สองสาวต่างวัยเดินทางเข้าหมู่บ้านกลางหุบเขาซึ่งมีชาวบ้านทั้งผู้ใหญ่และเด็กออกจากบ้านมาดูคนต่างถิ่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้า แม่บ้านนิชากับสริตาผูกม้าไว้ที่ราวไม้ข้างลานดิน
“เอาของบนหลังม้าไปให้คมิก !” แม่บ้านนิชาบอกกลุ่มเด็กวัยรุ่น
เด็กหนุ่มสาวปฏิบัติตามคำสั่งทันที สริตากระซิบถามว่า “ทำไมพวกเขาเชื่อฟังคุณมาก ?”
“แล้วจะรู้คำตอบในไม่ช้า รอที่นี่ก่อน”
สริตาทำท่าจะซักถาม แม่บ้านนิชาเดินไปคุยกับชาวบ้านด้วยรอยยิ้มมากกว่าปกติที่สาวไทยเคยเห็นแต่ละครั้งที่พบกัน หล่อนมองบ้านไม้หลังใหญ่สุดซึ่งมีชายสูงวัยก้าวเท้าตรงมาหาสองสาว
“พี่นิชา !” ชายสูงวัยตะโกนลั่น พลางโบกมือทักทาย
“คมิก”
แม่บ้านนิชาเข้าไปโอบกอดชายสูงวัยแน่น น้ำตาคลอ “สบายดีไหม น้องชาย”
สาวไทยไม่เข้าใจภาษาที่ทั้งสองคุยกัน จึงยืนมองเฉย จนกระทั่งแม่บ้านของโชตกหันมาพูดแนะนำหล่อนเป็นภาษาอังกฤษ
“นี่เป็นน้องชายของฉัน คมิก !”
สริตามีสีหน้างง ยามจ้องชายสูงวัยซึ่งมีผมสีขาวเกือบเต็มศีรษะสลับกับแม่บ้านนิชาซึ่งยังเป็นสาวใหญ่วัยห้าสิบต้นๆเท่านั้น
“น้องชายของคุณรึ ?”
คมิกยิ้ม พลางตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดว่า “ผมเป็นน้องชายของเธอจริงๆ มิสสริตา”
“คุณพูดอังกฤษได้ชัดเจนและคล่องกว่าฉันมาก” สาวไทยเอ่ยชม ท่าทีผ่อนคลายกับท่าทางเป็นมิตรของคมิก
“หลายเรื่องที่สงสัยตอนนี้ฉันจะตอบทีหลัง” แม่บ้านนิชาบอก พลางเอ่ยกับน้องชายว่า “พี่จะใช้อาศรมพยับเมฆเพื่อสอนวิชาของเรา”
“พี่หมายถึง..........” คมิกมองสาวไทยด้วยความไม่สบายใจ
“ฉันรอคอยกุญแจดอกนี้มานานแล้ว”
“แน่ใจหรือ ?”
“แน่ใจ”
“แต่ผมไม่อยาก...............”
“เวลาเหลือไม่มาก หน้าที่ของกุญแจดอกนี้ต้องเริ่มต้นแล้ว น้องชาย” พี่สาวพูดยืนกราน
คมิกถอนใจหนักหน่วง พลางพยักหน้า “ผมจะจัดการทุกสิ่งที่พี่สั่งไว้ สบายใจได้”
“ขอบใจมาก” แม่บ้านนิชาโอบกอดน้องชายไว้แน่น แล้วกลับไปหาสาวไทย “พวกเราจะขึ้นเขาเพื่อไปชมสถานที่แห่งหนึ่ง ไปกันเถอะ”
คมิกหมุนกายเดินกลับไปที่บ้านไม้โดยไม่กล่าวคำใดอีก สริตาติดตามแม่บ้านนิชาไปตามทางเดินซึ่งนำขึ้นสู่ภูเขา สองข้างทางมีต้นไม้หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศเย็นสบายพอควร
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแม่บ้านนิชาปรายตามองสาวไทยซึ่งเดินทิ้งห่างหล่อนมากขึ้นด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นเขาที่สูงชันขึ้น สริตาตัดสินใจนั่งบนก้อนหินข้างทางแล้วหายใจถี่และแรง
“ขอพักก่อนค่ะ”
แม่บ้านนิชายิ้มเย็น พลางเดินย้อนกลับไปหาสาวไทย “นี่เป็นหนึ่งในการฝึกพลังจิตที่ฉันจะสอนคุณ”
“เดินขึ้นเขารึ ?”
