ตอนเช้าหลังรับประทานอาหารในห้องแล้วนางกำนัลแจ้งว่ารัชทายาทแห่งประเทศมฆวันต้องพบข้าหลวงที่วังใหญ่ จึงให้หล่อนหาความสำราญในเรือนศักเรนทร์ไปก่อนและจะกลับมาร่วมโต๊ะอาหารเที่ยง หล่อนเดินชมเรือนรัชทายาทด้วยความสนใจจนกระทั่งหยุดยืนอยู่หน้าระเบียงซึ่งมองเห็นสวนตกแต่งด้วยต้นไม้ ดอกไม้ หลากสีละลานตา ผู้ชายคนหนึ่งเดินหอบหนังสือหลายเล่มสูงบังสายตาของเขาตรงมาที่ระเบียงซึ่งหล่อนยืนอยู่ เท้าสะดุดกับบันไดขั้นแรก หนังสือหล่นกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น เขานั่งแผ่กับพื้น พลางควานหาแว่นตาซึ่งกระเด็นไปตกใกล้เท้าของสริตา หล่อนอมยิ้มกับท่าทางของเขา แล้วหยิบแว่นตาไปส่งให้ชายคนนั้น
“แว่นตาของคุณ !” หล่อนพูดไทยด้วยความเคยชิน
ชายหนุ่มเงยหน้ามองสาวแปลกหน้าซึ่งกำลังหยิบหนังสือมาตั้งรวมกองอีกครั้ง พลางตอบด้วยสำเนียงไทยแปร่งๆว่า “ขอบคุณครับ”
“คุณพูดไทยได้หรือ ?” น้ำเสียงของสริตาบอกความตื่นเต้น
ชายคนนั้นยิ้มกว้าง พลางกระชับแว่นตาให้แน่นขึ้นแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“ผม......เอ่อ......แม่ของผมเป็นคนไทย ตอนเด็กไปเยี่ยมญาติไทยบ่อยครับ”
“คุณพูดได้ดีนะ”
“ไม่ค่อยได้ใช้แล้วหลังจากแม่ตายครับ”
สริตายิ้ม “ฉันดีใจที่เจอคนพูดไทยได้ มันไม่อึดอัดนัก”
“คุณเป็นแขกขององค์รัชทายาทที่เขาพูดกันใช่ไหม ?”
“ใช่” หล่อนตอบ พลางมองรายชื่อหนังสือซึ่งเป็นภาษาอังกฤษและภาษาที่หล่อนไม่เคยเห็น “เล่มนี้ไม่ใช่อังกฤษ เป็นภาษาอะไร ?”
“ภาษามฆวันซึ่งดัดแปลงจากอักษรอินเดียครับ” เขาพลิกเปิดหนังสือเล่มนั้นด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “ผมแปลจากหนังสือต่างชาติ เป็นปรัชญาด้านการบริหารองค์กร ท่านอัคนีเป็นผู้สนับสนุนให้แปล เมื่อพิมพ์เป็นเล่มแล้วจึงนำมาให้ท่านอ่านก่อน”
“คุณเก่งหลายภาษางั้นสิ” หล่อนมองทึ่งใจ
ชายคนนั้นยิ้มเจื่อน พลางใช้มือปัดเส้นผมให้หายกระเซิงจากท่าล้มหงายหลังเมื่อกี้นี้
“ผมสนใจเรื่องภาษาเป็นพิเศษ ท่านอัคนีจึงให้ดูแลห้องสมุดหลวงซึ่งท่านริเริ่มจัดตั้งเพื่อเสริมความรู้ให้ผู้ที่อยู่ในวังไวชยันต์ได้ค้นคว้าหรือใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ ท่านเชื่อว่าหนังสือเปิดปัญญาและสายตาของคนได้ครับ”
“ฉันก็เชื่ออย่างนั้น” หล่อนบอกด้วยรอยยิ้ม “แต่ท่านอัคนีไม่อยู่ในเรือน จะกลับมาตอนเที่ยง คุณคงต้องวางหนังสือไว้ในห้องรับรองก่อน”
“ไม่มีปัญหาครับ”
สริตาเดินตามผู้ชายสวมแว่นตาพร้อมหนังสือหลายเล่มเข้าไปในห้องรับรอง โดยเขาอธิบายว่า “ผมนำหนังสือใหม่ที่ห้องสมุดเพิ่งซื้อได้มาส่งให้ท่านอัคนีอ่านเสมอ ท่านให้วางในห้องนี้ถ้าไม่พบท่านด้วยตัวเอง คนที่อ่านหนังสือมากที่สุด คือ ท่านอัคนีกับท่านโชตก”
“พวกเขาใช้บริการจากห้องสมุดของคุณจนประทับใจงั้นสิ”
คำหยอกเย้าของสาวไทยสร้างรอยยิ้มเขินแก่หนุ่มเบื้องหน้า เขาขยับแว่นตาเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “ผมต้องกลับไปทำงานที่ห้องสมุดก่อน ยินดีที่พบคุณ...เอ่อ..........คุณสริตา”
“คุณรู้ชื่อของฉันได้อย่างไร ?” หล่อนมองฉงน
“ทุกคนในวังพูดเรื่องของคุณที่ถูกขังในคุกวังแล้วออกมาได้ ผมต้องรู้ชื่อแน่”
“ชื่อของคุณล่ะ ?”
