนกระวายหลังลิปิการ์บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องสมุดทางโทรศัพท์ เจ้าหญิงพิณทองค้อมกายคำนับรัชทายาทแห่งประเทศมฆวันพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน

“หม่อมฉันพาเพื่อนของพี่อัคนีมาส่งอย่างปลอดภัยแล้ว” เจ้าหญิงบอกเสียงหวาน

เจ้าชายอัคนียิ้มโล่งใจเมื่อเห็นสาวไทยปลอดภัยดี พลางกล่าวว่า “ขอบใจที่ช่วยเหลือเพื่อนของพี่”

“มันเป็นสิ่งที่ควรทำเพคะ”

“ติชิลาทำเกินไป” เขาบอกเสียงห้วน พลางเอ่ยชวนว่า “น้องพิณมาเป็นแขกร่วมโต๊ะกับเราด้วยสิ”

“ยินดีอย่างยิ่ง” เจ้าหญิงตอบรับ พลางหันไปทางสาวไทยซึ่งยืนเงียบอยู่ “หม่อมฉันอยากรู้จักเพื่อนของพี่มากขึ้นด้วย เธอฉลาดและเป็นมิตรดีค่ะ !”

“เกือบเป็นหนูทดลองยาของติชิลาไปแล้ว” เขาเอ่ยล้อในที รอยยิ้มเย็น

สริตายิ้มเจื่อน “วันนี้ดวงไม่ดีจริงๆ เจอทั้งพี่และน้องที่แสนดุร้าย”

“พี่น้อง ? ใคร ?” เขาถามสงสัย

“วันนี้ฉันเจอทักษาในห้องสมุด อีกคนก็ติชิลา น้องสาวของเขาไง” หล่อนส่ายหน้าระอาใจ “ทำไมพวกเขาจ้องเป็นศัตรูกับฉันนัก ? การเป็นเพื่อนของท่านลำบากจัง งงมาก”

สาวไทยหมุนกายเดินเข้าไปในเรือน เจ้าชายถามว่า “เธอจะไปไหน ? เราจะกินข้าวเที่ยงกันแล้วนะ”

“ขออาบน้ำปัดเป่าเรื่องซวยออกก่อน แล้วเจอกันที่ห้องอาหารค่ะ” หล่อนตอบ พลางโบกมือเป็นการลาแล้วเดินจากไป

“เธอเป็นคนแปลกดี” เจ้าหญิงบอกด้วยรอยยิ้ม

“พี่ก็แปลกใจที่ท่านพยนต์กับลูกๆมีท่าทีไม่เป็นมิตรกับสริตา ทั้งที่เธอเพิ่งมาถึงมฆวันเท่านั้น”

เจ้าชายอัคนีสะกิดใจต่อข้อสงสัยที่สริตาเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ เขาเชื่อว่ามันต้องมีสาเหตุบางอย่างซึ่งต้องค้นหาต่อไป

ช่วงบ่ายถึงเย็นเจ้าหญิงพิณทองร่วมกับเจ้าชายอัคนีในการเดินนำชมวังไวชยันต์อันสร้างความตื่นตาแก่สริตาอย่างมากในความกว้างขวางของเนื้อที่และอาคารใหญ่หลายหลัง ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาชนิดท่ามกลางภูเขาสูง บรรยากาศเย็นสบายมีลมพัดเอื่อยๆต่อเนื่องทำให้การเดินระยะทางไกลของสริตาไม่เหนื่อยมากนัก จนกระทั่งทั้งสามกลับมายังเรือนศักเรนทร์อีกครั้ง

“ตอนเย็นโชตกจะเลี้ยงข้าวที่บ้านของเขา เธอไปเตรียมตัวได้แล้ว พวกเราจะไปกันเลย” เจ้าชายอัคนีบอกไปทางสริตาซึ่งนั่งพักเหนื่อยอยู่บนเก้าอี้หวายหน้าระเบียง

“ได้เลย” สาวไทยตอบรับ แล้วเดินเข้าเรือนไป

เจ้าหญิงพิณทองยิ้มชื่นชม “เพื่อนของพี่ทำตัวสบายๆดี เป็นมิตรด้วย เข้าใจเลือกคบเพื่อนหญิงเหมือนกันนะ”

“พวกเราบังเอิญพบกันมากกว่า” เขาตอบ พลางหวนนึกถึงสาเหตุที่ต้องเจอกันในเมืองไทยระหว่างเขากับสริตา

“บังเอิญ ?”