“ใช่”
“ฉันเหนื่อยจนไม่อยากใช้พลังจิตอะไรแล้ว” หล่อนเบ้ปากเล็กน้อย
ครู่หนึ่งสริตามองสำรวจแม่บ้านนิชาซึ่งยืนนิ่ง ไม่แสดงอาการเหนื่อยหอบสักนิด
“คุณไม่เหนื่อยบ้างหรือ ? ขึ้นเขานะ”
“ฉันเดินแถวนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ชินมากกว่า” แม่บ้านนิชาตอบ พลางผายมือไปรอบกาย “พื้นที่ของประเทศนี้ส่วนใหญ่เป็นภูเขา การเดินขึ้นลงเขาถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะใช้ชีวิตที่นี่ก็ต้องฝึกฝนการหายใจให้เข้ากับพื้นที่ จะช่วยคุณได้มาก”
“ถ้าฉันใช้พลังจิตอย่างแข็งแกร่ง คงเหาะเหินสบายขึ้น” หล่อนกล่าวติดตลก
“ทำไมคิดอย่างนั้น ?”
“ฉันเคยเห็นทักษาทำแบบนั้น”
ดวงตาของแม่บ้านนิชาวาวโรจน์ “เขาทำต่อเนื่องไม่ได้ ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ยกเว้นในที่จำเพาะเท่านั้น”
“คุณรู้ความสามารถของทักษาด้วยหรือ ?”
“รู้ แต่อย่าถามว่าทำไม ฉันไม่มีอารมณ์ตอบ เดินทางได้แล้ว”
แม่บ้านนิชาก้าวเท้านำทางต่อไป สริตาจำใจลุกขึ้นเดินตามทั้งที่ยังเหนื่อยล้า พักใหญ่สองสาวต่างวัยจึงยืนมองกระท่อมไม้เก่าสีดำตั้งอยู่ริมหน้าผา ลมแรงพัดเป็นระยะ
“นี่คือ อาศรมพยับเมฆ” แม่บ้านนิชาพูด พลางเดินเข้าไปใกล้กระท่อมไม้สีดำ
สริตายืนมองสำรวจกระท่อมไม้เบื้องหน้าซึ่งผนังบางส่วนไม้ผุพังแยกจากตัวบ้านแล้ว พลางก้มมองลอดเข้าไปข้างในจึงเห็นแคร่ไม้เก่าตั้งอยู่ด้านหนึ่ง
“มันต้องไม่ใช่ที่พักแรมของนักท่องเที่ยวแน่” สาวไทยพูดเปรย แล้วนั่งเหยียดขาออก
“เราจะฝึกวิชาที่นี่”
“เดินขึ้นเขา ฝึกที่กระท่อมไม้ผุนี่รึ ?” หล่อนทำตาโต
“ใช่แล้ว.........” แม่บ้านนิชาตอบรับ ดวงตาเจิดจ้าขึ้น “.........เมื่อก่อนนี้พ่อฝึกฉันที่อาศรมแห่งนี้ด้วยหวังว่าฉันจะสืบทอดตำแหน่งเณรีของเผ่า แต่ฉันไม่..............”
“คุณสืบทอดไม่ได้งั้นรึ ?” หล่อนถาม ยามเห็นอีกฝ่ายชะงักคำพูดไว้
แม่บ้านนิชาเบือนหน้าไปยังท้องฟ้าที่มีแสงแดดจ้า น้ำเสียงเศร้าหมองยามเอ่ยว่า “วันแห่งความวินาศของเผ่าเกิดขึ้นเพราะฉันได้รับคัดเลือกสมความปรารถนาของพ่อ”
“ทำไมมันจึงกลายเป็นความเศร้าล่ะ ?”
แม่บ้านนิชามองสบนัยน์ตาอยากรู้ของสาวไทย ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย
“พวกเรามาเพื่อฝึกวิชา มิใช่สืบหาอดีตของฉัน”
“วันนี้แค่มาดูสถานที่มิใช่หรือ ?”
“เริ่มบทเรียนแรกเลย”
แม่บ้านนิชาชี้ที่อาศรมพยับเมฆ พลางบอกเสียงเข้มว่า “คุณเข้าไปข้างในก่อน”
“คุณล่ะ ?”