“ผม.....เอ่อ.....ผมชื่อ ลิปิการ์ ครับ”
“ลิปิการ์ ฟังแปลกหูดี หมายความว่าอะไร ?” ดวงตาของสาวไทยบอกความสนใจ
ชายหนุ่มยิ้มเขิน “ลิปิการ์ แปลว่า นักเขียนหรือนักสร้างอักษร มันฟังพิกลและไม่สมกับตัวผมเลยใช่ไหม ?”
สริตายิ้มกว้าง ท่าทีเป็นมิตร “คนไทยมักล้อพวกที่สวมแว่นตาหนาว่าเป็นพวกคงแก่เรียน ความรู้สูง คุณก็เป็นพวกเดียวกัน ย่อมเป็นนักเขียนได้อยู่แล้ว”
“แต่ผมไม่..........”
“คุณแปลหนังสือให้ชาวมฆวันอ่านเพิ่มความรู้ ถือเป็นผู้สร้างอักษรเหมือนกัน ส่วนหนังสือได้ขายนอกวังไหม ?” หล่อนมองไปยังหนังสือเล่มของลิปิการ์
“ขายสิครับ” เขายิ้มโอ่เล็กน้อย “มันเป็นเล่มแรกของผม แต่ไม่รู้ว่าขายดีไหม ?”
“แค่ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ของมันหรอก” หล่อนพูดให้กำลังใจ พลางนึกบางอย่างได้ “ฉันอยากไปดูห้องสมุดของคุณ จะได้ไหม ?”
“ได้สิครับ” เขาแสดงท่าทางยินดีชัดเจน “แล้วต้องขออนุญาตจากท่านอัคนีก่อนไหม ?”
“ไม่ต้องหรอก ท่านอนุญาตให้เดินชมวังได้”
ลิปิการ์ยิ้ม “ผมจะนำทางไปห้องสมุดและพาส่งกลับเรือนศักเรนทร์ด้วยครับ”
“ดีเลย”
สริตาเดินติดตามชายหนุ่มออกจากเรือนพักของเจ้าชายอัคนีเพื่อไปยังห้องสมุด ลิปิการ์บอกอย่างเขินๆว่า “คุณเรียกผม ลิม ก็ได้ สบายปากมากกว่าครับ”
“ชื่อเล่นรึ ?”
“ผมตั้งให้คุ้นกับปากของคนที่มิใช่ชาวมฆวัน แค่คำย่อจากชื่อจริงเท่านั้น”
“ลิม สบายปากดีเหมือนกัน ใช้ได้ทั้งไทยและฝรั่งเลย แต่...........” หล่อนหรี่ตาเย้า แล้วหัวเราะ “........ถ้าเปลี่ยนเสียง ล เป็น ร ของไทย คุณต้องตกขอบแน่ เพราะริมแปลว่าใกล้ขอบทางแล้ว”
ลิปิการ์หัวเราะตอบ “ผมไม่ถือสาหรอก เอ.....คนไทยเรียกผู้ดูแลห้องสมุดว่า บรรณรักษ์ ใช่ไหม ?”
“คุณออกเสียงไทยได้ชัดมาก นับถือค่ะ” หล่อนตอบล้อในที
ทั้งสองยืนมองตึกอิฐสีแดงซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ แลดูร่มรื่นตายิ่ง กลิ่นดินลอยมาแตะจมูกของสริตา หล่อนหลับตาซึมซับบรรยากาศกับลมเย็นด้วยความสบายใจยิ่ง
“ห้องสมุดแห่งนี้น่าใช้บริการจัง ตัวตึกสีแดงเด่นเชียว”
บรรณารักษ์หนุ่มยิ้มภูมิใจ “มันเป็นตึกเก่าแก่ อิฐเผาเนื้อสีแดงด้วยช่างฝีมือโบราณ ในอดีตใช้เป็นห้องประชุมปรึกษาราชการระหว่างพระราชากับเสนาบดีก่อนออกว่าราชการ เมื่อมีการสร้างอาคารใหม่ มันจึงหมดประโยชน์ ท่านอัคนีขอพระราชทานจากพระบิดาทำเป็นห้องสมุดในวังเพื่อให้ความรู้แก่ข้าหลวงที่สนใจและเป็นแหล่งหาหนังสือดีให้เชื้อพระวงศ์ด้วย”
“คุณเป็นบรรณารักษ์คนที่เท่าไร ?”