“เรื่องมันยาว ขี้เกียจเล่าแล้ว เธอจะไปบ้านโชตกด้วยกันไหม ?”

เจ้าหญิงส่ายหน้า “หม่อมฉันต้องไปทำงานอีกหลายอย่าง ขอตัวเพคะ”

“น้องหญิงกลับจากปารีสหรือยัง ?” เขาถามถึงเจ้าหญิงภริดา น้องสาวของเขาซึ่งพักร่วมเรือนกับเจ้าหญิงพิณทอง

“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วส่งเมล์ว่าอยากอยู่ต่ออีกหน่อยเพราะยังไม่หายเศร้าใจเรื่องท่านลุง แต่พอตัดสายต่างประเทศก็ไม่ได้คุยกันอีก หม่อมฉันคาดว่าน้องภริดาคงเร่งกลับบ้านเพราะสงสัยเรื่องทางนี้”

“พี่คิดว่า จะส่งน้องหญิงไปเรียนเมืองไทยเร็วกว่ากำหนด”

“ทำไม ?”

“พี่ไม่อยากให้น้องหญิงยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพี่กับท่านพยนต์”

“เรื่องพระพินัยกรรมใช่ไหม ?”

“ใช่” เขามีสีหน้ากังวลชัด “ท่านพยนต์ต่อสู้เพื่อพระสนมกับน้องเอกทัศน์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม พี่ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”

“หม่อมฉันเชื่อว่า ท่านลุงไม่มีวันเปลี่ยนตำแหน่งรัชทายาทของพี่แน่นอน” เจ้าหญิงบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตามองให้กำลังใจ

“ขอบใจที่เชื่อใจพี่”

สองหนุ่มสาวนั่งคุยสารพัดเรื่องอีกสักพัก เจ้าหญิงพิณทองจึงลากลับไปเรือนพัก เจ้าชายอัคนีจึงพาสริตาไปบ้านของโชตกตามนัดหมายต่อไป

ณ บ้านพักของโชตกนั้นเจ้าชายอัคนีกับโชตกนั่งสนทนากันในห้องรับรองช่วงรอการจัดโต๊ะอาหารค่ำ ส่วนสริตาเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับไปสมทบกับสองหนุ่ม พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยยามเห็นหญิงร่างผอมสูงอายุประมาณ 50 ปี ซึ่งโชตกแนะนำว่าเป็นแม่บ้านประจำบ้านของเขาตั้งแต่รุ่นพ่อยังหนุ่มยืนรออยู่

“ฉันเกรงว่าคุณจะหลงทางกลับห้องรับรอง จึงรออยู่แถวนี้” นิชาเอ่ยรู้ใจ รอยยิ้มเย็น

สริตายิ้มตอบ “ขอบคุณมากค่ะ”

“ท่านโชตกสั่งให้พาคุณชมบ้านก่อนไปเจอกันที่โต๊ะอาหาร สนใจไหม ?”

“ชมบ้านรึ ?” หล่อนทำท่าใช้ความคิด แล้วพยักหน้ารับ “ก็ดีค่ะ”

นิชายิ้มเป็นนัย แล้วเดินนำไปยังห้องยาของหล่อน “เราจะไปที่ห้องยาประจำบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก่อน”

“ห้องยารึ ?” หล่อนทวนคำอย่างสยองใจ ยามหวนคิดถึงติชิลาสั่งลูกน้องจับหล่อนเพื่อไปห้องยาเช่นกัน

นิชาเห็นท่าทางขยาดกลัวของสาวไทย จึงถามสงสัยว่า “คุณดูกลัวมาก มีอะไรรึ ?”