“ทีหลัง”
สาวไทยแสดงอาการลังเล ครู่ต่อมาจึงตัดสินใจทำตามคำสั่งนั้น เมื่อหล่อนก้าวเท้าเข้าไปในกระท่อมไม้ ประตูปิดเสียงดังลั่น หล่อนพยายามเปิดมัน แต่มันปิดแน่นและดูหนักชอบกลทั้งที่เป็นไม้แผ่นบางๆเท่านั้น
“เปิดประตูให้ด้วย” สริตาตะโกนลั่น พลางทุบประตูด้วย
“จงใช้พลังของตัวเองและสติปัญญาเปิดประตู...........” แม่บ้านนิชาบอกเสียงดัง รอยยิ้มเย็น “..........บ้านทั้งหลังลงอาคมไว้ หากจะเปิดประตูต้องใช้พลังจิตและสติปัญญา บ้านมีจิตใจ มันยอมรับผู้มีพลังเหนือมันเท่านั้น พิสูจน์สิ่งนั้น สาวน้อย”
“หลอกมาขังในบ้านนี่นา บ้าจัง”
“ฉันจะนั่งชมวิว รับลมแถวนี้ ถ้าตะวันตกดินแล้วเธอออกมาไม่ได้ ฉันก็ต้องกลับไปบอกท่านอัคนีว่าเธอสนุกจะค้างที่นี่ก่อน”
“พูดโกหกนี่นา”
“พูดโกหกแล้วทำให้อีกคนสบายใจ ก็ไม่ถือว่าผิดหรอก” แม่บ้านนิชาตอบ แล้วก้าวเท้าไปนั่งริมหน้าผาเพียงคนเดียว
สริตามองสำรวจด้านในกระท่อมไม้เก่าโดยเฉพาะส่วนที่ผุพังจนผนังแยกออกจากกันและเห็นทิวทัศน์นอกอาศรมพยับเมฆ พอยื่นมือออกไปกลับพบกำแพงใสกั้นขวางไว้ หล่อนชักมือกลับด้วยความหวั่นกลัว คิ้วขมวดแน่น
“ยินดีต้อนรับ แขกของนิชา” เสียงชายแก่ดังก้องขึ้น
สริตาสะดุ้งเฮือก พลางเดินถอยหลังไปสะดุดแคร่ไม้จนล้มนั่งบนนั้น ใบหน้าซีด
“ผีพูดรึ ?” หล่อนกวาดตามองรอบกาย แต่ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใด
“ข้าคือ อาศรมพยับเมฆ”
“กระท่อมพูดได้ ต้องเป็นผีแน่” หล่อนเหลียวมองหาต้นเสียง พลางถามว่า “ถ้าไม่ใช่ผี ก็ต้องเห็นตัวได้สิ”
“เจ้าเห็นข้าแล้ว หมดทั้งตัวเลย” ชายแก่หัวเราะ
“ที่ไหน ?”
“เจ้าอยู่ในกายของข้า”
“นี่หมายความว่า..............” หล่อนเริ่มตั้งสติได้ สมองขบคิดหนัก “..........ฉันอยู่ในกระท่อมโทรมๆ ก็อยู่ในร่างกายของคุณ.......เอ๊ย........นายหรือจะให้เรียกอย่างไรดี ?”
“เรียกว่า ตา ก็ได้ เหมาะสมกับกาลเวลาของข้า”
“ฉันอยู่ในกระท่อม......เอ่อ.........อาศรมพยับเมฆซึ่งคือ ตัวตา ใช่ไหม ?”
“ใช่”
สริตานิ่งคิดอึดใจหนึ่ง ก่อนถามว่า “ฉันจะออกจากอาศรมแห่งนี้ได้อย่างไร ?”
“ผู้มีพลังเหนือข้า จึงเดินออกไปได้ มิฉะนั้น ก็ต้องทิ้งชีวิตไว้”
“ทิ้งชีวิตรึ ?” หล่อนรู้สึกขนลุกทันใด
“ข้าสืบทอดเวลาถึงวันนี้ได้ด้วยความพ่ายแพ้ พลังชีวิตของผู้แพ้เป็นอาหารของข้า”
“พลังชีวิตรึ ?”
“ข้าสัมผัสพลังจิตของคนและใช้ประโยชน์จากมันได้ เจ้ามีมากกว่าคนทั่วไป อาหารแสนอร่อยของข้า”
“ตารู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นแขกของนิชา”
“นางบอกข้าเอง”
“รู้จักกันมาก่อนรึ ?”