“คนที่สอง !”
“ห้องสมุดตั้งมานานเท่าไร ?”
ลิปิการ์เดินนำเข้าไปในตึกอิฐสีแดงซึ่งเงียบสงบ สริตากวาดตามองไปยังโต๊ะเก้าอี้สำหรับใช้อ่านหนังสือซึ่งยังว่างเปล่า
“ยังไม่ครบห้าปีเลย”
“ห้าปีมีบรรณารักษ์สองคนแล้ว” หล่อนอุทานออกมา
“คนแรกเป็นปู่ของผมเอง ตอนที่เป็นก็มีอายุเก้าสิบปีแล้ว”
“ทำไมหาหนุ่มกว่านั้นไม่ได้หรือ ?” หล่อนเดินดูหนังสือตามชั้นอย่างสนใจ
ลิปิการ์ส่ายหน้า แววตาเศร้า “สมัยแรกนั้นคนในวังไม่สนใจการอ่าน ความรู้ก็ไม่สูงพอ พ่อของผมก็เป็นเสนาบดี ไม่มีเวลาทำงานนี้ ปู่รักหนังสือเป็นทุนเดิม จึงอาสาเริ่มต้นห้องสมุดโดยท่านอัคนีให้ทุนจัดการเต็มที่ บางครั้งยังมาช่วยดูแลที่นี่ด้วยครับ”
“ท่านอัคนีรักหนังสือมากสินะ” หล่อนเริ่มเห็นอีกมุมหนึ่งของเจ้าชายแห่งมฆวัน
“ผมต้องเอาหนังสือใหม่ไปให้ท่านเป็นคนแรก ก่อนเปิดให้คนอื่นยืม มันบอกได้ชัดว่าท่านรักการอ่านมากเพียงใด” เขาบอกด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“ใครเลือกหนังสือเข้าห้องสมุด ?”
“ส่วนใหญ่ผมคัดเลือกเอง บางครั้งท่านอัคนีก็เจาะจงไว้”
“ส่วนใหญ่เป็นหนังสืออังกฤษ แสดงว่าคนมฆวันอ่านอังกฤษเก่งมากสิ”
“การศึกษาพื้นฐานของประเทศนี้สอนอังกฤษเป็นหลัก ถ้าผ่านโรงเรียน ทุกคนจะพูดได้ดี แต่ส่วนใหญ่คนที่นี่ไม่นิยมเรียนกันนัก สี่ห้าปีที่ผ่านมาองค์ชเยนทราเร่งรัดให้คนมีการศึกษาเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาชาติ ตัวเลขคนอ่านออกเขียนได้จึงกระเตื้องขึ้น”
สริตาผายมือไปยังโต๊ะเก้าอี้ว่าง พลางบอกว่า “คนในวังไม่สนใจอ่านหนังสือมากนักเพราะความรู้ไม่ดีงั้นสิ”
“ข้าหลวงส่วนใหญ่มาจากแนวคิดเก่า ลูกหลานไม่ต้องเรียนสูง คล้ายคลึงกับแนวคิดของชาวบ้านทั่วไป คือ ผู้หญิงไม่ถึงยี่สิบปีก็แต่งงานเลี้ยงลูก ผู้ชายก็ทำไร่ทำนา การอ่านหนังสือจึงดูไม่มีค่าไป ห้องสมุดของผมยังมีคนใช้บริการน้อยไป”
“เมืองไทยก็ไม่ต่างจากที่นี่ คนไทยยังไม่รักการอ่านเท่าไรนัก” หล่อนคิดถึงเมืองไทยจับใจ แววตาหมองเศร้า “คุณมีกิจกรรมกระตุ้นความสนใจบ้างไหม ?”