“ท่านอัคนีพูดแซวฉันบ่อยว่า ติชิลาจะจับฉันไปทดลองยาของเธอ พอได้ยินชื่อห้องยา ก็รู้สึกกลัวๆเท่านั้น” หล่อนตอบตรง

“ติชิลาจับคุณรึ ?” ชื่อลูกสาวของมหาอำมาตย์พยนต์ทำให้สีหน้าของนิชาเคร่งขรึมขึ้น

“คุณคงไม่ใช้แขกของท่านโชตกทดลองยาใช่ไหม ?”

“ฉันไม่ทำแน่ หากคุณกลัว เราไปดูห้องอื่นก็ได้”

“ฉันเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศมฆวันซึ่งยังเน้นการรักษาด้วยสมุนไพรเป็นหลัก หากได้เห็นห้องยาของบ้านหลังนี้ก็ถือเป็นบุญตาแล้วค่ะ”

นิชายิ้มขรึม แล้วเดินตรงไปห้องยา พลางผลักประตูเปิดกว้าง “นี่เป็นห้องยาของบ้านหลังนี้”

สริตายืนมองเข้าไปในห้องซึ่งมีความลึกและกว้าง มันเต็มไปด้วยชั้นวางขวดยาสารพัดรูปร่าง กลิ่นแปลกๆลอยมาแตะจมูก กลางห้องมีหม้อต้มทองเหลืองใบใหญ่ตั้งไว้ มุมหนึ่งมีโต๊ะไม้ยาวซึ่งมีอุปกรณ์ปรุงยาสารพัดรูปร่างจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ นิชากล่าวแนะนำแต่ละชั้นวางยาซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาแตกต่างกัน แล้วพาไปที่โต๊ะไม้สีดำริมหน้าต่าง

“นี่เป็นโต๊ะทำงานด้านเอกสารของฉัน..........” นิชาชี้ไปที่ตู้เก็บแฟ้มซึ่งตั้งชิดโต๊ะของหล่อน พลางบอกว่า “..........ฉันบันทึกยาที่ปรุงไว้ทั้งหมดในเอกสาร โดยระบุชั้นวางยาแต่ละชนิดไว้เหมือนที่ทำกันในห้องสมุดเพื่อสะดวกกับคนอื่นที่ต้องหยิบยาตามคำสั่งของฉัน”

“บันทึกด้วยมือหรือ ?”

“ใช่”

“ถ้ามันมีมาก ก็น่าจะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเก็บข้อมูลสิคะ” หล่อนพูดเสนอ

นิชายิ้มเย็น “มันยังไม่มากขนาดนั้น ถ้าเพิ่มปริมาณขึ้น ก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากลิปิการ์แน่นอน”

“คุณรู้จักลิปิการ์ บรรณารักษ์ห้องสมุดในวังด้วยหรือ ?”

“เขาเคยเป็นศิษย์ของท่านนฤวรก่อนไปเรียนเมืองนอก และมาที่บ้านหลังนี้บ่อย”

สริตากวาดตามองไปทั่วห้องด้วยความตื่นตา นิชาหยิบไพ่สามใบจากบนโต๊ะ แล้วยื่นไปข้างหน้า สาวไทยมองฉงน

“คุณเชื่อการทำนายไหม ?” นิชาถาม

“ฉันเชื่อว่าเส้นทางชีวิตเขียนได้ด้วยมือของตัวเอง”

นิชายิ้ม “มันเป็นความคิดที่ถูกต้อง แต่บางส่วนของลิขิตนั้นเกิดจากเบื้องบน น้อยคนจึงรู้ความลับนี้ได้”

“ถ้ามันเป็นความลับ คนอย่างฉันก็ไม่ควรรู้” หล่อนพูดเถียง

“ฉันศึกษาการทำนายมานาน ลองเลือกสักใบสิ”

สริตานิ่งคิดชั่วครู่ แล้วยักไหล่ “เลือกก็ได้”