“นางเป็นผู้มีพลังที่ข้ายำเกรง”
“ผู้มีพลังรึ ? เธอ.....เอ๊ย.......นางทำอย่างไรจึงเป็นที่ยอมรับของตา”
“แต่ละคนมีวิธีแสดงพลังแตกต่างกัน เจ้าก็แสดงให้ข้าเห็นสิ สาวน้อย”
สริตาเพิ่งสังเกตว่าทั้งสองพูดคุยต่างภาษากัน แต่กลับเข้าใจกันได้อย่างประหลาดมาก
“ความรับรู้ระหว่างพวกเราเกิดขึ้นด้วยสัมพันธ์ทางจิตที่เชื่อมกันแล้ว” ชายแก่ตอบ
“ทำไมรู้ความคิดของฉัน ?”
“ข้าเป็นตานี่นา” ชายแก่หัวเราะ พลางเอ่ยแนะต่อไปว่า “พลังไร้รูป ไร้กฎ ขึ้นอยู่กับเจ้าของพลังว่าจะใช้มันเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างไร เจ้าอยากออกจากอาศรมก็ต้องหาวิธีเปิดประตูของข้า”
สริตาจ้องประตูเขม็ง สมองขบคิดหนัก หล่อนเดินไปดึงประตูหลายครั้งเพื่อทดสอบน้ำหนักของมัน แล้วกลับมานั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้
“วิธีเปิดประตูรึ ?” หล่อนพึมพำ สมองขบคิดหนัก
ทักษาเดินเข้าไปในห้องทำงานของมหาอำมาตย์พยนต์ตามคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย บิดามองลูกชายนิ่ง พลางผายมือไปที่เก้าอี้ว่าง
“พระสนมเจอสริตาที่หน้าเขตเหมันต์แล้วทราบว่า ลูกเป็นคนพาเธอไปแถวนั้น มีคำอธิบายไหม ?”
“ผมเจอสริตาที่ห้องสมุดแล้วชวนไปเดินแถวนั้น แล้วก็แยกกัน”
“ทำไม ?”
ทักษายักไหล่ “แค่อยากขู่เท่านั้น”
“ขู่รึ ?”
“ผมพาไปหน้าเขตเหมันต์แล้วปล่อยทิ้งไว้............” เขาบอกกลบเกลื่อนการตัดสินใจครั้งนั้นไว้อย่างมิดชิด พลางทำเสียงหึในลำคอ “........เธอไม่ใช่คนแถวนั้น อาจหลงทางแล้วเดินเข้าด้านในได้ เรื่องคงสนุกขึ้นเมื่อองค์รัชทายาททราบการเข้าเขตต้องห้ามของเธอ การก้าวก่ายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนย่อมสร้างความเสื่อมเสียแก่เจ้าชายอัคนีได้”
“โทษการเข้าเขตหวงห้าม คือ ความตาย แต่ลูกเคยบอกว่าต้องการเก็บชีวิตของสริตาไว้ ทำไมจึงทำเช่นนี้ ?”
ดวงตาของทักษาเจิดจ้า “องค์รัชทายาทไม่มีวันปล่อยให้เธอตายแน่”
บิดามองใช้ความคิด พลางถามว่า “เมื่อไรจะมีคำตอบเกี่ยวกับสริตา ?”
“ผมต้องการเวลาอีกนิดครับ”
“พ่อรับปากเพื่อนจะกำจัดสริตา ถ้าไม่ทำก็ควรมีคำตอบให้เขา”
“ผมจะพยายามครับ”
บิดาพยักหน้ารับรู้ “พ่อจะให้เวลาอีกสักพัก”
“การตั้งคณะตัวแทนฯไปถึงไหนแล้ว ?” ทักษาถามเปลี่ยนเรื่อง
“มะรืนนี้จะเสนอชื่อเพื่อขอคำรับรองจากสภาเชื้อพระวงศ์ ไม่น่ามีปัญหาหรอก”
“ถ้าตั้งคณะนี้ได้ ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าชายอัคนีจะเป็นอย่างไร ?”
บิดาเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง “ข้อตกลงระหว่างคณะตัวแทนฯกับสภาเชื้อพระวงศ์จะแยกอำนาจของคณะฯกับรัชทายาทให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยจะยกเว้นการกระทำซึ่งส่งผลกระทบต่ออำนาจของรัชทายาทซึ่งรับการแต่งตั้งโดยชอบจากพระราชาแล้ว เจ้าชายอัคนียังมีบทบาทและอำนาจของรัชทายาทตามก.ม.จนกว่าจะพิสูจน์พระพินัยกรรมเสร็จสิ้น ส่วนคณะผู้แทนอำนาจของพระราชาจะทำงานจนกว่าพระราชาองค์ใหม่สืบทอดตำแหน่งแล้ว”
“พ่อเป็นประธานคณะฯย่อมมีบัญชาเยี่ยงพระราชา ต้องมีอำนาจเหนือองค์รัชทายาทแล้วสิ”
“พ่อได้อำนาจเกินครึ่งที่บริหารด้วยตัวเองได้ ส่วนผู้แทนฝ่ายรัฐบาลนั้นมีความน่ารำคาญที่โชตกเท่านั้น อีกคนเป็นเสนาบดีฝ่ายการศึกษาซึ่งเป็นพวกสายกลาง ถ้าเจอคำขู่จากพ่อ ก็ต้องทำตามคำสั่งของพ่อแน่”
“ถ้าท่านชยาศีร์เสนอชื่อของเขา ย่อมไม่ใช่คนทั่วไปหรอก” ลูกชายพูดติง
“ไม่นานนี้จะมีบทพิสูจน์กันแล้ว” บิดาคิดมาดหมายบางอย่าง
สองพ่อลูกนั่งคุยกันพักใหญ่ทักษาจึงแยกตัวกลับห้องพัก ส่วนมหาอำมาตย์พยนต์ติดต่อพันธวัชเพื่อขอเวลากำจัดสริตาเพราะปัญหาภายในบางอย่าง แม้พันธวัชจะไม่สบายใจ แต่ไม่มีทางเลือกนอกจากการรอคอยฟังข่าวดีเท่านั้น
ผู้นำวรุตม์นั่งตรวจอีเมล์ส่วนตัวเพื่อรอรับภาพหลักฐานก่อกบฏจากสริตาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีสักฉบับ ช่วงนี้เขายังไม่ติดต่อเจ้าชายอัคนีเพราะไม่ต้องการให้ข่าวที่ซ่อนตัวของสริตาเผยแพร่ไปถึงพันธวัช เสียงผู้ประกาศข่าวดังจากทีวีเรียกความสนใจจากหนุ่มใหญ่เมื่อภาพพันธวัชกับนายพลชวนิลไปปาฐกถาที่ทัพเรือกับทัพอากาศในวันเดียวกัน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเลขาชุมชัยเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเคร่ง พลางชำเลืองมองทีวี
“ท่านเห็นข่าวตระเวณพูดตามหน่วยทหารของพวกเขาแล้วใช่ไหม ?”
“เพิ่งฟังเมื่อกี้นี้” ผู้นำวรุตม์ตอบ สีหน้าเรียบ
“พวกเขาเคลื่อนไหวหาเสียงสนับสนุนและหยั่งระดับบารมีของตัวเองแล้ว”
“ผมรู้”
“ข่าวภายในแจ้งว่า การเจรจาหาแนวร่วมแบ่งผลประโยชน์ทำกันแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ฝ่ายเราควรเตรียมรับมือการรุกรอบใหม่ของพันธวัชกับนายพลชวนิล”
“พรุ่งนี้มีการประชุมโยกย้ายตำรวจประจำปีใช่ไหม ?”
“ใช่ครับ”
“เราควรปรึกษาเรื่องตัวบุคคลใหม่เพื่อช่วยรับมือข่าวกบฏ”
“ด้านกองทัพล่ะ ?”