“ผมสอนหนังสือให้เด็กในวังอาทิตย์ละสามวัน เน้นอ่านออกเขียนได้ทั้งอังกฤษและภาษาพื้นเมืองของมฆวันครับ”
“น่าสนใจดี ฉันอาจใช้บริการพัฒนาอังกฤษเพราะไม่ค่อยกระดิกหูเลย” หล่อนหัวเราะ
“ผมจะพาไปดูห้องหนังสือหายากหรือโบราณของเราครับ”
สริตาเดินตามบรรณารักษ์หนุ่มไปยังห้องซึ่งมีประตูไม้แกะสลักเป็นเทวรูปหน้าตาประหลาดเปิดกว้างอยู่ แล้วมีประตูกระจกอีกบานปิดอยู่ลิปิการ์ผลักมันเข้าไปแล้วกวักมือเรียกสาวไทย สริตาเห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนทั้งสอง หล่อนสะดุ้งวาบในใจ
“คุณทักษา !” ลิปิการ์อุทานออกมา สีหน้าตกใจ “ผมไม่ทันเห็นว่าคุณนั่งอ่านหนังสืออยู่ ขออภัยด้วยครับ”
ทักษาเบนสายตาไปมองสริตาซึ่งก้าวเท้าไปอยู่ข้างหลังของบรรณารักษ์หนุ่มทันทีเมื่อเห็นลูกชายของมหาอำมาตย์พยนต์ สีหน้าของหล่อนบอกความหวั่นกลัว ริมฝีปากของเขาแย้มเล็กน้อย
“สวัสดี คุณสริตา” ทักษาเอ่ยทักทายเป็นอังกฤษ
ท่าทีไม่คุกคามของทักษาทำให้สริตาผ่อนคลายความกลัวลงบ้าง หล่อนยิ้มนิดหนึ่ง
“คุณพาเพื่อนของท่านอัคนีชมห้องสมุดรึ ?” ทักษามองไปทางลิปิการ์
“ใช่ครับ” บรรณารักษ์หนุ่มตอบ ท่าทีสำรวม
“ห้องนี้สะสมหนังสือหรือคัมภีร์เก่าแก่ของประเทศนี้ น่าสนใจมาก” ทักษาพูดเชิงแนะนำ แล้วลุกขึ้นยืน พลางชูหนังสือเก่าในมือขึ้นสูง “โดยเฉพาะเล่มนี้ลึกลับและพูดถึงสิ่งต้องห้ามและการทำลายล้างอดีต แต่คาดว่ายังไม่หมดสิ้น ตำนานชนเผ่าแห่งหุบเขานิลกาฬ !”
ทักษาส่งหนังสือเล่มนั้นให้บรรณารักษ์หนุ่ม พลางบอกด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเธอสนใจอ่านเล่มนี้ คุณต้องเป็นผู้ช่วยแปลแล้วนะ”
“ผม............”
ทักษามองสบนัยน์ตาของสาวไทย พลางเอ่ยว่า “แล้วพบกันใหม่ครับ”
“ไม่พบกันจะดีกว่า” หล่อนตอบสวนทันที
ทักษาหัวเราะ พลางก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องนั้น สาวไทยเห็นลิปิการ์นั่งบนเก้าอี้ แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“ไม่สบายหรือ ?” หล่อนถามสงสัยกับท่าทางของชายหนุ่ม
“วันนี้เจอความไม่ปกติของคุณทักษา ผมอยากเป็นลม”
สริตายิ้มขำ “คุณกลัวเขามากจัง ดุนักรึ ?”
“ถ้าเขาไม่ชอบใจคนใด มีสิทธิ์หายตัวไปโดยไม่มีร่องรอยและไม่ต้องตามหาด้วย”
“ทำไม ?”
“เขาเป็นลูกของท่านมหาอำมาตย์ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในวัง ทุกชีวิตอยู่ในความดูแลของเขา คุณทักษาจึงมีอำนาจเช่นเดียวกับพ่อ หลายคนหายไปแล้ว แค่เขาตวาดไล่เท่านั้น”
“ฉันคิดว่าพระราชาต้องยิ่งใหญ่ที่สุดในวัง ทำไมจึง.............”
“ตามระบอบแล้วพระราชาต้องใหญ่ที่สุด แต่ทางปฏิบัติผู้ดูแลความเป็นอยู่ทั้งหมด คือ มหาอำมาตย์พยนต์ เท่านั้น” ลิปิการ์พูดอธิบาย ดวงตามองหนังสือที่ทักษาส่งให้เขา
“เขาดูแลพระราชาด้วยรึ ?”
“ตามระเบียบก็ใช่”
“ถ้าพระราชาต้องการเปลี่ยนแปลงล่ะ ?”
ลิปิการ์ยิ้ม “พระองค์ทำได้อยู่แล้ว แต่มักผ่านการปรึกษาหารือกันก่อน จึงไม่ค่อยมีความขัดแย้งต่อกัน”
“ถ้าขัดแย้งกับมหาอำมาตย์ล่ะ ?” ดวงตาของสาวไทยบอกความอยากรู้
“ผมยังไม่เคยเจอ คงตอบไม่ได้ แต่มีระเบียบปฏิบัติกันอยู่แล้ว”
“ระเบียบอะไร ?”