นิชาคว่ำไพ่สามใบลง พลางพูดว่า “ก่อนหยิบ ขอให้คิดถึงชื่อของคุณสามครั้ง”

“ได้เลย” สาวไทยมองไพ่ทั้งสามแล้วทำตามคำขอจากอีกฝ่ายครบถ้วนก่อนเลือกหยิบใบหนึ่ง

“คุณเลือกไพ่ผืนดิน” นิชารับไพ่จากมือของสริตา แล้วหลับตานิ่ง “ไพ่ใบนี้สัมผัสจากมือของคุณ จะบอกชะตาที่สวรรค์ลิขิตไว้”

สริตาอมยิ้ม พลางหันไปมองห้องยาของนิชามากกว่าจะสนใจคำทำนายที่แม่บ้านคนนี้จะบอกให้รับรู้

คิ้วเข้มของนิชาขมวดแน่น ยามมองไพ่ผืนดินในมือสลับกับใบหน้าของสริตา

“ไพ่ทั้งสามใบ คือ ไพ่ผืนดิน ไพ่แผ่นฟ้า และไพ่สายน้ำ เป็นสำรับแห่งคำทำนายของชาวเผ่าชุษณะ มันบอกลิขิตของผู้เลือกได้แม่นยำ...........” นิชาพูดอธิบาย พลางชี้ไพ่แต่ละใบให้สาวไทยรู้จักมัน “.............วิธีทำนายค่อนข้างซับซ้อน มันสืบทอดกันมาหลายรุ่นแล้ว”

“เผ่าชุษณะรึ ?” หล่อนได้ยินชื่อเผ่านี้เป็นครั้งที่สองในหนึ่งวันแล้ว “เผ่าที่ถูกทำลายล้างไปแล้วใช่ไหม ?”

“ทำไมคุณรู้เรื่องนี้ ?”

“คุณลิปิการ์เล่าให้ฟังตอนไปชมห้องสมุด คุณทักษาก็สนใจหนังสือเล่มที่เล่าเรื่องเผ่าชุษณะด้วย”

“ทักษารึ ?” นิชาเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง ดวงตาวาวโรจน์ “เขาสนใจมากแน่นอน”

“คุณเห็นอะไรในไพ่ของฉัน ?”

“คุณทำลายความมืดในแผ่นดิน !” นิชาบอกเน้นเสียง ดวงตาไม่ละจากไพ่ในมือ

“ฟังแล้วงง” หล่อนหัวเราะ

“คุณมอบความสุขแก่คนกลุ่มใหญ่ แล้วแบกความทุกข์กลับบ้าน มันเป็นประโยชน์แก่ชาวมฆวันเท่านั้น”

“ฉันเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ใช่นักบุญ” หล่อนบอกย้ำเสียง เมื่อคิดถึงความหมายในคำทำนาย

นิชาชี้ไพ่ผืนดิน พลางพูดเสียงเข้มว่า “การเป็นแสงสว่างให้กับแผ่นดินที่ไร้แสงมิใช่เรื่องง่ายๆ ลิขิตแห่งฟ้ายากหลบเลี่ยง มันจึงนำพาคุณมาที่มฆวันเพื่อแลกชีวิตกับแสงสว่าง”

“ถึงตายเชียวรึ ? ต้องสะเดาะเคราะห์ไหม ?” หล่อนบอกเย้าตอนท้าย ท่าทางไม่เชื่อถือนัก

นิชายิ้มเป็นนัย “ชีวิตจะอยู่หรือตาย ล้วนต้องอาศัยมือกับสิ่งนี้”

สริตาสะดุ้งวาบในใจ ยามเห็นแม่บ้านของโชตกชี้ที่ทรวงอกด้านซ้ายอันเป็นตำแหน่งของหัวใจ

“คุณมีสิ่งที่สวรรค์ประทานให้เฉพาะบุคคล เมื่อส่งคุณมาที่นี่ ย่อมมีภารกิจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมือและพลังวิเศษนั้น”

“พลัง............”