ผู้นำวรุตม์แย้มริมฝีปากนิดหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ผมจะคุยกับท่านศรัณย์ของกลาโหมเรื่องผู้บัญชาการและแม่ทัพที่มีปัญหาน่าสงสัย แล้วนำคนของฝ่ายเราไปคุมจุดสำคัญไว้ก่อน”
“นายพลชวนิลอาจใช้เป็นเรื่องยุแหย่เพื่อหาคนเข้าเป็นพวกเดียวกันก็ได้”
“ท่านศรัณย์แจ้งว่ามีตำแหน่งว่างหลายที่ เราไม่ได้แตะส่วนปัจจุบันของเขา แค่ส่งคนเข้าไปในส่วนที่ว่าง จะใช้เหตุอะไรยุแหย่อีกล่ะ”
เลขาชุมชัยพยักหน้าเข้าใจ แล้วขอไปนำรายชื่อโยกย้ายของตำรวจเข้ามาให้เจ้านาย ต่อมาผู้นำ
วรุตม์ใช้เวลาศึกษารายชื่อนายตำรวจที่จะโยกย้ายประจำปีโดยติดต่อพูดคุยกับผู้บัญชาการตำรวจเป็นระยะ เมื่อได้รายชื่อสุดท้ายแล้วเขาจึงนำแฟ้มกลับบ้านพักเพื่อให้เป็นความลับจนถึงรุ่งเช้าด้วย
ช่วงเช้านักข่าวทุกสำนักต่างเพ่งเล็งรายชื่อโยกย้ายนายตำรวจประจำปีซึ่งมีข่าวเล็ดลอดว่าจะส่งผลดีต่อการควบคุมกลุ่มที่คิดก่อกบฏให้เข้มงวดขึ้น จึงไปรอฟังผลประชุมที่กองบัญชาการตำรวจซึ่งผู้นำวรุตม์เข้าประชุมด้วยตัวเอง หลายชั่วโมงต่อมาจึงแจกรายชื่อนายตำรวจที่รับการโยกย้ายตามผลประชุมแก่นักข่าวโดยไม่มีคำอธิบายใด พันธวัชรับแฟกซ์ผลโยกย้ายนายตำรวจจากคนรับใช้ แล้วตรวจสอบรายชื่อคนของเขาทันที
“พวกเขาถูกย้ายเข้ากรุทั้งหมด แสดงว่า..............” พันธวัชขบกรามแน่น ดวงตาเจิดจ้า “.......ฝ่ายนั้นรู้ว่าใครเป็นคนของผม”
นายพลชวนิลรับกระดาษแผ่นนั้นจากเจ้าของบ้าน แล้วอ่านพิจารณาด้วย “เที่ยงนี้ท่านศรัณย์จากกลาโหมเชิญนายทหารระดับสูงของกองบัญชาการทุกเหล่าทัพไปร่วมกินข้าวด้วยกัน คาดว่าคงคุยเรื่องข่าวลือกบฏแน่”
“ข่าวโยกย้ายคนในกองทัพล่ะ ?”
“ท่านศรัณย์ทำรายชื่อไว้แล้ว ครั้งนี้คงคุยขอความเห็นชอบนอกรอบด้วย”
“นายยังไม่เห็นรายชื่อหรือ ?”
นายพลชวนิลส่ายหน้า “ยังครับ ถ้าเป็นคนของรัฐบาล ผมจะใช้หัวข้อนี้ยุแหย่กำลังพลให้เข้าเป็นพวกเดียวกันได้ง่ายขึ้น”
“กองทัพของนายมีความเคลื่อนไหวบ้างไหม ?”
“คนจากรัฐบาลอยู่เงียบ ทำงานง่ายๆ ผมไม่ให้อยู่ใกล้ชิดกำลังพลเพราะเสี่ยงจะยุแยงคนให้ออกห่างจากฝ่ายเราได้”
“รอบคอบไว้ วรุตม์ย้ายคนของเขาไปอยู่ตามหน่วยงานของฝ่ายเรา ต้องมีแผนแน่ ความเงียบสร้างความน่ากลัวได้เช่นกัน”
“ขอเพียงเงินตอบสนองถึงใจพวกเขา เรื่องแปรเปลี่ยนย่อมเกิดขึ้นยาก” นายพลกล่าวมั่นใจ
“ผมไม่เคยดูแคลนคู่ต่อสู้ ถ้าอยากอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ก็ต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น”
คนรับใช้เดินเข้ามากระซิบบางอย่างกับพันธวัชซึ่งขมวดคิ้วแน่น เจ้าของบ้านเอ่ยกับนายพลชวนิลว่า “ท่านชิดศักดิ์มาเยี่ยมผม นายกลับไปก่อน”
“ทำไมเขา............”