ลิปิการ์ลดเสียงลง ยามตอบว่า “พระราชาต้องใหญ่ที่สุดเสมอ”
“ถ้าอยู่ในระบอบนี้พระราชาต้องเป็นเช่นนั้น จะให้พวกเขาอยู่เหนือพระองค์ได้อย่างไร” หล่อนพูด พลางชี้ไปที่หนังสือซึ่งทักษาสนใจพิเศษและแนะนำแก่หล่อนด้วย “มันเป็นหนังสือประเภทไหน ?”
“อาลักษ์ของวังจะบันทึกเรื่องราวของชาวมฆวันเก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์ นี่เป็นเล่มที่คุณทักษาชอบอ่านทุกครั้งที่มาห้องสมุด มันบอกเล่าเรื่องชนเผ่าต่างๆของเราซึ่งมีความเป็นมาและความเชื่อแตกต่างกัน บางเผ่าก็สาบสูญไปแล้วตามธรรมชาติ บางเผ่าก็ถูกกวาดล้างโดยพระราชายุคต่างๆด้วยหลายสาเหตุ”
“ทำไมต้องกวาดล้างทั้งที่พวกเขาคือพลเมืองของมฆวัน ?”
สาวไทยนั่งลงแล้วพลิกดูหนังสือเล่มดังกล่าวด้วยแววตาสนใจ ขณะที่ลิปิการ์มีสีหน้าเศร้า ปากเล่าว่า “กฎเหล็กของเราเกี่ยวกับความเชื่อโบราณเรื่องผีสางและอำนาจลึกลับเป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าใครแอบอ้างว่าเป็นผี มีอิทธิฤทธิ์ ทางการจะลงโทษถึงตาย มันเป็นคำสั่งสืบทอดกันมาตั้งแต่พระราชาโบราณแล้ว พระเจ้าชเยนทราทรงยึดมั่นเข้มงวด แต่ด้วยจุดประสงค์แตกต่างกัน คือ พระองค์หวังจะให้ประชาชนหลุดพ้นจากความงมงายและเชื่อในวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลมากขึ้น ยุคของพระองค์จึงเน้นการอบรมแนวคิดก่อน ถ้าไม่เชื่อฟัง จึงลงโทษรุนแรงตามกฎ มีเพียงครั้งเดียวที่คาใจชาวบ้านว่าพระเมตตาอยู่ที่ใด ?”
“พระองค์ใช้กฎเหล็กทำลายกลุ่มผู้เชื่องั้นรึ ?”
“ฉลาดจัง” เขาเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม พลางพยักหน้ายืนยัน “เมื่อหลายสิบปีก่อนมีคำสั่งจากวังไวชยันต์ให้ทหารวังฆ่าและเผาชนเผ่าชุษณะในหุบเขานิลกาฬให้สิ้นซาก แล้วยังมีการตามล่าพวกเขาอีกพักใหญ่”
“ฆ่าและเผารึ ?” หล่อนนึกภาพชวนสยองประกอบไปด้วย
“ตอนที่เกิดเรื่องนี้ผมเรียนอยู่ต่างประเทศ พ่อไม่ยอมเล่ารายละเอียดใดๆ ปู่ก็มุ่งมั่นกับโครงการห้องสมุดอย่างเดียว ผมจึงทราบข่าวเล็กน้อยเท่านั้น”
“เมื่อกลับมาอยู่ห้องสมุดคุณเคยหาข้อมูลเหล่านี้ไหม ?”
ลิปิการ์นิ่งคิดเล็กน้อย พลางตอบเสียงเบาว่า “อาลักษณ์บันทึกเหตุการณ์ในคืนสยองนั้นไว้ แต่........เอ่อ..........มันถูกเผาไปแล้ว”
“ใครเผา ? พระเจ้าชเยนทรารึ ?”
บรรณารักษ์หนุ่มส่ายหน้า ประกายตาเจิดจ้าขึ้น “ผมศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศมานาน จึงสังเกตเห็นข้อดีของพระราชาทุกพระองค์ที่ปกครองแดนมฆวัน คือ ทุกพระองค์จะให้อิสระและต้องการให้อาลักษณ์บันทึกเหตุการณ์ในรัชสมัยของพระองค์ด้วยความจริง โดยทรงถือว่าพระองค์รับผิดชอบต่อการตัดสินพระทัยในสมัยนั้นไม่ว่าจะถูกหรือผิดในสายตาของคนยุคต่อมา แต่พระองค์กระทำเพื่อความมั่นคงและสงบสุขในสังคมที่พระองค์ปกครองดูแลไพร่ฟ้า จึงไม่มีการก้าวก่ายต่อบันทึกประวัติศาสตร์ตามหน้าที่ของอาลักษณ์เลย จนกระทั่ง................”
“มันเกิดการเปลี่ยนแปลงงั้นรึ ?”