นิชายิ้มขรึม พลางวางไพ่สามใบลงบนโต๊ะ “คุณไม่เชื่อคำทำนายของฉัน ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่าลืมคิดถึงฉัน เมื่อทักษาติดตามคุณ”

“ทักษาตามฉัน ?” หล่อนทวนคำ สีหน้างง

“ชายคนนั้นมีลิขิตที่ติดตามเหมือนเงาที่ต้องสลัดให้ได้ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องอาหาร ไปเถอะ” นิชาพูดตัดบท แล้วเดินนำออกจากห้องยา

สริตามีสีหน้างงกับคำพูดช่วงท้ายที่พาดพิงถึงทักษา ชายหนุ่มซึ่งแสดงพลังจิตที่เหนือกว่าหล่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่นิชากลับบอกว่าทักษาเหมือนเงาของหล่อนที่ต้องสลัดทิ้งให้ได้

“คุณจะไม่อธิบายเพิ่มเติมหรือ ?” หล่อนถามเสียงรัว แววตาอยากรู้ “ทำไมทักษาจึง......”

“คุณไม่เชื่อหมอดูนี่นา”

“ฉัน..........”

นิชายิ้ม “บัดนี้ คนที่เฝ้ารอมาอยู่ใกล้กันแล้ว แสงสว่างแห่งความหวังของพวกชุษณะ!”

“ฉันฟังแล้วงงจัง”

“เมื่อถึงเวลาคุณจะรู้ว่า ตัวเองมีประโยชน์ในดินแดนนี้มากเพียงไหน คุณปอนด์”

สริตายืนอึ้ง เมื่อได้ยินคำเรียกชื่อเล่นของตัวเองทั้งที่หล่อนไม่เคยแนะตัวด้วยชื่อนี้กับแม่บ้านคนนี้มาก่อน

“คุณรู้ชื่อนี้ได้อย่างไร ?”

“ไพ่ผืนดินบอกฉัน” นิชาตอบย้ำเสียง

“ไพ่บอก............”

“หลายเรื่องยากจะอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้ เจ้าชายกับท่านโชตกคงรอคุณที่ห้องอาหารแล้ว ไปกันเถอะ”

“แต่ฉัน............”

“ขอให้ระวังทักษากับติชิลา เลี่ยงพวกเขาให้มากที่สุด จึงรักษาชีวิตไว้เพื่ออนาคตของชาวมฆวัน”

“ทำไมฉันต้องรักษาชีวิตเพื่อชาวมฆวัน แทนที่จะทำเพื่อตัวเอง ?”

“ผลประโยชน์ร่วมกัน”

นิชาเปิดประตูห้องอาหาร พลางผายมือให้สาวไทยเดินเข้าไปข้างในซึ่งเจ้าชายอัคนีกับโชตกนั่งรออยู่แล้ว สริตาจำใจเก็บความสงสัยไว้แล้วก้าวเท้าเข้าไปโดยแม่บ้านปิดประตูตามหลังทันที

ทักษายืนมองบ้านพักของโชตกซึ่งเจ้าชายอัคนีกับสริตายังอยู่ข้างใน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด อึดใจต่อมาหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมาหาชายหนุ่มพร้อมกับซองเอกสารแล้วส่งให้เขา จากนั้นหล่อนวิ่งหายลับไปในความมืด เขามองซองใบนั้นด้วยความอยากรู้ข้อมูลที่รับแจ้งจากสายลับในบ้านโชตก พลางหันขวับไปมองด้านหลังซึ่งมีหญิงสูงวัยมองอยู่ เขาซ่อนซองไว้ด้านหลังทันที

“เธอยืนนานแล้ว ไม่เมื่อยบ้างหรือ ?”

“นิชา !” ทักษามองด้วยแววตาเยือกเย็น

แม่บ้านของโชตกเหยียดยิ้ม พลางเดินเข้าใกล้ชายหนุ่ม “เธอเก่งสมกับความไว้วางใจของท่านพยนต์ รู้ว่าฉันยืนอยู่ข้างหลังแค่พริบตาเดียวเท่านั้น”

“หากคิดจะอยู่ใกล้บ้านที่ท่านนิชาดูแล ก็ต้องระวังตัวหน่อย”

นิชายิ้มเครียด “ฉันถือเป็นคำชื่นชมนะ”

“ต้องการพูดอะไร ?”