“ผมไม่อยากให้เขาเห็นนายอยู่ในบ้าน กลับไปทางด้านหลังนะ” เจ้าของบ้านบอกเน้นเสียง แล้วโบกมือไปทางคนรับใช้ให้เดินนำนายพลชวนิลไปทางหลังบ้าน
เมื่อทั้งสองเดินออกนอกห้องแล้ว พันธวัชสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าสงบนิ่ง ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย
“คุณจะพูดอะไร ?” เขาพึมพำ แล้วออกไปพบอดีตผู้นำบ้านเมืองซึ่งเคยเป็นหัวหน้ารัฐบาลร่วมคณะเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน
ชายร่างเล็กแต่งกายภูมิฐาน ท่าทางใจเย็นนั่งรออยู่ในห้องรับแขกใหญ่โอ่โถง พันธวัชเดินเข้าไปในห้องพร้อมรอยยิ้มทักทายและจับมือกัน
“ท่านไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะมาที่บ้าน ผมจึงไม่ได้จัดต้อนรับท่าน”
“ผมมาเยี่ยมเพื่อน ไม่ต้องมากพิธีหรอก” ชิดศักดิ์บอกพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านเพิ่งกลับจากพักผ่อนที่นิวซีแลนด์ ผมคิดจะไปเยี่ยมทีหลัง มินึกว่าท่านจะมาหาก่อน”
“ผมอยากคุยด้วยเท่านั้น”
พันธวัชยิ้มรับ อดีตผู้นำบ้านเมืองมองเจ้าของบ้าน พลางถามว่า “ผมอยากได้คำตอบจากปากของคุณว่า ข่าวลือเป็นหัวหน้ากบฏร่วมกับนายพลชวนิลเป็นความจริงไหม ?”
“ทำไมท่านเชื่อข่าวลือพวกนั้น ?”
“ผมไม่อยากเชื่อ จึงมาฟังคำตอบจากคุณเอง”
“ผมอยู่ข้างประชาธิปไตยเสมอ แม้จะแก่ขนาดนี้ก็ตาม” พันธวัชตอบปนเสียงหัวเราะ
ชิดศักดิ์ยิ้มเย็น “ถ้าคนแก่ไม่ปล่อยวางบ้าง ก็ทำลายสุขภาพกายและใจ อีกอย่างหนึ่งกิเลสตัณหาควรเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ พวกเราน่าจะหาความสุขได้แล้ว”
“ผมเข้าใจเรื่องนั้นดีครับ”
“คุณมีอายุใกล้เลขแปดแล้ว หวังว่าคงไม่ทำเรื่องสิ้นคิดให้เด็กมองสมเพชว่ายังยึดติดในอำนาจจอมปลอมอีก ชื่อเสียงที่สร้างสมไว้จะพังทลายลงเพราะความทะยานอยากโดยไม่คำนึงถึงสังขารของตัวเอง นอกจากนั้นยังกลายเป็นหุ่นเชิดให้คนอื่นที่อาศัยความทะนงตนของคุณด้วย”
“ท่านเตือนผมรึ ?”
“วันนี้ผมเชื่อว่าได้คำตอบที่ต้องการแล้ว จึงอยากบอกเพื่อนไว้เท่านั้น”
“ผมรับฟังครับ”
“ถ้าคุณหยุดวัยและเวลาได้ ค่อยแย่งชิงอำนาจจากคนรุ่นใหม่ น่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข มิใช่หาความทุกข์ใส่ตัว...........” ชิดศักดิ์มองหนักใจ พลางเอ่ยต่อไปว่า “...........คุณเคยมีช่วงเวลาแห่งความภูมิใจและการยกย่องจากคนทั่วไปแล้ว ถ้าไม่ยั้งใจไว้ สิ่งเหล่านั้นจะสูญสลายด้วยมือของตัวเองนะ”
พันธวัชพยายามข่มอารมณ์เดือดดาลที่อีกฝ่ายพูดสั่งสอนเขาซึ่งมีวัยสูงกว่าอดีตผู้นำคนนี้ เพราะชิดศักดิ์เคยช่วยเหลือเขาจากการเฝ้าดูพฤติกรรมก่อกบฏตามคำสั่งของผู้นำวรุตม์มาแล้ว
“เวทีนี้ไม่ใช่ของคนแก่ แต่เป็นโลกของคนรุ่นใหม่ที่ใสและว่องไว คุณน่าจะยอมรับได้แล้ว”
“ผมบอกว่า ไม่ได้เป็นอย่างข่าวลือ ท่านคงไม่เชื่อสินะ”