“ถือเป็นการภายในมากกว่า” เขาตอบสำรวมขึ้น พลางยิ้ม “หลังจากการเผาบันทึกนั้นแล้ว ก็มีการล้มเลิกตำแหน่งอาลักษณ์ในวัง การบันทึกประวัติศาสตร์จึงหยุดไว้เมื่อสิบปีมานี้เอง”
สริตาส่ายหน้า “ไม่มีใครหยุดเวลาได้ มันจะบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นสู่รุ่น แทนที่จะเป็นอักษร น่าเสียดายความจริงที่คนรุ่นหลังจะได้ศึกษาเป็นบทเรียนต่อไป”
“หลายคนเชื่อว่าพระองค์มิได้ยินดีกับความเปลี่ยนแปลง แต่จำต้อง............”
“คุณพูดราวกับว่าคนอื่นยกเลิกตำแหน่งอาลักษณ์ ทั้งที่เป็นอำนาจของพระราชา”
ลิปิการ์ถอนหายใจ “บางครั้งพระองค์มีอิสระน้อยกว่าพวกเราเสียอีก”
“เป็นไปได้หรือ ?” หล่อนมีสีหน้าไม่เชื่อนัก
“คนรวยล้นฟ้าหลายคนยังไม่เคยลิ้มรสอาหารข้างถนนซึ่งอร่อยกว่ากินโต๊ะจีน มันเกิดขึ้นได้เหมือนกัน” เขาพูดเปรียบเปรยแล้วหัวเราะ
“มันก็ใช่ แต่..........” หล่อนมองชายหนุ่มนำหนังสือไปเก็บในชั้นวาง พลางนึกบางอย่างได้ “...........คุณบอกว่าวันนี้ทักษามีความผิดปกติ มันคืออะไร ?”
“เขาไม่คุยกับผม มาห้องสมุดก็อ่านหนังสือเล่มนั้น วันนี้เขายิ้มและหัวเราะด้วย มันน่าขนลุก”
สริตายิ้มขำกับท่าทางประกอบของบรรณารักษ์หนุ่ม พลางพูดเย้าว่า “เขาเป็นคนก็ต้องยิ้มและหัวเราะได้ ไม่แปลกสักนิด”
“คุณไม่รู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มมีเลศนัยรึ ?”
“ไม่รู้สึกเลย”
ลิปิการ์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบว่า “หวังว่าผมจะมองพลาดไป เราไปดูห้องคอมพ์ซึ่งผมเพิ่งจัดเสร็จเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเถอะ”
“คอมพิวเตอร์รึ ?” หล่อนมีท่าทางตื่นเต้นทันใด
“ใช่ครับ”
ลิปิการ์เดินนำสาวไทยไปยังห้องติดแอร์ซึ่งอยู่ห่างจากห้องหนังสือหายากไม่มากนัก หล่อนเห็นคอมพิวเตอร์ครบชุดหนึ่งเครื่องตั้งวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ชั้นวางหนังสือติดตั้งล้อมอยู่สามด้าน
“เครื่องเดียวรึ ?” หล่อนเดินเข้าไปใกล้คอมพิวเตอร์ แล้วมองสำรวจตัวเครื่องก่อน
ลิปิการ์ยิ้มเจื่อน “ผมได้งบมาน้อย ต้องแบ่งเจียดไปซื้อหนังสือเป็นหลัก จึงได้แค่เครื่องเดียว”
“มันจะพอเพียงรึ ?”
“นอกจากพระญาติที่ศึกษาในต่างประเทศแล้ว ข้าหลวงน้อยคนมากที่ใช้คอมพ์ได้ ถ้ามีฐานะดีก็ซื้อโน้ตบุ๊คไว้ใช้ส่วนตัว ผมตั้งใจใช้งานในห้องสมุดและสอนเผยแพร่วิธีใช้มันให้คนในวัง”
“มันใช้อินเตอร์เนตได้ไหม ?” หล่อนเกิดความคิดบางอย่าง
“เมื่อก่อนใช้ได้ ตอนนี้ใช้เล่นโปรแกรมได้เท่านั้น”
“ทำไม ?”
“เมื่ออาทิตย์ก่อนท่านพยนต์สั่งห้ามการเล่นอินเตอร์เนตอย่างเด็ดขาด แต่ยังใช้โทรศัพท์ได้อย่างเดียว โทษการขัดคำสั่ง คือ การไล่ออกและโบยตี 30 ครั้ง ผมอยากอยู่ในห้องสมุดต่อไป จึงดึงสายโทรศัพท์ออก ผมยังทราบอีกว่ามีคำสั่งตัดการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างประเทศ จึงโทร.ไปนอกประเทศไม่ได้ด้วย”
“คำสั่งของท่านพยนต์งั้นรึ ?”