“คงคิดว่าท่านนฤวรตายไปแล้ว บ้านหลังนี้น่าจะอ่อนแอลงพอที่จะเข้านอกออกในง่ายนักหรือ ?”

“ผมคิดเช่นนั้น” เขาตอบตรง ท่าทางมาดมั่น

“ถ้ามันง่ายนัก เธอคงเข้าไปเอาเอกสารในซองนั้นด้วยตัวเองแล้ว”

ทักษาไม่ชอบรอยยิ้มเท่าทันของอีกฝ่ายนัก นิชาเอ่ยต่อไปว่า “ชะตาลิขิตให้ท่านพยนต์ต้องมีคู่ต่อสู้ที่ไม่คาดฝัน แต่ไม่เกินกว่าคำทำนายของพวกชุษณะ กรรมสนองจริงๆ”

“พูดอะไร ?”

“ถ้าเธออ่านเรื่องเผ่าชุษณะแล้ว คงรู้ดีว่าหนึ่งในความสามารถของ พวกเณรี คือ นักทำนาย นอกเหนือจากการรักษาโรคแล้ว”

“ผมลืมไปว่า อดีตของท่านนิชาคือ เณรีรุ่นสุดท้าย”

“ฉันให้สัญญากับท่านนฤวรว่าจะดูแลบ้านและทายาทของท่านเต็มกำลังความสามารถ”

“พ่อเตือนมิให้ประมาทท่านนิชาเช่นกัน ผมไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังมาก่อน”

“หวังว่าไม่ต้องเจอกับเธออีก” นิชาเอ่ย พลางก้าวเท้าจากไป

“พลังของพวกเณรีล้ำลึกจริงๆ ฉันแทบไม่สัมผัสการมาของเธอเลย ถ้านิชาคิดสังหาร คงรอดยากทีเดียว” ทักษาคิดสยองใจ

ชายหนุ่มตัดสินใจเดินทางกลับบ้านพักของมหาอำมาตย์พยนต์เพื่อนำข้อมูลลับส่งมอบให้บิดาตามคำสั่ง

สาวรับใช้เดินย่องเท้ากลับเข้าเรือนนอนอันเงียบสงบหลังจากส่งมอบซองเอกสารแก่ทักษาแล้ว แม่บ้านนิชาก้าวออกจากเงามืดของร่มไม้ ดวงตากร้าวดุ

“ออกไปที่ไหน สินี”

“ท่านนิชา” สาวรับใช้สะดุ้งวาบในใจ ใบหน้าซีด

“นี่เป็นเวลาค่ำที่ห้ามออกนอกบ้าน เธอละเมิดกฎใช่ไหม ?”

“หนู......เอ่อ..........ไป..........”

“เธอส่งของให้ทักษาใช่ไหม ?”

“หนู...........” สินีมีสีหน้าตกใจ พลางทรุดเข่าลงทันที

“ฉันเห็นสิ่งที่เธอทำเมื่อกี้นี้ แต่อยากฟังเหตุผลของเธอก่อน” นิชายืนกอดอกมองด้วยท่าทางใจเย็น

“หนู.........เอ่อ.......เขาจับพ่อแม่กับน้องชายของหนูไว้แลกกับ.......เอ่อ......ช่วยมองหาสิ่งผิดปกติในบ้านหลังจากท่านโชตกกลับมาแล้วรายงานให้ทราบทุกระยะ จนกระทั่ง..........”

“เขาให้เธอทำอะไรต่อไป ?”

สินีบอกเล่าวันที่เห็นโชตกลืมเก็บกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะแล้วเดินกลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้งด้วยท่าทีร้อนรน เขาเก็บมันใส่ลิ้นชักโต๊ะก่อนไปต้อนรับเจ้าชายอัคนีกับเพื่อนคนไทย ทักษาสั่งให้ขโมยกระดาษแผ่นนั้นไปให้เขาแลกกับอิสรภาพของครอบครัว

“หนูจำเป็นต้องทำเพราะไม่อยากให้พวกเขาตาย ยกโทษให้หนูด้วย”

“เธอรู้ไหมว่ามันเป็นเอกสารอะไร ?”