“คนสร้างบารมีด้วยตัวเอง ก็ทำลายด้วยมือของตัวเองได้”
พันธวัชเม้มปากแน่น แววตาขุ่นเคืองใจ “วรุตม์ระแวงผมเอง ท่านควรเตือนเขามิให้ยุ่งกับผม น่าจะถูกต้องที่สุด ควรให้เกียรติแก่ผมมากหน่อย”
“การเดินสายหาเสียงสนับสนุนความคิดของคุณภายใต้แนวคิดคุณธรรมประจำชาติตามกองทัพต่างๆ จะบอกว่าไม่มีนัยซ่อนไว้งั้นรึ ?” ชิดศักดิ์ถามตรง แววตารู้ทัน
“ผมพูดไปตามหลักการ เขาเชิญไปพูดนะครับ”
“คุณรู้เจตนาของตัวเองชัดเจนดี คิดว่ารัฐบาลไม่เห็นสิ่งนั้นด้วยหรือ ? คุณกำลังยุแหย่ให้กองทัพไปสนับสนุนคุณ แล้วทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลซึ่งเป็นสายบังคับการที่ถูกต้อง คุณคิดทำลายระบบที่สร้างความมั่นคงของชาติ รัฐบาลเป็นตัวแทนประชาชนในการบัญชาการกองทัพ ถ้าคุณยึดถือประชาธิปไตยจริง ก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจน”
“ท่านกล่าวหาผม”
“ผมเห็นคุณเป็นเพื่อน จึงอยากเตือนสติให้คนแก่ระลึกไว้ว่า เวลานี้เป็นช่วงสงบสุขในชีวิตของคนแก่ มิใช่เวลาช่วงชิงอำนาจกับเด็ก หากไม่หยุดความคิดไว้ คุณจะเหลือเพียงคำประณามกับความสมเพชเป็นเพื่อนเท่านั้น”
“ผมอยากพักผ่อนแล้ว” พันธวัชพูดตัดบท
ชิดศักดิ์ถอนใจหนักหน่วง “ตราบใดที่คุณไม่ละทิ้งแนวคิดแย่งชิงอำนาจกับเด็ก อีกฝ่ายย่อมไม่ปล่อยคุณจากสายตาแน่ อย่าคิดว่าจะปกปิดสิ่งที่กำลังทำไว้ได้ แค่รอเวลาที่ฝ่ายไหนจะรุกไล่ก่อนเท่านั้น ระวังตัวด้วย”
พันธวัชนั่งขบกรามกรอดด้วยความเดือดดาลใจ หลังจากอดีตผู้นำชิดศักดิ์เดินออกจากห้องรับแขกแล้ว
“ฉันไม่มีวันแพ้ให้เด็กเมื่อวานซืนแน่ คอยดูเถอะ” เจ้าของบ้านพูดมาดหมาย
พันธวัชไม่ทราบว่าหลังจากชิดศักดิ์พบเขาที่บ้านแล้ว ยังเดินทางไปยังโรงแรมหรูย่านสาทรเพื่อพบผู้นำ
วรุตม์และบอกเล่าคำสนทนาระหว่างทั้งสองให้รับรู้ด้วย
“เมื่อเขาไม่รับฟังคำเตือน ผมต้องจัดการเต็มที่เพื่อยุติปัญหาร้ายแรงต่อบ้านเมือง หวังว่าท่านจะไม่เข้ายุ่งเรื่องนี้อีกต่อไปนะครับ” ผู้นำวรุตม์กล่าว ใบหน้าขรึม
ชิดศักดิ์ส่ายหน้า “ฉันทำหน้าที่ของเพื่อนแล้ว ส่วนที่เหลือก็ฝากทำงานเพื่อบ้านเมืองด้วย”
“ตอนนี้กองทุนเฮดฟันด์เตรียมโจมตีค่าเงินบาทอีกรอบโดยอาศัยข่าวกบฏของเราเป็นตัวโหมไฟ ผมมีศัตรูสองด้าน ถือว่าหนักจริงๆ”
“การฉกเวลามาเป็นของตน ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างระมัดระวังนะ” ชิดศักดิ์เอ่ยเตือนในที
ผู้นำวรุตม์พยักหน้ารับทราบ ทั้งสองสนทนากันอีกพักใหญ่จึงแยกย้ายกลับบ้านพักผ่อน ส่วนผู้นำหนุ่มใหญ่ไม่ลืมที่จะถามไถ่ความเป็นอยู่ของหมอจารุมนก่อนเข้านอน อันสร้างความซึ้งน้ำใจและความห่วงใยของเขาแก่หล่อนอย่างยิ่ง
“ผมขอโทษที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายในชีวิตครอบครัวของคุณ” เขาบอกกับหมอจารุมนแล้ววางมือถือไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนนอนหลับตาด้วยความอ่อนเพลีย