“เขาว่าใช่ครับ” เขาอมยิ้ม
“ฉันอ่านข้อมูลประเทศของคุณว่า มีการแบ่งอำนาจบริหารชัดเจนระหว่างวังและประเทศ ทำไมท่านพยนต์จึงออกคำสั่งแบบนี้ได้ ? มันน่าจะเป็นอำนาจของมหาเสนาบดีมิใช่หรือ ?”
“ตั้งแต่ท่านนฤวร........เอ่อ......เขาเป็นมหาเสนาบดีตายกะทันหัน การบริหารประเทศอยู่ในมือของท่านพยนต์โดยผ่านคนของเขาที่แทรกอยู่ในคณะบริหารแล้ว”
“เรื่องซับซ้อนน่าสนใจนะ”
ลิปิการ์เห็นสาวไทยลูบไล้คอมพิวเตอร์ด้วยท่าทีแปลกๆ จึงกระเซ้าว่า “ผมทราบว่าคุณเป็นนักคอมพิวเตอร์ด้วย คงอยากเล่นเนตมากสิ”
“อยากสิ แต่เล่นไม่ได้นี่นา” หล่อนทำหน้าเสียดายชัด
“คุณติดเนตหรือเปล่า ?”
“ทำไมถามแบบนี้ ?”
“ถ้าคุณติด รับรองว่าต้องลงแดงแน่ เพราะไม่มีทางที่ท่านพยนต์จะยอมให้ใช้เนตในวังอีก”
“ทำไม ?”
ดวงตาของลิปิการ์วาวโรจน์ขึ้น “เขาไม่ต้องการให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอก ขณะที่ผลลัพธ์ยังไม่ปรากฏชัดว่าเขาคือฝ่ายชนะ”
“ถ้ามีเรื่องชนะแพ้ ก็ต้องมาจากการแข่งขันงั้นสิ”
บรรณารักษ์หนุ่มพยักหน้า สีหน้าขรึม “องค์รัชทายาทเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันด้วย ถ้าแพ้ต้องลำบากถึงตายเชียวล่ะ”
“ตายรึ ?” หล่อนมีสีหน้าตกใจ
“ผมจะพาไปดูห้องอื่นๆ แล้วส่งคุณกลับเรือนศักเรนทร์เพื่อให้ทันมื้อเที่ยง”
“ฉันจะมาห้องสมุดอีกได้ไหม ?” หล่อนถาม ขณะเดินตามลิปิการ์ไป
“ถ้าต้องการมาวันใด ก็โทร.เรียกผมไปรับได้ กลัวคุณหลงทาง เดี๋ยวยุ่งครับ”
“ฉันจำทางแม่นแล้ว” หล่อนตอบด้วยท่าทางมั่นใจ
ลิปิการ์หัวเราะ แล้วพูดอธิบายห้องต่างๆอย่างสุขใจกับผลงานที่เขาตั้งใจพัฒนามัน ส่วนสริตาเชื่อว่าบรรณารักษ์หนุ่มและห้องสมุดจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีขณะที่หล่อนอาศัยอยู่ที่เรือนศักเรนทร์
ขณะที่ลิปิการ์ยืนให้บริการแก่หญิงวัยกลางคนที่มาคืนหนังสือก่อนที่เขาจะไปเดินไปส่งสริตานั้น กลุ่มหญิงแต่งกายประหลาดเดินตรงเข้าไปหาสาวไทยซึ่งยืนเลือกหนังสืออยู่ที่ชั้นวาง
“แย่แล้ว” ลิปิการ์อุทาน แล้วส่งบัตรสมาชิกให้ลูกค้า “รีบกลับไปก่อน”
ลูกค้าหันไปเห็นกลุ่มหญิงที่เดินเข้าห้องสมุดก็เข้าใจความหมายของบรรณารักษ์หนุ่ม จึงเร่งฝีเท้าออกจากที่นั่น ลิปิการณ์ผละจากเคาน์เตอร์ไปหาสริตาโดยเร็ว
“ต้องการให้รับใช้อะไร คุณติชิลา”
สาวร่างสูง ใบหน้าคมเข้มตวัดสายตามองบรรณารักษ์หนุ่มซึ่งเข้ามายืนขวางระหว่างสาวไทยกับติชิลาไว้
“ฉันต้องการทำความรู้จักกับเธอ” สาวใบหน้าเข้มตอบด้วยภาษาพื้นเมือง
สริตามีสีหน้างง พลางกระซิบถามชายหนุ่มว่า “ใคร ?”