“หนูอ่านหนังสือไม่ออก”

นิชาลืมเรื่องสินีอ่านหนังสือไม่ออก ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย “เราอยู่ร่วมบ้านด้วยความไว้วางใจกัน ฉันไม่อาจยอมรับสิ่งที่เธอทำได้ เธอเก็บเสื้อผ้าแล้วกลับไปอยู่บ้านเถอะ”

“หนู...........” สินีสะอื้นไห้ ยามได้ยินคำสั่งไล่ออก

“รุ่งเช้าฉันจะให้คนนำเงินเดือนมามอบให้เธอพร้อมจัดรถส่งกลับบ้านด้วย”

นิชาหมุนกายเดินกลับห้องพักโดยไม่สนใจเสียงร้องไห้ของสาวรับใช้อีก เพื่อนคนรับใช้หลายคนออกจากห้องมาดูด้วยความสงสัย

ค่ำคืนเดียวกันในย่านชานเมืองแห่งหนึ่งของประเทศไทยรถตู้สีเข้มแล่นไปตามทางหลวงมุ่งสู่อยุธยาด้วยความเร็ว คนขับขมวดคิ้วแน่นยามเห็นด่านตำรวจดักอยู่เบื้องหน้า

“จะให้จอดไหม ?” คนขับหันไปถามชายที่นั่งเคียงข้าง

ตำรวจหลายคนยืนรอพร้อมอาวุธครบมืออยู่ที่ด่าน ชายชุดดำปรายตามองไปทางเบาะหลังซึ่งหมอจารุมนนั่งขดตัวอยู่ด้านล่างอย่างชั่งใจ แล้วใช้มือถือติดต่อบางคนทันที

“ด่านอยู่ข้างหน้าครับ”

คนขับชะลอรถช้าลงเพื่อรอรับคำสั่ง ชายในเบาะหลังเตรียมอาวุธในมือทันที

“เปลี่ยนใช้เส้นทางรอง !” ชายชุดดำซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มออกคำสั่ง

คนขับเตรียมเลี้ยวรถเพื่อไปอีกเส้นทางหนึ่ง พลันรถตำรวจสามคันแล่นมาจอดปิดท้ายอย่างรวดเร็ว คนในรถมีท่าทางตึงเครียด

“ทุกคนลงจากรถเดี๋ยวนี้ !” เสียงตำรวจตะโกนผ่านเครื่องกระจายเสียง

ชายชุดดำตัดสินใจเปิดประตูรถพร้อมกับโบกมือเปล่า พลางบอกว่า “ผมขอคุยกับหัวหน้าของพวกคุณก่อน”

“ปลดอาวุธแล้วเดินออกมา !

ชายชุดดำดึงปืนวางบนเบาะ แล้วก้าวออกจากรถไปพบตำรวจคนหนึ่งซึ่งยืนรอกลางถนนโดยมีสปอร์ตไลท์ส่องนำทางอยู่

“เรามาทำงานลับ ช่วยเปิดทางด้วย” ชายชุดดำบอกขึงขัง

“ผมรับคำสั่งจากผู้ใหญ่ว่าคุณซ่อนคนไว้ในรถตู้คันนี้ หากให้ตรวจค้นโดยดี ถ้าไม่พบคน ก็ไปได้ทันทีครับ” ตำรวจตอบ

“ผมเกรงว่าจะไม่..........”

“ผู้ใหญ่สองฝ่ายไม่ได้ประสานงานมาล่วงหน้า ตำรวจต้องทำตามหน้าที่เมื่อเกิดข้อสงสัย กรุณาให้ความร่วมมือด้วยครับ”

“ผมต้องคุยกับเจ้านายก่อน” ชายชุดดำพูดแล้วเดินห่างไปเพื่อใช้มือถือ ครู่ต่อมาจึงบอกว่า “เชิญค้นได้ แล้วเตรียมรับความเดือดร้อนทีหลังด้วย”

ตำรวจคนนั้นยิ้มเย็น แล้วสั่งลูกน้องเข้าค้นรถตู้ทันที ชายชุดดำออกคำสั่งให้ทุกคนออกจากรถ ตำรวจพาหมอจารุมนที่ถูกมัดไว้ออกจากรถตู้แล้วพาไปยังรถตำรวจ

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ” ตำรวจคนเดิมกล่าว แล้วเดินจากไป

ชายชุดดำใช้มือถือรายงานให้เจ้านายทราบทันที สีหน้าไม่สบายใจ “ตำรวจไม่พูดสักคำ ไม่มีข้อหาใดๆด้วยครับ”

“กลับฐานได้แล้ว” เสียงจากอีกฝ่ายดังออกมา

รถตำรวจแล่นเข้าไปจอดเทียบรถตู้คันหนึ่งในสวนผลไม้อันเงียบสงัด หมอจารุมนเดินตรงไปที่รถคันนั้นเพียงคนเดียว ประตูรถเปิดกว้างผู้นำวรุตม์นั่งรออยู่ แววตาห่วงใย เมื่อหล่อนเข้าไปนั่งแล้ว รถตู้เคลื่อนออกจากสถานที่นั้นทันที

“พวกเขาทำร้ายคุณไหม ?”

หมอจารุมนส่ายหน้า “ถ้าไปถึงมือของนายพลชวนิล ฉันคงไม่รอดสมบูรณ์หรอก”

“คุณรู้ว่าเขามีส่วนเอี่ยวกับเรื่องลักพาตัวหรือ ?”

“ฉันได้ยินพวกเขาคุยกันและท่าทางของพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่โจรทั่วไป.......” หมอจารุมนพูดวิเคราะห์ ท่าทางผ่อนคลาย “..........น้อยคนที่อยากลักพาจิตแพทย์จนๆอย่างฉัน ยกเว้นพันธวัชกับนายพลชวนิล คู่แค้นของคุณ”

“ผมทำให้คุณเดือดร้อน ขอโทษจริงๆ” สีหน้าของชายหนุ่มบอกความสำนึกเสียใจ

หมอจารุมนยิ้มน้อยๆ “ชะตาลิขิตไว้แล้ว อย่าคิดมากเลย คุณช่วยฉันให้รอดมาได้ ก็ต้องขอบคุณอย่างมากแล้ว”

“ผมควรทำอย่างยิ่ง..........” ผู้นำวรุตม์มีสีหน้ากังวล “..........พวกเขาไม่ยอมเลิกยุ่งกับคุณแน่ ตราบใดที่ยังไม่ได้หลักฐานจากปอนด์”

“หาวิธีปกป้องฉันสิ” หล่อนเอ่ยเย้า แล้วอมยิ้ม

“ผมทำแน่” เขาบอกหนักแน่น “ตอนนี้ไปอยู่เซฟเฮ้าส์ที่มีตำรวจเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมงก่อน”

“ฉันอยากทำงานตามปกติค่ะ”

“ไม่มีปัญหา”

รถตู้ของผู้นำวรุตม์แล่นเข้ากรุงเทพฯและตรงไปยังบ้านปลอดภัยซึ่งเขาจัดไว้เพื่อดูแลหมอจารุมนที่ฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการจับหล่อนไปข่มขู่ลูกสาวให้มอบภาพหลักฐานร่วมกันก่อกบฏล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้งของพันธวัชและนายพลชวนิล ครั้งนี้ตำรวจทุ่มเทสรรพกำลังในการแย่งตัวประกันกลับคืนมาได้ แต่ไม่ได้รับรองว่าจะทำสำเร็จในคราวต่อไป ผู้นำวรุตม์จำต้องคิดหาวิธีป้องกันหญิงคนรักให้พ้นภัยร้ายโดยเร็วที่สุด

***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์