ลิปิการ์มีสีหน้าอึดอัดใจ แล้วตอบขยายความเป็นอังกฤษให้สาวไทยเข้าใจ “คุณติชิลาเป็นลูกสาวของท่านพยนต์ อยากรู้จักคุณครับ”
สริตาสังเกตเห็นแววตาไม่เป็นมิตรของสาวแปลกหน้า จึงตอบเป็นอังกฤษว่า “ฉันมีนัดทานอาหารกับท่านอัคนี คงอยู่คุยด้วยไม่ได้”
คำตอบนั้นทำให้สาวใบหน้าเข้มเดือดพล่านในใจ ติชิลาตวาดเสียงห้วนเป็นอังกฤษว่า “เธอไม่ให้เกียรติแก่ฉันรึ ?”
“ถ้าไม่ติดนัดหมาย ก็อยากรู้จักทุกคนให้ครบ แต่.........” หล่อนตอบ พลางกวาดตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังของติชิลา “.........แต่ท่านอัคนีไม่ชอบคนผิดนัดเวลา คุณน่าจะรู้จักนิสัยขององค์รัชทายาทมิใช่หรือ ?”
ลิปิการ์พูดเสริมว่า “ท่านอัคนีนัดหมายล่วงหน้าแล้ว หวังว่าคุณจะเห็นใจเธอด้วย”
“เงียบไปเลย” ติชิลาบอกกระแทกเสียง แล้วสั่งไปทางลูกน้องหญิงว่า “พาเธอไปชมห้องยาของฉันเดี๋ยวนี้”
“อย่า........” ลิปิการ์ร้องท้วงติง พยายามเข้าไปขวางกลุ่มลูกน้องหญิงไว้
ติชิลาผลักอกของบรรณารักษ์หนุ่มให้ถอยห่างอย่างฉุนเฉียว พลางพูดว่า “ถ้ารักชีวิต ก็อยู่เฉยไว้ มิฉะนั้น จะให้พ่อไล่ออกหรือเอาไปทดลองยาของฉัน”
“อย่า...........” สาวไทยพูด แล้วเดินถอยหนี สีหน้าหวั่นกลัว
ลูกน้องหญิงของติชิลาเข้าไปจับแขนของสาวไทยไพล่หลังไว้ สาวอีกคนใช้ผ้าปิดปากของสริตา จากนั้นลากหล่อนออกจากห้องสมุด ลิปิการ์มองด้วยความร้อนใจ
บรรณารักษ์หนุ่มวิ่งออกจากห้องสมุดจึงเห็นภาพหญิงสาวอีกกลุ่มยืนขวางกลุ่มของติชิลาไว้ เขามองด้วยความหวังมากขึ้นเมื่อเห็นเจ้าหญิงพิณทอง หลานสาวของพระมเหสีเอกและพระมารดาขององค์รัชทายาท หล่อนดูแลข้าหลวงฝ่ายในตามบัญชาของพระเจ้าชเยนทรานับแต่พระมเหสีเอกสิ้นพระชนม์โดยมอบหวายทองคำซึ่งมีสิทธิ์ลงโทษข้าหลวงในวังก่อนส่งให้พระองค์หรือกรมวังตัดสินโทษได้ นอกจากนั้นยังเป็นที่โปรดปรานของพระองค์มากจนกลายเป็นคู่หมายของเจ้าชายอัคนีด้วย สาวไทยจึงมีทางรอดจากการเป็นเหยื่อทดลองยาของติชิลามากขึ้น
“เธอจะพาคนไปไหน ? ทำไมจึงมีสภาพแบบนั้น” เจ้าหญิงพิณทองมองสาวไทยซึ่งส่งเสียงอู้อี้ผ่านลำคอและดิ้นรนอยากเป็นอิสระ
ติชิลาเชิดหน้าขึ้น พลางตอบว่า “เธอสนใจห้องยาของหม่อมฉัน”
“สนใจรึ ?” เจ้าหญิงขมวดคิ้ว
ลิปิการ์พูดอ้อนวอนว่า “เจ้าหญิงทรงช่วยพระสหายของท่านอัคนีด้วย นางมิได้อยากชมห้องยา แต่ต้องรีบกลับไปตามนัดหมายกับองค์รัชทายาทขอรับ”
“นัดหมายกับพี่อัคนีรึ ?” เจ้าหญิงทวนคำ พลางมองสาวไทยนิ่ง “เธอคือพระสหายคนไทยที่คนในวังเล่าลือกันใช่ไหม ?”
“เธอชื่อ สริตา เป็นคนไทย” เขาตอบ แววตาเปี่ยมด้วยความหวัง “ขอความเมตตาด้วย”
ติชิลามองตาขวางกับท่าทีกระตือรือล้นที่ลิปิการ์พยายามช่วยเหลือสาวไทยซึ่งหล่อนเกลียดชังที่เจ้าชายอัคนีให้ความดูแลและให้พักอาศัยร่วมเรือนศักเรนทร์เป็นกรณีพิเศษ